6

รัก...บอกหน่อยได้ไหม ทำไมต้อง ‘เธอ’

รัก...บอกหน่อยได้ไหม ทำไมต้อง ‘เธอ’

 

“ขออนุญาตขอรับท่านอา” 

ชุนโนะสึเกะนั่งคุกเข่าโน้มตัว สองมือแตะพื้นเสื่อทะทะมิหน้าระเบียง ด้านล่างเป็นสวนญี่ปุ่นมีก้อนกรวด โคมไฟหินและไม้พุ่มหลากพันธุ์ตกแต่งจัดวางไว้อย่างเรียบง่ายงดงาม เบื้องหน้าชายหนุ่ม ซาบุโรผู้เป็นอาในชุดฮะขะมะยืนหันหลังใช้กรรไกรเล็มแต่งบอนไซ๒๓อย่างมีสมาธิ ไม่มีเสียงตอบรับจากบุตรชายคนที่สามของปู่เขา นอกจากเสียงกรรไกรกระทบกันดังกริบๆ 

ชุนโนะสึเกะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นนับสิบนาที จึงได้ยินอีกฝ่ายถามเสียงห้าว

“มีอะไรก็ว่ามา ผิดวิสัยเจ้าที่เข้ามาหาอาเวลานี้ คงมีอะไรจนรอไม่ไหวสิท่า”

“ต้องขออภัยที่รบกวนสมาธิท่านอาขณะเพลิดเพลินกับบอนไซ หลานมาขอรับโทษที่...” เขาสูดลมหายใจลึก “ที่ทำจี้ตก แล้วมีสตรีนางหนึ่งเก็บได้ขอรับ”

ซาบุโรชะงักนิ้วที่กำลังขยับกรรไกรทันที เงยหน้าขึ้น ทอดตามองไปเบื้องหน้า นิ่งอยู่ชั่วครู่แล้วก็หัวเราะลั่น

“ในที่สุดเจ้าก็จะได้คู่ละสินะ” ซาบุโรพูดกลั้วหัวเราะขณะหมุนตัวมาทางหลานชาย เช็ดกรรไกรด้วยผ้าแล้ววางบนซองเก็บ “เป็นลูกสาวตระกูลไหนเล่า บิดาเจ้าคงดีใจที่เจ้าพบคู่ที่เอะโดะ ที่นี่มีแต่เหล่าสตรีสูงศักดิ์ นางอยู่คุ้มไหนหรือ ข้าจะไปปรึกษาท่านไดเมียวขอร้องให้ไปทาบทาม ช่วยเงยหน้าให้ข้าเห็นแววตายินดีของเจ้าหน่อยปะไร” ซาบุโรอดปลื้มอกปลื้มใจไม่ได้กับข่าวดีนี้ ใบหน้าจึงเปี่ยมรอยยิ้ม

“หามิได้ท่านอา” ชุนโนะสึเกะยังนั่งอยู่ในท่าเดิม “คือว่า...คนที่เก็บจี้ได้ นาง...โปรดยกโทษให้หลานด้วย นาง...นางเป็นหญิงต่างชาติขอรับ”

“เหลวไหล!” ซาบุโรตบพื้นเสียงดังลั่น “ที่เอะโดะมีนางต่างด้าวได้อย่างไร” ผู้เป็นอาเงียบไปชั่วครู่อย่างใช้ความคิด “หรือว่า...จะเป็น...”

“ขอรับ นางเป็นคนของมิสเตอร์ซีโบลด์ ผู้ว่าราชการของบริษัทอีสต์อินเดียจากเดะจิมะ”

“นางเป็นคนของมิสเตอร์ซีโบลด์รึ เกี่ยวข้องกันอย่างไร ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวจะมาอยู่ที่เอะโดะได้อย่างไรกัน แต่ข้าได้ยินเสียงเล่าลือว่าเขาติดพันเด็กสาวชาวเดะจิมะมิใช่รึ นั่นก็เรื่องที่ทุกคนกำลังจับตาดูอยู่ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครกล้าสมรสกับคนต่างเชื้อชาติศาสนา หรือว่านางที่เจ้าพูดถึงจะเป็น...ภรรยาชาวตะวันตกที่มิสเตอร์ซีโบลด์พามา หรือว่า...ไอ้ที่เขาลือกันทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“หลานไม่แน่ใจขอรับ เด็กสาวผู้นั้นขายของอยู่ที่ร้านของท่านซีโบลด์ แต่นางพูดสำเนียงเดะจิมะ และเข้าใจภาษาเอะโดะดีพอใช้”

ชุนโนะสึเกะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาประสบให้ซาบุโรฟังอย่างละเอียด ซาบุโรเป็นผู้พาเขามาเข้าเฝ้าโชกุน ตามระบบเวียนคำนับหรือซันคินโคไท๒๔ซึ่งเป็นระเบียบประเพณีปฏิบัติที่ไดเมียวจากแคว้นต่างๆ จะต้องส่งซามุไรบุตรหลานมาทำความเคารพและพำนักในเอะโดะเพื่อรับราชการ แต่ความจริงแล้วต่างก็ทราบดีว่าเป็นกุศโลบายที่โชกุนต้องการเก็บตัวแทนของเหล่าไดเมียวไว้เป็นตัวประกัน ซามุไรหนุ่มบางคนเดินทางมาเอะโดะเพียงลำพัง และบ้างก็มาโดยมีญาติผู้ใหญ่มาอยู่ด้วย ดังนั้นระหว่างพำนักอยู่ที่เอะโดะนี้ซาบุโรจึงเปรียบเสมือนผู้ปกครองเขาแทนบิดา 

“ตอนนางยื่นจี้ให้และบอกว่านางเป็นคนเก็บได้ หลานตกใจทำอะไรไม่ถูก รีบหลบออกมาอย่างไร้สติ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”

“เป็นใครก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา เอาเถอะ อาจะส่งคนไปสืบว่านางเป็นใคร แต่ไม่ว่านางจะมีเรือนแล้วหรือไม่ เจ้าจะเผยความนัยเรื่องจี้อันนั้นมิได้ เจ้าต้องไปขอคืนจากนางด้วยตนเอง ส่งจี้คืนมือสู่มือตามที่บรรพบุรุษเล่าขานกันมา และห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้แม้แต่คนในตระกูลของเรา ให้ถือว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น”

“ขอบคุณท่านอาขอรับ” ชุนโนะสึเกะกล่าวเสียงดังหนักแน่น ขณะคำนับหัวจดพื้น 

“ไม่ว่าอย่างไร อาไม่มีวันยอมให้เราทำตามธรรมเนียมตระกูลในข้อนี้เด็ดขาด หากเจ้าได้นางต่างชาติเป็นคู่ครองแล้ว ตระกูลเราคงหมดสิ้นแน่คราวนี้ อย่าลืมว่าเจ้ากำลังเป็นที่โปรดปรานของท่านโชกุน ข้าได้ยินจากภายในว่าเจ้าอาจได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในห้าสิบนักเรียนทุนรันงะขุ๒๕ ซึ่งถือเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ชั้นหัวกะทิที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติให้ก้าวหน้า นับเป็นการปูทางอันงดงามให้แก่วงศ์ตระกูลด้วย เจ้าจะยุ่งเกี่ยวกับหญิงต่างชาติเป็นการตัดอนาคตตัวเองมิได้เด็ดขาด ท่านโชกุนต้องมิโปรดแน่”

“ขอรับท่านอา” ชุนโนะสึเกะรับคำอย่างเห็นดีด้วย...ใครจะไม่ยินดี หากได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนโปรดของผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศตอนนี้

“อ้อ ได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อน เจ้าไปมีเรื่องกับคนตระกูลอะริโมะริใช่หรือไม่” ผู้สูงวัยกว่าถามเสียงเข้ม “อาอยากให้เจ้าระมัดระวังคนตระกูลนี้ พวกเขาเน้นการทหาร จึงขึ้นหม้อมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่คนพวกนี้เห็นแก่ได้ เหี้ยมโหดและจิตใจคับแคบ ถึงได้เติบใหญ่มาจนถึงวันนี้ เขาไม่ต้องการให้ใครใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านโชกุน ถ้ามีโอกาสเหยียบหัวใครเพื่อเป็นใหญ่ได้ เขาจะไม่รีรอ กลับรีบยกเท้าสูงแล้วกดย่ำ...ขยี้จนจมดิน”

“แต่ยุคนี้ท่านโชกุนเห็นความสำคัญของบทกวีและศิลปวิทยาการนี่ครับ ท่านเริ่มสนใจความรอบรู้ก้าวหน้าของพวกยุโรปถึงได้คิดโครงการรันงะขุขึ้นมา”

“นั่นก็ใช่ แต่ท่านก็มิได้ละทิ้งวิถีของนักรบซามุไร เจ้าเห็นหรือไม่ว่าท่านสั่งให้มิสเตอร์ซีโบลด์เข้าคำนับที่เอะโดะช่วงนี้ เพราะวันแข่งขันยะบุซะเมะ๒๖ การแข่งยิงธนูบนหลังม้าอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ท่านอยากให้พวกตะวันตกได้เห็นศักยภาพนักรบเลือดบุชิโดอย่างเรา แล้วเจ้าน่ะหมั่นฝึกปรือที่โรงฝึกคุ้มไดเมียวโอะงะซะวะระ๒๗ตามที่อาไปฝากฝังไว้หรือเปล่า อย่าทำเสียชื่อตัวแทนจากคุ้มของเราเป็นอันขาดนะ อาได้ยินมาว่าหนนี้ใครชนะเลิศ ท่านโชกุนจะตกรางวัลอย่างงาม ทุกคุ้มต่างหมายมั่นปั้นมืองานนี้กันทั้งนั้น”

“หลานไปฝึกพร้อมกับเพื่อนๆ ซามุไรในคุ้มเราทุกวันขอรับ นี่ก็เพิ่งได้ม้าพันธุ์ดีจากท่านโอะงะซะวะระ เพราะไปช่วยซ่อมเข็มทิศเก่าที่ท่านได้มาจากพ่อค้ายุโรป ม้าที่ได้มารูปร่างสวยแข็งแรง ฝีเท้ากำลังดี ครานี้น่าจะมีความหวัง”

“ดี แต่อย่าได้ประมาทคนของอะริโมะริ พวกเขาเก่งยะบุซะเมะมานานแล้ว และยังชอบตุกติกทุกปี นี่อาก็เพิ่งได้ข่าวว่า เขาจะทาบทามบุตรสาวนอกสมรสของท่านโชกุน ถ้าเขาได้เกี่ยวดองอย่างนั้นละก็เกรงว่าการทหารจะกลับมา แล้วในยามที่ญี่ปุ่นของเราโดนชาติตะวันตกกดดันมากๆ เข้า พวกนั้นก็จะยุยงให้ตัดสินใจทำอะไรรุนแรงโดยไม่ทันยั้งคิด บ้านเมืองก็จะวุ่นวาย”

“ท่านอาถึงย้ำเสมอ ให้เอาวัฒนธรรมนำหน้าเพื่อสร้างมิตรไว้แลกเปลี่ยนความรู้”

“พ่อของเจ้าต่างหากที่เป็นเจ้าของความคิด มิใช่อา ยุคนี้เราควรจะแข็งทั้งบู๊และบุ๋น๒๘ตระกูลมะเอะดะของเรามาดีแล้ว ถือว่าเจ้าทำงานได้ดีมากในระหว่างพำนักอยู่ในเอะโดะ อาถึงไม่อยากให้เราถูกจับตาดูว่าไปผูกพันกับผู้หญิงต่างชาติ ต่อไปไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวหรือทำอะไร ทุกอย่างต้องคิดอย่างรอบคอบ เจ้าต้องสร้างบารมีไว้เพื่อน้องชายรองของเจ้าที่จะมาในปีหน้าพร้อมลูกชายอา”

“แต่คำสาปของตระกูลเกี่ยวกับจี้...” ชุนโนะสึเกะกล่าวอย่างหวั่นใจ

“อาเชื่อว่าวิญญาณบรรพชนของเราคงไม่ยินดีหากทายาทมีสายเลือดต่างชาติปะปน ไปเอาจี้คืนมาจากนางเสีย เก็บรักษาให้ดี แล้วไม่ต้องเอ่ยถึงอีก ให้เรื่องนี้มันจบที่เราสองคนตรงนี้เท่านั้น”

“แต่...”

“เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะรับผิดชอบเอง”

“ขอรับ ครั้งนี้ต้องขอรบกวนท่านอาด้วย” ชุนโนะสึเกะรับคำ แต่ยังกังวลเรื่องคำสาป...ใบหน้างามแปลกตาของมาเรียลอยอยู่ในห้วงคำนึง เขาจะไปขอจี้คืนจากหล่อนอย่างไรดี เพราะวิ่งหนีจากมาทั้งๆ ที่หล่อนยื่นคืนให้เขาแล้ว

 

“โค่...โค่คุง...” 

เสียงเรียกเบาๆ แว่วกระทบโสตประสาทแล้วตามด้วยความเจ็บที่วิ่งปราดและเสียงเผียะ โคสึเกะสะดุ้ง ค่อยๆ สะลึมสะลือลืมตา อ้าปากหาวพลางลูบแขนที่ถูกย่าตีเมื่อครู่ ชายหนุ่มขยับตัวนั่งให้เข้าที่หลังจากเผลอหลับจนร่างโตเลื้อยเอน เอาศีรษะพิงช่องหน้าต่างเครื่องบิน ย่าและแกรนด์มานั่งติดกันถัดไปทางขวาของเขา ส่วนอัลแบร์โตและอันนานั่งอยู่อีกแถวด้านซ้ายโดยมีจุดหมายปลายทางคือมลรัฐฮาวาย

“เป็นอะไรไป ละเมอบนเครื่องบินหรือเราน่ะ...อะไร หนังฉายไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลับซะแล้ว”

“อา...ราย...ครับคุณย่า” ชายหนุ่มตาปรือถามเสียงแผ่ว

“ก็เราละเมอน่ะซี ย่าถึงต้องปลุก สจวตเขามาถามว่าจะกินอะไร เอาอาหารญี่ปุ่นหรือบราซิล”

“บราซิลก็ได้ครับ ญี่ปุ่นเดี๋ยวกลับไปกินบ้าน” ชายหนุ่มยกแขนบิดขี้เกียจพลางหาว

แกรนด์มาหันไปบอกพนักงานต้อนรับหนุ่มบนเครื่อง ซึ่งหยิบถาดอาหารและเครื่องดื่มที่โคสึเกะต้องการส่งให้ “ที่พูดน่ะ อาหารหรือสาวๆ ล่ะ ตะกี้โค่คุงละเมออะไรนะ...สวย...สวย...ตกลงฝันหวานถึงสาวชาติไหนอยู่ล่ะ”

 โคสึเกะเกาข้างจมูกอย่างงงๆ “ผมหรือฮะละเมอ”

 “ก็เออสิ ถามเอม่าก็ได้” ย่าหันไปถามคุณยายหรือแกรนด์มาของญศกาทางขวามือ

“ใช่ หน้าอมยิ้มด้วย ฝันถึงใครล่ะ” แกรนด์มายิ้มล้อ

“ฝันหวานถึงคนที่กอดลากันก่อนขึ้นเครื่องหรือเปล่า” ย่าเขาช่วยแซว

“เปล่านี่ครับ” เขาปฏิเสธเต็มปากเต็มคำ เมื่อนึกถึงฝันเมื่อครู่ 

“เรารักชอบกับหนูมาร์ซีนญ่าก็ดีนะ บอกตรงๆ คนนี้ย่าเชียร์ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อัธยาศัยดี คุยก็สนุก อยู่ด้วยแล้วมีแต่รอยยิ้ม”

แกรนด์มาพยักหน้าเห็นดีด้วย แต่คนถูกแซวไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาเปิดฝาฟอยล์สีเงินที่ปิดถาดอาหารจานร้อน มองแต่ของกินในถาดราวกับเป็นของที่ไม่เคยพบเคยกินมาก่อน

“ไม่กล้าจีบ เพราะกลัวตามาร์กละสิ”

คำพูดแทงใจดำทำเอาเขาหันขวับ ยกมือค้าง “กลัวไอ้มาร์ก...แปลว่าอะไรครับคุณย่า ผมไม่รู้จักคำนี้” พูดจบก็หันมาง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้าต่อไป

“แหม...อยู่บนเครื่องละปากดีนะเรา นี่...ย่าถามจริงๆ ทำไมเรามีเรื่องมีราวอะไรกันนักหนา เลิกเขม่นกับมาร์กเถอะโค่คุง ยังไงก็ดองกันแล้ว เขาก็รักน้องสาวเราจะตาย ตามาร์กน่ะถ้าทำแทนให้ญ่าจังได้ คงทำให้หมดทุกอย่างแล้ว”

“งั้นก็น่าจะให้มันอุ้มท้องแทน” โคสึเกะเอาส้อมจิ้มมันฝรั่งใส่ปาก จากหางตาเห็นคุณย่าค้อน เขาจึงหันไปเสริม “ญ่าจังจะเสียคนน่ะสิครับ โดนตามใจสปอยล์แบบนั้น”

“เสียไม่เสียเขาก็สามีภรรยากัน กลับมาเรื่องของเราเถอะ ย่าเห็นนาว่าเตี๊ยมกับญ่าจังให้พามาร์กไปห่างๆ...จะสร้างโอกาสละซี มีกอดมีหอมแก้มล่ำลาหนูมาร์ซีนญ่าด้วย”

“หอมเหิมที่ไหนกั๊นคุณย่า ผมก็แค่ cheek kissing ตามธรรมเนียม” เขาตักอาหารใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ พลางชะโงกไปดูถาดอาหารญี่ปุ่นของคุณย่าและฉกผักดองใส่ปาก

“แล้วทำไมหน้าตาตอนนี้ดูเขินๆ พิกล รักเขาชอบเขาก็รีบทำแต้มนะ อยู่ห่างไกลก็ขยันๆ ติดต่อหน่อย”

“ผมไม่สนผู้หญิงต่างชาติหรอกครับ ยิ่งไกลกันคนละทวีปยิ่งไม่มีทาง”

พูดพลางเงื้อส้อมจะจิ้มปลาแซมอนย่างสีส้มจากถาดอาหารของคนสูงวัย พอย่ากระแอมเบาๆ จึงต้องชักมือกลับ

“จะบอกให้นะ ใครว่าอยู่คนละทวีปแล้วรักชอบกันไม่ได้ คู่กันแล้วน่ะไม่แคล้วกันหรอก คู่ญ่าจังกับมาร์กไง หรือจะดูปู่กับย่าแกก็ได้ ไม่งั้นจะมีแกมานั่งหัวโด่ขโมยปลาย่างฉันอยู่ตอนนี้เหรอ” พูดจบย่าเอาตะเกียบคีบแบ่งปลาแซมอนย่างวางบนถาดอาหารของเขา “ตกลงเราจะไม่บอกย่าใช่ไหมว่าไปตกลงสัญญิงสัญญาอะไรกันกับหนูมาร์ซีนญ่าก่อนขึ้นเครื่องน่ะ”

“ผมก็แค่ขอบคุณเขาธรรมดา” ชายหนุ่มยักไหล่ “ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ”

พลางยกแก้วชู ขอเติมไวน์จากพนักงานต้อนรับที่เข็นตู้เครื่องดื่มมาพอดี โคสึเกะรับแก้วซึ่งมีไวน์ขาวอยู่ค่อนแก้วยกจดปากเตรียมจะจิบ แล้วเปลี่ยนใจพูดต่อ 

“ผมบอกตรงนี้เลย งานนี้เชียร์ยังไงก็ไม่ขึ้นครับคุณย่า ผม...มะเอะดะ โคสึเกะ การันตี” เอ่ยจบเขายกแก้วไวน์ชูขึ้นเชื้อเชิญ เมื่อเห็นญาติผู้ใหญ่นั่งเฉยจึงจับมือคุณย่าชนแก้ว แล้วร้อง “คัมไป” เพื่อเป็นการยืนยันความตั้งใจ ก่อนดื่มไวน์จนหมดแก้ว

โคสึเกะนึกถึงเหตุการณ์ที่สนามบินเมืองเซาเปาลูเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าสายตาคนแก่อย่างคุณย่าเขายังดีจริงๆ ที่สามารถจับภาพตอนเขาส่งซิกขยิบตาบุ้ยใบ้ให้ญศกาช่วยพามาร์กุสออกไปเพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสพูดคุยส่วนตัวกับมาร์เซีย

เมื่ออยู่กันตามลำพัง สมองลามกของเขาก็ดันนึกถึงภาพมาร์เซียร่างกลมกลึงเนื้อตัวเปียกชุ่มในชุดบิกินีวันก่อน จึงได้แต่มองหน้าเธอเพลินราวกับต้องมนตร์สะกด จนหญิงสาวเลิกคิ้วถามเขา

‘คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ’

เขาจึงรู้สึกตัว ‘เอ่อ...คึ...คือ...คือ...’ อยู่ดีๆ เขาก็ติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงเสเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่งแก้เก้อ 

‘คะ?’ เธอขยับก้าวเข้ามาใกล้ จนเห็นตาสีเขียวหวานซึ้งคู่สวย 

‘ผะ...ผม...ผมต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลพวกเราทุกคนระหว่างที่พักที่นี่ มันสะดวกสบายทุกอย่าง คุณย่ากับแกรนด์มาชอบเมืองนี้และดูมีความสุขมาก’ เขาเอ่ยอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก กว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้

‘ยินดีค่ะ คุณแม่ ฉันและพี่มาร์กก็แฮปปีค่ะที่ได้ต้อนรับทุกคน พวกท่านน่ารักมากเลย ฉันคงคิดถึงพวกท่านเหมือนกัน’

‘ผมฝากญ่าจังด้วย พอใกล้คลอดคุณน้าอันนาคงจะมาที่นี่’

‘ไม่ต้องห่วงค่ะ เราดูแลเธออย่างดีอยู่แล้ว ญ่าก็เป็นคนสำคัญของครอบครัวเราเหมือนกัน’

‘เอ่อ...ผม...ต้องขอโทษที่...ที่ผ่านมาเคยพูดจากับคุณไม่ค่อยดี แล้วก็...ขอบคุณที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ผมตอน...เอ่อ...คุณย่าคาดคั้นถามคุณ’

‘ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณก็คงจะมีเหตุผลของคุณ’

‘คือ...จริงๆ แล้ว คือผม...’ โคสึเกะเกาท้ายทอยอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็อยากจะจากกับคุณด้วยดี ไม่ติดใจกัน ขอให้โชคดีนะคะ’

หญิงสาวส่งยิ้มให้ แล้วก้าวเข้ามาประชิด สองแขนสวมกอดแนบแน่นจนเขารู้สึกได้ถึงอกอูมหยุ่นนิ่มที่ฝากรอยสัมผัสบนแผงอกเขา กลิ่นหอมจากกายสาวเตะจมูกจนโคสึเกะเผลอยกมือโอบกอดร่างอรชรอัตโนมัติ 

โดยไม่ได้คาดคิดมาร์เซียเขย่งตัวขึ้นเอาแก้มนวลแนบแก้มขวาเขา แล้วทำเสียงจุ๊บในอากาศเปลี่ยนข้างถึงสามครั้ง จนปากของทั้งคู่ปัดกันเบาๆ ในตอนเปลี่ยนข้างครั้งสุดท้าย ทำเอาเขาซ่านไปทั่วร่าง 

ผ่าสิ เขาชีกคิสซิงกับคนมานับร้อยนับพัน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนอบอุ่นซึมเข้าไปถึงหัวใจเท่าครั้งนี้เลย

‘แล้วมาเที่ยวบราซิลอีกนะคะ ฉันจะรอพบคุณอีกที่นี่’ เสียงแผ่วเบาลอดลมหายใจอุ่นเป่ารดปลายคางเขา 

โคสึเกะเผลอไผลไปกับความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ กลิ่นหอมหวานคล้ายกลิ่นลูกพีชบนผิวกายสาวเชิญชวนให้เขารัดร่างนั้นแน่นขึ้นจนหญิงสาวอุทาน

‘ขะ...ขอโทษ ผมทำคุณเจ็บ’ เขาคลายแขนถอยออกอย่างกระดาก แต่สองมือยังจับไหล่เธออยู่ เห็นรอยยิ้มบนดวงหน้าเนียนแสนหวานตรงหน้าซึ่งเขาไม่อาจละสายตาได้ สำหรับมาร์เซีย ชีกคิสซิงของเธอคงเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นธรรมเนียมทักทายของชาวยุโรปตอนใต้และชาวลาตินฯ  แต่สำหรับเขาแล้ว...มัน...

เสียงกระแอมหลายครั้งติดต่อกันดังมาแต่ไกล เมื่อเขาหันไปก็เห็นหน้าถมึงทึงของมาร์กุสพี่ชายเจ้าหล่อนนั่นเอง ที่ตั้งใจจะผละออกตั้งแต่ทีแรก โคสึเกะจึงแกล้งกอดมาร์เซียอยู่อย่างนั้นอีกอึดใจหนึ่ง พลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พอมาร์กุสเดินหน้าตึงเข้ามาใกล้ เขาแสร้งเหยียดปากเป็นเส้นตรงพลางยกสองมือห่างจากหญิงสาว แล้วถอยฉากออกมาก่อนที่พี่ชายจอมหวงของมาร์เซียจะดึงแขนเธอออกไป 

แกล้งกวนโทสะใส่มาร์กุสแล้ว โคสึเกะก็ฉุกคิดได้ว่าจะโทษใครดี เขามัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าพูด ทำให้พลาดโอกาสบอกมาร์เซียเรื่องจี้ประจำตระกูลที่เขาต้องการเอาคืน และเขาคงครุ่นคิดเรื่องจี้มากไป ขณะผล็อยหลับอยู่บนเครื่องบินจึงฝันเห็นซามุไรกำลังปรึกษาญาติเรื่องจี้เป็นตุเป็นตะเช่นกัน

ดูท่าซามุไรในฝันคงได้จี้คืน แต่สำหรับเขา ถ้ามาร์เซียขว้างทิ้งจริงๆ แล้วหาไม่เจอล่ะจะเกิดอะไรขึ้น วูบหนึ่งเขานึกถึงภาพที่ตามหลอกหลอนเขาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาขณะอยู่ฮาวาย ภาพมาเรียอยู่ในอ้อมกอดชุนโนะสึเกะแล้วกลายเป็นมาร์เซียอยู่ในอ้อมกอดเขาแทน หญิงสาวมีเลือดไหลจากมุมปากหน้าซีดเหมือนคนใกล้ตาย ที่น่าประหลาดใจคือเขาไม่ฝันเห็นภาพนั้นอีกเลยขณะที่อยู่บราซิล

มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีเงื่อนงำแอบแฝง

แล้วโคสึเกะก็ได้คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่ติดอยู่ในใจในเวลาต่อมา เขาพักที่ฮาวายไม่กี่วัน คุณย่าก็เร่งเร้าอยากรีบกลับญี่ปุ่นเพราะเป็นห่วงคุณปู่ เขาจึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดสะสางงานโรงแรมที่คั่งค้างและสั่งงานลูกน้องไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย ทั้งยังบอกอัลแบร์โตติดต่อเขาได้ทันทีเมื่อต้องการ แล้วจึงเดินทางไปส่งย่าที่โตเกียว  

 

กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

เพียงคืนแรกที่นอนค้างที่บ้าน เขาก็ฝันเห็นมาเรียในอ้อมกอดของชุนโนะสึเกะอีกครั้ง แต่คราวนี้ร่างกายท่อนบนของหญิงสาวต่างชาติชุ่มไปด้วยเลือด สีหน้าเจ็บปวดเหลือแสน...เขาตกใจสะดุ้งตื่นและหลับตาได้ไม่สนิท หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน 

‘รู้ไหม มาร์ซีนญ่าฝันเหมือนพี่โค่เดี๊ยะเลย’ คำพูดของญศกาแวบเข้ามาในความคิด 

มาร์เซียซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลมะเอะดะจะฝันถึงบรรพบุรุษเขาได้อย่างไรกัน แต่ถ้าเธอฝันจริง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ามาร์เซียฝันพร้อมกับเขาทุกครั้งไหม และเธอจะเห็นทุกเหตุการณ์เหมือนที่เขาฝันหรือเปล่า 

ด้วยความคิดฟุ้งซ่านและสับสน วันรุ่งขึ้นโคสึเกะจึงเดินทางไปยังสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งแต่เช้าโดยไม่ได้บอกใคร

โคสึเกะซุกมือในกระเป๋ากางเกง ฝ่าความหนาวเดือนธันวาคมเดินจากบ้านในเขตดาวน์ทาวน์ซึ่งก็คือย่านเอะโดะเก่ากลางเมืองโตเกียวไปยังวัดซึ่งอยู่ในย่านเดียวกัน แหงนมองเกล็ดหิมะเบาหวิวปลิวละล่องเต็มท้องฟ้าครึ้มเมฆ ไอสีขาวจากลมหายใจตัวเองทำให้เขาตระหนักถึงความแตกต่างของฤดูกาล เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเขายังอยู่ในสถานที่ซึ่งมีฟ้าใสลมจัดแดดจ้าอยู่เลย อดเยาะตัวเองไม่ได้ว่าความมืดครึ้มขมุกขมัวรอบกายช่างเข้ากันกับความสับสนในใจเขาตอนนี้เสียเหลือเกิน

หลังจากชายหนุ่มไหว้พระพุทธรูปประจำวัดในวิหารใหญ่แล้ว เขาเดินเลาะไปด้านหลังวัด ฉวยกระบวยไม้ แปรงขัดและถังไม้ซึ่งใส่น้ำจนเต็มถังจากทางเข้าติดมือไปด้วย แท่งศิลาสี่เหลี่ยมบรรจุอัฐิเรียงรายเต็มพื้นที่กว้าง หิมะที่เพิ่งตกเมื่อเช้ามืดทำให้มีสีขาวปกคลุมเป็นหย่อม เขาก้าวไปยังศิลาที่มีตัวอักษรสลักบนนั้นว่าตระกูลมะเอะดะ

โคสึเกะหยิบช่อดอกไม้แห้ง เก็บเศษใบไม้ร่วงที่เปียกชื้นเพราะหิมะบนพื้นหินสุสานประจำตระกูล ปัดกวาดจนเกลี้ยงเกลา เขาใช้กระบวยตักน้ำรดแท่งศิลาและลงมือขัดอย่างนุ่มนวล ล้างจนสะอาด แล้วปักดอกไม้ที่ซื้อติดมือมาลงในแจกันซึ่งวางอยู่ด้านหน้าพร้อมจุดธูปปัก 

ชายหนุ่มใช้กระบวยตักน้ำสะอาด๒๙ราดรดด้านบนของแท่งศิลาจนน้ำไหลนองชุ่มทั่วพื้นสุสาน แล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ ยกสองมือพนม หลับตาอธิษฐานและขอขมาในสิ่งที่เขากระทำไปทั้งหมดอย่างเงียบๆ

โคสึเกะนั่งอ่านชื่อบรรพบุรุษซึ่งถูกสลักไว้บนแท่งศิลาทั้งหญิงชายทีละชื่อซ้ำไปซ้ำมาอย่างสนใจอยู่นาน สุสานนี้ปรับปรุงใหม่จึงมีแต่รายชื่อนับแต่รุ่นปู่ทวดเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ชายหนุ่มลูบสองชื่อเบาๆ ความเย็นของเนื้อหินไหลผ่านนิ้วเข้าสู่หัวใจซึ่งหนาวเหน็บของเขาขณะนี้

“มาแต่เช้าเชียว มาขอพรบรรพบุรุษหรือโค่คุง” เสียงแหบพร่าของคนชราเรียกให้เขาหันหน้าไปมอง

“คุณปู่ อรุณสวัสดิ์ครับ” โคสึเกะลุกขึ้นยืน เดินไปประคองริวโนะสึเกะผู้เป็นปู่ แล้วหยิบกระบวยตักน้ำให้ท่าน 

“มาก็ไม่ชวนปู่ด้วย คิดถึงพ่อกับแม่ของเราหรือ” ริวโนะสึเกะถามขณะราดน้ำลงบนแท่นศิลา

โคสึเกะพยักหน้าเบาๆ รับคำ ผินหน้าไปมองตัวอักษรโซสึเกะและยูโกะซึ่งสลักอยู่บนแท่งหิน 

“เกือบยี่สิบปีได้แล้วมั้งครับคุณปู่ ที่ทั้งคู่จากเราไป”

บิดาและมารดาของโคสึเกะหายสาบสูญไปตอนท่องเที่ยวปีนเขาที่จังหวัดนากาโน่ ทิ้งบุตรชายทั้งสามไว้ข้างหลัง เขาเป็นลูกคนโตอายุยังไม่ครบสิบสองปีด้วยซ้ำในตอนนั้น ปู่กับย่ารับเป็นผู้ดูแลเขากับน้องชายคนรองคือเคสึเกะซึ่งอ่อนกว่าเขาสองปี ส่วนเรียวโนะสึเกะน้องชายคนสุดท้องวัยเจ็ดขวบ อาของเขาซึ่งไม่มีบุตรขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระปู่กับย่าซึ่งคงรับมืออย่างหนักหากต้องดูแลทโมนกำพร้าทั้งสาม 

เคสึเกะ...น้องชายเขาชื่นชอบด้านกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล จึงมุ่งไปในทางนั้นจนได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพทีมดังของจังหวัดอิบาระกิซึ่งเป็นทีมที่ได้แชมป์เจลีกมากที่สุด แต่อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าทำให้ต้องจบการเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งกองกลาง และเข้าไปอยู่ในฐานะสตาฟทีมผู้ฝึกสอนแทน

ส่วนเรียวโนะสึเกะน้องคนสุดท้องของเขาซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลพูดว่ามีแววสืบทอดสายเลือดซามุไรมากที่สุดถูกส่งไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่มัธยมปลาย แต่หลังจากอาของเขาเสียชีวิตในหน้าที่ตำรวจกองปราบมือดีของกรมตำรวจเมื่อหลายปีก่อน เรียวโนะสึเกะกลับมาร่วมพิธีศพแล้วไม่มีใครได้ข่าวน้องชายคนเล็กของเขาอีกเลย สอบถามอาสะใภ้ครั้งใดเธอก็ร่ำไห้ทุกที จึงไม่มีใครเอ่ยปากให้เธอสะเทือนใจอีก

ญาติบางคนบอกว่าคงเป็นเพราะบิดามารดาเขาฝืนกฎของตระกูลที่ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสามมีคำว่าสึเกะซึ่งสงวนไว้สำหรับบุตรชายคนโตเท่านั้น ทำให้คนในครอบครัวมีอันต้องหายสาบสูญ โคสึเกะเคยหัวเราะเยาะความคิดไร้เหตุผลที่ญาติผู้นั้นกล่าวอ้าง คนที่ตายไปแล้วจะมีอิทธิพลต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...แต่ ณ วันนี้จิตใจอันแข็งแกร่งของเขาเริ่มสับสนและหวั่นไหว หลังจากได้ยินเรื่องป้ายชื่อบรรพบุรุษล้ม ทั้งยังความฝันย้อนอดีตอันแปลกประหลาดของตัวเอง

“คนตายเขาสบายไปแล้ว แต่คนมีชีวิตอยู่นี่สิยังไม่พ้นทุกข์ มีปัญหาอะไรหนักใจอยู่ล่ะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ชอบแอบหนีมาฟ้องพ่อแม่ของแกที่สุสานนี้ทุกที”

โคสึเกะหันไปทางต้นเสียง 

“คุณปู่” เขามองชายสูงวัยที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ขยับนั่งคุกเข่า สองมือแตะพื้นแล้วก้มทั้งตัวต่อหน้าผู้เป็นปู่ 

“คุณปู่ครับ กรุณารับการขอขมาจากผมด้วย ผม...ผมทำจี้ตราขะม่นหายครับ” เขาสารภาพเสียงหนักแน่นกล้าหาญ

“ทำหายเหรอ” ปู่ย้อนถามเสียงเรียบ 

ความเงียบปกคลุมอยู่นาน แม้อยากเงยหน้าขึ้นมองว่าปู่มีสีหน้าอย่างไร โกรธเขามากหรือไม่ แต่โคสึเกะก็เงยหน้าขึ้นไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้ยินเสียงอนุญาต   

“อืม...ก็แกมาสารภาพอย่างลูกผู้ชายต่อหน้าปู่ ต่อหน้าบรรพบุรุษตรงสุสานแล้วนี่ จะไม่รับขอขมาได้ยังไง” ปู่ตบบ่าเขาเบาๆ สองที “เงยหน้าขึ้นเถอะโค่คุง” 

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบตาปู่ด้วยความซาบซึ้งและละอายใจ เขาล้วงคอเสื้อดึงสร้อยออกมาและถอดส่งให้

“นี่เป็นความผิดอีกอย่างของผมครับ ผมล่วงเกินบรรพบุรุษ ทำจี้ปลอม คงจะเป็นความผิดที่ละเว้นโทษไม่ได้”

เขาเห็นปู่มองจี้ปลอมในมือพลางนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ยิ่งเห็นผู้เป็นปู่ขบกรามเป็นสันนูน โคสึเกะยิ่งละอายใจจนต้องก้มหน้าหลบสายตา แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดัง

“นี่ละตัวตนจริงๆ ของแกเลยโค่คุง สมแล้ว...สมเป็นหลานที่ปู่เลี้ยงมากับมือ” ริวโนะสึเกะพูดกลั้วหัวเราะพลางตบหลังเขา

ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

“จี้ตราประจำตระกูลไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาขู่ลูกหลานเล่นๆ นะโค่คุง มันเป็นตำนานที่มีการบันทึกเรื่องราวในอดีต ในจี้อายุหลายร้อยปีนั่น ตรงกลางจี้มีผงอัฐิของบรรพบุรุษหลายท่านบรรจุอยู่ ที่สำคัญมีอัฐิของไดเมียวผู้ก่อตั้งตระกูลอยู่ในนั้นด้วย”

เขาเห็นผู้เป็นปู่มองตรงไปเบื้องหน้า

“บรรพบุรุษทำเช่นนี้เพื่อให้คนในตระกูลตระหนักถึงเกียรติยศที่สั่งสมกันมายาวนานของวงศ์ตระกูล ถ้าจี้เล็กๆ แค่นั้นยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วในฐานะลูกชายคนโตจะดูแลรักษาวงศ์ตระกูลให้สืบต่อไปได้อย่างไร”

คราวนี้คนสูงวัยหันหน้ามาทางเขา “ปู่มอบจี้นั้นให้แกแทนพ่อตอนแกอายุสิบเจ็ด ยังจำได้ไหม ปู่บอกอะไรแกบ้างในวันนั้น”

“ปู่บอกผมว่า...” เขากัดริมฝีปากนิ่วหน้านึก “ให้เก็บจี้ไว้กับตัว ห้ามถอดออก เก็บรักษาไว้ให้ดีเท่าชีวิตเพื่อมอบให้ผู้หญิงที่ผมรักในวันแต่งงาน เมื่อผมแต่งงานแล้วให้เก็บจี้ไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาบรรพบุรุษ และมอบให้ลูกชายคนโตของผมตอนเขาอายุสิบเจ็ดปีเช่นกัน”

โคสึเกะเห็นปู่ยิ้มพยักหน้าเบาๆ จึงกล่าวต่อ “ถ้าทำหายต้องรีบหาให้เจอ เพราะถ้ามีผู้หญิงเก็บได้ ผมต้องแต่งงานกับเธอ แต่ถ้าผู้ชายเก็บได้ ผมจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงในตระกูลนั้น”

“แล้วไงอีก” ปู่ย้อนถาม

“มีเท่านี้นี่ครับ”

 ริวโนะสึเกะถอนหายใจ “ปู่เคยบอกว่าหากไม่รีบแต่งงาน ทั้งคนที่เก็บจี้ได้และเราซึ่งเป็นคนทำจี้หายจะอยู่ไม่เป็นสุข และจะเกิดเหตุร้ายกับตระกูลมะเอะดะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกว่าจะแต่งงานกัน พอจะจำได้บ้างรึยัง”

เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้าเพราะนึกไม่ออก

“ว่าแต่...แกรู้ไหมว่าใครเก็บจี้ของแกได้”

“ทราบครับ มีผู้หญิงเก็บได้” เขาตอบเสียงเบา ยังไม่กล้าบอกว่าเป็นผู้หญิงต่างชาติ

“แล้วเขาหน้าตาน่าเกลียดมากหรือไง แกถึงกลุ้มใจจนต้องมาสารภาพบาปที่สุสานแต่เช้าน่ะ”

“ปละ...เปล่าครับ เธอก็...แค่พอดูได้ ไม่ได้สวยเสยอะไร” หลุดปากออกไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเขาพูดตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง

“ถ้างั้นก็ทำหน้าที่ลูกผู้ชาย ทำให้เธอรักแกให้ได้และรีบแต่งงานกับเธอซะ ห้ามบอกความหมายซ่อนเร้นของจี้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน อย่าลืมล่ะ”

“แต่...แต่ผมไม่ได้รักเธอนี่ครับ”

“แกจะรักเธอแน่ เชื่อปู่ ไม่มีใครห้ามดวงลิขิตนี้ได้ ไม่เคยมี”

คำพูดประโยคนี้ของปู่ทำเอาเขาชาวูบ หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นผิดปกติจนตัวเองประหลาดใจ 

“คุณปู่แน่ใจหรือครับว่าไม่เคยมีใครฝืนตำนานนี้ได้” เขาถามย้ำ

“ไม่มี”

ริวโนะสึเกะเอ่ยเสียงเข้ม สบตาเขาพยักหน้ายืนยันอย่างมั่นใจ โคสึเกะถึงกับต้องเอามือลูบหน้านวดกระบอกตาพลางถอนหายใจยาว 

ปู่ตบไหล่เขาแล้วบอก “ปู่ก็หวังว่าคนที่เก็บได้เขาจะรู้คุณค่าของมันและเก็บรักษาจี้ไว้อย่างดีแทนแกผู้เป็นเจ้าของ ไม่เช่นนั้นเธอผู้นั้นจะเป็นผู้รับเคราะห์แทน เพราะฉะนั้นทางที่ดี โค่คุง แกต้องรีบแต่งงานกับเธอซะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”

“แต่งงานโดยไม่ได้รักกัน สมัยนี้ไม่มีใครทำหรอกครับ และผมก็ทำไม่ได้ด้วย นั่นแหละครับที่ผมหนักใจ ปู่ครับ...ผมจะบอกความหมายของจี้นั้นให้เธอรู้ไม่ได้เลยหรือครับ ให้เธอคืนโดยไม่ต้องแต่งงานกันก็ไม่ได้หรือครับคุณปู่”

“ถ้าแกอยากจะเป็นคนแรกที่ล้มล้างตำนานของตระกูลได้ แกก็ลองทำดูสิโค่คุง” ริวโนะสึเกะยิ้มให้เมื่อพูดจบ “ปู่ถามแกนะ หลังจากแกทำจี้หาย มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับแกบ้างไหมล่ะ”

เมื่อเขาอึกอักไม่กล้าตอบ ปู่จึงเสริมต่อ “ปู่โชคดีที่รักษาจี้ไว้และมอบให้ย่าของแกในวันแต่งงาน รุ่นพ่อของแกก็ไม่มีอะไร ปู่ดีใจนะที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่จะได้เห็นตำนานที่เป็นจริง โค่คุง เราน่ะเหมาะสมมากที่สุดที่จะเป็นคนพิสูจน์ตำนานนี้”

“โธ่...คุณปู่...” ชายหนุ่มคราง

“ไป...กลับกันเถอะ ป่านนี้ย่าแกรอกินอาหารเช้าแย่แล้ว”

โคสึเกะพยุงคุณปู่ในวัยเจ็ดสิบกว่าแต่ยังแข็งแรงให้ลุกขึ้น แล้วก้มลงหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ชำระล้างสุสานเพื่อนำไปเก็บ

“เออ...โค่คุง ไม่แน่ใจว่าปู่เคยบอกสิ่งสำคัญอีกอย่างไปหรือยัง” ปู่เอ่ยขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาจนถึงหน้าประตูวัด

“อะไรครับ”

ปู่พยักหน้าให้เขาเข้าไปใกล้ๆ โอบบ่าเขาไว้ แล้วบอกประโยคที่ทำให้เขาเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ยืนตัวแข็งไม่มีเสียงเล็ดลอดใดๆ แม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง

“อะไรกัน ถึงกับก้าวขาไม่ออกเชียวรึ สงสัยข้อกำหนดนี้ท่าจะยากและหนักหนาสาหัสละสิ”

พูดจบริวโนะสึเกะก็หัวเราะเสียงดัง และเดินนำหน้ากลับบ้านโดยไม่รั้งรอหลานชายแม้แต่ก้าวเดียว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น