3

3

พ่อ (2)

               บานประตูไม้ด้านหน้าเปิดอ้าออกกว้างเพื่อรับลมเย็น เพียงแต่ปิดประตูมุ้งลวดกันยุงกันแมลงเอาไว้อยู่ ผ้าม่านสีขาวผืนบางที่ติดขอบประตูด้านบนขยับไหวน้อยๆ ในขณะที่สองพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่บนเตียงหลังใหญ่ 

               พระพายนั่งเหยียดขาอยู่บนเตียงนอนของเธอ พิงแผ่นหลังบางลงกับขอบหน้าต่างไม้บานโตฝั่งตะวันตก ในขณะที่พ่อติ๊บนั้นนั่งอยู่ใกล้ๆ ห้อยขาลงข้างเตียง ทั้งสองต่างนั่งกันอยู่เงียบๆ อย่างนี้มาหลายนาทีแล้ว ยิ่งพระพายเงียบ พ่อติ๊บเองก็ไม่คิดจะเปิดประเด็นพูดจาใดๆ ก่อนคนเป็นพ่อจะเรียกเธอ

               “หล้า...” 

               “ขา...” และลูกสาวคนนี้ขานรับด้วยเสียงค่อยพอๆ กัน

               “หล้าบะต้องไปฟังกำไขเน่อ ไขจะว่าอะหยังจ้างมัน” (หนูไม่ต้องไปฟังคำพูดใครนะ ใครจะว่ายังไงก็ช่างมัน)

               พ่อเธอว่า แกยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนายยศที่แซวแกด้วยวาจาแปลกๆ พูดจาเหมือนกับว่าแกเป็นหญิง ทั้งๆ ที่แกเองก็แต่งงานมีลูกแล้วแท้ๆ แต่แม้พ่อติ๊บจะพยายามทำให้พระพายรู้สึกว่า ตัวเองเป็นพ่อตามภาพจำของคนทั่วไปเพียงใดก็ตาม มันก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วพ่อติ๊บไม่ได้เป็นอย่างที่พยายามแสดงออกมา 

               มันเป็นความจริงที่ว่าพ่อติ๊บแต่งงานช้า กว่าจะได้แต่งงานอายุแกก็ปาไปกว่า 39 ปีแล้ว นั่นก็เพราะสาเหตุที่แกเองรู้อยู่แก่ใจ ว่าแกไม่ได้ชอบผู้หญิง สิ่งแรกที่บ่งบอกได้ชัดเจนคือ พ่อติ๊บชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่สามารถแสดงอากัปกิริยาท่าทางเหมือนผู้หญิงได้ และไม่อาจเปิดเผยกับใครได้ว่า แกกำลังคบหาอยู่กับนายมั่น หลานชายสัปเหร่อของหมู่บ้านข้างๆ

               ทว่าความรักนี้อยู่ไม่ยืนยาวเท่าที่มันควรจะเป็น เมื่อนายมั่นหายตัวไปอย่างปริศนา และทางครอบครัวของนายมั่นบอกกับทุกคนว่า อีกฝ่ายพาสาวหนีออกจากหมู่บ้านไปเสียแล้ว พ่อติ๊บที่ทราบข่าวถึงกับใจสลาย แม้แกจะไม่เชื่อคำปากของคนบ้านนั้น แต่ก็ไม่สามารถตามหานายมั่นเจอ 

               คนรักที่หายตัวไปทำให้ชายคนนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ นานวันเข้าคนทางบ้านเริ่มทนการกระทำของแกไม่ไหว จึงจับคลุมถุงชนกับหญิงสาวต่างหมู่บ้าน และนั่นคือการเริ่มต้นการใช้ชีวิตของพ่อติ๊บในแบบที่ต่างออกไปจากที่แกหวังเหลือเกิน

               “ไอ้ยศมันก่อปากปะดี้ไปอ๊ะ อู้ไปเล่ย” (ไอ้ยศมันก็ปากเสียไปอย่างนั้น พูดไปเรื่อย)

               พ่อติ๊บยังคงพยายามอธิบาย คิ้วหนาขมวดเป็นปมแน่นอยู่กลางหน้าผาก และไหนจะเสียงหัวใจที่เต้นดังโครมครามเสียยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า มือไม้สั่นผับๆ ด้วยไม่ต้องการให้พระพายรับรู้ว่าแกเป็นอะไรกันแน่

               หลังจากที่พ่อและแม่ของพระพายแต่งงานกัน ก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขาทั้งสองจะไปด้วยกันได้ดี เพราะไม่นานแม่ของเธอก็ตั้งท้อง แต่เด็กน้อยที่เกิดมามีบุญไม่มากพอที่จะเติบใหญ่ ไม่กี่วันที่ลืมตาดูโลกเด็กน้อยก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทั้งคู่เสียใจมากและจมอยู่กับความทุกข์เช่นนี้ไปกว่าขวบปี กระทั่งแม่ตั้งท้องลูกสาวคนที่สอง และมีชะตากรรมเดียวกันกับพี่สาว ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก พ่อติ๊บเลิกมีอะไรกับแม่ของเธอ และหันหน้าเข้าหาทางธรรมมากขึ้น แกหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน ไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวแม่อีกเลย

               นานวันเข้าภรรยาก็เกิดความสงสัย ว่าเหตุใดหลังจากตื่นนอน พ่อติ๊บจะต้องลุกออกไปจากที่นอนเงียบๆ เดินเข้าไปในกระท่อมหลังเล็กข้างหลังลำธาร ใช้เวลาอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะจับได้ว่าแท้ที่จริงแล้วที่พ่อติ๊บไม่ยอมมีอะไรกับแก เพราะเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการตามหาชายคนรักที่หายตัวไป พ่อติ๊บคร่ำครวญในทุกคราที่รับรู้ว่าเขาคนนั้นไม่อาจหวนคืนมาได้อีก 

               คืนนั้นแม่ของพระพายจึงบุกเข้าไปในกระท่อมเล็กที่เคยเป็นรังรักของสามีกับอดีตชายชู้ ทำลายทุกอย่างจนพังพินาศ พ่อติ๊บโกรธมากและทำร้ายร่างกายแม่ ก่อนจะข่มขืนกระทำชำเราให้สาแก่ใจด้วยโทสะที่อยู่เหนือสติ ครั้นพอเช้าตรู่ก็ดูเหมือนทุกอย่างยังคงเป็นปรกติ เพียงแต่ทั้งสองคนไม่แม้แต่จะพูดจาหรือมองหน้ากัน

               ผ่านไปหลายสัปดาห์ แม่ของเธอก็เริ่มมีอาการแพ้ท้องจึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์อีกครั้ง แกทำใจที่จะบอกเรื่องนี้แก่คนรอบตัวอยู่นาน แต่ก็ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเลี้ยงดูเด็กในท้องคนนี้เป็นอย่างดี แม้หัวใจจะเจ็บปวดจากการสูญเสียมามากแล้วก็ตาม 

หลังจากวันที่มีปากเสียงกัน พ่อติ๊บก็ได้สติแล้วทบทวนการกระทำของตัวเอง จึงรู้สึกผิดและละอายใจ ไม่กล้าสู้หน้าภรรยาอยู่พักใหญ่ แต่ครั้นพอทราบข่าวภรรยาก็รีบกลับมายังเรือน บรรยากาศวันนั้นแสนกระอักกระอ่วน ก่อนที่ทั้งสองคนจะขอโทษในทุกสิ่งที่ได้ล่วงเกินต่อกันไป แล้วตกลงกันว่า หากลูกคนนี้เกิดมาได้ดั่งใจหวัง พวกเขาจะรักและคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี ขอเพียงให้เธอมีชีวิตรอดก็พอ 

               ตั้งแต่วันนั้นมาทั้งคู่จึงคอยช่วยกันดูแลประคบประหงมท้องนี้อย่างดีที่สุด ไม่ใช่ในฐานะของสามีภรรยาเหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่ในฐานะของพ่อและแม่ของลูกเท่านั้น

กระทั่งพระพายลืมตาดูโลกและชะตากรรมของเธอแตกต่างออกไปจากลูกสองคนก่อนหน้านี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อจึงเรียกพระพายว่า ‘หล้า’ ที่มาจากคำว่า ‘ลูกหล้า’ หรือลูกคนสุดท้องนั่นเอง...

“พ่อคะ...” ตอนนั้นเองที่พระพายเอ่ยขึ้นปรามเขา เพราะดูเหมือนพ่อของเธอจะกระวนกระวายใจเสียจนแทบพูดจาไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว

“หือ...” พ่อรีบขานรับ

“หนูรู้...” พระพายบอก มือเล็กๆ วางลงบนหลังมือสากของพ่อ “หนูรู้มาแต่แรกอยู่แล้วว่าพ่อเป็นอะไร” 

และประโยคถัดมาทำเอาน้ำตามากมายไหลลงอาบแก้มตอบของพ่อติ๊บ

“แม่เล่าให้ฟังแล้ว...และหนูโอเค” พระพายยืนยัน

เสียงสะอื้นของพ่อดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เนื้อตัวของพ่อติ๊บสั่นสะท้านไปหมดพร้อมกับใบหน้ายับยู่ยี่ พระพายรีบโผเข้ากอดแก ก่อนที่สองมือหยาบกร้านนี้จะโอบกอดเธอเช่นกัน 

มันนานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กอดลูกสาว มันนานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกัน แม้จะพบหน้ากันปีละหนสองหน แต่กลับรู้สึกห่างไกลกันเหลือเกิน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พ่อติ๊บรู้สึกว่าแกเข้าใกล้ลูกสาวได้มากที่สุด เพราะแกไม่เคยคิดว่าพระพายจะรับเรื่องแบบนี้ได้จนกระทั่งวันนี้

“หล้าบะอายก๋า ป๋อหล้าเป็นกะเทยหนา...ป้อ...ป้อบะฮู้จะอู้กับลูกจะใด ป้อเสียใจ...ป้อมัน...” (หนูไม่อายเหรอ พ่อหนูเป็นกะเทยนะ...พ่อ...พ่อไม่รู้จะพูดกับลูกยังไง พ่อเสียใจ...พ่อมัน...)

พ่อติ๊บสะอึกสะอื้น กระชับกอดลูกสาวแน่นอย่างรู้สึกสำนึกผิด แกคิดตลอดมาว่าสิ่งที่แกเป็นอยู่มันทำให้ลูกสาวอับอาย ไม่มีใครอยากรับรู้ว่าพ่อของตัวเองไม่เหมือนคนอื่น แต่วันนี้ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว สิ่งที่พระพายต้องการหาใช่พ่อตามเพศสภาพหรือร่ำรวยล้นฟ้าไม่ เพียงแต่ขอให้เป็นแกคนเดียวก็พอ...

“ไม่อาย ไม่เคยอาย” คนเป็นลูกบอก ร่างเล็กๆ สะอึกสะอื้นพอๆ กัน และเธอเองก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด มันเป็นครั้งแรกของเธอเช่นกันที่เอื้อนเอ่ยความในใจออกมา

“หนูรักพ่อที่พ่อเป็นพ่อ...ไม่ใช่ที่พ่อเป็นผู้ชาย...” เจ้าตัวน้อยยังคงยืนยัน

“ป้อก่อฮักหล้าหนา ป้อฮึกลูกขนาด บะเกยฮักไข้เต้าหล้า ฮักเหลือชีวิตป้อก่อน” (พ่อรักหนูนะลูก รักลูกมาก ไม่เคยรักใครเท่าหนู รักยิ่งว่าชีวิตพ่ออีก)

แกบอกทั้งที่สะอึกสะอื้น น้ำตามากมายยังคงไหลลงอาบแก้ม พร้อมกับน้ำมูกใสๆ ที่ไหลย้อยเปรอะใบหน้าไปหมด มือที่หยาบกร้านของพ่อยังคงโอบกอดลูกสาวอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ คลายออกมาเช็ดน้ำตาตัวเอง 

พระพายที่เห็นน้ำตาของพ่อก็พลันขยับไปคว้ากระดาษทิชชูที่หัวเตียงออกมาช่วยเช็ดให้ ก่อนทั้งคู่จะมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ปลายจมูกของแต่ละคนแดงแจ๋เป็นมะเขือเทศสุก ใบหน้าทั้งสองเปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตา ก่อนที่พวกเขาจะหลุดขำออกมาพร้อมๆ กัน เพราะหากนั่งมองดีๆ แล้ว ใบหน้าของทั้งคู่เหมือนกันอยู่มากเหลือเกิน

“หนูหน้าเหมือนพ่อเลย” พระพายว่า

“ก่อตั๋วเป็นลูกป้อล้อ จะหื้อไปเหมือนไข” (ก็หนูเป็นลูกพ่อนี่นา จะให้ไปเหมือนใคร)

พ่อติ๊บว่าพลางลูบหัวเล็กๆ ของลูกสาว ยื่นหน้ามาหอมกระหม่อมน้อยๆ ที่แกเคยจูบเคยหอมสมัยที่พระพายยังเป็นเด็กๆ มันนานเหลือเกินที่แทบไม่ได้เข้าใกล้ลูก มันเนิ่นนานเหลือเกินจริงๆ

“นอนเหีย พูกลุกเจ้า” (นอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นเช้า)

               พ่อบอก พระพายจึงพลันพยักหน้ารับระรัว ริมฝีปากอิ่มของเธอยิ้มหวาน และเธอดีใจเหลือเกินที่วันนี้พวกเธอทั้งสองได้พูดคุยกันอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อนานมาแล้ว

               คนเป็นพ่อขยับขึ้นมาปิดหน้าต่างบานใหญ่ฝั่งที่ติดกับเตียงนอนเธอ ลงกลอนพร้อมกับบริกรรมคาถาหนึ่งแผ่วเบา ก่อนจะขยับมาห่มผ้าให้ลูกสาว เพราะคืนนี้อากาศเย็นลงมากเหลือเกิน ผ้าห่มสีขาวที่พ่อเลือกซื้อมาจากโรงงานชุดเครื่องนอนด้วยเงินก้อนน้อยๆ ของแกหนาพอจะทำให้พระพายนอนหลับอุ่นสบาย และมันเข้ากับที่นอนไม้สักที่แกให้ช่างประกอบให้เธอเหลือเกิน

               “ขอบคุณสำหรับที่นอนนะคะ ป้าตาบอกว่า...พ่อให้ช่างทำให้ใหม่เหรอ” พระพายเอ่ยถาม

               “เปื้อนป้อหยะ เปิ้นเป๋นสล่าไม้...งามก่อ...” (เพื่อนพ่อน่ะ แกเป็นช่างไม้...สวยมั้ย...) พ่อติ๊บตอบก่อนจะถามความเห็นจากเธอ

               “สวยค่ะ สวยมากเลย” 

               พระพายตอบไปตามตรง เธอยิ้มเสียจนแก้มปริ ก่อนพ่อเธอจะเป่าลมลงบนกระหม่อมน้อยๆ ฝ่ามือหนาเกือบจะขยับลงปาดเช็ดกับสนเท้าของตัวเอง ด้วยเผลอตัวตามความเชื่อที่ว่า หากใช้ฝุ่นหรือไคลจากส้นเท้าปาดเช็ดหน้าผากเด็กน้อย จะทำให้ผีมองไม่เห็นและทำให้ภูตผีปีศาจไม่ลักพาตัวเด็กไป แต่เพราะพระพายโตเป็นสาวมากแล้ว มันคงไม่ดีเท่าไหร่

               “เดี๋ยวหนูก็ต้องลุกไปล็อกประตูอยู่ดี” พระพายแซวคนเป็นพ่อที่เพียงอยากห่มผ้าให้ 

               พ่อติ๊บหัวเราะร่วนในความเปิ่นของตัวเอง ก่อนจะขยับลุกเดินออกไปยังด้านนอก ให้พระพายเดินมาปิดล็อกประตูให้เรียบร้อยเสียก่อนที่แกจะเดินกลับบ้าน

               ไฟในห้องนอนพระพายถูกปิดลงและวันนี้คงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เว้นเสียแต่อะไรบางอย่างทำให้เจ้าของห้องเล็กๆ นี้นอนไม่หลับ อาจเพราะแปลกที่แปลกทาง ไม่เคยนอนในหอพักมาก่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอยังคงเปิดค้างท่ามกลางความมืดมิด ก่อนมันจะค่อยๆ คุ้นชินกับความมืดและพอมองเห็นอะไรบางอย่างรอบตัว

               “น่ากลัวจัง...” พระพายเอ่ยกับตัวเอง ตอนนั้นเองที่เสียงตุ๊กแกเจ้าถิ่นร้องดังสนั่น สองมือเธอกระชับผ้าห่ม รั้งขึ้นปิดลำคอระหงสนิท ใบหูเล็กฟังสิ่งต่างๆ ภาวนาในใจว่าขออย่าให้มันอยู่ภายในห้องนี้เลย

               เสียงลมหวีดหวิวที่โชยพัดเข้ามาผ่านซอกเล็กๆ ของบานหน้าต่างทำให้หัวใจดวงน้อยหวาดหวั่นเหลือคณนา ร่องฝาไหลด้านบนผนังห้องเธอเปิดเอาไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท มันน่าแปลกใจที่พระพายกลับรู้สึกว่า มีใครบางคนจ้องมองเธอผ่านช่องฝาไหลนั้นอยู่แทบตลอดเวลา แต่เวลานี้ที่เจ้าของห้องข้างๆ ยังไม่กลับมานี่สิน่าแปลกใจกว่า ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังลอดประตูห้องของเธอ ด้วยเพราะพื้นเป็นไม้เก่า จึงมีเสียงไม้ลั่นให้พอได้ยินอยู่บ้าง 

               เจ้าของเสียงฝีเท้าจากรองเท้าส้นสูงค่อยๆ เดินผ่านหน้าห้องเธอไป กระทั่งเสียงปลดล็อกกลอนประตูของห้องข้างๆ ทำให้พระพายรับรู้ว่าหล่อนกลับมาถึงแล้ว

               “กลับมาดึกจัง” 

               แสงไฟจากห้องข้างๆ สว่างขึ้นในทันที ดูเหมือนหล่อนคนนี้จะชื่อพี่พร เป็นสาวโรงงานอาหารกระป๋องที่ตั้งห่างจากหอพักนี้ประมาณสิบถึงสิบห้ากิโลเมตรเห็นจะได้ เพราะหอพักใกล้ๆ โรงงานนั้นเต็มหมดแล้ว และราคาก็สูงใช่เล่น การเช่าหอพักที่อยู่ห่างออกไปและมีรถรอรับส่งยังหน้าปากซอยฟรีจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 

               ครั้นเมื่อหล่อนกลับมาถึงก็เพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้มตัวลงนอน ไฟในห้องปิดลงหลังจากเปิดได้เพียงห้านาที

               “ไม่อาบน้ำเหรอ...” พระพายเอ่ยกับตัวเองเบาๆ อย่างสงสัย ก่อนเธอจะรีบสลัดความคิดนี้ออกไปด้วยมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเธอ

               ร่างบางยังคงพยายามข่มตานอน แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับยากเย็นเหลือเกิน...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น