1

บทที่ ๑

บทที่ ๑

 

ฝนตกตั้งแต่เช้าแล้ว

                สายฝนที่โปรยปรายจากฟ้าพาให้เย็นใจนั้นกินเวลามาจนถึงเย็น เล่นเอาใครหลายคนดีใจที่อากาศเย็นลงบ้างกลางฤดูร้อนอันโหดร้าย 

ยกเว้นดั่งฟ้า

เพราะแม้ฝนจะตกเบาๆ ก็ทำให้เปียกปอน เมื่อจากไปก็ทิ้งความเฉอะแฉะไว้ให้รำคาญใจ แถมยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเธอหลายต่อหลายครั้ง

ที่สำคัญคือ...ฝนตกในวันมงคลสมรสอย่างวันนี้ วันที่ดอกไม้ควรเบิกบานราวฤดูใบไม้ผลิ มวลไม้เขียวชอุ่มรับแสงแดดเจิดจ้า ทุกอย่างควรงดงามและสดใส

แต่ช่างมันเถอะ 

ในเมื่อวันนี้ไม่ใช่งานแต่งงานของเธอ ฝนจะตกจนฟ้าถล่ม ตกจนหลังคาแยก ตกจนผนังแตก ตกจนงานพังไปเลยก็ยิ่งดี

ดั่งฟ้ากำซองสีครีมซึ่งภายในมีเงินจำนวนหนึ่งที่ใส่แล้วดูไม่น่าเกลียด เสียดายนิดหน่อยที่ไม่อาจตามใจตัวเองได้ด้วยการใส่แบงก์กาโม่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเห็นความรักของคู่บ่าวสาวเป็นเช่นไร หญิงสาวก้าวลงจากรถยุโรปหรูของตน เดินเข้าโรงแรมพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู หน้าจอปรากฏสายที่ไม่ได้รับอยู่สี่สาย หญิงสาวจึงโทร. หาคนโทร. เข้ามาสายล่าสุดอย่างภานินี บอกเพื่อนไปว่ากำลังเดินเข้างาน

ในไม่ช้าก็ถึงด้านหน้างานซึ่งตกแต่งด้วยแบ็กดรอปดอกกุหลาบแซมลิลี่สีชมพูสลับขาว ถัดไปเป็นทางเข้างานซึ่งจัดเป็นทางเดินซุ้มโค้งที่ประดับด้วยกากเพชรเกล็ดเงินระยับพราวพราย ภายในซุ้มโค้งนั้นมีรูปคู่บ่าวสาวในอิริยาบถต่างๆ ประดับตลอดทาง ดั่งฟ้าชายตามอง คิดในใจว่าถ้ามีทางอื่นให้เข้าก็จะไปเข้าทางนั้น พลันเห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอกำลังโบกมือเรียก

“เฮ้ย ฟ้า”

ดั่งฟ้ายิ้มทันที โบกมือตอบ “ไงกิฟต์ สบายดีไหมแก” 

เธอเดินเข้าไปตบบ่าเพื่อนซี้ตั้งแต่ ม. สี่อย่างของขวัญ ก่อนหันไปยิ้มร่าให้ตั้งดาวกับภานินี

“ไงดาว ไงฟู่ เป็นไงกันมั่ง”

“ก็สบายดีแก แต่ยุ่งโคตร” ของขวัญส่ายหน้า “แล้วแกล่ะ ทำกี่จ๊อบละตอนนี้ ยังไปช่วยเจ้แกขายไอติมอยู่ไหม”

ดั่งฟ้าพยักหน้า นึกถึงร้านขนมหวานและไอศกรีมซึ่งเป็นธุรกิจเสริมของพี่สาวนอกเหนือจากงานในวงการบันเทิง

“ขาย ยุ่งเหมือนเดิม ว่างๆ มากินนะ แล้วบอกว่าเป็นเพื่อนฟ้า เดี๋ยวให้คิดราคาพิเศษ”

“ถ้าจะลดทั้งทีก็ขอฟรีเลยได้ไหม”

“ใครว่าลด คิดเพิ่มต่างหาก เดี๋ยวบอกเด็กที่ร้านให้ว่าถ้ามีผู้หญิงท่าทางป้าๆ มาคน ให้คิดเพิ่มไปเลยห้าสิบเปอร์เซ็นต์” 

“ร้าย” ของขวัญถลึงตาใส่เพื่อน แล้วหันไปทางตั้งดาวซึ่งมองไปรอบๆ งานด้วยแววตาเนือยๆ

“เป็นไรต่างด้าว มัวแต่ทำคลอดจนลืมฉีดโบเหรอ”

ตั้งดาวหันกลับมามองเพื่อนตาเขียว ดั่งฟ้ากับภานินีเลยหัวเราะ แล้วคนหลังก็เป็นฝ่ายถาม

“แล้วแกล่ะด้าว สรุปแต่งเดือนไหน รีบไปเข้าคอร์สเจ้าสาวสิ”

“ฉันเหรอ” แพทย์หญิงตั้งดาวหรือที่เพื่อนสนิทชอบล้อชื่อว่าหมอต่างด้าวสีหน้าเซ็งจัด “ทะเลาะกับพี่ภูมิแทบตาย ไม่อยากแต่งมันละ”

ดั่งฟ้าเกาหัวแกรกๆ “จริงเหรอ ตอนที่พี่ภูมิขอแกนั่นหวานจนมดตายหมดโลกเลยนะนั่น” 

คนพูดนึกถึงคลิปวิดีโอที่เพื่อนสาวโพสต์ทางอินสตาแกรม การขอแต่งงานหน้าพระราชวังแวร์ซายโดยมีสักขีพยานเป็นชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยวนั้นเรียกได้ว่างดงามยิ่งกว่าเทพนิยายใดๆ

“ไอ้ตอนขอมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอมาคุยกันเรื่องแต่งงาน อื้อหือ บ้านพี่ภูมิแกใหญ่ อากงอาม่าอาเจ็กอยู่กันครบ พี่ภูมิแกหลานชายคนโตไง แต่ละท่านเลยดีไซน์งานแต่งจนเหมือนเป็นงานแต่งตัวเอง นี่ต้องไล่รับบัญชาเรียงบ้าน ห้ามเอาสีเหลืองเพราะไม่ถูกโฉลก สีฟ้าไม่ดี สีเขียวไม่สวย ห้ามมีตัวอักษรนู่นนี่นั่นในงาน งบห้ามเกินเท่านี้ๆ แต่อยากได้งานแบบจักรพรรดิแต่งสนมเอก ไหวปะ”

ตั้งดาวผ่อนลมหายใจแรงๆ 

“ยิ่งกว่านั้นพี่ภูมิแกก็ตามใจญาติๆ ที่พากันมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ มีแต่ฝั่งฉันวิ่งคนเดียว พี่แกอ้างแต่ติดคนไข้ด่วน แหม...ทำคลอดนี่ไม่ด่วนเลยเนาะ ยุ่งจนหัวขวิดไม่มีเวลาทำอะไรเลย แถมจะแต่งงานทีก็ร้อยพ่อพันแม่มากๆ”

จริงอย่างที่เพื่อนว่าไม่มีผิด ในเมื่องานแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ดั่งฟ้าได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้มาแล้ว เมื่อดุจฝันผู้เป็นพี่สาวแต่งงานเมื่อเกือบสี่ปีก่อน ลำพังแค่งานแต่งก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่พออยู่แล้ว แต่เพราะพี่สาวของเธอคือนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย งานแต่งงานจึงต้องยักษ์ตามชื่อเสียง งานหนักเลยตกมาที่น้องสาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว วิ่งวุ่นจัดพื้นที่ต้อนรับสื่อในงานแถลงข่าว ประสานงานกับออร์แกไนเซอร์ให้ทุกอย่างออกมาเรียบร้อย และบริหารงานที่มีแขกนับพันคนให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนลงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ได้อย่างสวยงาม

“แล้วไหวไหมแบบนี้ จะเลิกมะ” ของขวัญถามตรงๆ ใบหน้าขาวกระจ่างดูอ่อนเยาว์อย่างยากจะเชื่อว่าเป็นผู้จัดการใหญ่

“ยังไม่ได้เลิกกันย่ะ” ตั้งดาวตบบ่าเพื่อนดังปั้กจนเพื่อนร้องโอ๊ย เธอไม่สนใจแล้วหันมาทางดั่งฟ้า “แกก็มารอรับช่อดอกไม้เจ้าสาวได้เลย”

ดั่งฟ้ายิ้ม ภานินีเหลือบไปทางเจ้าบ่าวในชุดทักซิโดสีดำกับว่าที่ภรรยาที่ยืนรับแขกอยู่แล้วอดกัดไม่ได้

“คู่เพื่อนด้าวยังไม่ควรเลิก แต่คู่บ่าวสาวนี่ดิ...น่าจะเลิกกันซะ”

“เออ เห็นด้วย ให้มันเลิกกันในงานตอนนี้ทันไหม” ของขวัญเสริม รอยยิ้มนางมารปรากฏบนหน้า

“ช่างมันเถอะ” ดั่งฟ้าตัดบท ไม่แม้แต่จะหันไปมองคู่รักที่ควรเลิกกัน 

ของขวัญเลิกคิ้วข้างเดียว “แก...”

“เขาจะแต่ง จะเลิก จะมีลูกมีหลาน จะทำอะไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันมานานแล้ว เราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราพยายามห้ามใจเราไม่ให้กลับไปคิดได้”

หนึ่งผู้จัดการสาวและสองแพทย์หญิงพร้อมใจกันยกมือขึ้นประนม ของขวัญว่านำด้วยน้ำเสียงเลื่อมใส

“สาธุบุญค่ะซิส แต้มบุญจะหนุนส่งให้แฟนใหม่ดียิ่งกว่าเทวดา”

“ถวายปัจจัยคือเศรษฐี ถวายแฟนไม่รักดีให้ชาวบ้านคือดั่งฟ้า” 

ตั้งดาวเสริมแล้วยกมือขึ้นเหนือหัว ดั่งฟ้าถึงกับกลั้นหัวเราะ ก่อนว่าเสียงเหี้ยม ดวงตาวาวโรจน์

“พวกแกก็เว่อร์ไป๊ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว กล้าเชิญฉันก็กล้ามา คงไม่คิดว่าฉันเตรียมระเบิดมาบอมบ์งานนี้ โทร. เรียกทีเดียวระเบิดไปถึงหน้าโรงแรม”

เพื่อนทุกคนหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มอำมหิตของดั่งฟ้า 

“ไหนใครว่ามันบรรลุแล้ว ถอนคำพูดแป๊บ” 

ภานินีกระตุกเพื่อนอีกสองคนที่ยังกะพริบตาปริบๆ ดั่งฟ้าก้าวฉับๆ ไปลงทะเบียนแขก ไม่ได้มองหน้าฝ่ายต้อนรับตอนที่รับของชำร่วยขณะจดปลายปากกาเขียนหวัดๆ ลงในสมุดอวยพร

ขอให้รักกันนานๆ นะ – ฟ้า :) (เอียง)

...รักกันชั่วกัลปาวสาน จนเป็นฟอสซิลให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาพฤติกรรมไม่ดีของบรรพบุรุษและไม่เอาเป็นแบบอย่าง

พอเขียนเสร็จ หญิงสาวก็เดินไปที่แบ็กดรอป ปราดมองเพื่อนเจ้าสาวที่ใส่ชุดสีชมพูดูสวยงาม ถัดไปเป็นกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวสมัย ม. ปลายที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังยืนคุยกัน แต่พอหันมาสบตาเธอปั๊บก็หยุดนิ่งราวถ่านหมดกะทันหัน รอยยิ้มหายวับไปจากหน้า ขณะที่ดั่งฟ้ากลับยิ้มแทนจนดวงตากลมโตกลายเป็นรูปสระอิ โบกมือแล้วทักทายเสียงหวานเจี๊ยบ

“สบายกันดีนะ ไม่เจอตั้งนานแน่ะ” 

ความเงียบเกิดขึ้นหลังคำถามเธอ ดั่งฟ้ายังยิ้มหวานหยดเหมือนเดิม ทว่ากลับไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวคนไหนยิ้มตอบเธอเลย นานทีเดียวกว่าหนึ่งในนั้นจะพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน

“สบายดี...”

หญิงสาวตวัดสายตาไปรอบๆ เห็นคนหน้าคุ้นเคยจากสมัยมัธยมและมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด เธอพูดกับเพื่อนเจ้าบ่าวต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เหมือนงานเลี้ยงรุ่นเลยเนาะ”

“เอ่อ...นั่นสิ” 

เพื่อนคนที่ตอบยังยิ้มไม่ออก ดั่งฟ้าเลยยิ้มให้พอเป็นพิธีแล้วเลี่ยงออกมาสองสามก้าว เหลือบมองเจ้าบ่าวที่กำลังถ่ายรูปกับแขกอยู่ด้านหน้าแบ็กดรอป ก่อนหันมาสบตาเธอโดยบังเอิญเมื่อถ่ายรูปเสร็จ

รอยยิ้มที่เคยมีเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนบนใบหน้าสมุทรพลันหายวับ ดวงตาเรียวเบิกขึ้น อากัปกิริยาของเขาทำให้ดั่งฟ้าเข้าใจได้ทันทีว่าสมุทรเชิญเธอมาแค่ตามมารยาท และเธอเอง...ก็ยังตัดสินใจมางานนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ต้องมาก็ได้ 

ดั่งฟ้าหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียวราวกับเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ก่อนค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานที่ครั้งหนึ่งสมุทรเคยสารภาพว่าเป็นเหตุให้ตกหลุมรักเธอ

“เป็นไงมั่งซี”

“ฟ้า...” 

สมุทรพึมพำได้เท่านั้น จนเจ้าสาวหันมามอง...และชะงักไปด้วยอีกคน

เสียงรอบตัวพลันเงียบสงัด เจ้าสาวคนสวยหน้าเหลอไปทันที ก่อนจะรีบตีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว ดั่งฟ้าพินิจใบหน้าสวยสดของชลธรที่เปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีเจ้าสาว วันนี้...สวยกว่าตอนเคยมีเรื่องกับเธอ หญิงสาวเผลอแสยะยิ้มเมื่อตวัดสายตาไปมองมือที่ยังเกาะกุมกันแน่น

ยากจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยจับมือเจ้าบ่าวไว้แน่นเช่นกัน

 

‘ฟ้าอยากแต่งงานตอนอายุเท่าไร’

เสียงนุ่มทุ้มของสมุทรดังขึ้นข้างหูดั่งฟ้า ตอนนั้นเธอกำลังเขี่ยหมูบนเตาปิ้ง เธอเพิ่งอายุยี่สิบห้า และเป็นสถาปนิกสาวไฟแรง

‘ถามงี้จะขอแต่งเหรอ’ ดั่งฟ้าไม่คาดว่าจะเจอคำถามนี้เร็วนัก เลยถามกลับตรงๆ หยุดเขี่ยหมู

‘เรารักกันก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว’ ชายหนุ่มยิ้มละมุน ควันลอยขึ้นบังหน้าเขาบางส่วนแล้วหายไป

หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าตนอุ่นใจไม่น้อยยามเห็นรอยยิ้มของคนรัก ทว่าเมื่อคิดถึงอนาคต...ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล เธอกลับเห็นไม่เห็นเวลาที่จะเอามาทุ่มเทให้เรื่องชีวิตคู่ ในเมื่อเธอรับหลายหน้าที่เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิกหรือเป็นผู้จัดการส่วนตัวดารา แค่เวลานอนยังไม่ค่อยมีเลย

‘ยังไม่ได้คิดเลย ยังไม่ต้องรีบคิดด้วยมั้ง’

ชายหนุ่มเลิกคิ้วคล้ายกับที่เธอว่าไปไม่ค่อยถูกใจเขาเท่าไร ‘จริงๆ ก็น่าจะเริ่มคิดได้แล้วนะฟ้า เรายังคิดเลย เราอยากแยกออกมาอยู่กับฟ้าแล้ว’

ดั่งฟ้าชะงัก แล้วถ่ายทอดความคิดของตนออกมาอย่างใจเย็น ‘ทุกอย่างมีจังหวะของมัน วันนี้เรายังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานเพราะเราไม่พร้อม แต่ถ้าเราพร้อมกันเมื่อไร มาคุยกันวันนั้นก็ไม่สาย’

‘เราเข้าใจฟ้านะ เข้าใจว่าทั้งฟ้าและเราก็ยุ่งกันทั้งคู่ ยุ่งจนพวกเพื่อนเรามันยังแซวว่าคิดยังไงที่ดีเวลอปเปอร์กับสถาปนิกเป็นแฟนกัน ไม่แต่งวันนี้หรอก ฟ้าไม่ต้องกลัว แต่แค่อยากให้ฟ้าไปลองคิดดูคร่าวๆ ว่าพร้อมช่วงไหน เราเองจะได้เตรียมตัวเหมือนกัน’

รอยยิ้มละมุนยังอยู่บนใบหน้าของเขา สถาปนิกสาวหย่อนหมูลงเตาเพิ่ม พูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ

‘ซียังต้องทำงานหาประสบการณ์ ยังต้องผ่านอะไรอีกเยอะ กว่าแอปพลิเคชันจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง แถมยังธุรกิจของที่บ้านที่ซียังต้องดูแลอีก เอาจริง...ถ้างานเราไม่เยอะ เราอาจลาออกแล้วพร้อมไปเป็นเจ้าสาวให้ ไปอยู่ดูแลซี แต่ตอนนี้ เราดูแลกันห่างๆ แบบนี้เราว่ามันก็โอเคนะ ซีดูแลตัวเองได้ เราดูแลตัวเองได้ และเราก็ไว้ใจกัน แบบนี้มันก็ไม่มีปัญหา’

เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วเอื้อมมือซ้ายไปแตะหลังมือคนรัก บีบแน่นๆ ก่อนรับสัมผัสแบบเดียวกันกลับมา

‘ไม่ใช่เพราะไม่รัก ไม่ใช่เพราะไม่แคร์ แต่เพราะรู้ว่าต่างคนต่างมีความฝันที่ต้องตาม มีหน้าที่ที่ต้องทำ ตอนนี้เราก็แค่ไปทำตามหน้าที่ของเราจนลุล่วงด้วยดี ถ้าสักวันเราพร้อม...เราจะบอกเอง’

 

ทว่าวันนั้นไม่เคยมาถึง

และถ้าย้อนเวลากลับไปได้...เธอจะเปลี่ยนคำพูดหรือไม่

ดั่งฟ้าทบทวนกับตัวเองเงียบๆ และพบว่าตนไม่เสียใจเลยที่เคยพูดเช่นนั้น ในเมื่อเธอยังคงให้ความสำคัญกับหน้าที่และสิ่งที่ต้องทำเหนือเรื่องหัวใจมาโดยตลอด แล้วก็ไม่คิดว่าจะลงหลักปักฐานกับใครหากไม่พร้อม ไม่ใช่ลงไปก่อนแล้วค่อยดิ้นรนทีหลัง 

น่าเสียดายที่สมุทรไม่รอเธอ และในวันนี้เขาก็ได้ลงหลักปักฐานกับหญิงสาวที่เจอกันตอนไปทำงานที่สิงคโปร์แล้ว

“เป็นไง เหนื่อยไหม” ดั่งฟ้าถามเจ้าบ่าวนิ่มๆ

พูดจบก็เห็นเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนตนมองเธอเป็นตาเดียว สมุทรพยักหน้า

“เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันฟ้า เตรียมงานเยอะแยะ”

“เข้าใจๆ งี้แหละงานแต่ง” ดั่งฟ้าถามต่อด้วยน้ำเสียงปกติ “ตอนนี้งานเป็นไง”

เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็ดี”

“ดีแล้วละ”

“ฟ้าเองก็อย่าทำงานเยอะเกินไปล่ะ”

ประโยคสุดท้ายนั้น...เธอไม่ได้ยินจากเขามานานมากแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนได้ยินจนชินหู คุ้นเคยไม่ต่างจากคำสวัสดี ดั่งฟ้ารับความปรารถนาดีนั้นไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนเหลือบมองช่างภาพที่ถือกล้องด้วยท่าทางจดๆ จ้องๆ รอว่าเมื่อไรแขกอย่างเธอจะหันมายิ้มให้กล้องเสียที

“เชิญแขกถ่ายรูปด้วยครับ”

ดั่งฟ้ายิ้มกว้างขึ้นแล้วโบกมือปฏิเสธ “ขอโทษนะคะ”

ก่อนเดินออกมาโดยไม่เหลียวกลับไปมองหน้าเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวแม้แต่นิดเดียว โดยมีเพื่อนสาวอีกสามคนเดินเป็นเงา แต่ก่อนจะเดินไปไกล สามคนก็นั้นหันกลับมาส่งสายตาเขียวปั้ดใส่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวอย่างพร้อมเพรียง แล้วเชิดหน้า เดินจากไปราวกับเป็นซูเปอร์โมเดล

ภายในห้องบอลรูมขนาดใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยเพื่อนมัธยม แก๊งดั่งฟ้าทักทายด้วยรอยยิ้มจนเหงือกแห้งและเจ็บคอ เธอกับสมุทร รวมถึงภานินี ของขวัญ ตั้งดาว เรียนสายวิทยาศาสตร์-คอมพิวเตอร์เมื่อเข้าชั้น ม. สี่ ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เอกลักษณ์ของที่นี่คือระบบห้องจะไม่เป็นสี่ทับหนึ่ง สี่ทับสอง ไล่ไปเช่นโรงเรียนอื่น ทว่าเป็นเลขห้อง เช่น หนึ่งห้าห้า หนึ่งห้าหก แปดหนึ่งสอง โดยเลขตัวหน้าจะเป็นเลขของอาคารและถือว่าเป็นรหัสลับของแต่ละตึก ตามด้วยเลขชั้นและเลขห้อง

ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อนที่อยู่ด้วยกันตอน ม. สี่จะกลายเป็นกลุ่มที่สนิทกันที่สุดไปโดยปริยาย เพราะผ่านการรับน้องทั้งระบบห้องและระบบสายมาด้วยกัน พอขึ้น ม. ห้าก็คละห้องกันภายในแผนการเรียนของตน เมื่อขึ้น ม. หกก็จะคละสายวิทย์กันทุกสาย ซึ่งแต่ละตึกจะมีห้องคิงและห้องควีนวิทย์เป็นของตัวเอง

สมุทรเป็นเด็กหลังห้องเมื่อสมัย ม. สี่ เป็นนักฟุตบอลและนักบาสเกตบอล หน้าตาโดดเด่น ในแต่ละวันจะต้องมีนักเรียนหญิงเดินผ่านห้อง แล้วหันมามองเขาที่นั่งตาปรืออยู่หลังห้องเสมอ

เขาไม่มีวี่แววว่าจะชอบเธอเลยตอนเรียน ม. สี่ด้วยกัน มีเพียงการแหย่กันเล่นเหมือนเพื่อนธรรมดาทั่วไป สมุทรมีข่าวกิ๊กกั๊กอยู่กับรุ่นพี่ดรัมเมเยอร์ประจำโรงเรียน แล้วก็เปลี่ยนคนใหม่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโคจรกลับมาเจอกันอีกทีตอน ม. หก เธอเรียนห้องข้างๆ เขา เข้าร่วมกิจกรรมของตึกด้วยกันหลายกิจกรรมทีเดียว และช่วงนั้นเองที่สมุทรทำท่าว่าจะเริ่มสนใจเธอบ้างแล้ว แต่เธอต่างหากที่ยังไม่สนใจเขา

ดั่งฟ้าทักทายเพื่อนๆ จนเหนื่อย แล้วเดินไปนั่งกับเพื่อนสนิทของตน ดวงตาสวยหวานที่คัดเบ้าด้วยสีทองตวัดไปยังเค้กสูงเหนือหัวในงาน และจอโพรเจกเตอร์ที่ปรากฏชื่อสมุทรกับชลธรเป็นภาษาอังกฤษ 

“แล้วแบบนี้หน้ากากทักซิโดของแกมาเปล่า เห็นว่าอยู่ห้องเดียวกับไอ้เจ้าบ่าวตอน ม. หกนี่ ทำงานด้านแอปพลิเคชันสตาร์ตอัปเหมือนกัน เห็นว่าเจอเจ้าบ่าวบ้างเป็นบางครั้งนะ” ตั้งดาวพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ดั่งฟ้านิ่งไปเพราะคำถามของเพื่อนสนิท ชำเลืองซ้ายขวา...นึกย้อนกลับไปถึงหน้ากากทักซิโดที่เพื่อนพูดถึง

หน้ากากทักซิโด 

ฉายาลับที่ใช้เรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่ง...ที่หน้าตาภายนอกไม่มีอะไรคล้ายหน้ากากทักซิโดในเรื่องเซเลอร์มูนแม้แต่น้อย 

“ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าบ่าวสนิทกับทักซิโดหรือเปล่าน่ะสิ พวกเรายังไม่เห็นเลย แต่งานนี้ก็แทบไม่ต่างจากงานเลี้ยงรุ่น เห็นเชิญมาตั้งแต่เพื่อน ม. สี่ห้าหก เผลอๆ อาจจะมามั้ง”

ของขวัญกลอกตาไปรอบๆ งานที่มีแต่คนหน้าคุ้นเป็นหย่อมๆ 

“เรียกแต่ทักซิโดๆ แล้วจริงๆ แล้วทักซิโดชื่ออะไรนะ” ภานินีขมวดคิ้วมุ่น

“ก้อง” 

ดั่งฟ้าตอบเบาๆ คล้ายไม่ใส่ใจแล้วจิบน้ำส้มคั้น

“หูย...ยังจำชื่อได้ด้วย” ตั้งดาวเสียงดังขึ้น ก่อนทำหน้ากรุ้มกริ่ม “แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหน” 

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ตั้งดาวเสริมต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เห็นได้ข่าวว่าจบวิศวะนี่ ฟ้า แกอยู่’ถาปัตย์ ฟากเดียวกันไม่ใช่เหรอ ไม่ได้แวะไปแอ๊วบ้างหรือไง ใกล้ๆ นี่”

“ใกล้อะไร กว่าจะไปถึงวิศวะ มีทั้งสระใหญ่ ทั้งสนาม ทั้งศิลปกรรมฯ ทั้งอักษรฯ” ดั่งฟ้าชูนิ้วขึ้นมานับให้เพื่อนดู

“แล้วไปไหม” ภานินีตัดบท ไม่สนใจการนับนิ้วของดั่งฟ้า

“ไป” หญิงสาวรับตรงๆ “สารภาพว่าก็ยังเดินไปวิศวะอยู่หลายรอบเลยตอนปีหนึ่ง แต่ไปแล้วเจอบ้างไม่เจอบ้าง ส่วนใหญ่เป็นอย่างหลัง จนคบกับซีนั่นละ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก...วันๆ มัวแต่สเกตช์กับตัดโมหัวขวิด”

ก้องกิตติ์เลือกภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเรียนจบก่อนเธอหนึ่งปีตามหลักสูตร 

เรื่องราวของเขาคล้ายสายฝน...ที่ตกมาพอให้หัวใจชุ่มชื่นเป็นบางครั้ง ทว่าพอหยุดตก ฟ้าสดใส แสงแดดร้อนระอุทำให้น้ำขังระเหยไป ไม่เหลือร่องรอยว่าฝนเคยตกมาก่อน 

ดั่งฟ้าแย้มยิ้ม ดวงตาคู่กลมโตของเธอพลันระยับไปด้วยประกายความหลัง

คนบางคนในชีวิต...ก็พบเพื่อเพียงผ่านเท่านั้น 

และคงไม่มีวันได้หวนมาพบกันอีก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น