บทที่ ๑๐
ประโยคนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความหวังดีที่เพื่อนมีให้กัน ดั่งฟ้ายิ้มรับก่อนว่าด้วยน้ำเสียงซึ้งใจ
“ขอบคุณมาก ก้อง”
ใต้แสงสลัว ชายหนุ่มทอดสายตาเหมือนเห็นใจมาให้ก่อนหายวับไปในวินาทีต่อมา หญิงสาวพอสัมผัสได้ว่าบางทีคนตรงหน้าอาจจะรู้...มากกว่าที่เธอคิด
“แต่ถ้าเกิดก้องอยากถามอะไรก็ได้นะ เรายินดีตอบจริงๆ”
เธอไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่เลือกบอกไปตรงๆ พูดไปแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเหมือนหลงตัวเองว่าเขาอยากรู้ เลยได้แต่ว่าเก้อๆ
“เอ่อ...ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เราไม่ถามดีกว่า แล้วเดี๋ยวฟ้าทำอะไรต่อเหรอ”
“คงทำงานต่อนั่นละ ก้องล่ะ”
“คงทำงานเหมือนกัน”
ดั่งฟ้ายิ้มบางๆ วันนี้เธอได้เห็นกับตาแล้วว่าเขาตอนทำงานเป็นอย่างไร จริงจังไม่ต่างจากตอนขยันอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยแม้แต่นิดเดียว
ดั่งฟ้าถึงที่พักเร็วกว่าที่คาดไว้ทั้งที่เดินช้ากว่าปกติ แฟลตเป็นห้องแถวสีน้ำตาลสไตล์วิกตอเรียเรียงกันเป็นแถบบล็อก เข้าซอยไม่ลึกและมีป้ายรถประจำทางอยู่ด้านหน้า แสงไฟที่ส่องสว่างตามทางทำให้ไม่เปลี่ยว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาบอกก้องกิตติ์
“ขอบคุณที่มาส่งนะ ถ้าก้องถึงแล้วโทร. มานะ”
“ได้”
“เดินกลับดีๆ นะก้อง ขอบคุณมากๆ”
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอก เข้าไปได้แล้วละ”
ดั่งฟ้ายิ้มกว้างแล้วโบกมือลา “โอเค เจอกันจ้ะ”
“เจอกันศุกร์นี้นะ เราไปก่อนนะ”
เขาโบกมือลา แล้วหันหลังก้าวช้าๆ ย้อนไปตามทางที่เดินมาส่ง ดั่งฟ้ามองตามหลังอยู่สองสามวินาทีแล้วแตะคีย์การ์ด พอเปิดประตูได้ปุ๊บ สายตาก็เหลียวไปทางก้องกิตติ์อีกครั้ง คิดว่าเขาคงเดินลับไปแล้ว
เขาเหลียวหลังมามองเธอเช่นกัน
ดั่งฟ้าชะงักเมื่อก้องกิตติ์ยังคงไม่เหลียวกลับไป ด้วยความที่ยังไม่ได้ห่างกันมากนัก เธอเลยร้องถาม
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เข้าบ้านได้แล้วละ” ชายหนุ่มกำชับน้ำเสียงจริงจัง
ดั่งฟ้ายิ้มพร้อมหัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงใจ เข้าไปในบ้าน แต่ก็ชะโงกหน้าออกมาจากประตูแล้วโบกมือลาคนทำตัวจริงจัง
“เดินกลับไปได้แล้วละ เข้าบ้านแล้ว ฝันดีนะ”
“เหมือนกันนะ”
เขาพยักหน้า โบกมือลาก่อนหันหลังแล้วเดินจากไปช้าๆ หญิงสาวยังชะโงกหน้าเช่นนั้น มองตามหลังเขาไปจนกระทั่งลับสายตา เหลือเพียงความอบอุ่นใจในอากาศเย็นชื้น ดั่งฟ้าเดินขึ้นบันไดด้วยอารมณ์แจ่มใส พอเสียงเรียกเข้าจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้น เธอก็หน้าตูมทันทีด้วยพอเดาได้ว่าเป็นใคร
ดั่งฟ้ากดปิดเสียง ทว่าสิมากลับไม่ล้มเลิกความพยายาม เธอยังโทร. เข้ามาอีกสองครั้งจนดั่งฟ้ายอมใจในความพยายามครั้งที่สาม ต้องยอมรับสายอย่างเสียไม่ได้
“สวัสดีค่ะ”
“ฟ้าลูก เป็นไง สบายดีมั้ยจ๊ะ” ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี
“งานยุ่งค่ะ แต่ก็สบายดี คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” ดั่งฟ้าเข้าประเด็นเพราะไม่อยากคุยด้วยนาน
“มากินข้าวด้วยกันมั้ยจ๊ะศุกร์นี้ ซีเขาว่างพอดี”
หญิงสาวกลอกตาไปมา รีบปฏิเสธ “ฟ้าติดธุระค่ะ”
“ทั้งวันเลยเหรอ” สิมาถามกลับเสียงอ่อน “ช่วงเย็นวันศุกร์น่าจะพอมีเวลานะ”
“เย็น...ก็ไม่สะดวกค่ะคุณน้า” หญิงสาวเว้นช่วงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คำตอบของตนดูห้วนไป “ฟ้าขอโทษค่ะ”
“แล้ววันเสาร์อาทิตย์ล่ะจ๊ะ”
“ฟ้าเกรงว่าฟ้าไม่สะดวกค่ะ”
สิ้นคำตอบของเธอ ปลายสายก็เงียบไปพักใหญ่ “งั้นหรอกเหรอจ๊ะ ว่าแต่ฟ้าสะดวกช่วงไหนบ้างล่ะ”
“ฟ้ายังไม่ค่อยแน่ใจค่ะ งานหนักมากจริงๆ ค่ะ ฟ้าต้องขอโทษด้วยนะคะ ไว้ถ้าฟ้าพอมีเวลา ฟ้าจะรีบบอกคุณน้าทันที”
ดั่งฟ้ารู้ว่าตัวเองดูไร้เยื่อใยที่ปฏิเสธไปเช่นนั้น แต่ก็น่าจะดีกว่าตอบให้อีกฝ่ายยังมีความหวัง
“งั้นเหรอจ๊ะ เสียดายจัง” สิมาผ่อนลมหายใจดังเฮือก
“ค่ะคุณน้า ขอโทษด้วยจริงๆ”
“โอเค แม่ไม่รบกวนฟ้าแล้วจ้ะ แม่แค่เหงา อยากคุยกับฟ้ายาวๆ แต่ถ้าฟ้ายุ่งขนาดนี้แม่ก็เข้าใจ ถ้ายังไงก็โทร. หาแม่ด้วยนะลูก คิดถึงเสมอ”
น้ำเสียงของคนปลายสายทำให้ดั่งฟ้าคิ้วลู่ เธอตอบรับเบาๆ “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
หลังวางสาย หญิงสาวก็นั่งนิ่ง รับรู้ความรู้สึกผิดบางเบาที่เข้ามาเยือนหัวใจ คนที่ร้ายกับเธอคือลูกชายของท่าน ไม่ใช่ท่าน แต่ดั่งฟ้าก็ไม่อยากเปิดโอกาสอะไรทั้งนั้น เพราะถือว่าตนเจ็บมาเกินกว่าจะเจ็บได้อีกครั้ง เธอสลัดความคิดเกี่ยวกับสองแม่ลูกทิ้งไป ก่อนจะรีบเปิดคอมพิวเตอร์แล้วนั่งทำงานจนดึกดื่น แล้วหลับไป...ไม่ได้ฝันถึงใครทั้งสิ้น
เช้าวันศุกร์ ดั่งฟ้าแวะเข้าบริษัทไปยืนยันเรื่องงบประมาณกับสตีเฟน ก่อนออกจากบริษัทพร้อมกับพอลซึ่งเพิ่งเสร็จงานส่วนของตนเช่นเดียวกัน
“คุณฟ้าไปไหนต่อครับ”
สถาปนิกหนุ่มหน้าตาใจดีถามพร้อมยิ้มให้ ดั่งฟ้ายิ้มตอบ
“แถวๆ รอยัลไมล์น่ะค่ะ”
“อ๋อ เดินเที่ยวหรือเปล่าครับ”
“พอดีเพื่อนรับรางวัลแถวนั้นน่ะค่ะ ตรงเดอะฮับ” หญิงสาวเอ่ยถึงอาคารยอดแหลมสูงคล้ายโบสถ์กอทิกที่จริงๆ แล้วเป็นศูนย์ประชุมตรงทางแยกขึ้นปราสาทเอดินบะระ
พอลพยักหน้า “โอ้ ดีจังครับ รางวัลอะไร”
“ออกแบบแอปน่ะค่ะ แอปของเขาก็เกี่ยวกับสถาปัตย์นี่แหละ” หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้น
“เยี่ยมมากครับ ว่าแต่คุณฟ้าไปถูกใช่มั้ย ให้ผมไปส่งมั้ย”
ดั่งฟ้าเห็นประกายวิบวับในดวงตาสีฟ้าของพอล เธอรีบส่ายหน้าให้ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอแปดปี
“ไปเองสบายมากค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มพราย “โอเคครับ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็รีบบอกได้เลยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ”
เธอยิ้มรับไมตรีนั้น ถึงทางแยกพอดี หญิงสาวจึงโบกมือลา แล้วเดินกลับแฟลตก่อนเพื่อไปเก็บคอมพิวเตอร์ พอถึงห้อง เธอก็รีบจัดผมเผ้าให้เรียบร้อยและแต่งหน้าใหม่ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ก่อนฉวยดอกไม้ที่เมสเซนเจอร์มาส่งตั้งแต่เช้าตรู่
ช่อดอกไม้เล็กๆ ที่ประกอบด้วยดอกคาร์เนชันสีขาวเพียงสองดอก แทนความหมายแห่งความยินดี แซมด้วยดอกไลเซนทัสเล็กๆ แทนมิตรภาพ
ดั่งฟ้าเพิ่งสั่งจากร้านแถวนี้เมื่อวานเพื่อนำไปแสดงความยินดีกับคนได้รับรางวัลในวันนี้ ช่อดอกไม้ไม่ใหญ่มากจนสามารถตีความไปไกล แต่ก็มากพอที่จะแสดงความปรารถนาดีที่เธอมีให้ก้องกิตติ์ หญิงสาวไม่ได้นำไปบริษัทด้วยเพราะไม่ต้องการให้ดอกไม้ช้ำไปเสียก่อน เธอยิ้มบางๆ ให้มัน จับอย่างถนอม แล้วก้าวฉับๆ ออกมาจากแฟลต
วันนี้ฟ้าใสกระจ่างอย่างที่หาได้ยากยิ่งในเมืองขรึมใต้ฝนพรำ บริเวณแฟลตของเธอไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาในช่วงหัววันด้วยความที่อยู่ในซอย หญิงสาวเดินเร็วๆ ก่อนจะชะงักเมื่อมีชายวัยกลางคนเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาเธอ
“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง รบกวนถามหน่อยครับ”
ดั่งฟ้าปราดมองเขา ชายตรงหน้าแต่งตัวทั่วไป ท่าทางไม่เหมือนคนไร้บ้านหรือคนยากไร้ แม้เอดินบะระจะเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยสูงหากเทียบกับหลายๆ เมืองในยุโรปที่เธอเคยไปเยือน ทว่าสัญชาตญาณแรกสุดทำให้เธอระแวดระวัง ไม่คุยกับใครสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อนจะค่อยๆ คลายลงเมื่อสบตาที่เต็มไปด้วยแววขอร้องของคนตรงหน้า
คนสกอตที่เธอได้สัมผัสไม่มีพิษมีภัยและเป็นมิตรมาก แม้กระทั่งคนไร้บ้านเอง ดังนั้น...เธอจึงถามกลับไปก่อน
“ไม่ทราบว่าฉันช่วยอะไรได้คะ”
“ผมมาเที่ยวแล้วหลงทางครับ ผมอยากไปวังโฮลีรู้ด” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสำเนียงอังกฤษ ทว่าดั่งฟ้าไม่ได้อยู่นานพอที่จะแยกได้ว่าเป็นสำเนียงเฉพาะของที่ไหน แต่ที่แน่นอนคือเขาไม่ใช่คนในท้องที่ หญิงสาวจึงพยักหน้าแล้วตอบ
“จริงๆ ฉันก็ไม่ใช่คนท้องถิ่นที่นี่ค่ะ แต่เดี๋ยวจะเปิดกูเกิลแมปดูทางให้นะคะ สักครู่ค่ะ”
ดั่งฟ้ากระชับช่อดอกไม้ให้แน่นขึ้นแล้วเอี้ยวตัวไปค้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าถือ ทว่าไม่เจอ นึกได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่ยังไม่ทันล้วงก็ต้องตัวแข็งทื่อเป็นหินเมื่อมีผ้ามาปิดจมูกแน่น
หญิงสาวเบิกตาโพลงแล้วมองคนตรงหน้า ถอยตัวออกห่างโดยสัญชาตญาณ แต่ทำไม่ได้เพราะชายวัยกลางคนพุ่งเข้าล็อกตัวเธอไว้แน่น ดั่งฟ้าพยายามกลั้นหายใจ ทว่าชายผู้ปองร้ายยังกดจมูกไว้แน่น เธอดิ้นสุดแรงเกิดแล้วเงื้อมือขึ้นต่อสู้ ฟาดหน้าโจรด้วยช่อดอกไม้จนกลีบกระจาย
แต่เพราะฤทธิ์ยาสลบเริ่มแทรกเข้าไปในลมหายใจแม้กลั้นไว้ ดั่งฟ้าจึงไม่อาจออกแรงได้เท่าที่ใจหมาย สติเริ่มขาดๆ หายๆ หัวใจ...ตกลงพร้อมกับช่อดอกไม้ ก่อนจะทรุดฮวบลงไปที่พื้นในวินาทีที่ความหนักอึ้งกระแทกสมอง ทุกอย่างพลันดับวูบ
ไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกต่อไป
เสียงปรบมือเกรียวกราวในจังหวะที่ก้องกิตติ์รับรางวัลแท่งแก้วใสทรงสูง รางวัล...ที่ได้จากความทุ่มเทตลอดเวลาสองปีในการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับนักออกแบบและสถาปนิกเพื่อช่วยสเกตช์งาน ความภูมิใจของเขาไม่ได้มาจากการได้รับรางวัลเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการที่ผลงานของเขาและเพื่อนร่วมงานได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก และกำลังจะได้ร่วมลงทุนในโครงการสตาร์ตอัปสัญชาติสกอตด้านเออาร์
เขามาไกลกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก...ไกลกว่ามากทีเดียว
ชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ภาพความทรงจำจากจุดเริ่มต้นเริ่มเล่นในสมองโดยอัตโนมัติ
สามปีก่อน เขาลาออกจากบริษัทเกมโทรศัพท์มือถือซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมากับเพื่อนสนิทอย่างกรวัต ตอนนั้นเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเพื่อนสนิท แต่ไม่ชอบงานบริหารที่ชักจะเริ่มออกนอกลู่นอกทางของน้องสาวของกรวัตซึ่งเป็นผู้บริหารอีกคน อีกทั้งตระหนักได้ในวัยสามสิบแล้วว่า จริงๆ ตนไม่ได้รักงานบริหารเพียงอย่างเดียว แต่รักการออกแบบและรังสรรค์แอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากกว่า
ชายหนุ่มตัดสินใจดำเนินการสร้างสตาร์ตอัปเล็กๆ เป็นของตัวเอง ไม่ได้จดทะเบียนบริษัท พนักงานในช่วงแรกมีทั้งหมดสี่คน ประกอบด้วยเขา อาชว์ มุจลินท์ และมงคลชัย ทุกคนเป็นลูกน้องที่ทำงานเก่าของเขาเอง สองคนแรกตัดสินใจลาออกเพราะเตรียมตัวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ส่วนมงคลชัยเองก็หวังว่าจะสืบทอดกิจการทางบ้านในอนาคตอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็ยังมีน้ำใจพอที่จะมาช่วยงานเขาในช่วงแรก
แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้ก้องกิตติ์จะมีคอนเน็กชันในวงการการออกแบบแอปพลิเคชัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าออกแบบแอปพลิเคชันมาแล้วจะหาเงินได้เลย หนึ่งต้องมีคอนเซปต์ที่แน่ชัด แอปพลิเคชันอย่างเกมหรือโซเชียลเน็ตเวิร์กดูทำเงินไม่ได้เท่าไร เพราะในตลาดก็มีเจ้าใหญ่อยู่แล้ว สองต้องมีเงินทุนสนับสนุน ไม่ใช่ว่าบ้านของเขาไม่มีทุน แต่อายุสามสิบแล้วจะให้เอาเงินมาถลุงเพื่อตามหาฝันอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ก้องกิตติ์เลยรับงานด้านวางระบบไปด้วยเพื่อหาเงินทุน ติดต่อเหล่านักลงทุนเพื่อขายไอเดีย โดยมีอาชว์ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชันตลอดเวลา
ส่วนอาชว์เอง นอกจากงานด้านแอปพลิเคชัน เขาวางแผนอยากสร้างโคเวิร์กกิงสเปซที่บางแสนหลังเรียนจบ จึงเริ่มมองหาสถาปนิกเพื่อคุยเรื่องการออกแบบล่วงหน้า มุจลินท์กับมงคลชัยก็รับงานหน้าบ้าน ช่วยตระเวนแข่งพิตช์และโพรโมตแอปพลิเคชัน แม้ว่าต่างคนต่างยุ่งก็ตาม
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งในแง่ของงานแอปพลิเคชันที่ทำร่วมกัน และในแง่ชีวิตส่วนตัวแต่ละคนที่เหมือนจะวุ่นวายไปหมด ก้องกิตติ์เกือบถอดใจ คิดคำพูดเตรียมขอโทษอาชว์ มุจลินท์ และมงคลชัยที่ยอมมาลำบากด้วยกัน แล้วให้แต่ละคนได้ไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มนอนไม่หลับหลายคืนจนตาโหลลึก กระทั่งคืนหนึ่ง เขาได้รับข้อความทางเฟซบุ๊กจากเพื่อนสมัยเรียน ม. ปลาย
‘จำเซเลอร์มูนของแกได้มั้ย’ (เอียง)
ตามมาด้วยลิงก์ไปยังบทสัมภาษณ์ของสถาปนิกสาวคนหนึ่งที่เขาไม่ได้เห็นหน้านับสิบปีได้
...ไม่ได้เห็นหน้า แต่ว่ายังอยู่ในมุมลึกๆ เล็กๆ ของความทรงจำที่เขาไม่ได้สำรวจมานานแล้ว
หญิงสาวผู้รังสรรค์ความฝันให้บรรจบกับความจริง - ดั่งฟ้า วัฒนชีวิน (เอียง)
ก้องกิตติ์เลื่อนสายตามองภาพหญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน มัดผมม้าสูงดูทะมัดทะแมง ใบหน้าสวยหวานค่อนไปทางจิ้มลิ้มของเธอทำให้อดคิดไม่ได้ว่าน่าจะไปเป็นดารามากกว่ามาเป็นสถาปนิก
ใบหน้าแทบไม่เปลี่ยน ยังคงมีเค้าเดิม
แต่เนื้อแท้ การงาน และชื่อเสียงของเธอนั้น...ดั่งอยู่บนฟากฟ้าสมชื่อ
ในยุคนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักฝัน-ดุจฝัน ดาราสาวชื่อดังแห่งยุคที่เรียกได้ว่านางฟ้าแห่งวงการบันเทิง ซึ่งกว่าเธอจะเดินทางมาถึงจุดที่โด่งดังดั่งทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่อาจมีวันนี้ได้เลยหากปราศจากลมใต้ปีกอย่างน้องสาวผู้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวอย่าง ดั่งฟ้า วัฒนชีวิน
แต่ใครเล่าจะคิดว่าผู้จัดการสาวแสนสวยคนนี้จะมีอาชีพหลักที่ได้ชื่อว่าแทบไม่มีเวลาอย่างการเป็นสถาปนิกออกแบบภายใน ดั่งฟ้าได้ตระเวนออกแบบและปรับปรุงอาคารในโครงการต่างๆ นับสิบทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งผลงานของเธอนั้นเป็นที่ประจักษ์ด้วยความร่วมสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ ควบไปกับการรักษากลิ่นอายคลาสสิกและรูปแบบสถาปัตยกรรมเฉพาะถิ่น เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางออกแบบภายในมาเกือบสิบปีจนกลายเป็นมือทองของ Nelson Arch & Design และแม้ในวันนี้จะผันตัวมาเป็นสถาปนิกพาร์ตไทม์ให้บริษัทเดิมเพื่อทุ่มเวลาให้แก่การช่วยบริหารร้านขนมหวานและไอศกรีม Ice Dream ของพี่สาว แต่เธอก็ยังคงยุ่งอยู่กับการรับงานให้พี่สาวและการออกแบบภายใน แบบที่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะมีแรงทำงานได้มากขนาดนี้
บทสัมภาษณ์ของดั่งฟ้ายาวพอตัว เป็นประวัติการทำงาน รางวัลและความสำเร็จที่ผ่านมาแบบคร่าวๆ อีกสองย่อหน้า เป็นการพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าเธอไม่ได้มีดีแค่ความสวยและนามสกุล
ก้องกิตติ์ไม่ได้คิดถึงเธอแบบจริงๆ จังๆ มานานแล้วนับตั้งแต่ยุ่งกับงานตัวเอง แต่หากนึกถึง...ก็ทำให้ยังยิ้มได้น้อยๆ เป็นการยิ้มที่มากับความรู้สึกดีบางเบา คล้ายหมอกจางๆ ลงมาปกคลุมหัวใจให้ชื้นชุ่ม
น่ายินดี...ที่วันนี้เธอได้เป็นทุกอย่างดั่งที่เธอฝัน
เธอเดินไปไกล...จากวันแรกที่พบกันตอน ม. ห้า
วันที่เธอลืมการบ้านสเกตช์ไว้บนตึกเรียน ก่อนรีบจนตกบันได เขายังจำความจริงจังของเธอและจดจำน้ำใจของเธอได้...น้ำใจที่มาในรูปแบบของร่มเซเลอร์มูนหวานแหววเพื่อให้เขาไม่ต้องเปียกฝน
ก้องกิตติ์เริ่มอ่านบทสัมภาษณ์แบบคร่าวๆ ข้ามไปมาเพื่อสแกนเนื้อหา ตั้งแต่แรงบันดาลใจของเธอ หน้าที่ที่รับผิดชอบ ชีวิตส่วนตัว และทัศนคติในการดำเนินชีวิต
Q: ทำไมถึงมาเป็นสถาปนิกคะ แล้วทำไมถึงเลือกออกแบบภายใน
ดั่งฟ้า: ฟ้าชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ชอบมองวิว มองตึก แล้วก็จะคิดต่อว่าถ้ามีคนมาใช้พื้นที่ตรงนี้ มาอยู่ในที่ตรงนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร พอโตขึ้นมาหน่อยสักช่วง ม. ปลายของฟ้า ฝันเริ่มเข้าวงการ ได้ไปถ่ายแบบที่ยุโรป เราได้อานิสงส์เกาะหางเครื่องบินไปด้วย พี่จะชอบชอปปิง ส่วนฟ้าชอบเดินชมตึก ไม่ชมตึกอย่างเดียว ต้องดูข้างในด้วย เพราะบางทีเจอตึกแปลกตาจากบ้านเรา สวยแปลกไป ก็อยากรู้ว่าข้างในนั้นเป็นไง ใช้ทำอะไรได้บ้างหรือสวยอย่างเดียว มองไปมองมาก็เริ่มไปสังเกตคนที่มาใช้สอยอาคารนั้นๆ ว่ามาเพื่อจุดประสงค์อะไร แล้วได้ใช้พื้นที่อย่างเต็มที่ ได้มีความสุขหรือความพึงพอใจจากการเข้ามาในอาคารนั้นๆ หรือเปล่า
ฟ้ามองว่าการออกแบบภายในสำคัญพอๆ กับภายนอก มันก็เหมือนร่างกายเรา สมมุติถ้าเราแต่งหน้าสวย แต่เราป่วยหรือระบบภายในไม่ดี มันสะท้อนออกมาข้างนอกได้ในที่สุด ร่างกายเราก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง ทั้งคุณแม่ของฟ้าทั้งฝันต่างก็อยากทำร้านอาหารมานานแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทำไปแล้วแหละค่ะ แค่ช่วงที่เริ่มเกริ่นๆ ให้ฟ้าฟังคือตั้งแต่ฟ้าอยู่ ม. ปลายเลย ตอนนั้นเลยเป็นแรงบันดาลใจว่า...ฟ้าอยากออกแบบภายในร้านให้แม่กับพี่ พอโตมาก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจความต้องการของคนในครอบครัวได้ดีที่สุด หรือลูกค้าที่เราทรีตเหมือนความรู้สึกของคนในครอบครัว โดยที่การออกแบบนั้นจะต้องสอดคล้องกับความต้องการนั้น ไม่ลืมคิดว่าคนที่มาใช้บริการจะต้องได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด ทั้งจากด้านบริการของตัวร้านเองและบรรยากาศของร้านที่จะทำให้มีความสุข ถ้าออกแบบบ้านก็ยังยึดคอนเซปต์เดียวกัน
มันอาจฟังดูนางสาวไทยนะคะ หัวเราะได้ (หัวเราะ) แต่ฟ้ามองว่างานของฟ้าคือสะพานเชื่อมต่อระหว่างความฝันกับความจริง นั่นคือเปลี่ยนความฝันของลูกค้าให้ออกมาเป็นความสุขที่จับต้องได้
Q: แต่ทั้งที่งานออกแบบยุ่งพอตัวอยู่แล้ว ก็ยังเป็นผู้จัดการให้พี่สาว ทำไมถึงเลือกเป็นผู้จัดการให้เอง
ดั่งฟ้า: ฟ้ามีพี่สาวแค่คนเดียวค่ะ ช่วง ม. ปลายแม้อยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ยุ่ง ไม่ค่อยได้เจอ เขากลับตอนฟ้าหลับ ออกจากบ้านก่อนฟ้าตื่น แต่ว่าพอฟ้าโตขึ้นมาเรียนรู้การเป็นผู้จัดการ หนึ่งก็คือเราได้กลับมาใกล้กัน ฟ้ามั่นใจว่าถ้าฝันจัดการงานคนเดียว เขาคงทำทุกงานที่เขาเห็นว่าดี บ้างานพอกัน (หัวเราะ) เราก็จะคอยช่วยสกรีนงานเท่าที่เขาไหว ยังดีที่ตอนนี้แต่งงานมีน้องแล้วเลยเพลาๆ บ้าง อีกอย่างฟ้าได้เรียนรู้ทักษะการดีลกับคนเยอะมากจากงานผู้จัดการ เหมือนได้ศึกษาจิตวิทยาคนกลายๆ เอามาปรับใช้กับงานสถาปัตย์ได้เหมือนกัน เพราะทำให้เรามองอะไรได้เร็วขึ้น มองได้ลึก ดีลกับลูกค้าก็จะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเจอปัญหาอื่นมาจนพอจะชิน หาจุดประนีประนอมได้ ที่สำคัญที่สุด เราได้เรียนรู้การออกแบบชีวิตค่ะ ฟ้ามองว่าคนเรามีทรัพยากรที่ชื่อว่าเวลาเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการให้มันมีประโยชน์สูงสุดยังไงให้เหมาะกับจุดยืนและหน้าที่ของตัวเอง
Q: แล้วคุณฟ้าทำงานหนักขนาดนี้ มีท้อบ้างไหม ถ้าท้อแล้วจัดการอย่างไร
ดั่งฟ้า: จริงๆ ก็ท้อบ่อยค่ะ บางทีก็ถามตัวเอง เฮ้ยแก จะเหนื่อยขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ใครหลายคนมองว่าฟ้าหน้าที่การงานดี ประสบความสำเร็จแล้ว แต่มันก็ยังมีความรู้สึกที่ว่าเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราแค่พยายาม บางทีก็รู้ตัวแหละว่าทำงานหนักและเยอะไปด้วยซ้ำ แต่มันก็ทำให้ฟ้าก้าวไปได้ไว เจอทางที่เหมาะกับตัวเอง เจอว่าทำอะไรแล้วตัวเองมีความสุข ฟ้ามีความสุขกับการออกแบบ ฟ้าเลยใช้ชีวิตกับการออกแบบ และออกแบบชีวิตตัวเอง ฟ้าตั้งเป้าหมายเสมอ แล้วฟ้าก็ออกแบบทางเดินเพื่อให้ฟ้าไปถึงเป้าหมายนั้น’
ก้องกิตติ์ยังคงมองใบหน้าสะสวยและสดใสของดั่งฟ้า ค่อยๆ รับรู้ความรู้สึกบางเบาอันคุ้นเคย...คล้ายเมฆฝนซึ่งขยับเข้ามากลางหัวใจของเขาในคืนอันร้อนจัดในฤดูร้อน ก่อนโปรยสายน้ำเย็นฉ่ำลงสู่ห้วงอารมณ์อันเหี่ยวเฉาแห้งแล้ง
เพราะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
การออกแบบแอปพลิเคชันก็มีฟังก์ชันไม่ต่างกัน หนึ่งในนั้นคือการลดเวลาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากที่สุด เข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยที่ไม่หลงลืมความฝันของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน
เขาเลือกออกแบบชีวิตของตัวเองแล้ว แม้ระหว่างทางจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาเหนื่อย ทำให้ท้อ แต่เมื่อมองย้อนไป เขาได้รับโอกาสดีๆ มากมาย ได้รับความช่วยเหลือจากใครหลายคนที่พร้อมจะสู้ไปกับเขาแม้ตัวเองจะยุ่งเช่นกัน
เขายังหยุดไม่ได้ เขาจะต้องเดินต่อไป
ก้องกิตติ์รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาแปลกๆ พลันข้อความต่อมาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอจากเพื่อนคนเดิม
‘วันก่อนก็เพิ่งเจอโดยบังเอิญ พาเมียไปนั่งกินไอติมร้านเขาเลยเจอ ยังสวยเหมือนเดิมเลยว่ะ’ (เอียง)
ชายหนุ่มเลิกคิ้วแล้วถามกลับ
‘เหรอ แล้วเขาสบายดีมั้ย’ (เอียง)
‘ก็ยุ่งๆ เหมือนที่บอกในสัมภาษณ์นั่นละ แต่ก็ดูมีความสุข...สบายดี’ (เอียง)
‘ดีแล้ว’ ก้องกิตติ์ตอบ ก่อนขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนว่าต่อ
‘ถามถึงแกด้วยว่าสบายดีมั้ย’ (เอียง)
สิบกว่าปีแล้ว แต่เธอยังไม่ลืมเขา
ก้องกิตติ์ไม่ได้ใจเต้นเร็ว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใจเต้นแรงกับสาวไหนมานานแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
‘แล้วตอบไปว่าไง’ (เอียง)
‘อ๋อ ไอ้ก้องตอนนี้เป็นสตาร์ตอัปพัฒนาแอปอยู่ แต่ตอนนี้ยังงงๆ ว่าจะทำแอปอะไรดี’ (เอียง)
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ที่เพื่อนเล่าความจริงไป
‘ไหงงั้น แล้วฟ้าว่าไง’ (เอียง)
‘ฟ้าก็บอกว่าถ้าไม่รู้จะทำแอปไร ทำแอปช่วยงานดีไซน์กับสเกตช์หน่อย ฟ้าบอกจะซื้อเลยถ้าแกทำ’ (เอียง)
คำพูดนั้นอาจจะเป็นเพียงคำพูดเล่นๆ แต่กลับเหมือนไฟแช็กที่จุดไฟลงบนเทียนไอเดียซึ่งกำลังจะดับของเขา ก้องกิตติ์พิมพ์ตอบไปอีกนิดหน่อยก่อนวางโทรศัพท์ลงข้างเตียง ความคิดไหลแล่นท่ามกลางความเงียบงันในห้องที่เย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ ก่อนจะผล็อยหลับไปง่ายๆ โดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มตื่นเต็มตาในช่วงสาย เมื่อลงมาจากชั้นบนก็เจอพ่อซึ่งวันนี้ไม่ได้ไปออกไซต์งานที่ไหน ท่านนั่งมองรูปถ่ายแบบบ้านแล้วสเกตช์ตาม ก้องกิตติ์นั่งจดๆ จ้องๆ อยู่พักใหญ่ก็ยิ้ม แล้วจึงถาม
‘พ่อครับ ถ้าผมลองออกแบบแอปที่ช่วยให้พ่อสเกตช์แบบง่ายขึ้น พ่ออยากลองใช้มั้ย’
กิตติวางดินสอลง หันมายิ้มให้ลูกชาย ‘เกมของก้องพ่อยังลองเล่นมาแล้ว ลองทำมาสิ เอามาให้พ่อลองหน่อย’
ก้องกิตติ์โทร. หาอาชว์ทันทีและอีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงามด้วย สถาปนิกคนแรกที่ให้ความช่วยเหลือคือเพื่อนในแก๊งเดียวกัน ส่วนงานด้านแอปพลิเคชันก็ได้คำปรึกษาจากกรวัต ระหว่างนั้นเขาออกนำเสนองานเพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนจนในที่สุดก็เสร็จสิ้น นำเสนอในงานแอปพลิเคชันแฟร์ สตาร์ตอัปเอกซ์โป รวมถึงงานสถาปนิก และได้รับความสนใจในหมู่สถาปนิกที่ต้องการให้การออกแบบง่ายขึ้น แม้จะไม่ใช่โปรแกรมที่ทำได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยแอปพลิเคชันของเขาก็ช่วยทุ่นเวลาไปได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อกระแสตอบรับในเมืองไทยเป็นไปในทางบวก ศรัณย์จึงช่วยเหลือเขาในการบุกเบิกตลาดยุโรปและบอกข่าวการประกวดแอปพลิเคชัน จนกระทั่งคว้ารางวัลได้เมื่อสามเดือนก่อน และเดินทางมารับในวันนี้
เขาใช้ชีวิตกับการออกแบบ และออกแบบชีวิตตัวเองจนมาถึงจุดหมาย
น่าเสียดายที่พ่อแม่และพี่ชาย รวมถึงทีมงานของเขาไม่ได้เดินทางมาสกอตแลนด์ด้วยกัน แต่อย่างน้อยในวันนี้ก็มีเพื่อนสนิทที่สุดสมัยมัธยมอย่างศรัณย์มาร่วมงาน
และอีกคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอที่นี่
...สถาปนิกสาวผู้เป็นสะพานที่เชื่อมความฝันกับความเป็นจริง
“ขอเชิญคุณก้องกิตติ์กล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ สำหรับรางวัลที่ได้รับหน่อยครับ”
ก้องกิตติ์ยิ้มละไม กำรางวัลแน่นขณะขึ้นแท่นโพเดียมเพื่อพูด
“ที่อยู่อาศัยคือหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์ สถาปนิกมีหน้าที่วาดความฝันนั้นออกมา ส่วนวิศวกรคือผู้ที่ปั้นฝันนั้นออกมาให้จับต้องได้ ผมเติบโตมาในครอบครัวของวิศวกร ที่บ้านทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ผมได้ตามคุณพ่อไปออกไซต์งานบ่อยๆ ในอดีต ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสถาปนิกและวิศวกร
“ผมเลือกเรียนวิศวะเหมือนคนในครอบครัว แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือผมชอบการออกแบบโปรแกรม ชอบคอมพิวเตอร์ ผมจึงเลือกเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเลือกเรียนไม่เกี่ยวข้องกับการออกแบบบ้านหรือสร้างบ้านโดยตรง แต่...ผมสนใจการออกแบบที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคาร อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากครอบครัวของผมเอง ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือการลดช่องว่างของความลำบากในการทำงาน และอำนวยความสะดวกโดยใช้เทคโนโลยี
“M-Arch เกิดขึ้นมาด้วยแนวคิดที่จะร่นเวลาการออกแบบ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบและทดแทนขั้นตอนออกแบบของเหล่าสถาปนิกได้ทั้งหมด แต่ผมหวังว่ามันจะเป็นต้นแบบของการลดเวลาและเพิ่มความสะดวก รวมถึงมีส่วนในการรังสรรค์งานออกแบบอาคารและบ้านที่มีคุณภาพออกมาในอนาคต แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง
“ทั้งนี้ ผมขอขอบคุณผู้จัดงานในนามของสตาร์ตอัปทีมเปเปอร์เพลนส์ ขอบคุณแองเจิลและเหล่านักลงทุนที่ให้การสนับสนุนเอ็มอาร์ค ขอบคุณครอบครัว พ่อแม่และพี่ชาย ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่วันนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างอาชว์ มุจลินท์ มงคลชัย ขอบคุณเพื่อนสนิทอย่างศรัณย์และกรวัตที่ทำให้เกิดเอ็มอาร์คขึ้นมาได้ และ...ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์ของสถาปนิกคนหนึ่ง...ที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจ แม้เธอจะไม่เคยรู้มาก่อน แต่วันนี้ผมจะขอขอบคุณเธอที่นี่”
ก้องกิตติ์กวาดตาไปยังบริเวณเก้าอี้ที่เพื่อนสนิทอย่างศรัณย์นั่งอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ขอบคุณคุณดั่งฟ้า...”
แล้วก้องกิตติ์ก็ชะงัก เมื่อเห็นแต่ศรัณย์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด
เก้าอี้ข้างกายว่างเปล่า...ไร้เงาของคนที่เขาเพิ่งกล่าวคำขอบคุณไป
ความคิดเห็น |
---|