2

บทที่ ๒

บทที่ ๒

 

แม้สมองบอกว่าอาจจะไม่มีวันพบกันอีกครั้ง ทว่าสัญชาตญาณกลับสั่งให้ดั่งฟ้ากวาดตาไปรอบๆ มองใบหน้าของแขกผู้ร่วมงานใต้แสงสว่างจากแชนเดอร์เลีย แต่ไม่มีใบหน้าไหนเลยที่เธอสะดุดตา 

ไม่มีใบหน้าไหนที่เหมือนกับก้องกิตติ์ 

“สงสัยไม่มามั้ง” ตั้งดาวชะโงกซ้ายขวาด้วยท่าทางกระตือรือร้น “แต่คนก็เยอะ เราอาจหากันไม่เจอ เพราะเพื่อน ม. หกมันก็มากันเยอะนะ”

“หรือต้องรอวันฟ้าเปิด คืนนี้ฝนตก ดวงจันทร์ไม่โผล่ หน้ากากทักซิโดต้องมาพร้อมจันทร์เต็มดวงสิ” ภานินีบุ้ยใบ้ไปยังทางเข้าห้องบอลรูม

“เซเลอร์มูนต้องจันทร์เสี้ยวต่างหาก ไม่ใช่วันเพ็ญ”

ดั่งฟ้าแย้ง ของขวัญเหลือบมองเพื่อนทั้งสามแล้วส่ายหน้า 

“จะวันเพ็ญหรือเดือนมืดเขาก็ไม่โผล่หรอก เพราะงานนี้มันอัปมงคลไง ฝนเลยถล่มยังกะฟ้ารั่วขนาดนี้”

ดั่งฟ้าหัวเราะเบาๆ มองไปยังหน้างาน เห็นโต๊ะญาติเจ้าบ่าว น่าเสียดายที่พ่อของสมุทรไม่มีโอกาสได้เห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา เนื่องจากท่านเสียไปได้ยี่สิบปีแล้วเพราะเส้นเลือดในสมองแตกและโรคหลอดเลือดหัวใจ

คุณสิมา มารดาของสมุทรกำลังเดินทักทายแขก และเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของเธอเรื่อยๆ ดั่งฟ้าเลยลุกไปหาแล้วยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะ...คุณน้า” เธอลังเลว่าจะเรียกสิมาว่าอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจเรียกด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“ฟ้า” หญิงที่เธอยังเคารพนับถือจับมือเธอไว้ แล้วเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด “ฟ้ามาด้วยเหรอลูก แม่ดีใจจริงๆ”

“ฟ้ายินดีค่ะคุณน้า” ดั่งฟ้ายิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

คุณน้าบีบมือเธอแน่นขึ้น แววตาหมองลง “เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะลูก”

คล้ายค้อนทุบเบาๆ ที่กลางใจหญิงสาวผู้ฟัง ใบหน้าและน้ำเสียงของท่านยังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดูและใจดีเหมือนก่อนหน้านี้ ดั่งฟ้ากระอักกระอ่วน เลี่ยงไม่พูดถึงสรรพนามที่คุณแม่อยากให้เรียกเหลือเกิน

“สบายดีนะคะ”

พอเธอถามเท่านั้น สิมาก็เงียบไปชั่วอึดใจ ประกายวาววับหายไปจากดวงตายามตวัดตามองลูกชายและลูกสะใภ้ซึ่งยืนอยู่หน้างาน

“ไม่ค่อยหรอก”

ดั่งฟ้าพอจะทราบสาเหตุว่าทำไมสิมาถึงไม่ค่อยสบาย แต่ก็ทำได้แค่ยิ้ม แล้วก็ต้องยิ้มค้างเมื่อได้ยินประโยคต่อมา 

“เสียดายจังนะที่ฟ้าไม่ได้มาเป็นสะใภ้แม่”

น้ำเสียงท่านเต็มไปด้วยกระแสอาวรณ์ ดั่งฟ้าหลุบตาต่ำ 

“แต่ฟ้าก็ยังนับถือคุณ...น้าเหมือนเดิมนะคะ” หญิงสาวว่าเสียงเบาหวิว บีบมือหญิงตรงหน้า ไพล่คิดถึงช่วงเวลาที่สิมาต้อนรับขับสู้ยามเธอไปเยี่ยมบ้านเป็นอย่างดี

หนึ่งในสาเหตุที่ท่านเอ็นดูเธอเป็นอย่างยิ่งก็เพราะว่ายามท่านป่วยกระเสาะกระแสะตอนสมุทรไปทำงานอยู่สิงคโปร์ เธอคอยดูแลท่านไม่ห่างไปไหน รวมถึงไปส่งท่านที่โรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ 

ดั่งฟ้ากลืนก้อนขมขื่นลงคอ จะให้ไปมาหาสู่ทั้งที่สมุทรเองก็มีคนรักใหม่แล้ว มัน...น่าเกลียดเกินไป 

“ว่างๆ ฟ้าก็มาหาแม่หน่อยสิลูก”

“คุณน้ายังอยู่ที่เดิมใช่ไหมคะ” เธอไม่รับปาก ยังไม่สบตาหญิงวัยกลางคนแต่อย่างใด

“จ้ะ ที่เดิม แต่ตอนนี้แม่อยู่คนเดียวนะ ซีไปอยู่คอนโดแล้วแหละ ดังนั้นฟ้ามาหาแม่ได้จริงๆ นะ แม่ยังอยากไปกินข้าวกับฟ้าเหมือนเดิม”

หญิงสาวอดใจอ่อนไม่ได้ ยิ้มบางๆ อีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด 

“ถ้ามีโอกาส...ฟ้าจะไปหานะคะ”

โอกาสที่ไม่อาจรับปากว่าเมื่อไร

“ขอบคุณจริงๆ นะจ๊ะ มาหาแม่นะ”

สิมาเขย่ามือเธอ ดั่งฟ้ามองดวงตาที่มีริ้วรอยเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนพอสมควรด้วยความใจหาย 

“แล้วฝันกับคุณไพรด์สบายดีใช่ไหมลูก” สิมาถามถึงพี่สาวและพี่เขยของเธอ

“ค่ะ สบายดีค่ะ คุณน้ารับแขกต่อเถอะค่ะ ฟ้าไม่กวนแล้ว ดีใจที่ได้เจอคุณน้านะคะ”

ดั่งฟ้ารีบยกมือไหว้สิมาและผู้ใหญ่ที่เดินมาทักทายอย่างได้จังหวะพอดี แล้วเดินเลี่ยงกลับไปยังโต๊ะของตน กดความอาลัยบางเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นลงไป ปั้นหน้ายิ้ม นั่งหัวเราะร่วมไปกับเรื่องเฮฮาของบรรดาเพื่อนสาว จนกระทั่งถึงเวลาเหมาะสม สมาธิเธอก็กลับมาอยู่ที่ลำดับในงานอีกครั้ง

“...และก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงพิธีการ ผมอยากใคร่เชิญให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านรับชมเรื่องราวความรักของบ่าวสาวทั้งสองท่าน ถ้าพร้อมแล้ว มารับชมกันเลยครับ”

ดั่งฟ้าหันหน้าไปยังเวที จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็สุดรู้ที่โต๊ะเพื่อน ม. สี่อยู่ใกล้เวทีจนเห็นแทบทุกรายละเอียดของงาน สปอตไลต์สาดส่องไปยังจอโพรเจกเตอร์ ตามด้วยภาพวีดิทัศน์ เริ่มต้นที่มารินาเบย์ แพนไปยังภาพตึกสูงเสียดฟ้า ก่อนตัดมายังทางเดินในสำนักงานใหญ่ของบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันชื่อดังของเอเชีย

ชลธรในชุดทำงานสไตล์ลำลองสาวเท้ายาวๆ มาจากอีกฟากด้วยท่าทางราวเวิร์กกิงวูแมนตามนิตยสารที่ดั่งฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าสร้างภาพสิ้นดี เธอทำเป็นง่วนกับการพลิกกระดาษกองโตที่ถือมาด้วย ลืมสังเกตสมุทรที่รีบเดินอยู่เช่นกัน กระทั่งชนกันล้มทั้งคู่ กองกระดาษหลุดร่วงลงจากมือ

“Sorry! I’m so sorry.” หญิงสาวละล่ำละลักพร้อมเก็บกระดาษ เงยหน้าขึ้นมา เห็นสายตาของสมุทรที่มองมาอยู่แล้ว

“Are you okay?”

“I’m okay. How about you?” สมุทรถามกลับ ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบ ก็มีชายหนุ่มวัยกลางคนแต่งตัวดีเดินมาเรียกเขาก่อน

“ซี”

“ครับ” สมุทรขานรับ

“อ้าว มาทำอะไรตรงนี้กับแทม ตายๆ ลุกขึ้นมากันเร็ว”

คนที่ยังนั่งอยู่สองคนหันมามองกัน ก่อนชลธรเป็นฝ่ายทักก่อนขณะลุกขึ้นมา 

“คุณ...สมุทรเหรอคะ ตอนแรกนึกว่าคนสิงหรือคนจีน”

“คนไทยเหมือนกันครับ” สมุทรส่งมือให้เธอจับ กล้องแพนไปยังมือของชลธรที่ยื่นไปจับ “ส่วนคุณก็คือคุณชลธร ที่จะมาอยู่ทีมพัฒนาเดียวกับพวกเราตั้งแต่วันนี้ใช่มั้ยครับ”

ชลธรยิ้มกว้าง “ค่ะ ต้องขอฝากตัวด้วยนะคะ”

กล้องแพนไปยังมือที่จับกันอยู่ พร้อมกับที่เสียงเปียโนบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้ง ดลบันดาลให้ทุกอย่างงดงามดั่งอยู่ในความฝัน

...เลยได้ฝากตัวตลอดชีวิตไหมล่ะ!

ผู้ชมอย่างดั่งฟ้าขยักขย้อนพิกล นึกอยากคายอาหารที่กินไปคุ้มกับค่าใส่ซองแล้วออกมาจนหมดท้อง เมื่อได้ยินเสียงผู้หลักผู้ใหญ่ถัดไปอีกสองโต๊ะกล่าวด้วยเสียงชื่นชม

“ดีจริงๆ เลย พบกันตอนไปทำงานเมืองนอก”

ผู้ใหญ่อีกท่านเสริมเป็นปี่เป็นขลุ่ย “นั่นสิ น่ารักกันจริงๆ เหมาะกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก”

ดั่งฟ้าตาพร่า ความโมโหพุ่งปรี๊ดจากใจไหลไปทั่วร่าง เกิดประจุไฟฟ้าที่ทำให้เกิดอาการคันไม้คันมือ อยากไปกระชากหัวเจ้าบ่าวออกมาจากมุมมืด จับกระแทกขอบโต๊ะ หมายเอาเลือดออกจากหัวสักหน่อยเพื่อเซ่นไหว้เจ้าที่ของโรงแรมนี้แทนน้ำแดง

“ซี!”

หญิงสาวพูดลอดไรฟัน ถ้าไม่เกรงใจแขกหลายร้อย เธอคงได้แปลงร่างเป็นนางผีเสื้อสมุทรไปแล้ว

                “สึนามิใหญ่แค่ไหนยังไม่สู้สกิลทอแลของมันเลย! พวกแกก็รู้ มันบอกฉันว่าเจอแทมตอนยี่สิบเก้าเว้ย เจอกันตอนกลับมาจากสิงคโปร์แล้ว แต่แกดูมัน! มันเจอกันตั้งแต่ตอนไปอยู่นู่น พวกแกดู! ฉันกลายเป็นนังเด๋อมาตั้งหลายปี!”

                เธอว่าเสียงเบาแต่ดังพอที่เพื่อนจะได้ยินอย่างครบถ้วน พลันประจุไฟก็ปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสามคู่ของเพื่อนราวเป็นปิกาจู

“มันโกหกแกมา...” ภานินีเริ่มนับนิ้ว “โห...สามปีเต็ม ต้องงูพิษขนาดไหนนั่น”

“อย่านับดิ นับแล้วแค้น” ดั่งฟ้ากำส้อมที่ทำท่าว่าพร้อมจะหักลงทุกเมื่อเพราะแรงช้างสารของตนเอง ใบหน้าสวยงดงามถมึงทึงชวนให้คนมองสยอง

“นี่กิฟต์ แกแน่ใจเหรอว่าไอ้สมุทรมังคุดละมุดลำไยนี่มันเรียนมาร์เกตติงจริงๆ” ตั้งดาวถองศอกถามของขวัญด้วยความสงสัยยิ่ง 

“เออดิ”

“เอาจริงนะ” ตั้งดาวโพล่งเสียงดังขึ้นจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ทว่าเธอไม่สนใจ “ฉันว่าไอ้ละมุดนี่มันควรเรียนศิลปกรรม”

ของขวัญแย้งทันที “อย่างมันเนี่ยนะ จำได้ว่าศิลปะเกือบตก วาดต้นไม้ออกมาเหมือนไส้อั่ว แยกไม่ออก”

“ไม่ใช่! ฉันหมายความว่ามันสร้างภาพเก่งจนฉันคิดไปว่ามันจบศิลปกรรม! ดูซิ คนยังเข้าใจว่ามันเป็นคนดี แต่ดูที่มันทำกับเพื่อนเราสิคะซิส!”

หากความโกรธของดั่งฟ้าเป็นไฟ ป่านนี้คงไหม้ไปทั้งงาน 

ทว่าหญิงสาวเจ้าของเรื่องยังมีสติมากพอที่จะไม่โวยวายออกมา แค่พูดเบาๆ เท่านั้น “จะจบศิลปกรรมก็เรื่องของมัน แต่สำหรับฉัน วันนี้จะต้องสิ้นกรรมกันได้แล้ว”

ดวงตาสวยใต้แพขนตายาวอาฆาตแค้น ดั่งฟ้าหยิบมีดขึ้นมา แล้วกรีดเนื้อตรงหน้าที่ยังกินไม่หมด ทำปากขมุบขมิบราวสวดคุณไสย

“แหม พบกันตอนอายุยี่สิบหก เจอกันเพราะเดินชนในออฟฟิศ โถ...เจอกันที่สิงคโปร์ โถ...เจอกันตอนไปวิ่งเล่นบนหัวเมอร์ไลออนหรือไง”

เธอจิ้มเนื้อเข้าปากเพื่อดับโมโห สูบก้อนเนื้อนั้นลงท้องด้วยความเร็วแสง ไม่ใช่เพราะหิว แต่เป็นเพราะแรงโมโหซึ่งจะทำให้เธอเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น

                “แค่โดนนอกใจก็พอแล้ว นี่ยังต้องรู้ว่าโดนคบซ้อนมาอีกหลายปี!”

เธอเคี้ยวเนื้อกร้วมๆ มือซ้ายก็ลูบศีรษะ รู้สึกเหมือนจะเจอเขางอกสองข้าง 

เห็นทีถ้าไปชลบุรีช่วงเดือนตุลาคม คงโดนจับเข้าร่วมประเพณีวิ่งควายได้โดยไม่ต้องแต่งตัวอะไรเพิ่มเติม เผลอๆ อาจวิ่งได้ที่หนึ่งเสียอีก

ส่วนเพื่อนสาวทั้งสาม เมื่อเห็นว่าเธอกำลังถูกด้านมืดครอบงำก็ได้แต่รีบปลอบให้เย็นลง วีดิทัศน์จบลงไปเมื่อไรไม่มีใครทราบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไฟสปอตไลต์สาดแสงลงไปยังพิธีกรของงานซึ่งยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยอย่างสดใส

“จบลงไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องราวความรักของบ่าวสาวในค่ำคืนนี้ น่ารักและเหมาะสมกันจริงๆ ทุกท่านเห็นด้วยใช่ไหมครับ” เขาโปรยยิ้มมาให้แขกด้านล่างที่พากันพยักหน้า ไม่เห็นสี่สาวแสนสวยซึ่งนั่งหน้าหงิกเป็นมะเหงก

“และในตอนนี้ ผมเชื่อว่าทุกท่านก็คงอยากเจอบ่าวสาวแล้ว ผมขอเรียนเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาพบกับทุกท่านในคืนนี้ ปรบมือต้อนรับได้เลยครับ”

ไฟสปอตไลต์ตรงพิธีกรดับวูบ สว่างวาบ ณ ประตูที่ค่อยๆ เปิดออกแทน พร้อมกับเสียงเพลงเวดดิงมาร์ชบรรเลงด้วยไวโอลินประสานกับเปียโน ดั่งฟ้าดวงตาวาววับราวพญาสิงห์ ไม่ว่าใครได้สบตาตอนนี้คงมีหวาดไปบ้าง และยิ่งติดดุขึ้นเมื่อเจ้าบ่าวเดินกุมมือเจ้าสาวที่กระโปรงยาวเฟื้อยลากพื้น 

ทั้งคู่สาดยิ้มไปทั่วงานก่อนหันไปสบตากันอย่างหวานซึ้งแบบที่แม้อยู่ไกลๆ ก็มองเห็น ความสุขและความรักแผ่ซ่านออกมาจากทั้งสองดั่งประกายระยิบระยับพร่างพราย เสียงปรบมือดังก้องทั่วห้องแกรนด์บอลรูม

ตั้งดาวกระแนะกระแหนขึ้นมา “อะไรจะเล่นใหญ่ขนาดนั้น ต้องส่องไฟสว่างขนาดนี้ กลัวคนไม่เห็นหน้าเหรอ”

“ไอ้นี่มันก็ปกติของงานแต่งมะ ไว้งานแกค่อยจุดเทียนส่องคางบ่าวสาวเอา หรือจะใช้ไฟแช็กก็ไม่ว่ากัน” ดั่งฟ้าแซวเพราะเห็นเพื่อนพาลแทนตัว “แต่แสงที่นี่มันก็จ้าจริงด้วยด้าว สงสัยจะพิสูจน์ว่าหน้าตัวเองแกร่ง ทนได้สบาย”

ของขวัญหัวเราะหึในคอ “แต่ท่านและชายาคงไม่กลัวหรอกมั้ง คงคิดว่าทำเลเซอร์หน้าไปด้วย เอาจริงก็ดีแหละ จะได้บางลงหน่อย”

สมุทรจับมือชลธรอย่างทะนุถนอมจนถึงเวที พิธีกรเรียกให้พ่อแม่บ่าวสาวขึ้นมาถ่ายรูปร่วมกับบ่าวสาวบนเวที ขณะที่ดั่งฟ้าเอาแต่นั่งมองเศษผักในจาน ไม่อยากเห็นหน้าคนบนเวทีให้ของขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ต่อมาเป็นการแนะนำบ่าวสาว บนโพรเจกเตอร์ปรากฏภาพวัยเด็กของเจ้าบ่าวพร้อมกับคำบรรยาย

“สมุทร ยาตราภักดิ์ หรือชื่อเล่นซี เป็นบุตรคนเดียวของคุณพ่อวรศักดิ์ และคุณแม่สิมา ยาตราภักดิ์ ปัจจุบันอายุสามสิบสามปี เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของแอปพลิเคชันเลิร์นนิ่งแล็บ ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันด้านการศึกษาชื่อดังจากสิงคโปร์...” 

ภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไล่ตามวัย จากเด็กสู่นักเรียนชายกางเกงดำ ก่อนจะมาเป็นนิสิต ภาพที่นำมาแสดงมีทั้งภาพมุมตรง มุมข้าง และมุมเผลอ 

ดั่งฟ้าเหลือบตาขึ้นมอง จำได้ว่าเธอเป็นคนถ่ายหลายภาพ จนได้แต่จิบน้ำส้มดับโมโห เมื่อเข้าช่วงประวัติเจ้าสาว ดั่งฟ้าไม่ฟังเพราะกระดากหู เธอรู้จักตัวตนของชลธรว่า หญิงสาวยิ้มหวานคนนี้ จริงๆ ร้ายยิ่งกว่างูพิษในป่าแอมะซอนเสียอีก 

เมื่อจบช่วงประวัติส่วนตัว พิธีกรก็เริ่มการสัมภาษณ์บ่าวสาวต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติและแขกผู้มีความเกลียดอีกสี่คน บรรยากาศในงานพลันครึกครื้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งเพื่อนเจ้าสาวที่ส่งเสียงวี้ดว้ายกระตู้วู้จนดั่งฟ้าเริ่มรำคาญ 

“เริ่มต้นที่คำถามแรกนะครับ เป็นคำถามซ้ำกับในพรีเซนเทชันนั่นละ แต่ผมอยากถามซ้ำอีกครั้ง รู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนครับคุณซี คุณแทม”

ชลธรหลุบตาต่ำ ยิ้มเอียงอายแบบที่ดั่งฟ้าได้แต่คิดในใจว่าเอารางวัลสุพรรณหงส์ไปเลย ฝั่งเจ้าบ่าวหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อมแอ้ม

“รู้จักกันตอนผมไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ครับ แล้วคุณแทมก็มาเข้าทีมเดียวกับผมหลังจากนั้นประมาณสี่เดือน”

ชายหนุ่มโกหกไม่ได้เพราะวีดิทัศน์เฉลยหมดแล้ว 

ดั่งฟ้ายามนี้หายใจเข้าหายใจออกดั่งนั่งวิปัสสนา ท่องยุบหนอพองหนอ เพราะถ้าไม่ท่องเช่นนี้ มีหวังเจ้าบ่าวได้หัวแตกหนอแน่นอน

“แล้วชนกันแบบในพรีเซนเทชันเลยรึเปล่าครับ”

ชลธรหัวเราะในคอเบาๆ ก่อนจะลดเสียงลงเล็กน้อยเมื่อเผลอสบตากับดั่งฟ้าที่ส่งสายตาแค้นเคืองให้อยู่แล้ว เธอกะพริบตาปริบๆ เม้มปากแล้วเอ่ยเสียงเบาลง

“ค่ะ ชนกัน แต่ของจริงนี่เละตุ้มเป๊ะเลยค่ะ แถมกระดาษตกใส่หัวอีก”

สิ้นคำตอบน่ารักของเธอ คนฟังก็หัวเราะกันเป็นพรวน

“แล้วเป็นรักครั้งแรกหรือเปล่า”

ใบหน้าเจ้าบ่าวพลันเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยแบบที่ไม่มีใครสังเกตเห็น...ยกเว้นดั่งฟ้า

“ไม่ใช่ครับ...”

หญิงสาวกำหมัดแน่นในวินาทีที่เขาเอ่ยเช่นนั้น เห็นสายตาเจ้าสาวที่ตวัดไปมองอย่างไม่พอใจ 

“...แต่จะเป็นรักครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายครับ”

แล้วเสียงวี้ดวิวก็ดังขึ้นทั่วงาน ดั่งฟ้ากัดฟันจนเจ็บกรามไปหมด เจ้าบ่าวยิ้มบางๆ แล้วกวาดตาไปทั่วงานก่อนจะหยุดสายตาที่อดีตคนรัก...ราวกับทั้งงานเหลือเพียงเธอและเขา

ใช่สิ...ก็รักครั้งแรกของเขามานั่งโง่อยู่ตรงนี้นี่แหละ!

 

ฟ้าอาจจะไม่รู้ แต่จริงๆ เรามองฟ้ามาตั้งแต่ ม. สี่แล้ว

ดั่งฟ้าขมวดคิ้วมุ่น มองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อคม ทว่าดูน่ารักขึ้นเมื่อแก้มแดงระเรื่อยามมาสารภาพกับเธอ เด็กสาวอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฟังสมุทรว่าต่อไป

‘เราชอบฟ้า’

วันที่ ๓๑ มีนาคม

สายลมต้นฤดูร้อนเริ่มพัดโชยมาในช่วงบ่ายแก่ที่สนามหญ้าขนาดเล็กด้านหน้าโรงอาหารใหญ่ เด็ก ม. หกพากันเดินขวักไขว่...ฉวยเก็บความทรงจำสุดท้ายในช่วงเวลาตลอดสามปีของมัธยมปลายประทับลงหัวใจ ก่อนจะก้าวเข้าสู่รั้วอุดมศึกษา สู่โลกใบใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิม

ดั่งฟ้ากวาดตามองก็แล้ว ชะเง้อก็แล้ว แต่ไม่เห็นใครบางคนที่แม้จะไม่ใช่เพื่อนสนิทแต่ก็มีค่าต่อความทรงจำของเธอเหลือเกิน ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเขาไปไหนทั้งที่พยายามวิ่งตามหาหลังออกจากหอประชุมเมื่อเสร็จการบูมบาก้าครั้งสุดท้าย และก็ไม่คาดคิดว่าจะมีเพื่อนข้างห้องที่อยู่นอกสายตา ทว่าเป็นขวัญใจสาวๆ ทั้งโรงเรียนมาสารภาพรัก

‘ฟ้ายังไม่ต้องรีบตอบก็ได้ ฟ้าลองให้โอกาสเราก่อน’

เด็กสาวน้ำท่วมปาก อดคิดไม่ได้ว่าตนอาจจะผิดปกติที่มีคนมาสารภาพรักแล้วไม่ดีใจ แถมยังมีรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ๆ มาหน่วงใจเพิ่ม เธอมองเพื่อนร่วมชั้นที่เพิ่งพูดความในใจกับเธอ ใบหน้าของสมุทรต้องแสงแดดนุ่มนวลยามเย็นจนดูละมุนนัก 

แต่...ก็ยังไม่ใช่ใบหน้าที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจเธอเหมือนใครอีกคน

‘ขอบคุณนะ ขอเวลาก่อน’

คำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้ทำให้สมุทรถอดใจ เพราะเขาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ หากอยากเจอ ก็แค่เดินตัดกลางมหาวิทยาลัยไปยังที่คณะหญิงสาวริมถนนพญาไท ดั่งฟ้าเองแม้จะไม่ได้ชอบสมุทรในตอนแรก แต่พอเห็นว่าเขาเอาใจใส่เธอทั้งที่ตัวเองก็เรียนหนักแทบแย่ ไม่เคยบ่นแม้เธอไม่มีเวลาให้ ความเห็นใจจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสาร การตามส่งข้าวส่งน้ำเลยก่อให้เกิดความผูกพันอันแน่นแฟ้นขึ้นตามเวลาที่ผันผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...ที่เขามั่นคงกับเธอ

ดั่งฟ้าไฟเขียวตอนปลายปีสอง 

ถึงแม้จะรู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้ไม่น้อย เธอก็ยังยื่นเงื่อนไขกับสมุทรว่าขอให้ความสัมพันธ์ของเธอและเขาเป็นไปอย่างเข้าใจ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ หากหายกันไปก็ไม่ต้องหวาดระแวง เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่ง ไม่มีเวลาไปหาใครใหม่แน่นอน และขอให้ยอมรับว่าเธอเองไม่ใช่ผู้หญิงมุ้งมิ้ง ในเมื่อแทบกินนอนอยู่คณะ ติดความห่ามมาจากเพื่อนผู้ชายรอบตัวพอสมควร คอยจัดคิวให้พี่สาวอยู่เสมอจนไม่เหลือเวลาให้ตัวเองหรือใครอื่น ส่วนสมุทรเองก็เรียนหนักมากเหมือนกัน 

ดังนั้นรักกันแบบมีระยะ รักกันแบบเชื่อใจ...จึงเหมาะสมกับเธอและเขาที่สุด 

หากชีวิตเปรียบดั่งบ้าน ความรักสำหรับเธอไม่ใช่เสาเข็มที่ขาดไม่ได้ แต่มันคือการตกแต่งภายใน...ที่จะทำให้บ้านหลังนั้นน่าอยู่ยิ่งขึ้น ทำให้รู้สึกสงบ...และได้พักใจอย่างแท้จริง

เมื่อเธอเรียนจบ สมุทรเริ่มงานในบริษัทการเงินขนาดใหญ่ วันๆ นั่งมองแต่หน้าจอกับออกไปพบลูกค้า ส่วนดั่งฟ้าเองก็ถูกวังวนชีวิตมนุษย์เงินเดือนดูดลงไป จนกระทั่งเขาตัดสินใจออกมาตามความฝันด้วยการทำงานในบริษัทสตาร์ตอัปด้านแอปพลิเคชัน ด้วยความเชื่อมั่นอย่างสูงว่าจะได้เงินมากกว่าการเป็นพนักงานประจำหลายเท่า แต่นั่นก็แลกมาด้วยความยุ่งจนแทบไม่มีเวลาทำอะไร ทั้งสองเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพูดให้ถูกคือดั่งฟ้าเป็นฝ่ายห่างออกไปก่อนมากกว่า 

ไม่ใช่เพราะไม่รัก ไม่ใช่เพราะไม่สน...แต่เพราะเธอยังเชื่อใจเขาว่าจะเข้าใจชีวิตที่ยุ่งๆ จากการทำงานและหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว หญิงสาวไม่เคยลืมรายงานตัวตอนตื่นนอน ไม่เคยลืมบอกว่าฝันดีนะ แม้จะไม่ค่อยได้เจอกันก็ตาม จนกระทั่งเขาทำงานได้สี่ปี ได้รับโอกาสไปทำงานที่สิงคโปร์นั่นเอง ทั้งสองถึงได้ห่างกันอย่างจริงจังมากขึ้น

แม้เทคโนโลยีจะเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองได้เป็นอย่างดี ทว่าเวลาและระยะทางกลับเป็นกรรไกรที่คอยบั่นความรักของเธอและเขาไปเรื่อยๆ และในช่วงที่สมุทรใกล้กำหนดกลับกรุงเทพฯ นั่นเอง ชายหนุ่มก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ ขึ้นมา

เขาโทร. หาเธอน้อยลง เมื่อเธอโทร. หาก็พยายามตัดบทแล้วบอกว่ายุ่ง แต่ดั่งฟ้าก็ไม่เคยตำหนิหรือน้อยใจในเมื่อเธอเองก็ยุ่งเป็นนิตย์ ดังนั้นหากคนรักจะยุ่งจัดพอๆ กับเธอบ้าง เธอก็เข้าใจดีเป็นอย่างดี และปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นไป...แบบที่ควรจะเป็นโดยไม่ได้คิดพยายามอะไรเพิ่มเติม

 

ดั่งฟ้าถอนหายใจ ปล่อยให้ความทรงจำหยุดแต่เพียงเท่านั้น เพราะถ้าคิดต่อไปก็จำได้ว่ามีแต่เรื่องเลวร้าย...ร้ายขนาดที่แก๊งสาวสายรุ้งของเธอถึงกับตามไปรุมสวดสมุทรจนยับที่บริษัทของเขา ขนาดที่ดุจฝันถึงกับปรึกษากับภาคภูมิ พี่เขยเจ้าแผนการของเธอว่าจะล้างแค้นกันอย่างไรดี ระหว่างทำให้เสียชื่อเสียงกับล้มละลาย หรือเล่นทั้งคู่ดี

ทว่าดั่งฟ้าเลือกที่จะจบมันลงด้วยตัวเอง แล้วใช้การทำงานหนักเยียวยาตัวเอง จากที่ตอนแรก งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต งานก็พลันกลายเป็นทุกอย่างของเธอ ดั่งฟ้าประสบความสำเร็จในชีวิตแทบทุกด้าน ยกเว้นเรื่องความรัก

การสัมภาษณ์เส้นทางความรักของคนบนเวทียังคงเต็มไปด้วยความหวานชื่น ความรักอันซาบซึ้งทำให้ทุกคนถึงกับลืมไปว่าข้างนอกกำลังฝนตก ประตูของห้องแกรนด์บอลรูมยังคงเปิดรับแขก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเนื่องจากส่วนมากนั่งกันอยู่ที่โต๊ะแล้ว

ไม่มีใครสังเกตชายร่างสูงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่กำลังย่างสามขุมมาหาบ่าวสาวก่อนหยุดหน้าเวที เขาคนนั้นยืนนิ่งท่ามกลางสายตาแขกหน้างานที่มองเป็นตาเดียว นิ่ง...จนพิธีกรยังหยุดพูดและสบตาเขาตรงๆ ด้วยความสงสัย

“คุณแทม”

เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ชลธรเบิกตากว้าง สมุทรหันไปทางเจ้าสาวด้วยแววตาสงสัย แต่ยังไม่ทันที่ชลธรจะได้ไขข้อข้องใจ อาคันตุกะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันก็เฉลยออกมาด้วยเสียงดังก้องดุจฟ้าผ่า

“ไหนว่าจะแต่งงานกับผม แล้วทำไมถึงไปแต่งกับไอ้นี่”

‘ไอ้นี่’ ในชุดทักซิโดยืนอึ้งกิมกี่ ไม่ใช่แค่เจ้าบ่าวเท่านั้น คนทั้งงานก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน นักดนตรีหยุดเล่นเพลงทันที หัวหน้าวงเลยรีบส่งสัญญาณให้เล่นต่อ ในขณะที่แก๊งสาวสายรุ้งของดั่งฟ้าสบตากันเอง แล้วหันไปจับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ 

“หมายความว่าไง แล้วคุณเป็นใคร ถ้าแค่จะก่อกวนงาน ผมขอเชิญคุณออกไปข้างนอกครับ” เจ้าบ่าวว่าอย่างสุภาพ ทว่าน้ำเสียงดุจัด ดังพอที่จะได้ยินทั่วทั้งงาน 

“ขอโทษนะครับ” พิธีกรหนุ่มรีบแก้สถานการณ์ “รบกวนแขกผู้มีเกียรตินั่งนะครับ”

ชายแปลกหน้าถลึงตาใส่พิธีกรจนถึงกับทำหน้าไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามจะแก้สถานการณ์ด้วยการเอ่ยประโยคเดิม

“รบกวน...”

“คุณแทม! คุณคุยกับผมมาห้าเดือนเต็มๆ ให้ความหวังผม แต่ทำไมวันนี้ถึงมาแต่งงานฮะ! คุณหลอกผม อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย คุณคบซ้อนมาตลอด”

อาคันตุกะตะคอกเจ้าสาวอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เล่นเอาแขกทั้งงานแทบไม่กะพริบตา ดั่งฟ้าเบิกตากว้าง มองเจ้าสาวผู้ปกติแล้วมักจะยิ้มอ่อนหวานสร้างภาพเป็นนิตย์ที่ละล่ำละลัก

“ฉันไม่เคย...เจอคุณนะคะ”

“แน่ใจเหรอไม่เคยเจอ เราเจอกันที่อาร์ซีเอเมื่อหกเดือนก่อนไง คุณเมาแล้วต้องให้ผมหิ้วกลับคอนโด จำไม่ได้เหรอ หรือต้องให้ผมทวนความจำอีกครั้งกลางงาน”

พลันเสียงฮือฮาดังขึ้น สมุทรลั่นคำถามใส่เจ้าสาวที่เริ่มเหงื่อแตก ใบหน้าสวยสดเริ่มเหยเก

“แทม จริงเหรอ”

พอได้ยินคำถามของสมุทร ดั่งฟ้าเม้มปากแน่นด้วยความเคียดขึ้งตาม พร้อมกับคิดในใจว่า...ถ้าเธอเชื่อใจในคนรักจริงๆ เธอจะไม่ถามสักคำว่าจริงหรือไม่

แต่สมุทรกลับไม่ทำเช่นนั้น ความโมโหปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยแววหวาดระแวง เขาถามเสียงดังกว่าเดิม 

“สรุปว่าเป็นไงแทม บอกมาเดี๋ยวนี้”

“แทม...แทมไม่เคยเจอคนคนนี้นะ” ชลธรส่ายหน้าพรืด ความหวาดกลัวระบายอยู่เต็มใบหน้า

“ไม่เคยเจอเหรอ อยากให้โชว์หลักฐานด้วยเลยใช่ไหม! ทั้งคลิป ทั้งรูป...ที่เราเคยถ่ายไว้ด้วยกันไงล่ะ” 

ชายหนุ่มขึ้นเสียงแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงทันที ชลธรร้องพร้อมส่ายหน้า 

“อย่า!”

ปฏิกิริยาของเจ้าสาวทำเอาเจ้าบ่าวกำมือแน่น สีหน้าสงบนิ่งเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งตอนที่โดนป่วนงานตอนแรกพังทลาย เหลือแค่ความเกรี้ยวกราดที่ระเบิดออกมา

“แทม!”

ชลธรสะดุ้งเฮือก แขกในงานพากันจับจ้องอยู่ที่รักสามเส้าตรงหน้า ส่วนพิธีกรนั้นกวักมือหย็อยๆ เรียกพนักงานให้มาจับตัวคนป่วนงานโดยเร็วที่สุด 

“คุณครับ”

“อย่ายุ่ง!” 

ชายคนนั้นหันมาตะคอกใส่พนักงานร่างใหญ่ เจ้าบ่าวปราดมองพนักงานชายสลับกับคนที่อ้างว่าเป็นคนรักของเจ้าสาวเขา กำหมัดแน่น

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่ ขอเราคุยกันให้จบก่อน”

นิสัยของสมุทรยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เขาใจร้อนจัด คิดจะทำอะไรก็ทำทันที เหมือนกับที่วันนี้เขาเลือกจะคุยข้อเท็จจริงไปเลย แทนที่จะเก็บเรื่องแบบนี้ไว้ไปคุยกันหลังงาน

ดั่งฟ้านึกสงสารสิมาไม่น้อย เห็นญาติๆ หลายคนลุกขึ้นหมายเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ญาติฝ่ายหญิงนั่งหน้าเครียดจัด ในขณะที่สิมานั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กะพริบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายสมุทรผู้สมบูรณ์แบบในวันนี้ไม่ต่างอะไรจากน้ำกรดที่สาดหน้าทั้งตัวเขาเองและวงศ์ตระกูล เกิดความอัปลักษณ์จนยากจะออกไปไหนโดยไม่เป็นที่ครหาได้ 

“นี่งานแต่งไอ้ซีมันจ้างงิ้วมาเล่นด้วยเหรอ เล่นใหญ่ดีนะ” ของขวัญเปรยด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เปิดรับตัวประกอบไหม เดี๋ยวเข้าไปช่วย” ตั้งดาวยิ้มร่า ไม่อาจปิดความชอบใจได้มิดอีกต่อไป “...ช่วยชงให้เจ้าสาวโดนหนักขึ้น”

“ร้ายจังพวกแก” ภานินีส่ายหน้าเป็นเชิงเอือมระอา

“งั้นแกนั่งเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ไป” ของขวัญว่าเสียงตึงที่เพื่อนซี้ออกตัวปราม “ปล่อยแก๊งมาเลฟิเซนต์ลุยเอง”

“ได้! ฉันจะนั่งนี่” ภานินีดีดนิ้วเปาะ แสยะยิ้ม “แต่ไม่นั่งเฉยหรอก ขอเอามือถือขึ้นมาอัดแป๊บ คืนนี้รับรองไวรัล ล้านแชร์”

ตั้งดาวปรบมืออย่างเสแสร้ง ยิ้มหวานจนตาหยีราวกับซาบซึ้งเหลือคณา 

เรื่องร้ายกาจ...วางใจเพื่อนเธอได้เสมอ 

ที่เขาว่าคนจะเป็นเพื่อนกันมักจะศีลเสมอกันนั้นเป็นความจริง และดั่งฟ้าก็มั่นใจว่าถ้าเป็นเหตุการณ์ชาวบ้าน เธอคงร่วมลงดาบไปด้วยคนแล้ว แต่เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแฟนเก่าตัวเอง และเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ดั่งฟ้าเลยยังหัวตื้อ พูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะศีลธรรมหรือจริยธรรมใดๆ ในใจออกทำงาน แต่เป็นเพราะไม่รู้จะขำ สมน้ำหน้า สมเพช หรือสงสารเจ้าบ่าว ที่แม้จะแสดงความโมโหออกมา แต่ก็หน้าซีดเป็นไก่กรอบถูกถลกหนังชุบแป้งทอด

หญิงสาวทบทวนจิตใจตอนนี้ก็พบตาชั่งอันเขื่องในนั้น แขนข้างหนึ่งบอกให้เธอสะใจว่ากรรมตามสนองบ่าวสาวเข้าให้แล้ว ทว่าวินาทีต่อมาก็กลับสงสารขึ้นมาเมื่อคิดถึงหน้าสิมา

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ทำไมซีไม่ฟังแทมเลย” 

เจ้าสาวน้ำตาหยด ตัดพ้อกับเจ้าบ่าวด้วยเสียงสั่นเครือ 

“งั้นอธิบายสิว่ามันมีอะไร” สมุทรเสียงอ่อนลง 

“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่มี...”

สิ้นคำตอบที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ของชลธร ดั่งฟ้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังไกลออกไปแม้อยู่ในอาคาร 

เมื่อสี่ปีที่แล้ว คนตรงหน้าทั้งสองทำเหมือนรักกันจะเป็นจะตายต่อหน้าเธอ ความรักของพวกเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนมันเป็นเรือลำใหญ่ที่แล่นไปกลางมหาสมุทรกว้าง สร้างจากไม้อันทนทานและเหล็กอย่างดี ไม่มีวันจะอับปางลงเหมือนเรือพายลำน้อยของเธอ

แต่...นอกจากเธอและคนรอบตัวเธอแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงเรือลำใหญ่ลำนี้มีรูรั่วใต้ท้องเรือ 

ไม่มีใครรู้...แม้แต่ตัวกัปตันและผู้สร้าง มารู้ในวันนี้เองว่าเรือลำนี้สร้างจากวัสดุที่ชื่อว่าความใคร่และความหลงเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ความรักหนักแน่นดั่งหินและเหล็ก ที่จะทำให้เรือแล่นไปได้จนถึงจุดหมายปลายทาง

ญาติคนหนึ่งพร้อมพนักงานโรงแรมอีกคนวิ่งเข้าไปหาชายแปลกหน้าอีกครั้ง คราวนี้คว้าตัวไว้แบบไม่คิดให้เจรจาต่อรองกันอีกแล้ว ทว่าเขากลับสะบัดแขนอย่างแรง ก่อนยกดอกไม้สดประดับใกล้ๆ มาเหวี่ยงจนกลีบปลิวกระจายจนแขกหลายคนส่งเสียงอุทานตกใจ บางส่วนลุกทันทีเตรียมออกจากงาน เพราะงานมงคลสมรสกลายเป็นงานอัปมงคลสมรสไปแล้วจริงๆ

“บรรยากาศไม่ดีแล้วเพื่อนรัก” ตั้งดาวกะพริบตาปริบๆ มองกลีบกุหลาบสีชมพูร่วงลงราวจะอวยพรให้ความรักของคู่บ่าวสาว 

“มันก็ไม่ดีตั้งแต่ไอ้คู่นี้มันแต่งงานกันแล้วแหละ กรรมตามสนองไหมล่ะ นอกใจเขา แล้วก็โดนนอกใจกลับ” ของขวัญยักไหล่ กลอกตาเอือมระอา

“อยู่ดูปาหี่กันต่อดีไหมคะ จะได้ตั้งกล้องรอ” ภานินีถามน้ำเสียงใคร่รู้ นัยน์ตายังมีแววสนุกกับเหตุการณ์ตรงหน้า 

“กลับเหอะ คนเริ่มออกกันละ เราไม่ใช่ญาติ ก็ไม่ต้องนั่งต่อให้กำลังใจหรอก” 

ดั่งฟ้ารีบบอกเพื่อน ไม่ใช่เพราะทนมองเรื่องฉาวตรงหน้าไม่ได้ แต่เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้ลุ้นอีกต่อไปแล้ว ถึงจะเอาตัวก่อกวนออกไปได้ ก็ใช่ว่าสมุทรจะกลับมาเชื่อใจชลธรเหมือนเดิม 

เธอยังได้ยินเสียงของผู้บุกรุกที่ตะโกนใส่เจ้าสาว ลำพังเขาคงไม่อาย และคงหมายให้เจ้าสาวไม่เหลือแม้แต่เศษหน้าอีกต่อไป 

“เดี๋ยวผมจะเปิดทั้งแชตทั้งรูปให้ดูเลย” 

ดั่งฟ้าพยายามไม่สนใจ จับกระเป๋าคลัตช์ของตนแน่นขึ้นแล้วก้าวออกจากโต๊ะ เพื่อนสาวทั้งสามลุกตามทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้! แล้วออกไปจากงานเลย เราไม่เคยรู้จักกัน” เจ้าสาวกรีดร้องสุดเสียง น้ำตาอาบหน้า

“ไม่เคยรู้จักกัน! กล้าพูด! ทั้งที่เราเคยๆ กันแล้วเนี่ยนะ!”

ดั่งฟ้าสูดหายใจเข้าเต็มปอด บอกตัวเองว่าอย่าหันกลับไปมองเหตุการณ์เลวร้าย อย่าเหลียวหลังไปมองสมุทรหรือสิมา ในเมื่อเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับบ้านยาตราภักดิ์มานานแล้ว 

ทว่าก้าวไปข้างหน้าเพียงสองสามก้าวก็ต้องนิ่ง...เมื่อเห็นใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เธอคุ้นเคยในกลุ่มเพื่อนชายสมัย ม. หกของสมุทร...กำลังลุกขึ้นและจะเดินออกจากงาน 

“ว้าย! ทักซิโดเปล่านั่น!”

ภานินีร้องลั่น ดั่งฟ้าเบิกตากว้าง มองกลุ่มเพื่อนห้องคิง ม. หก ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้นั่งโต๊ะด้านหลังห่างไปไม่กี่โต๊ะ แต่เธอไม่ได้หันไปมองอย่างละเอียด พอคราวนี้เห็นแล้ว...ก็ได้แต่ยืนเงียบงันเหมือนใครร่ายมนตร์หยุดเวลาไว้

แม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปี แต่เธอยังจำก้องกิตติ์ได้

เขากำลังหรี่ตาคู่เรียวมองเหตุการณ์บนเวที 

ดั่งฟ้ายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองชายหนุ่มที่หันมาทางเธอแต่ไม่ได้มองเธอ ชั่ววินาทีที่หวังว่าเขาจะสังเกตเห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้ แต่ผ่านไปชั่วอึดใจเขาก็หันกลับไป ยืนรอเพื่อนเพื่อเดินออกจากงานไปด้วยกัน หญิงสาวมองตามบ่ากว้างในสูทสีดำ หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อหัวใจผุดทางเลือกมาสองข้อ

ทัก...ไม่ทัก

“เซเลอร์มูนไม่วิ่งเข้าไปทักเหรอ” ของขวัญยิ้มเผล่ แล้วบุ้ยใบ้ไปทางหน้ากากทักซิโดที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว

ดั่งฟ้ายกหัวใจที่เหมือนจะบินออกจากอกไปชั่วครู่ให้กลับมาอยู่ที่เดิม “ปาหี่ถึงไหนแล้ว”

“แทมอึ้งเลยว่ะ พยายามปฏิเสธแต่ก็ปฏิเสธไม่ออก” ภานินียักไหล่ตอบ ไม่มีความสงสารให้เจ้าสาวแต่อย่างใด

“ดูก็รู้เลยว่าเคยจริง ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ มันคงยืนหน้าเชิดสวยๆ โนสนโนแคร์ไอ้ผู้ชายคนนี้ไปแล้ว” 

ตั้งดาววิเคราะห์ออกมาเร็วยิ่งกว่าวินิจฉัยโรคคนไข้ ดั่งฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย ของขวัญได้ทีเลยจัดหนักต่อ

“แทมนี่มันร้ายลึก ไม่งั้นแย่งซีไปไม่ได้หรอก เฮ้อ งานก็ล่มละ ปะ กลับเหอะ” 

ผู้จัดการสาวสะบัดมือไล่ให้ทุกคนออกได้แล้ว เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญกับญาติเจ้าสาวทำท่าว่าจะวางมวยกันโดยมีพนักงานคอยห้ามจนดอกไม้ในงานกระจัดกระจายเต็มไปหมด เพื่อนทั้งสามรีบเดินไปยังทางออกทันที ขณะที่ดั่งฟ้าแอบเหลียวกลับไปอีกครั้ง รีบส่ายหน้าเมื่อเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

“ตามกิฟต์ว่า ออกเหอะ ไม่โอเคแล้วตอนนี้”

ก่อนที่สถาปนิกสาวจะหันกลับมา หางตาเธอพอเห็นว่าญาติชายของชลธรและพนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยกันรวบตัวชายนิรนามไว้ ทว่าเขาวิ่งหนีทันตรงเข้าหาเค้กงานแต่งสีขาวสะอาดตาประดับด้วยดอกไม้ตรงฐานซึ่งห่างจากโต๊ะที่ดั่งฟ้านั่งแค่เมตรกว่า 

...ชนแรงพอที่จะทำให้เค้กเอนตัวลงมาทางดั่งฟ้า

หญิงสาวเบิกตาโพลง ไม่ทันได้หันหลังกลับมาเพราะมัวแต่ยืนตะลึง พลันมีมือปริศนากระชากเธอเข้าไปในอ้อมแขนตอนที่เค้กล้มลงกับพื้นดังตึง

ดั่งฟ้าหลับตาปี๋ หายใจถี่กระชั้น ใบหน้าของเธอตอนนี้แนบอยู่กับบ่าของชายหนุ่ม ใกล้ชิดขนาดที่ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นระรัว

ใคร...

หญิงสาวหายใจแรงขึ้น รีบลืมตาแล้วเงยหน้า แทบหยุดหายใจในวินาทีนั้น ตรงกันข้ามกับก้องกิตติ์ที่ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเธอลืมตา ก่อนจะถามเสียงนุ่มทุ้ม...ที่เธอไม่ได้ยินมานานมากแล้ว

“ไม่เป็นไรใช่ไหม...ฟ้า”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น