4

4

รายงานตัว

 

               จักรยานยนต์สีแดงคันใหม่ของลุงแอร์จอดอยู่ยังหน้าหอพักไม้เก่า ใกล้ๆ กับแคร่ไม้ที่สร้อยมาลานั่งอยู่และบัดนี้หล่อนก็นิ่งงัน เพราะมีคนเอ่ยทักทายไปเมื่อครู่ ก่อนพวกเขาจะออกไปรายงานตัวที่วิทยาลัยเดียวกันกับพระพาย ทิ้งให้หล่อนนั่งเงียบกริบไปอย่างนั้น ในขณะที่พระพายซึ่งสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวอ่อนตัวโตทับเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวสะอาดกุลีกุจอลงมาจากชั้นสอง เพราะอากาศเช้านี้เย็นเฉียบอยู่มาก ขาเรียวในกระโปรงทรงเอสีกรมท่าจึงเกิดอาการขนลุกเกรียวไปตามๆ กัน

“สายแล้วๆ” พระพายว่าพลางก้าวขาลงมาจากบันไดหลักข้างห้องพักของเธอ พร้อมกับถุงผ้าที่เต็มไปด้วยเอกสารรายงานตัว เธอกอดมันแน่นในขณะที่พยายามสวมรองเท้าคัตชูหนังสีดำให้เข้าที่เข้าทาง เส้นผมยาวสีดำสนิทที่ถักเปียไว้ด้านหลังผูกด้วยริบบิ้นสีขาวสะอาด เธอสวมหมวกไหมพรมสีเดียวกันที่ป้าตาถักไว้ให้ เพราะครั้นอากาศเย็นลงทีไร พระพายมักมีอาการปวดหัวอยู่ตลอด

               “ขะใจ๋! นี่มันกี่โมงแล้วอี่หล้าเหย!” (เร็วๆ นี่มันกี่โมงแล้วลูกกกก!!)

               เสียงเล็กแหลมของป้าตาดังลั่น ในขณะที่แกนั่งเฝ้าข้าวหลามกระบอกยาวยังกองไฟกองใหญ่ อาศัยผิงไฟให้อุ่นไปด้วยและเผาข้าวหลามไปด้วยในตัว มือเล็กๆ ของแกกวักระรัวเร่งเร้าให้พระพายรีบจ้ำอ้าว เพราะเธอตื่นสายในวันรายงานตัววันแรก ร่างบางจึงจำต้องเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ กระโจนซ้อนรถจักรยานยนต์ที่พ่อเธอขึ้นคร่อมรออยู่แล้ว มือหนึ่งเกาะบั้นเอวของพ่อติ๊บ ก่อนที่อีกมือหนึ่งโบกให้สร้อยมาลา 

               ครั้นหลานสาวพระพายที่กำลังนั่งห่มผ้านวมผืนหนาอยู่บนแคร่ใหญ่เห็นน้าโบกมือมา สร้อยมาลาก็พลันโบกมือตอบ แม้สีหน้าของหล่อนจะยังคงนิ่งงันเช่นเดิมก็ตาม

               “ขับรถดีๆ เน่อติ๊บ!” (ขับรถดีๆ นะติ๊บ!)

ป้าตาตะโกนย้ำ ก่อนรถจักรยานยนต์สีแดงที่พ่อติ๊บยืมมาจะค่อยๆ เคลื่อนออกไป เครื่องยนต์ 125 ซีซีแรงกว่ารถเก่าของพ่อที่ไม่ถึง 100 ซีซีอยู่มาก พอบิดคันเร่งเบาๆ ก็พุ่งฉิวไปข้างหน้า นับว่าแตกต่างจากรถเก่าของพ่อที่บิดสุดมือแล้วก็ยังคงคลานเป็นเต่า มิหนำซ้ำพลอยจะสั่นผับไปทั้งคันด้วย

               ถนนปูนเลนเดียวท่ามกลางตรอกซอกซอยเล็กๆ พามุ่งหน้าสู่ถนนปูนสองเลนที่พอให้รถยนต์คันใหญ่ขับสวนกันไปมาได้สบายๆ พ่อติ๊บขับลัดเลาะกระทั่งไปโผล่ยังเส้นทางใหม่ที่พระพายไม่เคยเห็น นั่นคือถนนคันคลองชลประทาน ปากทางเข้าถนนสายนี้เป็นป่าช้าใหญ่ที่เมื่อหลายปีก่อน เคยมีข่าวเรื่องการทิ้งศพเด็กทารกมากมายเอาไว้ แต่บัดนี้ข่าวซาลงมากแล้ว

               มือเรียวของพระพายกระชับบั้นเอวของพ่อแน่นขึ้นน้อยๆ ด้วยรับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากสถานที่อันน่าขนลุก ก่อนเธอจะหันไปมองเมรุใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมกว้างๆ จ้องมองคราบเขม่าสีดำที่ติดอยู่ตามขอบของประตูเมรุ พลางไล่สายตาขึ้นไปยังปล่องควันสูง ก่อนจะสะดุดเข้ากับเท้าเรียวซีดเผือดที่ห้อยลงมาจากยอดปล่องควัน ชายผ้าซิ่นสีดำสนิททิ้งตัวลงแน่นิ่ง คนเป็นพ่อจึงกระแอมเสียงดังให้พระพายหยุดมองสำรวจอะไรแปลกๆ เสียที

               “พระพาย” พ่อเธอร้องบอก

               เจ้าตัวน้อยของพ่อหันขวับกลับมามองด้านหน้า เธอซบหน้าลงกับแผ่นหลังบางของพ่อ กระชับมือเย็นเฉียบกำชายเสื้อของพ่อแน่นขึ้น พร้อมกับริมฝีปากอิ่มที่เอาแต่พร่ำสวดมนต์บทหนึ่งขึ้นเบาๆ 

               พ่อติ๊บถึงกับถอนหายใจ แต่ก็จำต้องขับไปต่อ ด้วยเกรงว่าจะทำเอาลูกสาวไปรายงานตัวสาย จึงไม่อาจหยุดปลอบใจได้

รถจักรยานยนต์สีแดงแล่นเลียบไปตามคลองชลประทานที่น้ำในคลองวันนี้ไหลเอื่อยเฉื่อย ก่อนความเร็วของรถจะลดลงน้อยๆ เมื่อผ่านศาลช้างเก่าแก่ บริเวณนั้นมีต้นมะขามเฒ่าขนาดมหึมายืนต้นสูงตระหง่านเคียงคู่ไปกับต้นงิ้วใหญ่ พ่อติ๊บรับรู้ได้ว่าศาลไม้แห่งนี้มีเจ้าของศาลดูแลอยู่แล้ว จึงค้อมศีรษะลงน้อยๆ อย่างแสดงความเคารพ 

พระพายเองก็พลันยกสองมือขึ้นไหว้สา1ด้วยอีกคน กระทั่งผ่านพ้นเขตศาลช้างใหญ่ไป รถจักรยานยนต์คันนี้จึงค่อยๆ กลับมาขับด้วยความเร็วเท่าเดิม...

 

               ภายในบริเวณวิทยาลัยบัดนี้เต็มไปด้วยรถรามากมายที่จอดเรียงราย ตั้งแต่ปากทางเข้าทางทิศตะวันตกยาวไปถึงวงเวียนรอบต้นงิ้วใหญ่ พ่อติ๊บคิดในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่แกขับรถจักรยานยนต์มาส่งพระพาย เกิดให้ลูกสาวซ้อนจักรยานป้าตามาคงลำบากน่าดู เพราะรถราวิ่งกันวุ่นวายไปหมด 

               พ่อติ๊บขับเลี้ยวลงตามทางลาดของเส้นทาง ผ่านอาคารเรียนรวมกลางมุ่งตรงไปยังฝั่งตะวันออกของวิทยาลัย ตรงเข้าสู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ซึ่งเป็นคณะใหญ่รองลงมาจากวิศวกรรมศาสตร์

               “ต๋ำหมู่นี่น่าก้า...” (แถวนี้ละมั้ง...)

               พ่อติ๊บว่าพลางขับเข้าไปจอดยังบริเวณด้านหน้าทางเข้าใหญ่ที่บัดนี้ถูกกั้นด้วยราวกั้นเหล็ก อาจารย์และคณะกรรมการนักศึกษาคอยช่วยกันแจ้งรายละเอียดการลงทะเบียน กฎข้อห้าม และสถานที่ติดต่อต่างๆ ให้ผู้ปกครองที่พานักศึกษาใหม่มารายงานตัวในวันนี้ และข้อหนึ่งที่ทำเอาพ่อติ๊บถึงกับฉงนนั่นคือ นักศึกษาใหม่ทุกคนต้องถอดเสื้อกันหนาวฝากเอาไว้ เนื่องจากการรายงานตัวจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการถ่ายรูปสำหรับบัตรประจำตัว และนักศึกษาต้องถอดเสื้อกันหนาวเพื่อให้เห็นเครื่องแบบอยู่แล้ว ทางอาจารย์จึงขอแจ้งรายละเอียดนี้เอาไว้ก่อน 

               แต่อากาศในวันนี้เย็นจนหนาวมากเหลือเกิน พ่อติ๊บจึงไม่เห็นด้วยกับกฎข้อนี้ 

               “เดวๆ เดวก่อนอาจ๋าน หนาวบะจะต๋าย จะหื้อถอดเสื้อกั๋นหนาวออก หยังใดนิ” (เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนอาจารย์ หนาวจะตาย จะให้ถอดเสื้อกันหนาวออกเนี่ยนะ ยังไง)

               ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาลงจากรถจักรยานยนต์เลยเสียด้วยซ้ำ พ่อติ๊บก็พลันโวยวายถามขึ้นเสียงดัง ทำเอาเหล่าอาจารย์และกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ต่างพากันเดินมาแก้ตัวกับแกพัลวัน มิหนำซ้ำผู้ปกครองของนักศึกษาหลายคนที่ไม่เห็นด้วยก็ต่างพากันมายืนออ

               “เดี๋ยวขึ้นอาคารไปก็อุ่นแล้วครับคุณพ่อ เพราะถ้าเกิดต้องถ่ายรูป ต้องรับเอกสารเพิ่มเติมและอุปกรณ์ต่างๆ มาด้วย เด็กๆ จะต้องหอบของเยอะ ทางวิทยาลัยจึงแจ้งให้ถอดเสื้อกันหนาวออกดีกว่า” อาจารย์ชายคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามาหาพลางพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มของผู้ปกครองจะไม่ค่อยอยากเจรจาเสียเท่าไหร่

               “ก่อรายงานตั๋วก่อหอบกำเดวอ่าก่า! เสื้อกั๋นหนาวมันใส่กับตั๋วลู่ ถอดใส่ๆ ไปยากหยัง แล้วหละอ่อนมันหนาวอ่า หื้อยะใด!!” (ก็รายงานตัวก็หอบแป๊บเดียวเอง! เสื้อกันหนาวมันใส่ไว้ติดกับตัวนี่ ใส่ๆ ถอดๆ จะยากอะไร แล้วตอนนี้เด็กเค้าหนาว จะให้ทำยังไง!!)

               พ่อติ๊บยังคงไม่ยอม ในขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ โวยวายแทรกขึ้นมานั้นเอง พระพายที่ยืนอยู่ข้างหลังก็จำต้องสะกิดแขนแกเบาๆ เป็นเชิงปรามให้พ่อเลิกโวยวายก่อนที่เธอจะไปรายงานตัวช้า คนเป็นพ่อถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับกฎบ้าๆ บอๆ เช่นนี้ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ 

               พระพายถอดเสื้อกันหนาวฝากให้พ่อติ๊บนำกลับไปด้วย นั่นรวมถึงหมวกไหมพรมสีขาวของเธอด้วยเช่นกัน

               “เดี๋ยวถ้าเสร็จแล้วหนูโทร. บอกพ่อนะ” เธอเอ่ยขณะจัดแจงเสื้อผ้า มือเรียวลูบแขนที่ขนเส้นเล็กตั้งขึ้นชูชัน เพราะอากาศและสายลมเย็นโชยเข้ามาบาดผิวกายเสียจนรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ทีเดียว

               “หนาวก่อหล้า” (หนาวมั้ยลูก)

               พ่อติ๊บถามอย่างเป็นห่วง ถึงอย่างนั้นพระพายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะอย่างไรเสียเธอก็จำเป็นต้องอดทน กระทั่งพ่อเอาลิปสติกแท่งเล็กในกระเป๋าเสื้อกันหนาวออกมาให้เธอ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้ทาลิปสติกแท่งนี้ก่อนที่จะขึ้นไปรายงานตัว คนเป็นลูกจึงยื่นหน้าไปหาแทนคำตอบที่ว่า ‘ช่วยทาลิปให้หน่อยค่ะ’ 

               พ่อติ๊บถึงกับเผลอขำออกมาน้อยๆ มือเรียวที่ค่อนข้างหยาบกร้านเชยคางเล็กของลูกสาวขึ้น แล้วแต้มลิปสติกสีใสลงบนริมฝีปากเธออย่างชำนาญทีเดียว

               “สวยมั้ย” พระพายเอ่ยถาม

               “งาม งามขนาด ปุ้น! งามไปถึงดาวอังคารปุ้น!” (สวย สวยมาก นู่น! สวยไปถึงดาวอังคารนู่น!)

               พ่อติ๊บว่าพลางหัวเราะร่วน ลืมเรื่องกฎที่อาจารย์ให้ลูกถอดเสื้อกันหนาวไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว เพียงแค่เห็นเจ้าตัวเล็กออดอ้อนแก เท่านี้โลกของแกก็สดใสขึ้นเป็นกอง

               “หนูไปละนะ” พระพายบอกพร้อมกับยกสองมือขึ้นไหว้สวัสดี ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายพ่อเธอที่ถูกกันให้อยู่ยังด้านนอกราวกั้นเหล็ก เพราะมีเพียงเด็กนักศึกษาเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้

 

               เป็นจริงดั่งคำของอาจารย์และกลุ่มนักเรียนนักศึกษารุ่นพี่ว่า หากเดินเข้าไปในตัวอาคารแล้วอากาศจะอุ่นขึ้นกว่าด้านนอก เพียงแต่มันอาจจะอุ่นขึ้นหนึ่งถึงสององศาเท่านั้น นักศึกษาบางคนจึงต้องขยับเนื้อขยับตัวไปมาเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ส่วนพระพายนั้นทำได้เพียงยืนถูมือไปมาระหว่างรอเข้าแถวร่วมกับนักศึกษาใหม่คนอื่นๆ ทนหนาวอยู่กว่าหลายนาที ก่อนรุ่นพี่จะเดินนำพวกเด็กๆ ขึ้นไปรายงานตัวตามห้องต่างๆ

               การจัดการของวิทยาลัยเป็นไปอย่างมีระเบียบ นักศึกษาหน้าใหม่เดินเรียงแถวไปตามทางเดินหน้าห้องเรียนที่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องสำหรับลงทะเบียน รับของ รับเอกสาร ทุกคนเดินวนขึ้นไปตามอาคารเรียนของแต่ละสาขา ถ่ายภาพสำหรับบัตรประจำตัว ก่อนที่จะเดินลงมายังปลายทางซึ่งก็คือชั้นหนึ่งอีกครั้ง เพื่อชำระค่าใช้จ่ายตามที่ระบุเอาไว้ในเอกสาร 

               โต๊ะยาวเรียงรายไปเต็มลานว่างใต้อาคารหลังใหญ่ ให้นักศึกษาได้ชำระเงินอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่อีกกิจกรรมหนึ่งที่ดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าการรายงานตัวในวันนี้เห็นจะเป็นการรับน้องของแต่ละคณะ ที่บัดนี้รุ่นพี่แต่ละคนยืนดักรอรุ่นน้องคณะตัวเองอยู่แล้ว

               “น้องๆ คณะศิลปกรรมชำระเงินแล้วแยกออกมาทางนี้นะครับ” รุ่นพี่ผู้ชายตัวโตชูป้ายผ้าที่เขียนข้อความยินดีต้อนรับน้องๆ ขึ้น เพื่อแจ้งเด็กใหม่ทุกคนให้เดินมารวมตัวกันยังบริเวณด้านหลังของเขา เนื่องจากคณะศิลปกรรมศาสตร์มีกิจกรรมรับน้องต่อจากนี้

               พระพายที่เพิ่งจ่ายเงินค่าเทอมของเธอเสร็จพลันก้าวออกมาพลางทำหน้าตาเหลอหลาใส่ผู้เป็นรุ่นพี่ ก่อนเธอจะถูกพาตัวไปนั่งร่วมวงทำป้ายห้อยคอระหว่างรอเพื่อนๆ คนอื่นๆ แต่เด็กสาวขี้อายคนนี้ไม่กล้าเอ่ยทักทายใครเลย เธอจึงนั่งระบายสีป้ายชื่อสำหรับงานรับน้องของเธอไปเงียบๆ กระทั่งใครบางคนเอ่ยทักทายเธอ

               “ชื่อไรเหรอ” เด็กสาวในชุดนักศึกษาใหม่อีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ พระพายถามขึ้นเบาๆ ก่อนจะสะกิดเรียวแขนขาวของพระพายอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่าหล่อนคุยกับเธออยู่นะ

               คนตรงหน้าเป็นเจ้าของเรือนผมดำยาวตัดหน้าม้าสั้นเต่อ ปล่อยผมสลวยยาวลงถึงกลางแผ่นหลัง ใบหน้าเรียวของหล่อนจิ้มลิ้มสดใสเสียจนพลอยทำให้พระพายฉีกยิ้มหวานไปด้วย

               “ชื่อ...พระพาย...ค่ะ” สาวเจ้ายังคงทำหน้าตาเหลอหลา ดวงตากลมของพระพายสอดส่ายไปมาอย่างไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายทักคนผิดหรือเปล่า

               “ทักตัวนั่นแหละ! ฮ่าๆๆ เราชื่อโรสนะ” เพื่อนใหม่ถึงกับหัวเราะร่วน ก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้าง ชื่ออันแสนหวานของหล่อนเข้ากับริมฝีปากสีชมพูสวยเหลือเกิน

               “ไปเข้าห้องน้ำกันมั้ย เราปวดฉี่แต่ไม่กล้าไปคนเดียวอ่า” 

               โรสเอ่ยชวน พระพายจึงพยักหน้าแทนคำตอบ พลางคิดอยู่ในใจว่าเธอเองก็อยากลุกไปล้างมือด้วยเช่นกัน เพราะสีเทียนที่รุ่นพี่เตรียมเอาไว้ให้ทำป้ายชื่อติดไม้ติดมือเสียจนรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปหมด

               ในระหว่างที่นั่งรอนักศึกษาคนอื่นๆ ลงทะเบียนอยู่นั้นเอง เด็กนักศึกษาหน้าใหม่ที่ลงทะเบียนเสร็จแล้วก็ได้รับอนุญาตให้แยกออกไปทำธุระส่วนตัว ทั้งเข้าห้องน้ำ และฝากของสำคัญต่างๆ ไว้กับรุ่นพี่เพื่อเตรียมตัวร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นต่อไป เพื่อนคนแรกของพระพายคนนี้จึงชวนไปเข้าห้องน้ำด้วยกันยังห้องน้ำใกล้ๆ ผ่านหน้าร้านขายเบเกอรี่ร้านใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นร้านประจำของคณะ และซุ้มกิจกรรมที่รุ่นพี่สโมสรนักศึกษาจัดไว้ให้เพื่อความสนุกสนาน ทั้งปาลูกโป่ง สาวน้อยตกน้ำ หรือแม้แต่กระทั่งกิจกรรมสอยดาว

               พวกเธอทั้งสองใช้เวลาในห้องน้ำเพียงไม่นานเท่านั้น แต่กลับมาแวะเสียเวลากับกิจกรรมข้างทางเสียมากกว่า และกิจกรรมหนึ่งที่ล่อตาล่อใจโรสก็เห็นจะเป็นซุ้มสีแดงชาดที่สร้างด้วยนั่งร้านเหล็กเก่าทาสีแดงสด ห่มคลุมทุกด้านด้วยผ้าสีแดงผืนใหญ่

               “พระพาย ลองปะ” โรสเอ่ยชวน

               “ไม่เอาดีกว่า เราออกมานานแล้วนะ...เดี๋ยวรุ่นพี่จะว่าเอารึเปล่า” แต่สาวเจ้ากลับปฏิเสธ ด้วยอะไรบางอย่างทำให้พระพายรู้สึกว่าเธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งสิ่งนี้เลย นั่นคือเงาที่พยายามหลบซ่อนจากเธอ มันเข้าไปออกันอยู่ทางด้านหลังนั่งร้านใหญ่ โผล่ออกมาให้เห็นเพียงไอสีดำที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนเท่านั้น

               “ไม่หรอกน่า มาเถอะ แป๊บเดียว” 

               ยังไม่ทันที่พระพายจะได้เอ่ยตอบอะไร โรสก็พลันลากพระพายเข้าไปในซุ้มผ้าสีแดงนั้นเรียบร้อยแล้ว ภายในนั้นเต็มไปด้วยด้ายยาวสีแดงฉาน ห้อยเป็นเส้นสายระโยงระยางจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แสงขาวจากภายนอกที่ลอดผ่านผ้าเก่าๆ เหม็นสาบเข้ามากลายเป็นแสงสีแดงที่ตกกระทบลงกับใบหน้าของพวกหล่อนทั้งสอง 

               ชายผู้อวบอ้วนคนหนึ่งอยู่ด้านในสุดของซุ้ม เขาสวมเสื้อผ้าอย่างชุดพราหมณ์นุ่งขาวห่มขาว แต่บัดนี้มันกลับถูกฉาบไปด้วยแสงสีแดงจนหมดสิ้นแล้ว ลำคอหนานั้นมีลูกประคำพวงโตคล้องไว้ ดูเหมือนรุ่นพี่คณะเธอจะพยายามแต่งตัวให้ดูเป็นพ่อหมอ คอยดูดวงให้เด็กใหม่ที่หลงเข้ามาในซุ้มของเขา

               “ว่าแล้ว...รออยู่เลย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำให้น่าเชื่อถือ เหมือนกับว่าเขาเองรับรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าโรสและพระพายจะเดินเข้ามาภายในซุ้ม แม้แท้ที่จริงมันจะเป็นเพียงคำพูดตามบทที่ถูกเขียนให้พูดแต่แรกอยู่แล้วก็ตาม

               “ซุ้มพี่เป็นซุ้มอะไรเหรอคะ” โรสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมั่นใจ หล่อนขยับมานั่งลงอยู่เบื้องหน้าพ่อหมอ ก่อนที่พระพายจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างหลังหล่อนอีกที 

               หัวใจดวงเล็กๆ ใต้อกอิ่มของพระพายเต้นอยู่โครมคราม เธอไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่ต้องเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเงาดำนั้นมันอยู่ใกล้เธอมากกว่าทุกครา ยิ่งจ้องมองไปยังหัวไหล่ขวาของชายคนนั้น ยิ่งชัดเจนแล้วว่ามันคือฝ่ามือหนาใหญ่ที่เกาะกุมบ่าเขาอยู่

               “มีอะไรหนักใจใช่มั้ยล่ะ งั้นเอานี่ไป” ชายตรงหน้าเอ่ยโผงผางขึ้นในทันที พลางยื่นยันต์เส้นสีแดงร้อยลูกปัดสีขาวไว้หนึ่งเม็ดให้พวกเธอทั้งสองคน โรสเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย แต่พระพายกลับส่ายหน้าระรัว

               “ม่ะ เดี๋ยวอาจารย์ผูกข้อมือให้” เขาว่าพร้อมกับใบหน้าที่แสนจริงจัง แต่ใบหน้างามของพระพายซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่โรสยื่นมือเธอให้เขา 

               ชายเบื้องหน้าขยับยิ้มอย่างเย้ยหยัน ดูเหมือนเขาจะมั่นใจในตัวเองว่าเด็กใหม่อยากร่วมกิจกรรมนี้ด้วย มือหนาลูบไล้มือเรียวที่เย็นเฉียบของโรสไปมาเบาๆ ทว่าโรสกลับไม่ว่าอะไรเขา เด็กสาวจ้องมองยันต์สีแดงที่ผูกข้อมือเล็กๆ ของหล่อน ก่อนจะขยับมือยกขึ้นไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะพี่” 

โรสว่า มันดูเหมือนว่าหล่อนจะถูกรุ่นพี่คนนี้ลวนลามมากกว่าที่จะเป็นการผูกข้อไม้ข้อมือให้เด็กๆ หลังจากที่เขาผูกข้อมือให้หล่อนเสร็จและรับไหว้ ชายเบื้องหน้าก็เปลี่ยนท่าทางมาหยิบยันต์อีกเส้นขึ้น เพื่อรอผูกข้อมือให้พระพายอีกคน

“นะ...หนูมีของหนูแล้วค่ะ” พระพายว่าพลางขยับยกสร้อยยันต์ของพ่อที่ห้อยคอเธออยู่ตลอดออกมาให้เขาดู 

ตอนนั้นเองที่โรสถึงกับเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ หล่อนมองยันต์ของพระพายอย่างแปลกใจในที แต่กลับไม่ได้แสดงท่าทีจะขอดูหรือเอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับมันออกไป แตกต่างจากรุ่นพี่คนนี้ที่ยังคงยืนยันคำเดิม มือหนายกรอเธออยู่โดยตลอด

ดวงตางามของพระพายจ้องมองของประหลาดที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่หาใช่สิ่งสกปรกทางกายภาพไม่ ด้วยเพราะมันเต็มไปด้วยไอสีดำและน้ำครำยืดเหนียว ที่สำคัญมันอยู่ห่างเธอเพียงไม่ถึง 2 ฟุตเท่านั้น พระพายถึงกับลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างฝืดเคือง เธอไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไร นอกเสียจากการลุกพรวดพราดออกไปจากซุ้มนี้

“มาเรียนที่นี่แล้วไม่มียันต์ของอาจารย์จะอยู่ลำบากนะหนู” เขาเอ่ยขึ้นอย่างพยายามข่มขู่เธอ

“อุ๊ย! รุ่นพี่เรียกแล้ว!” 

โรสโผงผางขึ้นเสียจนทำเอารุ่นพี่คนนั้นสะดุ้งโหยง หล่อนรีบกระชากพระพายให้ลุกขึ้นในทันที

“โทษทีนะพี่ ไว้เจอกันค่อยผูกข้อมือใหม่นะ!” โรสตะโกนบอก ส่วนรุ่นพี่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกไป ทั้งสองก็พลันก้าวออกไปจากซุ้มแดงนี้เสียแล้ว

ครั้นพระพายรับรู้ว่าตัวเองหลุดพ้นออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้ก็ถึงกับโล่งใจ เธอหายใจคล่องขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก ถึงอย่างนั้นทั้งตัวเธอกลับเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา จนเปียกปอนชุ่มโชกแผ่นหลังบางไปหมด อากาศที่เคยหนาวเย็นบัดนี้ร้อนระอุด้วยหวาดกลัวสิ่งสิ่งนั้น กระทั่งเพื่อนเธอเอ่ยถาม

“กลัวเหรอ” 

“ปะ...เปล่า” พระพายปฏิเสธ เธอไม่อาจบอกสิ่งที่เธอมองเห็นได้ แม้จะรู้สึกว่ามันเข้าใกล้ตัวเธอมากกว่าทีควรจะเป็นก็ตาม ก่อนเธอจะโบ้ยความผิดให้ผ้าที่คลุมลงจนมิด “อึดอัดนิดหน่อยน่ะ หายใจไม่ค่อยออก”

“แน่ใจเหรอ...” โรสยังคงถามย้ำ พระพายจึงพยักหน้า

ตอนนั้นเองที่โรสแกะยันต์ที่ผูกข้อมือของหล่อนออก และทิ้งมันลงในถังขยะของวิทยาลัยโดยไม่ได้สนใจอะไรมันอีกเลย พระพายเหลือบมองข้อมือของโรสและเห็นรอยสีดำที่ค่อยๆ จางหายไปทีละนิด แต่เธอกลับเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกไป

“พระพายมองเห็นใช่มั้ยล่ะ” โรสถามขึ้นอย่างกับว่า หล่อนเองรับรู้ว่าพระพายมองเห็นสิ่งแปลกๆ เหมือนกัน

“เห็นอะไร...” สาวเจ้ายังคงไขสือไม่เลิก

“ก็เห็นเงาสีดำที่เกาะอยู่กับตัวพี่เค้าไง” และโรสเลือกที่จะเอ่ยกับพระพายตามตรง

ท่าทางของพระพายดูสงบลงน้อยๆ พลางคิดวิเคราะห์ดูว่าเธอจะไว้ใจโรสได้หรือไม่ เพราะหากเธอตอบออกไปตามตรง จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเพ้อเจ้อหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งพระพายกลับเชื่อคำพูดโรสไปแล้ว

“โรส...เห็นเหรอ” พระพายถามกลับไปอย่างลังเลอยู่น้อยๆ

“เห็นสิ” โรสก็ตอบเธอด้วยวาจาฉะฉานทีเดียว

“เห็นแล้วเข้าไปทำไม!” พระพายโวยวายใส่ ด้วยเธอคิดมาตลอดว่าโรสไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เธอมองเห็นได้

“พระพายไม่อยากรู้เหรอ ว่าทำไมมันถึงเกาะอยู่เต็มตัวพี่เขาน่ะ” 

โรสถามเธอกลับ ทำให้พระพายพูดอะไรไม่ออก 

“แต่น่าแปลกเนาะ มันไม่กล้าเข้าใกล้ตัวพระพายเลย” โรสว่าต่อพลางจ้องมองมายังสร้อยยันต์ของพระพายตาเป็นมัน

“ยันต์ของพ่อน่ะ พ่อให้ใส่ติดตัวตลอด” พระพายบอกเพื่อนสาวของเธอ ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ

“น่าสนใจแฮะ...” โรสว่า แต่ก่อนที่หล่อนจะได้เอ่ยคำใดต่อ รุ่นพี่ในคณะของพวกเธอก็พลันเรียกให้เข้าแถวเรียง 2 เพื่อรอไปทำกิจกรรมต่อเสียแล้ว

พระพายจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยต่อ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก เธอค่อยๆ เดินไปยืนเรียงแถวคู่กันกับโรสที่ไม่ได้เปิดประเด็นถามคำถามใดเช่นกัน 

ทั้งคู่เริ่มต้นกิจกรรมรับน้องไปตามปรกติ ร้องเล่นเต้นรำ ทำตัวบ้าๆ บอๆ เพื่อให้รุ่นพี่พออกพอใจแล้วรับขนม ลูกอม และความสัมพันธ์ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากเรียนจบไปแล้ว จะได้เจอหน้าค่าตากันอีกหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นกิจกรรมรับน้องก็ยังคงถูกจัดขึ้นในทุกๆ ปี ดูเหมือนมันจะเป็นสีสันในวัยเรียนสำหรับเฉพาะคนบางคน...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น