๑
รัก...หากเป็นเรื่องง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ความรัก
เกาะโออาฮู มลรัฐฮาวาย
“Sweety...สาวน้อยของผม...”
ชายหนุ่มพร่ำคำหวานเสียงแหบพร่าข้างหูหญิงสาวชาวฮาวายเชื้อสายญี่ปุ่นซึ่งคบหากันมาได้หลายสัปดาห์แล้ว เขาลูบไล้กอบกุมอกอวบหยุ่นเหมาะมือ สัมผัสผิวเนียนละเอียดน่าโลมเลียม สาวน้อยนางนี้เป็นผู้หญิงเอเชียที่เขาชอบ
เสียงหวานครางกระเส่าอย่างพึงพอใจเมื่อเขากระตุ้นด้วยปากและมือ
ชายหนุ่มใช้เวลามอบความเพริดเร้าใจจนร่างกายนุ่มนิ่มใต้ร่างเขาพรักพร้อม เขาบดเบียดสะโพกเพรียว ต้นขาของหญิงสาวขยับออกเปิดทางอย่างรู้งาน
เขาครางงึมงำอย่างพึงพอใจตรงซอกคอ เลื่อนมาจูบคาง แล้วเงยหน้าหวังทาบปากบางอ่อนนุ่มของหญิงสาว แต่แล้ว...
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มอุทานเสียงดัง ชะงักทันใด เขาตาฝาดหรือเปล่า ทำไมมุมปากเธอถึงมีเลือดไหลซึม และไม่ใช่ปากบางคู่เดิม แต่เป็นปากสีซีดที่อวบอิ่มกว่า เขาเงยหน้าขึ้นหวังสบตาเฉียงเย้ายวนแบบเอเชียของเธอ แต่แล้วก็ต้องผงะตัวแข็งอยู่กับที่ แทบจะกระโดดออกจากเตียงหากทำได้
“โอว...โคสึเกะ...พลีส...อย่า ไม่! อย่าหยุด...พลีส...”
เสียงครางสั่นแกมร้องขอของหญิงสาวแว่วเข้าหูเรียกสติ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะเบาๆ ขยี้ตาแรงๆ แล้วค่อยๆ ลืมตามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใบหน้าที่ปรากฏตรงหน้าคือใบหน้านวลเนียนของสาวคู่ควงคนล่าสุดของเขาซึ่งมองมาอย่างเว้าวอนอ้อนขอ...พลันแววตาของเจ้าหล่อนก็แปรเปลี่ยน
‘บ้าเอ๊ย หมดอารมณ์!’ โคสึเกะถอนหายใจยาว นอนแผ่อย่างเซ็งๆ หมดอารมณ์ หมดแรงจูงใจที่จะกระทำกิจกรรมหฤหรรษ์ใดๆ บนเตียงนี้อีกต่อไป
“เป็นอะไรไป ทำไมคุณถึง...โค่...โคสึเกะคะ...” หญิงสาวพลิกกายเปล่าเปลือยมาเกยก่ายเขา พลางเขย่าไหล่แรงๆ
“โอ๊ย! อย่างนี้ทุกทีเล้ย ทำไมคุณหยุดกลางคันแบบนี้อยู่เรื่อยนะ...ฮึ่ย!” หญิงสาวเกรี้ยวกราด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉันไม่ไหวแล้วนะ! ทุเรศสิ้นดี! คุณ...คุณมันเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกันจริงๆ ด้วย”
เธอผุดลุกขึ้น นั่งหน้าหงิก ไม่สนใจอกเปล่าเปลือยของตัวเอง เสยผมที่รกปรกใบหน้าอย่างลวกๆ
“โอ้...มายก๊อด I want a stud...not a dud!...คุณทำฉันเสียความรู้สึกจริงๆ บ้าที่สุด! ถึงจะหล่อล่ำน่าหม่ำแค่ไหนก็เหอะ พอกันที! ต่อไปนี้เราไม่ควรจะเจอกันอีก...ฮึ่ย!” เจ้าหล่อนตะโกนเสียงดังอย่างคนไม่ได้ดังใจ ผลุนผลันลุกขึ้น ก้มลงหยิบเสื้อผ้าที่กองบนเตียงและพื้นขึ้นแนบตัว หน้าแดงก่ำ ดูก็รู้ว่ายิ่งกว่าโกรธ
โคสึเกะมองตามหลังหญิงสาวเอเชียที่เขากำลังคบหาก้าวเท้าเร็วรี่เข้าห้องน้ำไป...ไม่ใช่เจ้าหล่อนคนเดียวที่หงุดหงิด เขาก็เซ็งตัวเองเหมือนกัน
“โธ่เว้ย!” ชายหนุ่มทุบเตียงอย่างโมโห แล้วเป่าลมออกปากพรวดขณะนอนลืมตาโพลงมองเพดาน “เฮ้อ...”
นี่มันบ้าอะไรกันวะ
“ฟัก...” เขาหลุดคำสบถ
“เสียเวลาที่สุด!”
เสียงคู่ขาที่ลอยมาทำให้เขาผงกศีรษะขึ้นมอง
“คอยดูนะ ฉันจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันฉายาของคุณให้ทั่วเกาะเลย...ไอ้มะเขือเผา!” หล่อนเอ่ยเสียงเยาะขึ้นจมูกหลังจากตะโกนด่าเขาอย่างกราดเกรี้ยว
เขาเห็นสีหน้าและแววตาหงุดหงิดแฝงแววดูหมิ่นของเธอ ก่อนสาวเจ้าจะเชิดหน้าก้าวฉับๆ ปิดประตูดังปังจากไป
นี่มันเป็นมนตร์ของปีศาจจากขุมไหนกัน...อีกแล้วหรือนี่ เธอผู้นี้เป็นรายที่เท่าไรในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเขาก็ชักไม่อยากจะนับ ยายผีบ้าที่ไหนมาวนเวียนอยู่ในความคิดคำนึงของเขากัน และมาตอนไหนไม่มา ดันชอบโผล่มาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างนี้ทุกครา
ผู้หญิงสวมกิโมโน...แปลกตรงที่ดวงหน้าของเธอไม่ใช่ใบหน้าของคนผิวเหลือง และบ้ายิ่งกว่าอะไรที่หน้าตาของเธอช่างเหมือนกับหญิงสาวคนนั้น...ผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะหนีให้ไกลห่างอย่างที่สุด
หมด...หมดกัน! ชื่อเสียงในหมู่สาวๆ เชื้อสายเอเชียทั่วเกาะนี้คงป่นปี้ เขาไม่คิดจะควงสาวตะวันตกอยู่แล้ว ในเมืองนี้นอกจากสาวๆ พวกนั้นก็เหลือแต่ผู้หญิงพื้นเมืองเชื้อสายพอลินีเชีย
ความจริงเขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้หรือขาดผู้หญิงไม่ได้หรอก ทว่าเป็นเรื่องปกติของเพศชาย ย่อมต้องการร่างนุ่มนิ่มมาปลดเปลื้องฮอร์โมนความต้องการตามธรรมชาติ และตอนนี้อายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากลงหลักปักฐานกับใคร อดีตสอนให้เขารู้ว่าชีวิตคงจะดีถ้าไม่มีเรื่องความรัก การที่เขาย้ายจากโตเกียวมาช่วยน้าอันนากับญศกาบริหารโรงแรมที่เกาะนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเขามาก เขาสนุกกับงานก็จริงอยู่ แต่เรื่องมีครอบครัวไม่อยู่ในความคิด
เขาไม่เชื่อว่าการแต่งงานกับคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมจะพบความสุขสมบูรณ์ ดูอย่างญาติมิตรเขาสิ น้าอันนาเคยเป็นภรรยาลับของนักธุรกิจชาวไทยโดยไม่รู้ตัว เป็นมารดาของลูกนอกสมรสและเลี้ยงดูลูกสาวของหล่อนตามลำพัง และยิ่งเห็นญศกาลูกพี่ลูกน้องเขาคบกับหนุ่มบราซิลแล้วมีปัญหายุ่งเหยิงวุ่นวายก็ยิ่งตอกย้ำแนวคิดของเขา
เขาไม่คิดจริงจังกับใครก็จริงอยู่ แต่หญิงสาวที่เขาจะควงด้วยต้องเป็นคนญี่ปุ่นด้วยกันเท่านั้น ซึ่งก็มีไม่น้อยในเกาะนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวสาวๆ รักสนุกซึ่งเดินทางมาจากแดนซากุระและต้องการให้เขาช่วยเหลือพาเที่ยว ด้วยพวกเธอมีปัญหาในการใช้ภาษาอังกฤษ...แต่ช่วงหลังเขาคั่วกับใครไม่รอดสักราย ครั้นถูกอกถูกใจถึงขั้นจะมีสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกับหญิงสาวเหล่านั้นก็ต้องเกิดปัญหาแบบนี้ทุกครั้ง
‘ฉันจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันฉายาของคุณให้ทั่วเกาะเลย’
ประโยคต่อว่าของหญิงสาวคนเมื่อครู่ยังก้องในหัว
เขาดังทั่วเกาะแน่ คราวนี้...คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจยาวอย่างเซ็งๆ นี่มันเวรกรรมหรือคำสาปของใครกัน มันมารุมเร้าจนเขาอยากจะเอาหัวมุดแช่อ่างน้ำ หวังให้น้ำเย็นๆ ราดรดพาเอาสิ่งแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ออกจากร่างและสมองทึบๆ ของเขาที
โคสึเกะ มะเอะดะ สะบัดหัวอย่างมึนงง ชาตินี้เขาคงคบหาสนิทสนมกับสาวใดบนเกาะนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แถมเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ด้วย อับอายขายขี้หน้าตายชัก
หรือว่า...เขาควรไปปรึกษาจิตแพทย์ดี
คิดดังนั้นชายหนุ่มก็รีบลุกขึ้น คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องอาบน้ำ ตั้งใจจะใช้ความเย็นดับความพลุ่งพล่านในอารมณ์ของตนให้จงได้
เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือหยุดการเคลื่อนไหวของเขา เพราะเสียงเพลงนี้เขาตั้งไว้สำหรับคนคนเดียวเท่านั้น จึงทำเพิกเฉยไม่ได้ยินหรือไม่รับสายไม่ได้ เขาเดินกลับมาหยิบอุปกรณ์สื่อสารสีดำเมี่ยมขนาดเหมาะมือขึ้น สไลด์นิ้วรับ แล้วล้มตัวนอนเหยียดยาวที่เตียงอีกครั้ง ด้วยรู้ว่าถ้าบุคคลผู้นี้โทร. มาจะไม่ใช่การสนทนาสั้นๆ
“คร้าบ...คุณย่า” เขากรอกเสียงเนือยๆ
คุณย่าของเขาเกิดและเติบโตที่ฮาวาย ก่อนจะพบรักกับคุณปู่ซึ่งเป็นหนุ่มจากโตเกียว จึงย้ายนิวาสสถานไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นหลายสิบปีแล้ว ครั้งนี้คุณย่าจะแวะมาฮาวายเพื่อเดินทางต่อไปร่วมงานแต่งงานของญศกา ญาติผู้น้องของเขาที่ประเทศบราซิล
“โค่คุง พรุ่งนี้อย่าลืมมารับย่าที่สนามบินนะ ย่าจะไปบราซิลพร้อมแก”
“โอย...ผมไม่ไปหรอกครับคุณย่า ไปแล้วใครจะดูแลโรงแรม น้าอันนากับอาอัลแบร์โตก็บินไปแล้ว ผมต้องอยู่โยงเฝ้าที่นี่ครับ”
“ไม่ได้! ญ่าจังน่ะน้องแกหรือเปล่าหือ โรงแรมนั่นก็ไม่น่าห่วงแล้วไม่ใช่เหรอ อัลแบร์โตบอกย่าว่าแกกับเขาช่วยกันวางระบบไว้เป็นอย่างดี ย่าอยากจะรู้นักว่าผู้บริหารไม่อยู่แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ถึงกับจะเจ๊งเชียวหรือ...ไอ้โรงแรมหรูนั่นน่ะ”
“แต่ผมจะไปหรือไม่ไป ญ่าจังมันก็ต้องแต่งงานกับไอ้เจ้ามาร์กอยู่ดีเหมือนกัน ฉะนั้น...” เขาเน้นเสียง ไม่วายแขวะคู่ปรับเก่าในประโยคสุดท้าย “ผมไม่ไปดีกว่า บอกตรงๆ ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าบ่าว”
นึกถึงแล้วก็ยังโมโหไม่หายที่หยุดยั้งญศกาไม่ได้ เขารู้ดีว่าเมืองใหญ่ของประเทศบราซิลอย่างเซาเปาลูและรีโอเดจาเนโรนั้นอันตรายแค่ไหน เขาเจอด้วยตัวเองมาแล้ว ยืนดูแผนที่อยู่ดีๆ ยังโดนจับเหวี่ยงเสียจนกระเด็นได้เลย เรียกได้ว่าถึงบราซิลปุ๊บ ก็เจอแต่เรื่องร้ายๆ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ที่สำคัญ เขาไม่อยาก...
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
ช่างเถอะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้ญาติผู้น้องต้องไปมีชีวิตครอบครัวกับหนุ่มต่างชาติที่อยู่ห่างไกลข้ามทวีปถึงประเทศบราซิล แต่เพราะญศกากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ และเมื่อไอ้น้องเขยตัวแสบบินมาตามถึงที่นี่ มันเฝ้าง้องอนเว้าวอนอ้อนให้กลับไปอยู่ด้วยกัน และญาติผู้น้องของเขาก็ยินดีรับไมตรีคืนดีอย่างเต็มอกเต็มใจ เพราะลึกๆ แล้วเจ้าหล่อนคงรอคอยให้ไอ้เจ้าจระเข้แห่งลุ่มน้ำแอมะซอนนั่นมารับกลับอยู่เหมือนกัน เขาก็เลยไม่รู้จะห้ามปรามได้อย่างไร
“เรานี่มันพาลนะ งานสำคัญขนาดนี้ของน้อง ไม่ไปไม่ได้ ในหมู่พี่น้อง ญ่าจังน่ะสนิทกับเราที่สุด แล้วยังจะหันหลัง ทำเป็นไม่สนใจไยดีงานสำคัญของน้องได้ลงคอเชียวหรือ ย่านี่แหละจะเป็นคนลากไอ้คนตัวโตจอมดื้ออย่างเราไปบราซิลด้วยตัวเอง”
หลังจากพร่ำบ่นยาว ย่าของเขาเงียบชั่วอึดใจแล้วเอ่ยต่อ
“โค่คุงเอ๊ย...ย่าน่ะแก่แล้วนะ เดินทางไกลๆ ข้ามทวีปอย่างนี้ เราจะให้ย่ากระย่องกระแย่งบินไปคนเดียวหรือไง เกิดหายใจไม่ออกตายไปบนเครื่องจะทำยังไง้...หือ แล้วภาษาโปรตุกงโปรตุกีสย่าก็ไม่กระดิกหู...”
เสียงขู่ในตอนแรกเปลี่ยนโทนเป็นเรียกร้องความสงสาร นี่คงเป็นความสามารถพิเศษหรือเอกลักษณ์ทางสายเลือดของพวกเขา
“ผมก็ไม่ถนัดเหมือนกันครับ ไอ้ภาษาลิ้นรัวๆ เนี่ย” เขาปฏิเสธเสียงเนือยๆ
“แต่เราก็เคยไปอยู่ที่นั่นมาแล้ว” คุณย่าเขาไม่ยอมแพ้
“ผมไปแค่เดือนกว่าๆ เอง ไปรับญ่าจังกลับมาฮาวายเฉยๆ แล้วอยู่โน่นผมก็ใช้แต่ภาษาอังกฤษ” เขาชี้แจง
“เขาว่าเมืองใหญ่ๆ อย่างเซาเปาลู รีโอฯ น่ะ แสนจะอันตราย ไม่เหมาะที่นักท่องเที่ยวผู้หญิงจะเดินทางไปคนเดียว...” คุณย่าส่งเสียงน่าสงสารมาตามสาย
“ผมก็บอกคุณย่าแล้ว...” เขาลากเสียง “ว่าให้รีบมาเร็วๆ จะได้บินไปพร้อมกับน้าอันนา แล้วดูสิครับ นี่น้าก็บินไปกับอาอัลแบร์โตเป็นอาทิตย์แล้ว”
“ย่า...ย่าก็บอกแล้วว่าไปไม่ได้ช่วงนั้น เราก็รู้อยู่แล้วนี่นาว่าเกิดเรื่องแปลกประหลาดที่บ้านที่โตเกียว ก็อย่างที่ย่าเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละตาโค่ จัดดอกไม้บูชาตอนเช้าไม่เกินสองชั่วโมงดอกไม้เหี่ยวคาแจกัน”
“คุณย่าจัดแจกันแล้วลืมเติมน้ำหรือเปล่าครับ” เขาเดาส่งเดช
“ย่ายังไม่แก่จนหลงลืมได้ถึงขนาดนั้นหรอกนะตาโค่ นี่...แล้วคราวนี้น่ะหนักกว่าเดิมอีก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หิ้งพระตั้งป้ายชื่อบรรพบุรุษตระกูลเราถึงล้มระเนระนาดบ่อยๆ ย่าน่ะสังเกตมานานแล้ว มันจะเป็นทุกคืนวันเพ็ญ กี่ป้ายๆ ล้มคว่ำหมดเลย แล้วไอ้หิ้งนั่นน่ะนะ...” หญิงชราทำเสียงกระซิบ “สั่นยังกะมีแผ่นดินไหวแน่ะ ที่ห้องอื่นไม่เป็นนะ ญาติที่นี่เขาพูดกันว่ามันต้องมีลูกหลานคนไหนสักคนลบหลู่บรรพบุรุษแน่ๆ นี่ก็ไล่ถามไถ่กันในหมู่ญาติๆ...ว่าแต่เราเถอะ ตาโค่!”
เล่ากระซิบกระซาบอยู่ดีๆ ก็ตะโกนเรียกชื่อดังลั่นจนเขาต้องทำหน้าเบ้ดึงโทรศัพท์ออกห่างหู
“คงไม่ได้แอบทำอะไรผิดนะ”
“โอ๊ย! ไม่มีทาง คนอย่างผมนี่รึจะ...” พูดยังไม่จบคำ เขาก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ คำพูดติดอึกอักอยู่ที่ลำคอ ตกใจลุกพรวดนั่งหลังตรงทันที “มะ...ม้า...ไม้...ไม...ไม่มี้”
พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สูงจนผิดสังเกต แต่ดูเหมือนจะคุมไม่อยู่ เขาต้องขยับลูกกระเดือกสลับกระแอมสองสามครั้ง เสียงถึงจะกลับมาโทนเดิม “ผะ...ผม ผม...ไม่เคยทำอะไรนอกกรอบอยู่แล้ว คุณย่า...ก็ทราบดีนี่ฮะ”
“นั่นนาซี้...ย่าก็บอกญาติทุกคนว่างั้น ย่ารู้จักเราดี ในหมู่ลูกหลานผู้ชายน่ะ เรารับผิดชอบเอาใจใส่เรื่องของทุกคนในครอบครัวเป็นที่สุด คนอย่างโคสึเกะหลานรักของย่าจะทำอะไรที่ขัดหรือเสื่อมเสียต่อธรรมเนียมตระกูลได้ยังไง เฮ้อ...นี่ย่าจนปัญญาจริงๆ นึกไม่ออกว่ามันเป็นเพราะอะไร”
โคสึเกะหน้าเสีย ได้แต่ยกมือตั้งขึ้น ผงกศีรษะเบาๆ ขยับปากแบบไร้เสียงว่า ‘โกะเมน๑...โกะเมน’ ขอโทษคุณย่าของเขาผ่านโทรศัพท์ ชายหนุ่มสูดปากแล้วเริ่มเฉไฉ “ไม่ต้องห่วงทางผมหรอกฮะ รับรองไม่มีแน่ ว่าแต่...เป็นไปได้ไหมครับที่...คุณย่าเฒ่าชะแรแก่ชราแล้ว ความรู้สึกก็เลยเชื่องช้า อาจจะเกิดแผ่นดินไหวแล้วคุณย่าไม่รู้ตัว”
“นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ นะ จะเขกหัวโตๆ ของเราสักโป๊ก ถึงย่าจะแก่จะเฒ่ายังไง ก็ไม่ถึงกับประสาทรับรู้ตอบสนองช้าขนาดนั้นหรอกย่ะพ่อคู้น อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว คิดว่าย่ายังแยกแยะแผ่นดินไหวไม่ไหวไม่ถูกหรือไง แหม...ยิ่งพูดยิ่งโมโห ย่าไปถึงโน่นเมื่อไหร่ จะขอแพ่นกบาลเราสักที ไอ้ตัวดี”
เขาหัวเราะกลบเกลื่อน นึกดีใจที่เบนความสนใจของอีกฝ่ายได้
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้อย่าลืมมารับล่ะ แต่พูดก็พูดเถอะ ย่าสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ว่าเรา...สองย่าหลาน น่าจะมีเรื่องต้องคุยกันยาวนะโค่คุง”
โคสึเกะรับคำและหยอกล้อผู้ที่รักและเอ็นดูเขาเสมอเหมือนเคย ก่อนวางสาย
คุณย่าน่ะเขาก็อยากจะเจออยู่หรอก แต่ไม่อยากคุยด้วยยาวๆ เลยให้ตายเถอะ ไม่อยากคุยเรื่องอาถรรพ์ไร้สาระแปลกประหลาดนี่ แค่ปัญหาของตัวเองที่เพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เขาก็คิดไม่ตกอยู่แล้ว
ฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อน เมื่อว่าที่น้องเขยของเขา มาร์กุส อีกนาซิโอ บูเอโน่ กับครอบครัวบินมาฮาวาย ก่อนหน้านั้นเขาพยายามทุกวิถีทางกีดกันไม่ให้จอมเจ้าชู้...มาเฟียที่มีแต่กลิ่นอายอันตรายรอบกายอย่างมันกลับมายุ่งเกี่ยวกับญศกาญาติผู้น้องเขาอีก
ไอ้มาเฟียนั่นพยายามติดต่อมาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นที่เขากับญศกาหนีกลับมาถึงฮาวายแล้ว บังเอิญวันนั้นเขาอยู่ที่ฟรอนต์ จึงสั่งพนักงานสกัดกั้นการติดต่อจากมาร์กุสทุกวิถีทางได้ทัน เขาไม่อยากให้หมอนั่นมายุ่งเกี่ยวกับญาติผู้น้องเขาอีก ไม่ว่าทางโน้นจะพยายามหาหนทางอย่างไร เขาปิดเส้นทางหมด พอมันโทรศัพท์ทางไกลเข้ามา เขาก็แกล้งสั่งให้โอนไปโน่นทีนี่ทาง มั่วๆ ฆ่าเวลาไว้ และวิศวะคอมพิวเตอร์อย่างเขาก็เข้าไปบล็อกข้อมูลการติดต่อจากมาร์กุสด้วยตนเอง ไม่ให้เชื่อมโยงเข้าอีเมลใดๆ ของโรงแรม เขาจัดการให้ทุกเมลที่มาจากบราซิลถูกส่งตรงเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาเท่านั้น
ครั้นได้อ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เนื้อหาสำนึกผิดมางอนง้อขอคืนดีของไอ้หมอนั่นด้วยแล้วเขายิ่งหมั่นไส้ พระเจ้าสร้างให้ไอ้พวกหนุ่มลาตินฯ ช่างสรรหาคำหวานเพ้อเจ้อมาเขียนได้โดยไม่กระดากจริงๆ ไม่มีทางที่ผู้ชายญี่ปุ่นอย่างเขาจะทำแบบนั้นได้ และแล้วเขาก็ป่วนไอ้จระเข้แห่งลุ่มน้ำแอมะซอนจนสำเร็จ ในที่สุดมาร์กุสก็ถอดใจเลิกส่งอีเมล
มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายเลือดบุชิโดอย่างเขาที่ต้องปกป้องคนในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้หญิง เป็นความรับผิดชอบที่เขาต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้ญาติผู้น้อง ญศกาไม่มีทางทันเล่ห์เหลี่ยมหนุ่มบราซิลแสนกะล่อนและเจ้าชู้อย่างมาร์กุสได้ เขาไม่อยากให้เธอต้องเสียน้ำตาเพราะมันอีก
นอกจากอันตรายรอบด้านซึ่งระบุไว้ในหนังสือคู่มือท่องเที่ยวบราซิลแทบทุกฉบับที่ย้ำเตือนให้คนต่างชาติต่างถิ่นทราบว่าจะต้องผจญกับอะไรบ้าง หากเดินทางย่ำเยือนเมืองใหญ่ๆ ด้วยตัวเองลำพัง เช่น ถูกจี้ โดนล้วงกระเป๋า ถูกโชเฟอร์รถรับจ้างหลอกลวง และบางเหตุการณ์เขาก็ได้ประสบพบเคราะห์มาด้วยตัวเองแล้วนับตั้งแต่ครั้งเหยียบย่างดินแดนนั้น เหตุผลสำคัญที่สุดอีกประการที่ทำให้เขากีดกันความรักของญศกากับนักธุรกิจอย่างมาร์กุสก็คือ หมอนั่นมีชีวิตในโลกของมาเฟีย ความร่ำรวยมั่งคั่งระดับประเทศทำให้ถูกจับตามองและเป็นเป้าหมายที่คู่แข่งต้องการล้ม ญศกาไม่มีทางได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุขหากครองคู่กับเจ้าของฉายาจระเข้ยักษ์แห่งลุ่มน้ำแอมะซอนนั่น
แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่เขาลงแรงไปก็สูญเปล่า ญศกาตัดสินใจคืนดีและตกลงใช้ชีวิตคู่กับมันโดยไม่หวั่นเกรงภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นอยู่ดี
หวังว่าคงไม่ใช่เป็นเพราะช่องโหว่ที่เขาอุดไม่มิด ทำให้มันส่งดอกกุหลาบขาวให้ญศกาได้ทุกวันจนน้องเขาใจอ่อนหรอกนะ
โคสึเกะไม่คาดคิดมาก่อนว่าไม่ใช่แค่มาร์กุสคนเดียวเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจมากในตอนนี้คือน้องสาวหุ่นน่าหลงใหลของมันก็ดันวนเวียนรบกวนจิตใจเขาอีกด้วย เขาเคยเห็นสาวน้อยลาตินฯ คนนี้ในงานศพมาร์ชีน่า อาสาวของมาร์กุส และที่คฤหาสน์หรือวิลลาในเซาเปาลูช่วงที่เขาไปพักอยู่ด้วยเพื่อดูแลญศกา แต่เขาไม่เคยเจอหญิงสาวคนนี้ซึ่งๆ หน้าสักครั้ง เธอเพิ่งหายเจ็บ เขาก็มัวแต่ดูแลน้องสาว และพอมีเวลาว่างเขาก็ออกไปข้างนอกเที่ยวชมเมือง จึงไม่มีโอกาสได้รู้จักกัน
เขามาจำเธอได้ที่ฮาวายนี่เอง ญศกาแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ เขาคุ้นหน้าเธอแต่นึกไม่ออก จนญศกาเท้าความว่าหญิงสาวผู้นี้ประสบเหตุระเบิดที่หน้าโรงแรมทำให้เขาและเธอคลาดกัน เขาจึงนึกได้...เธอคือคนที่เขาคิดว่าเป็นเมียรักของมาเฟียคนนั้นนั่นเอง นับว่าเจ้าหล่อนดวงแข็งทีเดียวที่รอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
‘ยินดีที่ได้รู้จัก และขอต้อนรับสู่โออาฮู’
โคสึเกะพูดตามมารยาทพร้อมกับยื่นมือให้หญิงสาวชาวบราซิลสัมผัสอย่างเสียไม่ได้เมื่อญศกาแนะนำให้รู้จักกัน เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นน้องสาวของไอ้มาเฟียขี้หวงยิ้มหวานก่อนขยับเข้ามาใกล้จนชิด เธอโอบไหล่เขาแล้วเขย่งขึ้นจูบทักทายข้างแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ถือตัว เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายตะขิดตะขวงใจอายแทน แม้จะอยู่ฮาวาย แต่เขาก็ไม่ใคร่คุ้นเคยกับการทักทายถึงเนื้อถึงตัวกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกและยังไม่สนิทสนมกันแบบนี้ โคสึเกะรีบถอยออกห่างแทบไม่ทัน
‘ยินดีมากๆ เช่นกันค่ะ ฉัน...มาร์เซียค่ะ’
หญิงสาวพูดภาษาอังกฤษสำเนียงละตินด้วยเสียงหวานๆ ดึงดูดให้เขาพินิจและเห็นดวงตากลมโตสีเขียวเข้มเจือรอยยิ้มจ้องมองเขาอยู่ ปากสีชมพูคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวเรียงสวย โคสึเกะเผลอกวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าทั่วร่างอย่างลืมตัว ร่างสมส่วนซุกซ่อนอยู่ในกางเกงยีนและเสื้อสายเดี่ยวคอวีสีเขียวสดซึ่งรับกับสีดวงตาคู่นั้น
สารภาพ...เขาละสายตาจากเนินอกอวบอิ่มนั้นไม่ได้เลย โดยเฉพาะรอยสักรูปผีเสื้อตัวน้อยที่เนินอกขวาช่างดึงดูดสายตาดีแท้
ให้ตายสิ นอกจากหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราของเจ้าหล่อนซึ่งห่างไกลจากไอ้พี่ชายหน้าโหดจอมเหี้ยมแล้ว มองปราดเดียวเขาก็รู้ว่ามาร์เซียเป็นผู้หญิงรูปร่างดีมากจริงๆ เธอมีส่วนโค้งส่วนเว้าที่เขามั่นใจว่าผู้หญิงทุกคนอยากจะมีอย่างยิ่ง เห็นขาเพรียวยาวมีสร้อยเงินเส้นเล็กสวมอยู่ที่ข้อเท้าด้วยแล้ว ยิ่งกระตุ้นความสนใจให้หลุบตามอง และก็ต้องยอมรับอีกว่าเท้าผู้หญิงคนนี้งดงาม เป็นอวัยวะของอิสตรีที่เขาไม่เคยใส่ใจมาก่อน
แม้จะน่ามองเพียงใดเขาก็ต้องตัดใจ ผู้หญิงที่กล้าเปิดเผยเนื้อตัวแบบนี้ไม่เหมาะเข้าไปสุงสิง ยิ่งเป็นน้องสาวของเจ้ามาร์กุสคู่ปรับเขาด้วยแล้ว หลีกให้ไกลห่างน่าจะดีที่สุด
‘คุณจะเรียกฉันว่ามาร์ซีนญ่าก็ได้นะคะ’ เธอยังยิ้มแย้มแนะนำตัวด้วยตาสุกสกาว ‘มาร์ซีนญ่าน่ะ ชื่อเล่นฉันค่ะ’
ชื่อเล่นบ้าอะไร ยาวกว่าชื่อจริง...เขานึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ติดใจจนเอ่ยปากถามแต่อย่างใด ตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่า เขาจะสนใจหรือสนิทสนมกับผู้หญิงหุ่นน่าหม่ำคนนี้ให้น้อยที่สุด
ไอ้บ้าเอ๊ย! บอกตัวเองว่าไม่สนใจ แต่สายตาของเขายังอุตส่าห์สังเกตเห็นว่าเจ้าหล่อนหุ่นดี
โคสึเกะเดาว่ามาร์เซียคงจำเขาไม่ได้ในตอนแรก เพราะหลังจากนั้นเขาได้พบเธออีกครั้งขณะกำลังเสวนาอย่างออกรสกับน้าอันนาและอาอัลแบร์โตในคอฟฟีชอปใกล้ล็อบบี น้าอันนากวักมือเรียกให้เข้าไปหาขณะที่เขากำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยในโรงแรม...เพียงเพราะประโยคเดียวที่น้าอันนาพูดถึงเขาว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะมัวแต่ดูเหตุการณ์ระเบิดโรงแรมที่เซาเปาลู หญิงสาวผู้นั้นก็นั่งนิ่งเงียบ เอียงหน้าซ้ายขวา เอาแต่จ้องมองเขา
‘ฉันคิดว่าเราน่าจะเคยเจอกันมาก่อนนะคะ’ มาร์เซียนิ่วหน้าเหมือนพยายามนึกอย่างเต็มที่ และไม่นาน... ‘ใช่แล้ว ใช่แน่นอน คุณคือคนที่โดนเปเป้...เอ่อ บอดีการ์ดของฉันน่ะค่ะ เหวี่ยงกระเด็นไปวันนั้น คุณจำฉันได้ไหมคะ’ หญิงสาวหลุดปากแล้วลุกขึ้นยืน พลางดึงเสื้อขยับให้เข้าที่ คงเพื่อให้เขาเห็นเธอชัดเจนขึ้นเผื่อจะจำได้ เธอเอียงคอเล็กน้อย ยิ้มกว้างและเลิกคิ้วสูง มองมาด้วยแววตาคาดหวังรอคำตอบ
เขาแกล้งหรี่ตามองเธอแล้วตอบเสียงเรียบ ‘คุณคงจำผิดคน ไม่ใช่ผมหรอกครับ’
‘ไม่ผิดแน่ค่ะ จำได้แล้ว วันนั้นฉันยังช่วยปัดฝุ่นที่เปื้อนตามตัวคุณเลย’
‘งั้นยิ่งไม่ใช่ผมใหญ่ ผมไม่ชอบให้คนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยมาถึงเนื้อถึงตัว แต่ถ้าเป็นมาร์กุส...พี่ชายคุณเขาอาจจะชอบ’ ชายหนุ่มเบ้ปากยิ้มเหยียด เขาอดแขวะไม่ได้ ‘รายนั้นเขาชอบให้สาวๆ ห้อมล้อมเขาไม่ใช่เหรอครับ’
หญิงสาวกัดริมฝีปาก ‘ไม่ใช่เรื่องของการชอบไม่ชอบหรอกค่ะ แต่ชาวลาตินฯ อย่างเราถือเป็นเรื่องปกติ ธรรมชาติของพวกเราเฟรนด์ลี...เข้ากับคนง่าย เพราะไม่รู้ว่าจะปิดกั้นไปเพื่ออะไร สนุกสนานเป็นมิตรกันดีกว่า’
‘ต่างกับพวกเราชาวญี่ปุ่นนะ เรามีกรอบล้อมรอบคนที่อยู่วงในหรือญาติสนิทกัน ส่วนบุคคลภายนอกเราต้องให้เกียรติ ให้ความเป็นส่วนตัวแก่เขา ไม่พยายามเข้าไปถึงเนื้อถึงตัวในครั้งแรกๆ ที่พบกัน’ เขาเห็นเธอมีสีหน้างุนงง ‘คุณคงไม่เข้าใจวัฒนธรรมและความคิดของพวกเราหรอก เหมือนกับผมนั่นแหละ ช่วงที่อยู่บราซิลผมก็ไม่ค่อยเข้าใจพวกคุณเท่าไหร่นักหรอก เช่นการกล้าถึงเนื้อถึงตัว กอดจูบกับใครง่ายๆ และกล้าแสดงออกทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทำทีเข้ามาตีสนิทจนเหมือน...อะไรนะ...’
เขาหรี่ตา พยายามคิดหาคำ ‘ใช่ คนง่ายๆ ที่...ชอบหว่านเสน่ห์น่ะ’
โคสึเกะขยับตัวเมื่ออธิบายจบ หันไปทางอันนาที่นั่งตะลึงอ้าปากค้าง
‘ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ จะรีบตรวจงานและมีนัดกับลูกค้าด้วย’ โคสึเกะพูดพลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอตัวผละจากวงสนทนา เขาได้ยินเสียงอันนาขอโทษขอโพยมาร์เซียตามหลังมาแว่วๆ แต่เขาไม่สนใจ
นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นแล้ว เขาก็รู้หรอกว่าไม่ควรแดกดันเธอ วันนั้นเขาเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่จะให้ทำไงล่ะ ก็เขาไม่ชอบคนตระกูลนี้ นี่กระมังที่เรียกว่าเกลียดพี่แล้วเลยพาลมาลงที่น้อง...แต่ทำไมใบหน้าของคนที่เขาไม่ชอบถึงต้องแวบเข้ามาป้วนเปี้ยนตอนเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มด้วยนะ
เวร! สงสัยต้องพึ่งจิตแพทย์สักครั้ง น่าจะดี...คิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ
เซาเปาลู
ชีวิตนกน้อยในกรงทองอาจน่าเบื่อ แต่ชีวิตผีเสื้อน้อยในคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลบูเอโน่กลับไม่เลวร้ายเกินไปนัก
มาร์เซีย อีกนาซิโอ บูเอโน่ น้องสาวคนเดียวของมาร์กุส บุรุษผู้ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจของประเทศบราซิล แม้จะถูกสื่อต่างๆ จับตาดูแต่เธอก็มีซอกหลืบให้ซ่อนตัวได้ เพราะรัศมีความหล่อเหลาและโด่งดังของพี่ชายกลบหมด ทำให้เธอมีอิสระที่จะไปไหนต่อไหนโดยไม่ถูกจับตาดูจากบุคคลภายนอกมากเท่าเขา ยิ่งช่วงนี้ข่าวของมาร์กุสกับสาวๆ ออกมาถี่เหลือเกิน ทั้งยังข่าวที่เขาถูกลอบปองร้ายลุกลามมาถึงการที่หญิงสาวคนสนิทเชื้อสายเอเชียที่พี่ชายคบหาอยู่ด้วยบาดเจ็บสาหัส ภาพข่าวของมาร์กุสจึงยึดพื้นที่หมดแทบทุกสื่อ
หากข่าวของเธอหลุดรอดออกมา ก็เพียงเพราะเธอเกี่ยวข้องเป็นน้องสาวสุดที่รักคนเดียวของเขาเท่านั้น
หลังจากเกิดเหตุระเบิดโรงแรมกลางกรุงเซาเปาลูที่เธอบริหารอยู่คราวนั้น มาร์กุสวางแผนให้เธออยู่เงียบๆ แถมปล่อยข่าวว่าเธอเจ็บหนักต้องเข้าไอซียู ห้ามใครเข้าเยี่ยมนานนับเดือน นัยว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง แม้เหตุการณ์นั้นจะคลี่คลายและล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว เธอก็ยังมีบอดีการ์ดติดตามอยู่เหมือนเดิม แต่มีบางครั้งซึ่งไม่บ่อยนักที่คนข้างกายจะเปลี่ยนจากบอดีการ์ดร่างหนาหน้าดุเป็นสารวัตรโฮแบร์โต เพื่อนของพี่ชายเธอเอง
มาร์กุสสนับสนุนหรือเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า ‘ยัดเยียด’ ให้เพื่อนรักของเขาคบหากับเธอ แม้เธอจะรู้สึกอุ่นใจต่อการมีสารวัตรโฮแบร์โตอยู่ใกล้ก็จริง แต่ไม่ใช่ความรู้สึกล้ำลึกวาบหวามที่เธอฝันหาปรารถนา การอยู่ใกล้เขาไม่ทำให้รู้สึกแตกต่างกับเวลาที่เธออยู่กับมาร์กุสเลย เขาเหมือนพี่ชายอีกคนที่คอยปกป้องดูแลเธอมากกว่า โฮแบร์โตเป็นนายตำรวจร่างสูงใหญ่หน้าตาดีที่เห็นเธอมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กกะโปโลเก้งก้าง แม้ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กสาวผอมบางอย่างนั้นอีกแล้วก็ตาม
มาร์เซียยืนหันซ้ายเอียงขวาแอ่นตัวไปข้างหน้าและกระดกก้น มองตัวเองหลังสวมบราเซียร์กับแพนตีตัวน้อยอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน...มารดาพูดเสมอว่าเธอเป็นตัวแทนของสาวลาตินฯ โดยแท้ รูปร่างบ่งบอกความงดงามของสตรีเพศเป็นที่สุด ส่วนที่ควรจะเล็กอย่างเอวก็คอด ส่วนที่ควรจะมีมากอย่างหน้าอกและสะโพกก็มีเต็มอิ่มเหมาะเจาะรับกับก้นงอนกลมกลึงและช่วงขาเพรียวยาวตามเชื้อชาติยุโรปของบรรพบุรุษ ผมสีบรูเน็ตต์ยาวเป็นลอนสลวยรับกับดวงตากลมโตสีเขียวเข้มเหมือนพี่ชายเธอ แต่ตาเธอไม่ดุเยี่ยงมาร์กุส ใครๆ ก็ชมว่านัยน์ตาเธอดูหวานและเซ็กซี่ ทว่าความงามที่สาวๆ ทั้งหลายอยากมีจะเกิดประโยชน์อะไรหากไม่เคยได้โอกาสใช้มันให้เป็นประโยชน์ ผ่านมาจะเข้ายี่สิบห้าฝนแล้ว เธอยังไม่เคยคบผู้ชายคนไหนเป็นแฟนเลย มันผิดวิสัยสาวลาตินฯ อย่างที่เพื่อนผู้หญิงหลายคนของเธอสบประมาท
เธอมองใบหน้าและเรือนร่างอรชรสมบูรณ์แบบของตัวเองแล้วถอนหายใจ
‘มาร์ซีนญ่าแห่งอี๊กเบกรุ๊ป ผีเสื้องามแสนเซ็กซี่ตัวน้อยผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง’
ฉายาที่ใครๆ ในเมืองนี้ขนานนามเธอ ฉายาที่น่าอับอายในหมู่เพื่อนฝูงเพราะหมายถึงอ่อนด้อยเรื่องประสบการณ์รักโรแมนติก ผิดแผกจากหญิงสาวบราซิลทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ตั้งแต่วัยรุ่นแล้วด้วยซ้ำ
สาวลาตินฯ หุ่นเซ็กซี่ แต่ทำตัวเหมือนคนหัวเก่าแสนจะเรียบร้อย เพราะต้องอยู่ในกฎเกณฑ์และการควบคุมของมาร์กุส
‘อย่าลืมเอาไบเบิลใส่กระเป๋านะมาร์ซีนญ่า’
ภาพพี่ชายซึ่งมีใบหน้าคมดุยืนกอดอกผุดขึ้นในหัว...ตั้งแต่เธอเริ่มเป็นสาวรุ่น มาร์กุสมักกำชับทุกครั้งที่เห็นเธอกำลังออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปเรียนหรือไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง
‘ค่า...’ มาร์เซียลากเสียงตอบและยิ้มล้อ...จะลืมได้ไง เธอรู้นี่นาว่าเขาเป็นคนเอาคัมภีร์ไบเบิลยัดใส่กระเป๋าให้เธอเอง ใครๆ ก็รู้ว่าครอบครัวเธอเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดและมีพี่ชายแสนดุ
คงจะจริงที่ว่าผู้ชายเจ้าชู้มักหวงน้องสาว ไม่ว่าเธอจะคบใคร เขามักจะเข้ามามีส่วนร่วมวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เสมอ ทำให้เธอไม่เคยมีโอกาสคบกับผู้ชายคนไหนเป็นแฟนจริงจังสักครั้ง เรียกว่าไม่เคยคบใครเกินสามเดือนก็ว่าได้ ผู้ชายบราซิลคนไหนจะอาจหาญลองดีมาต่อกรกับหนุ่มใหญ่ ฉายาจระเข้ยักษ์แห่งลุ่มน้ำแอมะซอนอย่างพี่ชายเธอล่ะ
‘ไม่ต้องเอามาใส่ใจเลยมาร์ซีนญ่า พี่เป็นผู้ชาย...รู้ดี ผู้หญิงดีๆ อย่างเราไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์แบบสาวรักอิสระอย่างนั้น มีแต่เปลืองตัวและเจ็บใจเปล่าๆ ถึงไม่มีใครมาคบมาขอ น้องสาวคนเดียวพี่เลี้ยงได้’
มาร์กุสพร่ำสอนเธออย่างนั้นตั้งแต่เธอยังวัยรุ่น
‘เซ็กซ์ต้องหลังแต่งงานเท่านั้น’ เธอบอกเสียงหนักแน่น ‘จำได้ขึ้นใจค่ะพี่ชาย’
‘ดีมากน้องรัก’ เขาดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขน จูบเบาๆ ที่เรือนผม ‘จำไว้นะมาร์ซีนญ่า พวกผู้ชายต้องเคารพเราที่เราเลือกแบบนี้ และถ้าไอ้หน้าไหนมันออดอ้อนจะขอให้เรายอมมีอะไรกับมันละก็...’
‘แสดงว่ามันไม่เคารพนับถือเรา’ เธอแทรก ‘และนั่นก็แปลว่ามันไม่ได้รักน้องจริง’ เธอบอกเสียงเนือย เป็นนัยให้เขารู้ว่าจำได้ขึ้นใจแล้วน่า!
มาร์เซียรู้ดีว่ามาร์กุสเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วประเทศและเจ้าชู้ขึ้นชื่อ เธออยากรู้เหมือนกันว่าในจำนวนสาวๆ ที่เขาเป็นข่าวมีสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะมีกี่คนที่เขาเคารพนับถือพวกหล่อน
เขาช่างหวงและหัวโบราณกับเธอเสียเหลือเกิน แคซาโนวาผู้หยิ่งผยองของอี๊กเบ เธอเพิ่งเห็นเขาจริงจังทุ่มสุดตัวเป็นครั้งแรกกับญศกาสาวเลือดผสมไทย-ญี่ปุ่นซึ่งสวยน่ารัก ผู้หญิงที่มารดาและเธอหมายมั่นปั้นมือว่าหนนี้ตระกูลของเธอคงจะได้สาวเอเชียมาร่วมใช้นามสกุลด้วยเป็นแน่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอภาวนาเหลือเกินให้พี่ชายรักญศกาจริงๆ จนยอมสละโสด เขาจะได้เอาเวลาไปใส่ใจดูแลภรรยา และเปิดโอกาสให้เธอได้เลือกคบใครอย่างอิสระบ้างน่ะสิ!
และแล้วคำภาวนาของเธอก็สัมฤทธิผล พี่ชายแสนดีของเธอมีกำหนดจะเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงสะสวยน่ารักนิสัยดีจากเอเชียคนนั้น คนที่ทั้งเธอและมารดานิยมเป็นอย่างยิ่ง มาร์เซียแทบกระโดดตัวลอยตอนที่ทราบว่าญศกายอมคืนดีกับพี่ชาย...เธอชื่นชอบเรื่องราวรักโรแมนติกของทั้งคู่ รู้ดีว่ากว่าญศกาและพี่ชายเธอจะลงเอยกันได้ ทั้งสองฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เรียกได้ว่าเอาไปเขียนเป็นนิยายรักโรแมนติกเล่มหนาๆ ได้หนึ่งเล่มเลยทีเดียว
มาร์เซียยกมือประสานกันที่อก ยืนตาลอยฝันเฟื่องอมยิ้มกับตัวเองหน้ากระจกเงา...เธอฝันอยากมีเรื่องราวรักหวานโรแมนติกอย่างนั้นบ้าง จะมีใครไหมที่จะมาเติมรสชาติเพิ่มสีสันในชีวิตให้ และรักเธอหมดจิตหมดใจอย่างที่พี่ชายมีต่อแฟนสาวของเขา
แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป...มันช่างน่าเศร้าใจ ผู้ชายที่พี่ชายเธอเปิดไฟเขียวโร่ตลอดกาลไม่ใช่คนที่จะมาเติมเต็มหรือมอบความรู้สึกแบบนั้นให้เธอได้
คงจะมีสักวัน ที่จะมีใครสักคนได้ชื่นชมเรือนร่างอันงดงามของเธอ
คงจะมีสักวัน ที่ใครคนนั้นจะเห็นมากกว่ารอยสักรูปผีเสื้อสีสวยที่อยู่บนเนินอกอวบอิ่ม รอยสักพิเศษซึ่งเป็นความลับที่รู้แค่ศิลปินที่สัก ตัวเธอเอง และชัวอาคิม...บิดาของเธอเท่านั้น แม้แต่มารดาหรือมาร์กุสผู้เป็นพี่ชายก็ไม่รู้ว่าเธอมีมัน เขาและทุกคนนึกว่าเธอสักผีเสื้อตัวน้อยเพียงตัวเดียวเท่านั้น
เธอไล้นิ้วเรียวยาวจากปีกผีเสื้อไปตามเส้นประ...หากใครคนนั้นได้เห็นแนวเส้นประซึ่งเป็นเส้นทางที่ผีเสื้อตัวนี้โบยบินไปยังจุดหมายที่ซ่อนเร้นไว้ เขาคนนั้นจะ...
คิดได้เท่านี้ มาร์เซียก็หน้าแดงเป็นลูกเชอร์รีเสียแล้ว และยิ่งหน้าร้อนผ่าวเมื่อใบหน้าของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิดเธอทันที
บ้าที่สุด ทำไมหน้าหล่อเท่แปลกตาของเขาต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยนะ ใบหน้าของผู้ชายที่ปฏิเสธเสียงแข็งว่าเขาไม่เคยพบเจอเธอ...
ใบหน้าของคนที่เคยพูดจากระทบกระแทกแดกดันพี่ชาย และฟังดูก็รู้ว่าเขามีทัศนคติด้านลบต่อพฤติกรรมของหนุ่มสาวชาวลาตินฯ...
ใบหน้าของคนที่เธอเพิ่งนึกได้หลังจากพบเขาที่ฮาวายว่าเขาคือผู้ชายที่อยู่ในฝัน ซึ่งวนเวียนรบกวนเธอเกือบทุกค่ำคืนนั่นเอง
อันที่จริงเธอเคยพบเขาก่อนหน้านั้นที่บราซิลบ้างแล้ว เธอเคยเห็นเขาแวบๆ ที่โรงพยาบาลช่วงที่เธอกับญศการักษาตัวที่นั่น และเธอก็เคยเห็นเขาในงานศพอามาร์ชีน่า แต่ไม่มีใครแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ยังนึกชื่นชมว่าเขาช่างเป็นลูกพี่ลูกน้องที่แสนดีและน่ารัก คอยดูแลอยู่เคียงข้างญาติผู้น้องอย่างญศกาไม่ห่าง ครั้งล่าสุดที่พบกันที่ฮาวาย เธอดีใจยิ่งนักเมื่อได้พบเขา รู้สึกประหลาดใจ โล่งใจ ที่ในที่สุดทุกอย่างก็เฉลยเสียที เขาคือผู้ชายที่เธอเจอก่อนเกิดระเบิด เป็นชายคนเดียวที่มาพบเธอในฝันหลายครั้งหลายครา แต่ดันนึกหน้าเขาไม่ออก ครั้นรู้ว่าผู้ชายในฝันยืนตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า เธอเผลอมองเอียงซ้ายเอียงขวา จ้องหน้าและกวาดตามองทั่วตัวเขาอยู่ตั้งนาน
ทำไมหนอ ว่าที่พี่สะใภ้ถึงไม่เคยเปรยให้เธอรู้มาก่อนเลยว่ามีลูกพี่ลูกน้องที่หล่อ เท่ น่ามอง ชวนให้อยากเดินควงแขนด้วยเป็นที่สุด แต่ก็นะ ใครจะมองพี่ชายตัวเองอย่างนั้นกันเล่า เธอเองก็ไม่ได้มองว่ามาร์กุสหล่อล่ำน่าหม่ำตรงไหนเหมือนกัน
อุ๊บ! เผลอหลุดคำว่าน่าหม่ำออกไป ถ้าพี่ชายรู้ เธอโดนสวดยับแน่!
เธอจำได้ไม่ลืม วันนั้นเธอยินดีมากเสียจนรีบก้าวไปสวมกอดเขา ส่งยิ้มทักทายว่าจำเขาได้ แล้วก็ต้องยิ้มเก้อเพราะเขากลับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เล่นเอาเธอยืนอึ้งแทบเป็นใบ้ไปเลยทีเดียว...ถึงเธอจะเคยศีรษะกระแทกเพราะบอดีการ์ดพุ่งชนคราวที่เกิดระเบิดในครั้งนั้น แต่นั่นไม่ทำให้เธอถึงกับความจำเสื่อมนี่นา ทำไมเขาถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่เคยพบกันแถมยังพูดจาถากถางพี่ชายเธอด้วย รู้ได้จากคำพูดว่าเขาต้องมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้หญิงลาตินฯ ซึ่งเขากล่าวหาว่าเป็นสาวใจกล้า ชอบถึงเนื้อถึงตัว เขาอาจเป็นผู้ชายประเภทที่คิดว่าตัวเองหล่อแล้วมักหยิ่ง หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ชายที่แปลกประหลาดคนเดียวในโลกกระมังที่ไม่ชอบให้ผู้หญิงสัมผัสแตะต้อง
ดีละ ถ้าพบกันคราวหน้า เธอจะวิ่งไปจูบปากเขาเสียเลย...มาร์เซียขำตัวเองที่คิดห่ามๆ โอ...ถ้าเธอทำแบบนั้นจริงๆ มาร์กุสคงเขย่าเธอแรงๆ แล้วจับหวดก้นแน่ๆ ถ้าน้องสาวคนเดียวที่เขารักและแสนหวงแหนกล้าทำก๋ากั่นแบบนั้น
ขอให้เขาเดินทางมาร่วมงานแต่งงานของพี่ชายเธอกับญศกาด้วยเถิด พระผู้เป็นเจ้า
‘เลิก หยุดคิดบ้าๆ ไปหาเสื้อผ้าสวยๆ มาใส่ดีกว่ามาร์ซีนญ่า’
หญิงสาวส่ายหน้า หัวเราะขำความคิดพิเรนทร์ของตัวเอง แล้วรีบหยิบเสื้อผ้าที่เธอวางเตรียมไว้หลายชุดมาทาบตัวเพื่อคัดเลือกและลองสวมก่อนลงไปข้างล่างตามนัด ด้วยวันนี้เธอกับว่าที่พี่สะใภ้นัดกันว่าจะออกไปลองชุดเจ้าสาวและชุดเพื่อนเจ้าสาวที่ร้านดีไซเนอร์ชื่อดังในเมือง
มาร์เซียหารู้ไม่ว่ามีอะไรหลายอย่างรออยู่ในอนาคต และมันน่าจะทำให้มาร์กุสยิ่งกว่าอยากกระชากเธอมาทำโทษเสียด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น |
---|