2

พ่อ

               หอพักไม้ของป้าตามีห้องพักทั้งหมดสิบห้อง จากแต่เดิมที่เคยเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้เป็นครึ่งไม้ครึ่งปูนเพื่อความคงทนถาวร ชั้นล่างก่อด้วยอิฐบล็อกฉาบปูนทาสีขาวให้ดูสะอาดสะอ้าน พื้นคอนกรีตขัดมันไม่ปูกระเบื้องเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือหากใครไม่ชอบพื้นสีมอซอ แกก็พอมีแหล่งให้หาซื้อเสื่อน้ำมันมาปูทับเพื่อปกปิดเฉพาะหน้าได้ แต่ที่ผ่านๆ มาทุกคนที่เข้าพักยังหอพักของแกมักไม่เรื่องมากอะไร เพราะค่าเช่าที่ถูกแสนถูกแถมยังมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตแรงๆ ให้ใช้ เป็นใครก็คงไม่กล้ามีปากมีเสียงมากนัก มิวายจะโดนแกไล่ตะเพิดออกไปอยู่ที่อื่นเสียเปล่าๆ

               บนชั้นสองของหอพักเป็นเรือนไม้ ใช้ไม้สักเก่าที่ยังมีสภาพดีมาตีขึ้นเป็นฝาผนัง ด้านบนใกล้กับเพดานเป็นฝาไหลแบบเก่ารูปทรงเดียวกันกับที่เคยเป็นบ้านพักสมัยก่อน เลื่อนเปิดปิดได้เมื่อไม่ต้องการให้คนข้างห้องได้ยินเสียงที่ดังเกินไป และป้าตายังติดมุ้งลวดเพิ่มให้อีกชั้นหนึ่งเผื่อใช้กันยุงได้อีกด้วย ด้านบนของหอพักจึงค่อนข้างโปร่งโล่ง ราคาก็จะถูกกว่าชั้นล่างซึ่งมิดชิดรอบด้านกว่า 

               แต่ที่น่าหวั่นใจก็เห็นจะเป็นเรื่องของห้องน้ำนี่แล ด้วยความที่หอพักเป็นอาคารเก่า ครั้นจะให้ป้าตาสร้างห้องน้ำไว้ทุกห้องก็กระไรอยู่ แกจึงสร้างห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกไว้ใกล้ๆ ริมสุดทางฝั่งตะวันออก และนี่ทำให้คนที่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนผู้ชาย

               “พระพาย อยู่ได้ก่อหล้า” (พระพาย อยู่ได้ไหมลูก)

               เสียงเล็กแหลมของหญิงชราถามหลานสาวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบจริงๆ จังๆ เนื่องจากพระพายสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลไม่ติด เธอจึงเลือกยื่นคะแนนสอบต่อในวิทยาลัยอาชีพใกล้บ้านพ่อแทน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอต้องย้ายมาอยู่กับป้าตาที่นี่

               ห้องพักของพระพายอยู่บนชั้นสอง เป็นห้องไม้ห้องแรกติดกับบันไดขึ้นลงฝั่งตะวันตก และอยู่เหนือห้องทำงานของป้าตาที่ส่วนใหญ่แกมักใช้สำหรับนอนงีบกลางวัน และเก็บเอกสารต่างๆ เท่านั้น ในยามปรกติแกจะอาศัยอยู่ยังเรือนด้านหลัง ห่างออกไปจากหอพักไปไม่กี่ก้าว

               “อยู่ได้ค่ะป้า ไม่เป็นไร” พระพายบอก แม้ห้องที่เธอพักอยู่ตอนนี้จะเล็กกว่าห้องที่บ้านเกือบเท่าตัว แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นห้องนอนของเธอได้อย่างสบายๆ

               ภายในห้องพักริมสุดแห่งนี้มีดีกว่าห้องที่อยู่ถัดออกไปจากเธอเล็กน้อย เนื่องจากมีหน้าต่างถึง 2 ฝั่ง ทำให้ห้องโปร่งโล่งสบาย เตียงนอนของพระพายเป็นเตียงนอนไม้สักที่พ่อให้ช่างที่รู้จักกันประกอบให้ใหม่ แกะสลักหัวเตียงเป็นลายเถาดอกไม้เล็กๆ ติดตั้งชั้นวางเหนือหัวเตียงสำหรับวางของ เพิ่มตู้เก็บของใต้เตียงและบริเวณปลายเตียงให้เพื่อประหยัดพื้นที่ ฟูกนอนเป็นฟูกแผ่นใหม่และผ้าปูที่นอนสีขาวผืนนี้พ่อเธอก็เป็นคนเลือกให้ ดูเหมือนแกจะใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากเหลือเกิน

               “เดวก่อเตวไปอาบน้ำบ้านป้าเน่อ บะต้องไปอาบห้องตังปุ้น” (ประเดี๋ยวก็เดินไปอาบน้ำบ้านป้านะ ไม่ต้องเดินไปอาบทางนู้น)

               ป้าตากำชับ ด้วยไม่อยากให้หลานสาวใช้ห้องน้ำร่วมกับลูกหอคนอื่นๆ แรกเริ่มเดิมทีแกเองก็อยากให้พระพายนอนอยู่ที่บ้านของแก เพียงแต่มันคับแคบและเล็กเกินกว่าจะอยู่กันถึง 3 คน เพราะบ้านของป้าตาแม้จะดูสะดวกสบายกว่า มีห้องนอนถึง 2 ห้องนอน แต่อีกห้องก็ถูกใช้เป็นห้องเก็บของต่างๆ ของแกและลูกสาวแกไปหมดแล้ว จะให้รื้อออกมาก็เกรงว่าจะหาที่เก็บใหม่ไม่ได้ จึงจำใจให้พระพายพักอยู่ที่หอพักแทน

               “ค่ะป้า” พระพายตอบ มือเรียวของเธอขยับเล่นยันต์ห้อยคอของเธอไปพลาง มองไปรอบๆ ห้องไปพลาง เสื้อผ้าของเธอทั้งหมดบัดนี้ถูกเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าและลิ้นชักไว้จนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกหนังสือและเอกสารที่พกมาด้วยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในกล่อง

               “ป้าตา...พ่อจะมากินข้าวด้วยรึเปล่าคะ” พระพายเอ่ยถาม พลางขยับไปจัดแจงเอกสารที่เธอต้องเตรียมไปรายงานตัวในวันพรุ่งนี้

               “มาอยู่ก้า หล้ายี่หยัง” (มาละมั้ง หนูมีอะไรรึเปล่า) หญิงชราเอ่ยถาม

               “อ๋อ พรุ่งนี้มีรายงานตัว...ก็เลย...” พระพายอ้ำอึ้ง ภายในใจลึกๆ ของเธอยังอยากให้พ่อไปส่งรายงานตัวที่วิทยาลัย แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อจะสะดวกหรือเปล่า

               “ถ้ามันไปบะได้ หื้อป้าไปส่งก่อได้ล้อ ปั่นรถถีบไปกำเดวอ่าก่า” (ถ้ามันไปไม่ได้ ให้ป้าไปส่งก็ได้นี่ ปั่นจักรยานไปแป๊บเดียวเอง)

               ป้าตาว่าในขณะที่มือเล็กๆ ของแกหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากย่ามใบเก่า เพราะแกได้เงินมาจากเจ้ามือหวยเรียบร้อยแล้ว จึงอยากแบ่งปันให้หลานสาว แม้พระพายเองจะไม่ได้ขัดสนอะไร มิหนำซ้ำยังมีเงินที่แม่โอนเข้าบัญชีทุกเดือนสำหรับใช้จ่าย เรียกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอะไร แต่อย่างไรเสียป้าตาก็ยังอยากมอบให้ ตามประสาคนแก่ที่อยากให้เงินลูกหลาน

               “มะ...ไม่เป็นไรค่ะป้า แม่โอนเงินไว้ให้แล้ว ป้าเก็บไว้เถอะ” พระพายปฏิเสธ

               “อึ๊ๆ เอาไว้ซื้อคะหนม ตั๋วไข้ได้หยังตั๋วก่อซื้อ ป้ามีปะเลอะ!” (ไม่ๆ เอาไว้ซื้อขนมเถอะ หนูอยากได้อะไรหนูก็ซื้อ ป้ามีเยอะแยะ!)

แกยังคงยืนยันพลางเดินเข้าไปหาพระพาย มือเล็กๆ ยันลงกับที่นอนนุ่มแล้วยัดธนบัตรสีเทาใบโต 1 ใบใส่ไว้ในมือของเธอ ร่างบางจึงจำใจต้องรับมันไว้ สองมือขยับยกขึ้นไหว้ขอบคุณแกที่เมตตาเธอตลอด

               “ขอบคุณค่ะป้า...” สาวเจ้าอมยิ้มหวาน

               “ตั๋วก่อซื้อลิปซื้อแป้งหยังมาทาพ่องก่า ผ่อล่อแป๋งหน้าซีดต๋าซีด” (หนูก็ซื้อพวกลิปสติกพวกแป้งอะไรมาทาบ้างสิ ดูสิทำหน้าซีดหน้าเซียวไปหมด)

               แกว่า ด้วยต้องการให้พระพายรักสวยรักงามบ้าง เพราะแม้จะโตเป็นสาววัย 19 แล้ว แต่เธอก็ไม่เคยสรรหาเครื่องสำอางใดๆ มาประทินโฉม เรียกว่าแต่งหน้าแต่งตาไม่เป็นอย่างใครเขา ยังดีที่พระพายพอแต่งตัวเป็น มิเช่นนั้นคงกลายเป็นยายเฉิ่มแต่งตัวไม่เป็นแต่งหน้าไม่ได้เป็นแน่ 

               จะมีก็แต่น้ำอบที่ป้าตาเคยซื้อให้เมื่อสี่ห้าปีก่อนเท่านั้นที่เธอยังคงใช้อยู่ เพราะพระพายชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันเหลือเกิน กระทั่งทุกวันนี้เธอก็ยังคงใช้มันอยู่เรื่อยๆ ทำให้เนื้อตัวของเธอหอมฉุย

               “หนูแต่งหน้าไม่เป็น” พระพายเอ่ยกับป้าอย่างเก้อเขิน

               “ไปยากหยัง มอกทาๆ ไปหน่าก่า...ไว้ป้าไปกาดนัดป้าจะซื้อมาหื้อ” (จะไปยากอะไร ก็ทาๆ ไปเท่านั้นแหละ...ไว้ป้าไปตลาดนัดป้าจะหาซื้อมาให้)

               ป้าตาอธิบายตามสไตล์ของแก แม้ถ้อยคำเหล่านั้นจะไม่ได้ทำให้ผู้ฟังเข้าใจอะไรมากขึ้นเลยก็ตาม อีกทั้งยังบอกปัดออกไปด้วยรู้อยู่แก่ใจว่า พระพายก็คงไม่เอาเงินที่แกให้ไปซื้อเครื่องประทินโฉมตามที่แกบอกหรอก อย่างมากเธอก็คงหาซื้อพวกอุปกรณ์การเรียนหรือไม่ก็ซื้อขนมมานั่งกินกับสร้อยมาลาเท่านั้น อย่างดีก็เก็บไว้ฝากธนาคาร

               หญิงชราได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะก้าวเดินออกไปพร้อมกับกำชับพระพายให้ตามไปอาบน้ำที่บ้านใหญ่ แล้วจะได้นั่งกินจิ้มจุ่มกัน...

               ตั้งแต่พระอาทิตย์ดวงโตลาลับขอบฟ้า อากาศภายนอกก็เริ่มเย็นลงกว่าเมื่อตอนเย็นอยู่มาก แต่หม้อไฟฟ้าหม้อใหญ่และกลิ่นหอมของน้ำซุปหัวไชเท้าก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้มากทีเดียว ที่ชานด้านหน้าของบ้านชั้นเดียวซึ่งอยู่หลังหอพักเก่า ไฟจากหลอดไฟตะเกียบสีขาวสาดลงกลางชานเรือนตรงบริเวณหม้อต้มไฟฟ้าพอดิบพอดี น้ำซุปสีเหลืองทองเดือดปุดๆ พร้อมกับหัวไชเท้าและแคร์รอตที่ถูกนำลงไปต้มก่อน เพราะสร้อยมาลาชอบกินแคร์รอตนิ่มๆ 

               ส่วนผักอื่นๆ อย่างผักบุ้งนา ผักกาดฮ่องเต้ ป้าตาก็เก็บเอาจากหลังบ้านที่แกปลูกเอาไว้เล่นๆ แต่มันกลับเจริญงอกงามดีเสียอย่างนั้น โดยเด็ดมาล้างให้สะเด็ดน้ำพอชะฝุ่นและดินโคลนออก และเพราะแกไม่ได้ใส่ยาฆ่าแมลงอะไร ใบเขียวๆ ของมันจึงมีร่องรอยแมลงกัดอยู่บ้าง แต่ก็งามพอที่แกจะแจกจ่ายให้ลูกหอเอาไว้ทำกับข้าวเวลาหิวได้

               ส่วนเนื้อหมูป้าตาซื้อจากร้านอ้ายมา เจ้าของร้านขายหมูเจ้าใหญ่ที่สุดในตลาดสด แกเลือกเป็นเนื้อหมูติดมันและสามชั้นโดยให้ทางร้านหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และแล่บางๆ นำมาหมักด้วยน้ำมันงาง่ายๆ จากนั้นปิดฝาทิ้งเอาไว้ให้พอมีรสมีชาติ ส่วนจานเล็กข้างๆ กันเป็นไส้กรอก ลูกชิ้นหมู และฟองเต้าหู้ ครั้นพอเติมผักและเนื้อหมูลงในน้ำซุปที่กำลังเดือดพล่าน ปิดฝาทิ้งไว้ไม่กี่นาทีก็เริ่มรับประทานจิ้มจุ่มแสนอร่อยกับน้ำจิ้มสุกี้สีส้มสวยได้แล้ว

               “ปี้! มีเข้าหุงก่อ” (พี่! มีข้าวสวยมั้ย)

               พ่อติ๊บเอ่ยถามพี่สาว ก่อนป้าตาจะลุกขึ้นไปตักข้าวสวยกลับมาให้อย่างรู้ความต้องการของน้องชายอยู่แล้ว เพราะพ่อติ๊บเป็นคนประเภทที่ว่า หากไม่ได้กินข้าวเป็นกิจจะลักษณะ ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามื้อนั้นมันขาดอะไรไปสักอย่าง แกจึงมักจะตักข้าวมากินกับกับข้าวทุกอย่าง แม้มื้อนั้นจะเป็นหมูกระทะ ก๋วยเตี๋ยว หรือแม้แต่ขนมจีนก็ตาม

               “พระพาย เอาเข้าก่อหล้า” (พระพาย เอาข้าวมั้ยลูก)

               คนเป็นพ่อเอ่ยถามเธอด้วยอีกคน พระพายที่ได้ยินก็เพียงส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เธอตักกินแต่ผักกองโตจนป้าตาต้องรีบคีบหมูชิ้นใหญ่ใส่ในจานเธอให้แทน

               “อ๊ะ ขอบคุณค่ะ!” สาวเจ้ารีบว่า มือเรียวกำตะเกียบมั่น แล้วคีบเนื้อหมูนุ่มๆ จิ้มน้ำจิ้มสุกี้พอให้มีรสชาติ ก่อนจะส่งเข้าปากอย่างสบายใจ พ่อที่มองเธอกินอย่างเอร็ดอร่อยก็พลอยมีความสุขไปด้วยอีกคน

               “ลำแต้” (ดูท่าทางอร่อยเนอะ)

               คนเป็นพ่อแซว ทำเอาพระพายหลุดหัวเราะเขินอายออกมาในทันที เธอพยักหน้าเป็นคำตอบว่า จิ้มจุ่มมื้อนี้อร่อยอย่าบอกใครเชียว ก่อนคว้าแก้วน้ำข้างตัวขึ้นจิบ ดูเหมือนพระพายจะอยากลองขอให้พ่อไปส่งรายงานตัวในวันพรุ่งนี้

               “คือว่า...พรุ่งนี้มีรายงานตัวที่วิทยาลัยน่ะค่ะ...พ่อ...ไปส่งหนูได้รึเปล่า...” สาวเจ้าเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงค่อย ในใจเผื่อใจเอาไว้อยู่แล้วว่าพ่อเธออาจปฏิเสธ

               “หล้าจะไปกี่โมง” (หนูจะไปกี่โมง)

               ก่อนพ่อเธอจะเอ่ยถามพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก รอฟังลูกสาวแกอย่างใจจดใจจ่อ

               “8 โมงค่ะ เริ่มตอน 8 โมง” พระพายว่า เธอมีความหวังขึ้นน้อยๆ

               “อั้นเดวพูกป้อยืมรถอ้ายแอร์ไปส่ง รถเฒ่าตี้บ้านมันโคะโละล้ำไป” (งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อยืมรถพี่แอร์ขับไปส่ง รถเก่าที่บ้านมันเก่าบุโรทั่งเกินไปหน่อย)

               พ่อเธอเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่ว กลัวว่าพระพายจะอับอายที่แกไม่มีรถยนต์ดีๆ ขับไปส่งเธอ เพราะพ่อติ๊บมีอาชีพเป็นหมอเมื่อหมอเมือง หรือหมอผีหมอยากลางบ้าน เงินทองที่หามาได้ในแต่ละวันนั้นไม่ได้มากมายเท่าไหร่ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่หาเช้ากินค่ำไม่ต่างจากแก โรคส่วนใหญ่ที่แกรักษาเป็นโรคเกี่ยวกับวิญญาณ ปัดเป่าด้วยสมุนไพรและพิธีกรรมเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาจากปู่ย่าตายาย แต่บางครั้งลูกค้าไม่มีเงินพอจ่าย แกก็เพียงรับค่าตอบแทนเป็นผลหมากรากไม้ และของที่ทางคนไข้จะพอจ่ายได้เท่านั้น 

               โชคยังดีที่พ่อติ๊บไม่ได้มีหนี้สินอะไร สำหรับพระพายแม่ของเธอก็เป็นคนส่งเสีย จึงทำให้บางคราแกก็อยากรับผิดชอบในส่วนที่แกไม่ได้ดูแลให้ลูกบ้าง

               “อะไรก็ได้ค่ะ รถก็ได้ จักรยานก็ได้ หรือเดินไปก็ได้” พระพายรีบว่า มันไม่สำคัญเลยว่าพ่อจะไปส่งเธอด้วยวิธีไหน มันสำคัญที่ว่าใครไปส่งเธอเท่านั้น และใจเธอคาดหวังให้เป็นพ่อคนนี้

               พ่อติ๊บเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนริมฝีปากบางของแกจะฉีกยิ้มไม่หุบ วันนี้อาจเป็นวันที่ดีของแกวันหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะต่อจากนี้ไปแกจะได้อยู่ใกล้ๆ ลูกสาว และอยากเป็นพ่อที่ดีให้เธอ

               “ปี้ติ๊บคนงาม วันนี้กิ๋นเข้าแลงกับหยังครับ~” (พี่ติ๊บคนสวย วันนี้กินข้าวเย็นกับอะไรครับ~)

ทว่าตอนนั้นเองที่อยู่ๆ ใครบางคนก็พลันเอ่ยเรียกพ่อของพระพายขึ้นมา น่าแปลกที่คำนำหน้าชื่อของพ่อเธอถูกเปลี่ยนไปเป็นคำว่า ‘ปี้’ ที่ส่วนใหญ่ใช้เรียกพี่สาวหรือพี่ผู้หญิง 

พ่อติ๊บหันขวับไปมองตาขวางใส่ แกตวาดลั่นพร้อมกับไล่ชายแปลกหน้าให้หยุดพูดจาประหลาด

“ไอ้ยศ!! ไปไหนก่อไป ไป๊! เดียวกูจะตี๋นตั้งคิงละ ปากก๋าหนะ!!” (ไอ้ยศ!! ไปไหนก็ไป ไป๊! เดี๋ยวกูจะถีบให้ ปากเหรอนั่นน่ะ)

พ่อติ๊บรีบว่า พลางลุกไปคว้าเอารองเท้าแตะของแกปาใส่ชายคนนั้นเสียจนเขาต้องรีบหนีเตลิด หากแต่ก็ทิ้งคำแซวที่พระพายเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครพูดกับเธอเช่นนี้

“ลูกหล้าในเมืองมาแอ๋วหาแม่ก๋าเจ้า~ ฮาๆๆๆๆ”

(ลูกสาวจากในเมืองมาเที่ยวหาแม่เหรอครับ ฮาๆๆๆๆ)

คำพูดนั้นทำเอาวงกับข้าวตอนนี้เงียบสนิท พ่อเธอเอาแต่บ่นอุบอิบก่นด่าชายคนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะที่ป้าตาก็ทำได้เพียงแค่เงียบ เพราะดูเหมือนกับว่าแกเองก็รับรู้เรื่องราวที่ชายคนนั้นเอ่ยแซวมาอยู่แล้ว ทำเอาพระพายแทบไม่คีบอะไรเข้าปาก เธอเป็นห่วงพ่อมากเหลือเกิน

เวลาผ่านไปกว่าหลายนาที รสชาติสุกี้ในหม้อชืดลงสนิท ด้วยเพียงคำพูดของคนเพียงคนเดียวทำให้อาหารเสียรสชาติได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...

ป้าตาปิดเตาพร้อมกับยกเตาไฟฟ้าเข้าไปเก็บยังด้านใน เผื่ออุ่นกินตอนเช้าได้อีกมื้อหนึ่ง ส่วนพระพายนั่งล้างจานอยู่ใกล้ๆ โอ่งน้ำใบใหญ่ มีเพียงจานเล็กๆ ห้าใบเพราะป้าตาใช้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง เธอจึงใช้เวลาล้างจานอยู่เพียงไม่กี่นาที ทันเวลาที่พ่อของเธอกำลังจะลุกเดินกลับบ้านไปพอดิบพอดี

“พ่อคะ!!” ตอนนั้นเองที่พระพายตะโกนเรียกแกออกไป พ่อติ๊บจึงถึงกับสะดุ้งโหยง

“หะ...หือ” แกรีบขานรับ ตีหน้าซื่อเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าท่าทีของพ่อติ๊บเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เพราะตั้งแต่ตอนนั้นแกก็ไม่แตะต้องข้าวในถ้วยอีกเลย มิหนำซ้ำยังเอาแต่นั่งหน้าเศร้า ไม่พูดไม่จามากว่าหลายนาทีแล้ว

“หนู...เดินไปส่งนะ...” พระพายว่า

“ไปยะหยัง อยู่นี่บะดาย...หล้าก่อขึ้นเฮือนไปนอนเหีย พูกลุกเจ้าบะใจ้ก๋า” (ไปทำไม อยู่นี่เอง...หนูก็ขึ้นเรือนไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไม่ใช่เหรอ)

แต่พ่อติ๊บกลับเป็นฝ่ายบอกให้พระพายขึ้นไปพักผ่อนเสียเอง ถึงอย่างนั้นลูกสาวคนนี้ก็ยังคงดื้อรั้น เธอมีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะบอกเขา

“หนู...มีเรื่องอยากคุยด้วย...ได้มั้ย...” เสียงพระพายแผ่วลงมากทีเดียว และมันทำเอาพ่อติ๊บถึงกับถอนหายใจ

“อั้น...อั้นป้อเตวไปส่งหล้าบ่อ มีอะหยังเฮาก้อยอู้กั๋น” (งั้น...ถ้าอยากนั้นพ่อเดินไปส่งลูกดีกว่ามั้ย มีอะไรเราค่อยคุยกัน)

พ่อติ๊บเสนอ พระพายจึงรีบพยักหน้าตอบ...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น