9

รัก...มีเธอ มีฉัน ในฝันมีเรา

รัก...มีเธอ มีฉัน ในฝันมีเรา
 
แค่เสียงกลองที่ดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของผู้คนที่มาชุมนุมกันเงียบกริบลงทันที ท่านครูบุเกียว๓๓ซึ่งอำนวยการแข่งขันส่งสัญญาณว่าการแข่งขันยิงธนูบนหลังม้าหรือยะบุซะเมะกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ท่ามกลางอากาศเย็นสบายรับแดดอ่อนๆ ของฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระร่วงหล่นสายลมพัดกลีบบางสีชมพูปลิววนสวยงามเหนือศีรษะของฝูงชนหญิงชายลูกเด็กเล็กแดงที่หลั่งไหลเข้ามาชมงานยิงธนูยะบุซะเมะอันเลื่องลือในวันนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงแสนยานุภาพของเหล่าซามุไรที่ชาวเอะโดะทุกคนรอคอย และโชกุนก็ปรารถนาให้คนต่างชาติต่างวัฒนธรรมได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันสืบทอดกันยาวนานมาตั้งแต่สมัยคามาคุระ จึงเชื้อเชิญมิสเตอร์ซีโบลด์และคณะเข้าชมการแข่งขันยิงธนูบนหลังม้าอันบ่งบอกถึงความสามารถ ความแข็งแกร่งและความเร็วอันเป็นคุณสมบัติของเหล่านักรบซามุไรจากหลายตระกูลเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของประเทศ
มาเรียและครอบครัวมาชมการแข่งขันในวันนี้ด้วยในพื้นที่ที่รัฐบาลบะขุฟุจัดให้ชาวต่างชาตินั่งชมโดยเฉพาะ อันที่จริงเธอเกือบไม่ได้เข้าชมยะบุซะเมะแล้วด้วยซ้ำหลังจากเกิดเหตุการณ์ซามุไรหนุ่มจากตระกูลอะริโมะริลวนลามเธอในร้าน บิดาของเธอตัดสินใจจะส่งเธอกลับเกาะเดะจิมะทันที
‘การที่ซามุไรทะเลาะเบาะแว้งในร้านด้วยเรื่องของลูก เรื่องอาจไม่จบลงง่ายๆ เสียแล้วมาเรีย มีเสียงเล่าลือกันปากต่อปาก ยิ่งพูดเรื่องราวยิ่งผิดเพี้ยนบานปลายไปใหญ่ ยิ่งเจ้าเป็นหญิงต่างชาติก็เข้าทางคนบางกลุ่มที่ต้องการขัดขวางหนทางพวกเรา พ่อว่าลูกอย่าอยู่เอะโดะอีกเลย’
‘อะไรนะคะ’
‘มาเรีย ลูกต้องกลับเดะจิมะโดยเร็ว ถ้าเรื่องวุ่นวายนี้รู้ถึงหูท่านโชกุน พ่อเกรงว่าจะทำให้งานของท่านซีโบลด์เสียหายไปด้วย ยิ่งช่วงนี้‘งาน’ ที่ท่านได้รับมอบหมายมาจากรัฐบาลฮอลันดากำลังไปได้ดีอยู่’
‘งานอะไรหรือคะปาป้า’
‘ไม่ใช่เรื่องของลูก!’ บิดาตอบกลับมาทันควัน ‘มาเรียเตรียมตัวไว้ได้เลย พ่อจะไปส่งเจ้าเอง แล้วพ่อต้องรีบกลับมาให้ทันพิธียะบุซะเมะ’
คำว่ายะบุซะเมะทำให้มาเรียอ้อนวอนบิดาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเธอจะต้องจากเมืองเอะโดะไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเธออยากเข้าชมงานยะบุซะเมะสักครั้ง  
‘คงเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ลูกจะได้เห็น นะคะปาป้า...ลูกขอ’
เมื่อบุตรสาวคนเดียวออดอ้อนมากๆ เข้า ในที่สุดบิดาก็ใจอ่อนยินยอม
และขณะนี้ภาพเบื้องหน้าของเธอคือบรรดาขุนนางและซามุไรซึ่งประโคมแต่งกายกันเต็มยศ ทั้งพ่อค้า ชาวบ้านทั่วไปต่างก็หยิบชุดกิโมโนที่ดีที่สุดของตนเองมาสวม ฝูงชนจึงดูมีสีสันละลานตาสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่มาเรียเป็นอย่างยิ่ง
โชกุนจัดให้มิสเตอร์ซีโบลด์และคณะนั่งในบริเวณเดียวกันกับท่าน เบื้องหน้าเป็นลานกว้าง เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด เห็นสนามแข่งขันทั้งหมดในมุมกว้างกว่าจุดอื่น ถัดไปทางด้านซ้ายมีท่านครูแห่งตระกูลโอะงะซะวะระนั่งเคร่งขรึม เม้มปากสนิทกวาดตามองโดยรอบ
มาเรียกับมิคาเอลเงี่ยหูฟังขุนนางที่ท่านโชกุนส่งมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันในวันนี้อย่างตั้งใจ
“แปดซามุไรที่ท่านเห็นอยู่บนหลังม้าเพื่อเข้าแข่งขันครั้งนี้เป็นสุดยอดนักรบจากคุ้มไดเมียวต่างๆ ของเรา แค่ได้รับเลือกเข้ามาก็ยากยิ่งและถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลอยู่แล้ว แต่วันนี้จะมีซามุไรเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะถูกเลือกให้เป็นผู้ชนะและได้รับชุดขาวอันทรงเกียรติจากท่านโชกุนโทะขุงะวะซึ่งถือเป็นหลักประกันความรุ่งเรืองในอนาคตของซามุไรหนุ่มและคุ้มไดเมียวของเขาเลยทีเดียว”
ขุนนางชาวเอะโดะเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงชาวญี่ปุ่น พลางร่ายยาวถึงรายชื่อคุ้มไดเมียวต่างๆ ที่ได้รับเลือกเข้ามา แปดผู้เข้าแข่งขันหรือ แปดอิเทะ๓๔ มือยิงธนูต่างเตรียมพร้อมเข้าประจำที่บนหลังม้ารอสัญญาณจากท่านครู
การได้เห็นพิธีการเมื่อเช้าที่มีขบวนแห่กลับจากการขอพรจากวัดชินโต ได้เห็นท่านครูขี่ม้าเดินรวนรอบสนามสามรอบ แล้วบังคับม้าให้หยุดแล้วรั้งสายธนูยิงขึ้นฟ้าและยิงพื้นดินรับกับเสียงกลองก็ทำเอามาเรียตื่นตาตื่นใจมากอยู่แล้ว แต่ภาพตรงหน้ากำลังทำให้เธอรู้สึกมากกว่านั้นก็จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะมีซามุไรที่เธอรู้จักเข้าแข่งขันในวันนี้และไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย
สองซามุไรหนุ่มจากตระกูลอะริโมะริและตระกูลมะเอะดะอยู่บนหลังม้า ทั้งคู่สวมชุดผ้าไหมสีสดต่างสี แขนซ้ายสวมปลอกผ้าสีดำเข้มปักดิ้นสีทองและสีแดงปักตราประจำตระกูล...แม้ทั้งคู่จะสวมใส่ชุดคล้ายๆ กันแต่ช่วยไม่ได้ที่เธอรู้สึกว่าซามุไรหนุ่มมะเอะดะดูสง่างามน่ามองกว่ามากนัก
ผ้าหนังสัตว์ผืนใหญ่สีน้ำตาลคาดทับตั้งแต่บั้นเอวลงมา ดาบซามุไรเสียบอยู่ใต้เข็มขัดที่ทาบทับ ลูกธนูที่เสียบเก็บไว้ด้านหลังเมื่อเช้าถูกเลือกมาสามดอกเสียบตรงบั้นเอวแทนทำให้เห็นความยาวแท้จริงมันยาวกว่าที่เธอคาดไว้มาก หมวกปีกบานสีดำขอบแดงพร้อมสายรั้ง ขับใบหน้าคมสันของนักรบนามมะเอะดะให้เด่นขึ้นยามอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ซึ่งประดับด้วยพู่สีส้มอมแดง ทำให้ชายหนุ่มดูสูงใหญ่และองอาจกว่าทุกครั้ง
เธอยังจำภาพในขบวนเมื่อเช้าที่ซามุไรหนุ่มนั่งหลังตรงควบม้าเหยาะๆ ผ่านหน้าเธอไปได้ติดตา เขาดูหล่อเหลาสมชายชาตรี ช่างดูดีและสง่างามจนเธอมองตามแทบไม่กะพริบตา
หญิงสาวเผลอยกมือทาบหน้าอกซ้าย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทอดตายาวไปไกลยังจุดที่แปดผู้แข่งขันรวมตัวกันอยู่ แม้เขาจะอยู่ไกลสุด แต่แปลกที่เธอกลับรับรู้ถึงตัวตน เห็นใบหน้าของเขาเด่นชัดขึ้นในใจ
“การแข่งโฮชะ๓๕ ซึ่งเป็นด่านแรกจะเริ่มขึ้นก่อน ผู้แข่งขันหรืออิเทะจะจับคู่และลงแข่งพร้อมกันทันทีที่โชะยะขุ๓๖หรือกรรมการประจำจุดยกพัดให้สัญญาณ ผู้แข่งขันจะต้องควบม้าของตนให้เร็วที่สุดบนทางตรงยาวแปดร้อยยี่สิบห้าชะขุ๓๗เล็งยิงแผ่นเป้าสี่เหลี่ยมที่ตั้งห่างกันสามเป้าให้ทันกรรมการคนสุดท้ายยกพัดสัญญาณลง” ขุนนางผู้อธิบายโบกพัดในมือของตัวเองขึ้นลงเป็นตัวอย่าง พลางชี้ชวนให้ดูสนามแข่ง
“ท่านโปรดสังเกตว่าแต่ละแผ่นเป้าจะมีวงกลมสีดำอยู่สามวงขนาดต่างกัน คะแนนของแต่ละวงกลมที่ถูกลูกธนูปักก็ต่างกันด้วย อิเทะคนไหนยิงถูกกลางเป้าหรือวงในสุดซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงแค่สองซึน๓๘เท่านั้น ก็จะได้คะแนนสูงสุดไป”
มาเรียและใครอีกหลายคนชะเง้อมองแผ่นเป้าสี่เหลี่ยมบนเสาสูงประมาณคนสองคนยืนต่อกัน มีเสาปักอยู่ในลู่ม้าวิ่งสามเสา แต่ละเสาตั้งระยะห่างกันประมาณห้าหลากว่าๆ และในแต่ละเป้าก็มีวงกลมสามวงขนาดลดหลั่นกันไปอย่างที่ขุนนางบรรยาย พร้อมกับมีกรรมการประจำจุดอยู่ประจำที่แต่ละเป้า
“ความยากมันอยู่ที่นอกจากความเร็วและความแม่นยำแล้ว การต้องควบม้าเร็วออกตัวพร้อมๆ คู่แข่งจะทำให้รู้สึกถูกกดดัน ร่างกายอันแข็งแกร่งของนักรบซึ่งต้องนั่งทรงตัวบนหลังม้าศึกที่วิ่งเร็วมากโดยไม่มีสิทธิ์จับสายบังเหียนบังคับม้าก็อันตรายมากอยู่แล้ว จิตใจของอิเทะจะต้องประสานกับม้าของเขาราวกับเป็นใจดวงเดียวกัน เพื่อให้เขาส่งธนูปักกลางเป้าให้ได้”
เสียงร้องฮือฮาดังมาจากคณะของมิสเตอร์ซีโบลด์ หลายคนพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจถึงความยากของด่านแรกนี้
“และอิเทะผู้ทำคะแนนสูงสุดเพียง ๓ คนเท่านั้นที่จะได้เข้ารอบสู่ด่านต่อไป...ข้าอยากจะให้พวกท่านจับตาดูคู่สุดท้ายไว้ให้ดี” คนบรรยายเอ่ยชี้ชวนพลางยิ้ม “โดยเฉพาะอิเทะจากตระกูลมะเอะดะซึ่งสวมชุดสีแดงข้าได้ยินเสียงเล่าลือมาว่าท่านทำเวลาได้ดีเหลือเกินในระหว่างฝึกซ้อม และวันนี้ก็จับสลากได้ถูกคู่มาก เพราะต้องประฝีมือกับอิเทะของตระกูลอะริโมะริซึ่งเป็นตระกูลที่ชนะยะบุซะเมะมาถึงสองปีซ้อนแล้ว เขาสวมชุดสีน้ำเงิน”
“คู่นี้เคยประดาบในตลาดและยังมีเรื่องในร้านของเราใช่ไหมมาเรีย”
“จุ๊ๆ อย่าพูดดังไปสิมิค เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คนเอะโดะฟังภาษาดัตช์ของเราออกเสียที่ไหนล่ะ”
“เออจริงฉันก็ลืมไป” เธอขำตัวเอง “ใช่คู่นี้แหละ ขอพระเจ้าอำนวยพรให้ท่านมะเอะดะชนะเข้ารอบด้วยเถิด” หญิงสาวกุมมือไว้ที่อก เงยหน้าขึ้นมองฟ้าทำปากขมุบขมิบเบาๆ แล้วทำเครื่องหมายกางเขนแตะหน้าผากและอก
“นี่ถึงขนาดขอพรให้เชียวหรือเรา”
มาเรียยิ้มกว้างยอมรับโดยดุษณีให้พี่ชาย แล้วหันไปชมการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างสนใจ
บรรดาโชะยะขุ...กรรมการที่ประจำอยู่ในสนามนับสิบคนกางพัดญี่ปุ่นแล้วชูมือขึ้นให้สัญญาณ...ขุนนางบรรยายเรียกกรรมการเหล่านี้ว่าโอกิกะทะ๓๙ คอยทำหน้าที่ให้สัญญาณว่าแต่ละจุดในสนามพร้อมแล้วหรือไม่ เสียงกลองจากท่านครูจึงดังขึ้นอีกครั้ง และทันทีที่กรรมการจุดเริ่มต้นลดพัดลง อิเทะทั้งคู่ต่างก็ดึงบังเหียนพร้อมเอาขากระแทกให้ม้าคู่ใจให้ออกวิ่งเช่นกัน
ม้าตัวใหญ่ถูกควบผ่านหน้าด้วยความเร็วและทุกครั้งที่อิเทะปล่อยธนูก็จะมีเสียงฮือฮาตามมาอึงมี่กรรมการประจำเสาเป้าก็ลุกขึ้นทำหน้าที่ของตนไป กรรมการโบกพัดให้สัญญาณว่ายิงถูกเป้าหรือไม่ กรรมการที่เก็บลูกธนูคืนให้ผู้แข่งขัน และกรรมการตรวจจุดที่ธนูโดนเป้าเป็นเช่นนี้ทุกครั้งหลังจากผู้แข่งขันยิงธนู
มาเรียนั่งชมการแข่งขันอย่างตื่นเต้น เหล่าอิเทะต่างก็เร็วและยิงธนูได้แม่นยำแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใครจะบังคับให้ม้าออกตัวเร็วกว่ากัน ในตอนจบจึงเห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้ชนะ
แล้วก็ถึงคู่สุดท้ายที่ขุนนางท่านนั้นได้บอกไว้ ม้าศึกของทั้งคู่ออกตัวพร้อมๆ กัน อิเทะทั้งสองต่างห้อม้าด้วยความเร็วสูงกว่าคู่ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด และปล่อยธนูทีละจุดจนครบอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ว่าหากเผลอกะพริบตาอาจพลาดช่วงลูกธนูพุ่งไปชนเป้าได้ มันเร็วจนยากที่รู้ว่าใครยิงแม่นกว่า หรือใครยิงจบก่อนใคร 
“มิคเห็นไหมว่าใครชนะน่ะ” มาเรียถามเสียงตื่นเต้นพลางชะเง้อชะแง้
“ไม่รู้สิ มันเร็วมากเลย นั่งตรงนี้ก็ไม่เห็นด้วยว่าโดนกลางเป้าหรือเปล่า”
“ลุ้นแทบตายตอนท่านมะเอะดะหยิบลูกดอกลูกสุดท้ายน่ะ เหมือนหยิบครั้งแรกแล้วไม่ติดมือ พี่ว่าไหม” เธอหันไปถามสีหน้าตื่นเต้นเต็มเปี่ยม
“ใช่ๆ แต่พอหยิบได้แล้ว โอ้โห...ขึ้นคันธนูและง้างเร็วมากเลยเท่มาก” มิคาเอลชื่นชมอย่างตื่นเต้น
“อีกนานไหมก็ไม่รู้เนอะ กว่าเขาจะประกาศผล”
“กรรมการจะรวบรวมผลไปให้ท่านครูประกาศในไม่กี่อึดใจนี้” ขุนนางให้ข้อมูล ราวกับเขาได้ยินและเข้าใจสิ่งที่เธอกับพี่ชายคุยกัน
ไม่นานนัก บรรดาอิเทะทั้ง ๘ ต่างพากันมานั่งคุกเข่าที่พื้นสนามข้างล่างเบื้องหน้าท่านโชกุนรอคำประกาศตัดสินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อิเทะสามท่านที่ผ่านเข้าไปแข่งขันเคียวชะ๔๐ในรอบต่อไปคือ...” คนประกาศเงยหน้าขึ้นกวาดตามองรอบๆ ให้คนฟังลุ้นระทึก “อิเทะจากตระกูลโทะมินะงะ ตระกูลมะเอะดะ และตระกูลอะริโมะริ”
สิ้นเสียงท่านครูประกาศ เสียงเฮลั่นของเหล่าซามุไรที่กระโดดตัวลอยด้วยความยินดีก็ดังมาจากกองเชียร์ของทั้งสามตระกูล สำหรับฝ่ายที่ไม่เข้ารอบต่างก็คอตก บ้างส่งเสียงร้องเฮ้อ ถอนหายใจด้วยความเสียดาย
มาเรียหันไปจับมือพี่ชายเธอเขย่าแล้วยิ้มกว้างอย่างพอใจ เธอหันไปมองซามุไรหนุ่มที่เธอเก็บจี้ตราประจำตระกูลของเขาได้ เขายังนั่งค้อมตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยสองมือแตะจดพื้น ก้มหน้านิ่งอย่างสำรวมไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น หากเธอตาไม่ฝาดแล้วละก็ ชั่วพริบตาที่อิเทะทุกคนโค้งคำนับท่านโชกุนแล้วคลานเข่าถอยหลังออกไป เธอเห็นซามุไรตระกูลอะริโมะริคู่อริที่นั่งข้างๆ ลอบมองเขาแววตากร้าวขบกรามแน่น
แปลก...อะริโมะริจะไม่พอใจทำไม ในเมื่อตัวเขาเองได้คะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่งอยู่แท้ๆ
“อิเทะทั้งสามต้องเตรียมตัวแข่งเคียวชะ และเริ่มทันทีที่คณะกรรมการจัดเตรียมอุปกรณ์และสนามเสร็จ มีสามเป้าเหมือนเคย แต่ครานี้เป้าไม่ใช่แผ่นป้ายผ้า แต่เป็นจานดินเผาทรงกลมสีขาวสองแผ่นประกบกันตรงกลางมีเป้าเดียวเป็นวงกลมสีดำขนาดสามซึนเมื่อลูกธนูถูกตรงกลางเป้าแตก กระดาษหลากสีชิ้นเล็กๆ ที่บรรจุอยู่ในนั้นก็จะกระจายออกมา อิเทะคนไหนยิงธนูได้เร็วสุดและแม่นยำจนทำให้จานดินเผาแตก โดยเฉพาะเป้าสีดำยิ่งแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เท่าไหร่ยิ่งได้คะแนนมาก”
เสียงบรรยายของขุนนางเรียกความสนใจจากคณะของมิสเตอร์ซีโบลด์ได้เหมือนเคย
“ด้วยพวกท่านให้เกียรติมาชมการแข่งขันครั้งนี้ ท่านโชกุนจึงสั่งให้เพิ่มเป้าที่จุดสุดท้ายเรียงไว้สามแผ่น และหนึ่งในนั้นมีเป้าพิเศษของท่านโชกุนอยู่หนึ่งอันซึ่งมีกระดาษพับเล็กๆ ระบุรางวัลพิเศษอยู่ในนั้น และท่านโชกุนต้องการไปดูให้เห็นชัดว่าอิเทะคนไหนจะดวงดีเลือกยิงเป้าของท่าน”
“ซีโบลด์ซัง ท่านจะไปชมใกล้ๆ กับข้าไหม”
เป็นครั้งแรกที่มาเรียได้ยินน้ำเสียงทุ้มน่าฟังของท่านโชกุนซึ่งหันมาส่งยิ้มบางเชื้อเชิญมิสเตอร์ซีโบลด์...เสียงอันบอกได้ถึงอำนาจและมีบารมีมากของผู้พูด
“นับเป็นความกรุณายิ่งนัก” มิสเตอร์ซีโบลด์ตอบกลับเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงเหน่ออย่างชาวตะวันตก
เสียงดังพึ่บพั่บทันทีที่ท่านโชกุนขยับตัว ทุกคนลุกขึ้นคำนับให้เกียรติท่านที่มีอำนาจปกครองสูงสุดในประเทศในขณะนี้ซึ่งเดินนำหน้ามิสเตอร์ซีโบลด์นักวิทยาการชาวฮอลันดาไปยังจุดแขวนเป้ายิง
“มิค” มาเรียเขย่าชายเสื้อพี่ชาย เอียงหน้ากระซิบข้างหู “ไหนๆ ท่านโชกุนก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เราไปรวมอยู่กับพวกชาวบ้านฝั่งโน้นบ้างดีไหม จะได้เข้าไปใกล้กว่านี้ไง นั่งตรงนี้เห็นทุกจุดก็จริงแต่ก็เป็นแค่ภาพกว้าง ฉันอยากเห็นชัดๆ ว่าจานดินเผาแตกละเอียดยังไงน่ะ ไปอยู่กับพวกมิโนะกันไหม ฉันพอจะเดาได้นะว่ามิโนะไปอยู่แถวไหน”
มิคาเอลบุ้ยใบ้ไปทางบิดาซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเป็นเชิงเตือน
“ปาป้าไม่รู้หรอก พวกเด็กๆ อย่างเรานั่งอยู่หลังสุด ท่านจะไปเห็นอะไร นั่งยืดหลังตรงแน่วขนาดนั้น เราไปพอแข่งเสร็จเราก็รีบวิ่งกลับมาก็ได้นี่ นะๆ...นะ” มาเรียเขย่าแขนเบาๆ อ้อนพี่ชาย และก็ได้ผลสำเร็จเหมือนทุกครั้ง
“ก็ได้ แต่ต้องรีบกลับมาทันทีตามที่พูด ห้ามโอ้เอ้ต่อรองนะ”
มาเรียรีบก้าวเท้าจับจูงพี่ชายลัดเลาะสนามหญ้าเดินไปทางท้ายสุดทันที คาดเดาว่ามิโนะต้องไปอออยู่แถวที่ตั้งเป้าจุดสุดท้ายแน่นอน ทั้งยังสั่งให้เขาใช้ร่างสูงใหญ่ให้เป็นประโยชน์มองหาเหล่าคนรับใช้ในบ้านที่พากันปิดบ้านออกมาเที่ยวครบทีมอีกด้วยกระนั้นกว่าจะเจอมิโนะก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะผู้คนมากมาย ด้วยความสูงของมิคาเอลนั่นเองที่ช่วยมองหามิโนะจนพบ เมื่อเจอสาวใช้ก็ได้เวลาที่การแข่งขันรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นพอดี
“เอ...ทำไมท่านอะริโมะริถึงชักม้ามาอยู่ด้านหน้าสุดล่ะ ไหนตะกี้พี่ทะมะว่าคนได้คะแนนสูงสุดในรอบที่แล้วต้องแข่งเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่เหรอ” มิโนะถามเบาๆ
“นังเด็กโง่ แกน่ะฉลาดไม่ทันท่านอะริโมะริเอาเสียเลยนะ ควบม้าออกแข่งก่อนก็จะได้เลือกยิงเป้าของท่านโชกุนได้ก่อนใครไงเล่าเอ็งเอ๊ย”
ทันทีที่ทะมะสาวใช้ประจำตัวมารดามาเรียกระซิบตอบ มิโนะก็หันไปมองเจ้าของเสียง อ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
“พี่ทะมะฉลาดจัง” มิโนะร้องคราง
อย่าว่าแต่มิโนะเลย มาเรียก็ยอมรับว่าเธอโง่ที่ไม่เท่าทันความคิดอยากได้เปรียบของซามุไรหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน
ทะมะหัวเราะร่วนชอบใจ “ไม่ได้คิดเองหรอกว่ะ ข้าก็ได้ยินได้ฟังเขาลือกันมาเหมือนกันแหละ”
“หยุดขำได้แล้วแม่ทะมะ เขาจะเริ่มแข่งต่อกันแล้ว” สามีของทะมะร้องเตือนทันทีที่ได้ยินเสียงกลองให้สัญญาณ
ซามุไรจากตระกูลอะริโมะริกระแทกขาเบาๆ ที่สีข้างม้าคู่ใจซึ่งรู้งานออกตัวทันทีและห้อเต็มเหยียดมาทางนี้แล้ว แต่มาเรียกลับยังจับจ้องไปที่ซามุไรมะเอะดะ ยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขามของเขา เห็นเขาใกล้ๆ ก็ดูดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นเขาบนหลังม้าจดจ่ออยู่กับการแข่งขัน กลับได้ภาพติดตาน่ามองไปอีกแบบ หากเธอไม่ได้มาดูยะบุซะเมะในวันนี้ คงจะเสียดายไปตลอดชีวิต 
มาเรียอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มจ้องมองเขาอย่างสุขใจ นอกจากจะชอบความอ่อนโยนสุภาพและมีน้ำใจแล้วเธอกำลังต้องใจรูปลักษณ์ของเขาเข้าอีกด้วยใช่ไหม...หญิงสาวถอนหายใจแต่จะมีประโยชน์อะไร พรุ่งนี้เธอต้องถูกส่งตัวกลับเดะจิมะและคงไม่ได้เจอเขาอีกชั่วนิรันดร์
เสียงฮือฮาดังขึ้นเพราะผลงานของอะริโมะริเรียกมาเรียกลับสู่โลกแห่งความจริง เธอหันไปมองโดยสัญชาตญาณ และเห็นเขายิงแผ่นกลาง จานดินเผาที่แขวนอยู่แตกกระจายหล่นลงบนพื้นหญ้าพร้อมกับเศษกระดาษเล็กๆ หลากสี มองจากตรงนี้ยากที่จะเห็นว่าเป้าสีดำแตกมากน้อยเพียงใด
“คะ...ใคร...ใครเห็นกระดาษพิเศษของท่านโชกุนร่วงลงมาหรือเปล่า”
ทะมะถามละล่ำละลัก แต่ไม่มีใครตอบได้ หลายคนพยายามชะเง้อชะแง้มองกรรมการที่เข้าไปเก็บลูกธนูและกวาดเศษจานพร้อมกระดาษจิ๋วหลากสีรวบรวมเอาไว้ในกล่องที่ระบุชื่อซามุไรอะริโมะริ
ไม่นานกรรมการก็ประกาศเสียงดัง “อะริโมะริอิเทะยิงถูกกลางเป้าและแตกละเอียดดีมาก แต่ไม่ใช่แผ่นของท่านโชกุน”
เสียงอุทานดังอื้ออึงทั่วลานประลอง มาเรียหันไปมองเจ้าของผลงานนั้น เห็นซามุไรหนุ่มหัวเสีย เม้มปากเดินลิ่วออกไปอีกด้าน แม้มีเสียงกลองดังเป็นสัญญาณให้อิเทะคนต่อไปเริ่มแข่งได้ มาเรียก็ยังสนใจมองอะริโมะริอยู่ เธอเห็นเขาหน้าตึงบุ้ยใบ้ไปยังกลุ่มที่คุ้มตระกูลเขาออกันอยู่
เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับเข้ามาใกล้ แล้วเสียงลูกธนูพุ่งจากคันศรดังเฟี้ยวไปยังจานดินเผาแขวนแต่ไม่มีเสียงดังเพล้ง ลูกธนูของโทะมินะงะพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย ผู้คนยิ่งส่งเสียงฮือฮายิ่งกว่าเมื่อครั้งที่อะริโมะริยิงถูกเป้าอย่างจังเสียอีกซามุไรหนุ่มที่เพิ่งยิงธนูเสร็จร้องเสียงดังอย่างลืมตัวทันทีที่รู้ว่าตัวเองพลาด
โทะมินะงะพลาด แสดงว่าเป้าพิเศษของท่านโชกุนยังคงอยู่ แต่อันไหนในสองอันนั้นล่ะ และแน่นอน หากมะเอะดะยิงพลาดอีกคน ชัยชนะย่อมตกเป็นของอะริโมะริโดยปริยาย
“หรือว่าตระกูลอะริโมะริจะชนะสามปีซ้อน” ชายชาวบ้านวัยกลางคนที่ยืนใกล้ๆ ออกความเห็น
“นั่นน่ะซี รอบที่แล้วท่านมะเอะดะก็พลาดเกือบหยิบลูกธนูไม่ทันแน่ะ มือใหม่เพิ่งลงแข่งครั้งแรกก็แบบนี้ สงสัยจะตื่นสนาม” ชายอีกคนหัวเราะ สุ้มเสียงกึ่งเยาะอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่หรอก ข้าว่าท่านมะเอะดะต้องชนะ ท่านทั้งดูสง่างามทั้งเก่ง ท่านต้องทำได้ คอยดูแล้วกัน” มิโนะโพล่งเถียงออกไป
มาเรียกุมมือขึ้นเหนืออก เงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าซึ่งบัดนี้เธอเห็นแต่กิ่งก้านและดอกซากุระสีขาวอมชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น จึงหลับตารวบรวมสมาธินึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วภาวนาขอพร
‘ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ซามุไรนิสัยดีท่านนี้ด้วยเทอญ’เธอขยับปากพึมพำไร้เสียง แล้วก็ต้องรีบลืมตาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบเร็วดังกึกก้องผ่านหน้าเธอไป ลูกธนูของมะเอะดะพุ่งเสียบตรงกลางเป้าแผ่นแรกเสียงจานดินเผาดังเพล้งแตกกระจาย กระดาษแผ่นจิ๋วหลากสีปลิวว่อนราวกับถูกโยนฟุ้งกระจาย
ทันใดนั้นม้าศึกคู่ใจของมะเอะดะก็ส่งเสียงร้องดังลั่นน่ากลัว มันหยุดวิ่งและพยายามยกขาคู่หน้าขึ้นอย่างกะทันหันโดยสัญชาตญาณ ทำให้ร่างใหญ่ของมันที่วิ่งห้อด้วยความเร็วเต็มเหยียดหมุนไปยังกลุ่มที่นั่งของท่านโชกุน ผู้คนหวีดร้องตกใจอย่างเสียขวัญ เมื่อเห็นทั้งม้าทั้งคนขี่กระโจนเข้าใส่ซุ้มของท่านโชกุนจนกลุ่มคนบริเวณนั้นแตกฮือวิ่งหนีตาย สัตว์ใหญ่ล้มทับเห็นแต่ฝุ่นลอยฟุ้ง
 
“ทะ...ท่านมะเอะดะอย่านะ! อ๊าย...!”
เสียงหญิงสาวหวีดร้องดังยาวนานจนโคสึเกะตกใจลืมตาโพลง แล้วร้องโอ๊ยเสียเองเมื่อพยายามดีดตัวลุกขึ้นตามสัญชาตญาณแล้วรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว
โคสึเกะสูดปากนิ่วหน้าเพื่อระงับความเจ็บขณะพยายามขยับตัว แต่กลับกระดุกกระดิกไม่ค่อยได้ จึงเอื้อมมือไปเขย่าหญิงสาวที่นั่งฟุบหลับบนเตียงที่เขานอนอยู่
“มาร์เซีย มาร์เซีย!”
เขาเขย่าแขนจนหญิงสาวลืมตา มองเขาด้วยแววตาไร้ความหมายอย่างงงๆ แล้วยืดตัวนั่งดีๆ เมื่อสมองเริ่มทำงาน
“อย่าเพิ่งค่ะ คุณจะลุกขึ้นมาทำไมเนี่ย” สาวตาสีเขียวบ่นอุบอิบหลังจากตวาดเขา
“จะไม่ให้ลุกได้ไง ก็ผมได้ยินเสียงหวีดร้องดังลั่นห้อง คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า ฝันร้ายเหรอ”
“ฉะ...ฉันฝันว่าคุณตกม้าบาดเจ็บ”
“ผม...ตก...ม้า บาดเจ็บ” เขาขมวดคิ้วกะพริบตาปริบๆ พยายามนึก “ผมถูกคนรุมทำร้ายไม่ใช่เหรอ หรือผมความจำเสื่อมไปแล้ว นี่ผมหลับไปนานไหม”
โคสึเกะเท้าแขนกับเตียงพยายามลุกขึ้น
หญิงสาวหันไปมองนาฬิกาดิจิทัลข้างเตียง “ก็หนึ่งวันเต็มๆ คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาน่ะค่ะ อ้าว...คุณจะลุกไปไหนน่ะ ฉันว่าคุณนอนเฉยๆ จะดีกว่านะ”
“ผมจะเข้าห้องน้ำ คุณก็จะห้ามเหรอ...อูย...” เขาครางขณะพยายามลุกขึ้น 
เธอไม่ตอบแต่กระโดดข้ามเตียงไปใกล้เขา เมื่อสองเท้าแตะพื้นจนมั่นคงจึงสอดมือรั้งใต้ท่อนแขนยาวค่อยๆ พยุงเขาลุกเดินไป
“ส่งผมตรงนี้ดีกว่า ขอบใจ” เขาบอกเมื่อถึงประตูห้องน้ำ
มาร์เซียงับบานประตูให้เมื่อเห็นเขาพ้นสายตา หญิงสาวยืนพิงประตูห้องน้ำ นวดขมับเบาๆ...นี่เธอพยาบาลคนเจ็บจนเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้เชียวหรือ
ฝันเห็นการแข่งขันยิงธนูซึ่งเธอไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามี
ฝันเห็นซามุไรมะเอะดะตกจากหลังม้า และทั้งม้าทั้งคนล้มทับจุดที่โชกุนนั่งอยู่กับมิสเตอร์ซีโบลด์ เธอเป็นห่วงว่าซามุไรหนุ่มคงต้องเจ็บหนัก จนเผลอเอามาบวกกับเรื่องเจ็บป่วยของโคสึเกะว่าแต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นนะ เขาจะตายไหม แล้วโชกุนกับมิสเตอร์ซีโบลด์ล่ะ เขาคงถูกลงโทษแน่ถ้าสองคนนั้นบาดเจ็บ...แล้วผลการแข่งขันล่ะ เขาชนะหรือเปล่า
ให้ตายสิ เธออยากรู้จริงเชียว มันเป็นแค่ฝันฟุ้งซ่านหรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตกันแน่ ทำไมเธอถึงรู้สึกผูกพันราวกับเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
“อุ๊ย!”
คนที่หันหลังพิงประตูห้องน้ำหงายหลังเพราะประตูถูกเปิดจากด้านใน หญิงสาวชนคนเปิดประตูซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว ได้แต่พยายามคว้าตัวเธอไว้แต่กลับล้มกลิ้งลงบนพื้นห้องน้ำทั้งคู่ โคสึเกะโอดครวญอย่างระงับความเจ็บไว้ไม่อยู่
“ตายแล้ว ฉันขอโทษ ลืมตัว มัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณเจ็บแย่เลยสิ”
ไม่มีคำพูดจากชายหนุ่มนอกจากเสียงสูดปากที่เปล่งออกมาก่อนหน้านั้น และขาดหายไปนานแล้ว
“แย่แล้ว ตามหมอดีกว่าไหมคะ”
ชายหนุ่มที่นอนหงายนิ่วหน้าเจ็บ กุมไหล่ไม่พูดอะไร ได้แต่สั่นหน้ามองหญิงสาวซึ่งกระวีกระวาดพาเขากลับไปที่เตียง ชายหนุ่มค่อยๆ ล้มตัวลงนอน หลับตาพักอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามเสียงแห้ง “คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเหรอ”
“ค่ะ เห็นคุณนอนทั้งกางเกงยีนคงอึดอัด เอ่อ...คุณดื่มน้ำหน่อยไหมคะ” เธอลุกโดยไม่รอคำตอบ และกลับมาพร้อมยกแก้วน้ำจ่อปากเขาให้ค่อยๆ จิบ “คุณหมอจ่ายยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อให้ค่ะ วันแรกๆ คุณอาจปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ้าง”
“นี่...กี่เข็ม...สามหรือสี่นะ ผมสะลึมสะลือตอนโดนเย็บจำไม่ค่อยได้” เขาแตะแผลเบาๆ ที่หางคิ้วขวา แล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
 “สี่ค่ะ” เธอยิ้มเจื่อนๆ “ต่อไปฉันจะล้างทำความสะอาดแผลให้คุณเอง คุณหมอว่าสามวัน แผลก็เริ่มแห้งแล้ว”
 “รอยฟกช้ำที่กกหูและท้ายทอยมากน้อยแค่ไหน”
“โห...ไหนว่าสะลึมสะลือ ยังอุตส่าห์จำได้อีก” เธอพึมพำ
“คุณว่าอะไรนะ” เขาถามเมื่อได้ยินเธอบ่นงึมงำเป็นภาษาบราซิล-โปรตุเกส
“เอ่อ...รอยฟกช้ำไม่มากนักหรอกค่ะ พรุ่งนี้คุณก็ลุกเดินปร๋อแล้ว แข็งแรงอย่างคุณ ดีไม่ดีจะวิ่งได้ด้วยซ้ำ”
เขาหัวเราะหึ “ผมจะวิ่งได้ไง ถูกคนของพี่ชายคุณรุมกระหน่ำตีจนหลังยอกไปแล้ว”
“ฉะ...ฉันขอโทษ มันเป็นฝีมือพี่มาร์กจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวฉันจะโทร. ไปฟ้องพี่สะใภ้ให้เอาคืนเขาให้น่วมไปเลย”
“อึ๊...อืม...” โคสึเกะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่เด็ดขาด ญ่าจังกำลังท้องอยู่ ผมไม่อยากให้มีเรื่องกวนใจ เดี๋ยวเธอจะเป็นห่วงอาการผมแล้วคิดมาก เรื่องแค่นี้ผมจัดการเองได้”
“อันที่จริงคุณไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ ฉันทั้งดุทั้งขู่พี่มาร์กไปแล้ว เขาไม่กล้าทำอะไรคุณแล้วละ รับ-รองได้” มาร์เซียยิ้มกว้าง ยืนยันอย่างมั่นใจชัดถ้อยชัดคำ
“คุณเนี่ยนะขู่พี่ชายของคุณ” เขาหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ “เขาคงกลัวคุณหรอกผมไม่เชื่อว่าเขาจะฟังคุณ...ไม่มีทาง ยังไงผมกับเขาต้องเจอกันอีกยาว...” เขาลากเสียงท้ายประโยค
“เขากลัวฉันแน่นอนหนนี้”
“เพราะ?” เขาเลิกคิ้ว ย้อนถาม
“แหม...” มาร์เซียกอดอกยืด ลากเสียงอย่างภาคภูมิใจที่หนนี้เธอเอาพี่ชายไว้อยู่หมัด “ก็เพราะฉันขู่เขาไปว่า ถ้าเขาแตะต้องคุณอีก ฉันจะนอนกะ...”
เธอชะงัก ดวงตากลมโตสดใสหลุบลงต่ำ แล้วค่อยๆ ชำเลืองมองเขา
“คุณจะนอน...” เขาขมวดคิ้วสงสัย หมุนมือเบาๆ ให้เธอพูดต่อ
“เอ่อ...นอ...นอน...นอนที่นี่ ไม่กลับไปเซาเปาลูอีก” มาร์เซียผ่อนลมหายใจอย่างโล่งใจที่คิดออก
“แค่เนี้ยเหรอ ที่คุณว่าเขากลัว”
“เออ...เออ...ช่างเถอะน่ะ คุณจะนอนต่อหรือทานอะไรสักหน่อยไหม คนเอเชียอย่างพวกคุณ เวลาเจ็บป่วยอยากทานอะไรกันเหรอ”
“ข้าวต้มร้อนๆ”
“สบายมาก เดี๋ยวฉันจัดการให้”
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ผมว่าข้าวต้มของผมกับของคุณหน้าตาไม่เหมือนกันแน่นอน ขอซุปใสร้อนๆ ก็พอ เรื่องข้าวต้ม ผมจัดการเองวันหน้าดีกว่า”
“ได้แล้วคุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมอีกไหม” เธอยิ้มแป้นเอาใจ
“ผมอยากรู้ว่าจี้ที่คุณเก็บได้ อยู่ที่ไหน”
“คะ?” มาร์เซียอ้าปากหวออย่างงุนงงราวกับโดนหมัดของเขาจังๆ
‘เจ็บขนาดนี้ อีตานี่ยังมีแก่ใจมาถามเรื่องจี้อันนั้นอีก’ นึกอยากย้อนเขาเหลือเกินว่า ‘แล้วตอนที่ฉันถามและยื่นคืนให้น่ะ คุณปฏิเสธทำไมยะ’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น