3

บทที่ ๓

บทที่ ๓

 

ใบหน้าของก้องกิตติ์หรือชื่อลับๆ ที่เธอตั้งให้เองว่าหน้ากากทักซิโดอยู่ห่างออกไปราวๆ หนึ่งไม้บรรทัด ใกล้จนพอเห็นผิวขาวสะอาดซึ่งเริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อยที่กลับเสริมให้ดูมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ดวงตาคู่เรียวลึกล้ำใต้คิ้วเข้ม...ยากจะละสายตาได้

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

พอได้ยินเขาถามย้ำอีกครั้ง ดั่งฟ้าก็สะดุ้งยิ่งกว่าแมวโดนน้ำสาด เธอลุกพรวดขึ้นมายืนโงนเงน เหมือนจะเป็นลมขึ้นมา ใจเริ่มภาวนาให้หมอคนไหนก็ได้ในงานนี้ช่วยปฐมพยาบาลเธอที

ไม่...ไม่ต้องปฐมพยาบาลก็ได้ ปล่อยให้เธอแกล้งตายสักสามวัน จนกระทั่งก้องกิตติ์ลืมหน้าเธอไป ค่อยฟื้นขึ้นมาใหม่น่าจะดีกว่า แต่เพราะแกล้งตายไม่ได้ ดั่งฟ้าเลยรีบพยุงเขาขึ้นมา

“ขอโทษนะก้อง เจ็บตรงไหนรึเปล่า” 

“ไม่เจ็บเลย” 

ชายหนุ่มส่ายหน้า รับการช่วยพยุงของเธอ เมื่อยืนเรียบร้อยแล้วดั่งฟ้าถึงค่อยปล่อยมือ

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรใช่ปะ” 

ตั้งดาววิ่งมาหาเธอเป็นคนแรก คนอื่นๆ ตามติดมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง 

“ไม่เป็นๆ” ดั่งฟ้าว่าแล้วหันไปมองก้องกิตติ์ที่ตอนนี้ถูกเพื่อนของตัวเองล้อมหน้าล้อมหลัง “แต่ก้องน่าจะเจ็บ เอาตัวมารับเต็มๆ”

“ไม่เจ็บจริงๆ” 

ก้องกิตติ์ว่าพร้อมยกมือขึ้นมาปฏิเสธ ทำให้ดั่งฟ้าเห็นว่าที่แขนเสื้อสูทเนื้อดีราคาแพงเอาเรื่องนั้นมีครีมสีขาวของเค้กแต่งงานเลอะเป็นปื้นใหญ่ แต่ความสงสัยทำให้เธอถามเรื่องที่ค้างใจออกไปก่อน   

“ว่าแต่ทำไมถึงเข้ามาช่วยทัน”

“เราอยู่ใกล้ฟ้าพอดี”

...อยู่ใกล้เธอ แสดงว่าเขาเห็นเธออยู่แล้ว

“พอดีเห็นว่าแขกคนนั้นเขาวิ่งมาชนเค้ก แล้วมันกำลังจะมาทางฟ้าพอดี...เราเลยเห็นฟ้า แล้วก็คิดว่าน่าจะคว้าฟ้าไว้ทัน ก็แค่นั้นเอง”

คำอธิบายนั้นเพียงพอแล้วสำหรับการคว้ามือเธอแล้วรวบตัวไว้ไม่ให้เค้กล้มใส่ ดั่งฟ้าเริ่มยิ้มออกก่อนจะทัก

“ว่าแต่...เค้กเลอะเสื้อน่ะค่ะ”

ก้องกิตติ์ยกแขนเสื้อขึ้นมามองก่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นคราบเค้ก แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอนิ่งๆ ชี้ที่เอวของตน

“ฟ้า...ก็เหมือนกัน”

ดั่งฟ้ารีบก้มลงมองเอว ก่อนอ้าปากค้างเมื่อเห็นก้อนครีมก้อนใหญ่บนชุดราตรีสนนราคาเกือบแสนของพี่สาวซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวอิตาลี หญิงสาวกุมขมับก่อนหันไปบอกเพื่อน

“เดี๋ยวฉันไปล้างคราบนี่ออกก่อน พวกแกไปรอกันหน้างานได้เลย”

“ปะ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” 

ภานินีกล่าวทันที ทว่าตั้งดาวกลับคว้าแขนภานินีไว้ก่อน หันไปยิ้มให้ก้องกิตติ์

“ขอบคุณมากๆ นะหน้ากากทัก...”

“ก้อง! ขอบคุณมากๆ นะที่ช่วยเพื่อนเรา” 

ภานินีรีบขัดแล้วตบบ่าเพื่อนสนิทดังปั้กๆ ตั้งดาวไอค็อกแค็กแล้วกลอกตาไปมาอย่างมีพิรุธเพราะเผลอหลุดปาก ก่อนจะรีบโปรยยิ้มหวานกลบเกลื่อน

“ไม่เจอกันน้านนานเนาะก้อง”

ก้องกิตติ์มองหน้าเธอพักใหญ่ “นั่นสิ...ดาวใช่ไหม”

สูตินรีแพทย์สาวยิ้มกว้างขึ้น ก้องกิตติ์เลยเหลือบมองเพื่อนอีกสองคนของดั่งฟ้า เขามุ่นคิ้ว ใบหน้ายังติดเคร่งขรึมอยู่บ้างตอนเอ่ย

“แล้วก็...ฟู่กับกิฟต์ใช่ไหม”

“หูย! เก่งที่สุดเลย ก้องนี่น้า หล่อขึ้นเป็นกองแล้วความจำยังดี” 

ของขวัญยกมือทาบอกอย่างมีจริตจะก้าน ดั่งฟ้ามองเพื่อนสาวแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้เพื่อนลดความเว่อร์ลงมาหน่อย ทว่าของขวัญไม่หยุดแค่นั้น หันไปโบกมือให้เพื่อนข้างห้อง 

“หวัดดีเพื่อนๆ ก้อง...โทษทีจำชื่อไม่ค่อยได้ แต่ยังหล่อเหมือนเดิมทุกคนนะ”

ทั้งกลุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วหนึ่งในนั้นก็ว่าขึ้น “เราก็จำชื่อ...ไม่ได้เหมือนกัน แต่จำหน้าได้ สวยเหมือนเดิมนะ” 

“ขอบคุณมากจ้ะ ลองทักว่าเหี่ยวลงสิ”

เพื่อนหนุ่มหัวเราะกันดังขึ้น ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนได้อย่างดี ดั่งฟ้าหัวเราะไปด้วย ก่อนแอบเหลือบมองก้องกิตติ์ที่ยังคงหน้านิ่ง แล้วตวัดสายตาต่อไปยังผู้บุกรุกที่โดนหิ้วปีกออกไปตามทางเดินแม้จะยังดิ้นเป็นหมูโดนเชือดอยู่บ้าง

หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมา หันไปถามเพื่อน “จะออกจากงานเลยไหม”

“ออกสิ ไม่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เจ้าบ่าวมันหรอก” 

ภานินีว่าขำๆ ดั่งฟ้าพยักหน้า เดินออกไปกับเพื่อนตัวเองและกลุ่มเพื่อนชายข้างห้องโดยไม่หันหลังไปมองอีก เมื่อมาถึงหน้างานแล้ว ภานินีก็เกาหัวแกรกๆ

“ว่าแต่ห้องน้ำไปทางไหน”

“แกจะไปกับฟ้าเหรอฟู่ จะไปทำไม ไม่ได้เลอะนี่” ของขวัญไม่ได้ให้คำตอบแต่กลับขัดเพื่อน แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ก้องกิตติ์ “ก้องจ๊ะ...ก้องก็ต้องไปล้างเหมือนกัน ไปเป็นเพื่อนฟ้าหน่อยสิ”

ดั่งฟ้ากะพริบตาปริบๆ รีบหันไปทางก้องกิตติ์ เห็นว่าเพื่อนหนุ่มหลายคนของเขากำลังยิ้มเช่นกัน

“ไอ้ก้อง...ไปเองนะ นี่ไง ไปกับฟ้า ไหนๆ ก็ต้องล้างอยู่แล้ว” 

หนุ่มขาวตี๋คนหนึ่งว่าขึ้น ดั่งฟ้าพอจำได้ว่าคนนี้เรียนวิศวะ โดยมีของขวัญกับตั้งดาวเสริมอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“นั่นสิ ห้องน้ำใกล้ๆ เดี๋ยวพวกเรารอตรงนี้” 

“ไอ้ฟู่ แกก็ไม่ต้องตามไป”

ดั่งฟ้าชักทำหน้าไม่ถูก รีบดึงแขนเพื่อนตัวดีปากดีอย่างของขวัญกับตั้งดาวออกมาสองสามก้าว ก่อนพูดลอดไรฟันแบบที่ก้องกิตติ์ไม่มีทางได้ยิน

“ไอ้กิฟต์! ไอ้ดาว! อะไรจะขายเพื่อนขนาดนี้ฮะ! พวกแกไม่ไปก็ไม่มีใครว่า ฉันไปคนเดียวได้!”

                ทว่าคนขายเพื่อนทั้งสองยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วของขวัญก็โน้มหน้าเข้ามากระซิบเบาๆ 

“รถด่วนขบวนสุดท้ายมารับถึงที่ขนาดนี้...ถ้าแกไม่ขึ้น ก็ขอให้ตกค้างอยู่ที่สถานียันแก่ไปซะ”

ดั่งฟ้าแยกเขี้ยวใส่เพื่อน “แล้วแกได้ถามคนขับหรือยังว่ามีคนนั่งข้างๆ มาด้วยหรือเปล่า”

“เพื่อนเชียร์ขนาดนั้น แน่นอนว่าขับมาคนเดียว ดูก็รู้” ตั้งดาวยักไหล่ “มัวแต่กระบิดกระบวน เดี๋ยวทักซิโดก็คิดว่าแกไม่ชอบหรอก ใช่ไหมกิฟต์”

ของขวัญพยักหน้า กำมือแน่นเป็นเชิงให้กำลังใจ

“ไปซะ...เซเลอร์มูน แล้วแกจะไม่มีวันเสียใจ”

แพทย์หญิงว่าแล้วลากเซเลอร์มูนกลับมาที่เดิม ก่อนแกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ไปสิ ฉันจะรอตรงนี้ รีบกลับมาไวๆ”

ดั่งฟ้าไม่มีทางเลือก เลยสบตาก้องกิตติ์เป็นเชิงถามความเห็น ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธออยู่ชั่วอึดใจก่อนพยักหน้า 

“ไปห้องน้ำกันครับฟ้า”

หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ให้ก้องกิตติ์แล้วหันมาทำตาขวางใส่เพื่อนๆ อีกครั้ง ไม่คิดว่าอายุสามสิบสามแล้วจะยังโดนยัดเยียดสถานการณ์ให้ชวนไหวหวั่นราวตอนมีรักครั้งแรกเมื่อวัยสิบเจ็ด เธอก้าวเท้าเร็วขึ้นเล็กน้อยให้ทันก้องกิตติ์ที่ก้าวยาวกว่า ลอบมองเขาจากด้านข้างไปด้วย

เหนือริมฝีปากชายหนุ่มติดเขียวเพราะไรหนวดน้อยๆ ทำให้ใบหน้าขาวสะอาดของเขาดูเข้มขึ้น ต่างจากใบหน้าขาวเกลี้ยงที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอ

ก้องกิตติ์โตขึ้นมาก

แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปสักนิด...อาจจะเป็นความเป็นสุภาพบุรุษและยังช่วยเหลือเธอแบบที่เคยเป็นมา

“ก้องก็เลยต้องออกมาด้วยเลย”

“เราก็โดนเหมือนกัน ต้องมาล้างอยู่แล้ว” ก้องกิตติ์หันมายิ้มบางๆ ให้ ดั่งฟ้าเลยกระอักกระอ่วนน้อยลง

“เมื่อกี้...วุ่นวายเนอะ” 

ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ จับจ้องเธอนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยต่อเรื่องเดิม หญิงสาวจึงเงียบไปพักใหญ่ ก่อนถามสารทุกข์สุกดิบพร้อมยิ้มให้

“ตอนนี้ก้องทำอะไรอยู่เหรอ” 

“เราทำสตาร์ตอัปด้านแอปพลิเคชัน” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงนุ่มนวล 

หญิงสาวเงียบไป เขาเดินทางสายเดียวกับอดีตคนรักของเธอ และเธอก็พอได้ยินว่าเขาออกแบบแอปพลิเคชันสำหรับออกแบบ พลันนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะรีบยิ้มให้เขา

“โห ดีจัง แล้วงานเป็นไงมั่ง”

“ก็ดีนะ เป็นสิ่งที่เราชอบ” เขาเว้นก่อนจะพยักพเยิดมาทางเธอ “แล้วฟ้าล่ะ”

“เป็นสถาปนิกจ้ะ ก็ตรงกับที่เรียนมานั่นละอย่างที่ก้องรู้” 

ก้องกิตติ์ไม่ได้พูดอะไรอีก ดั่งฟ้าเลยขยายความต่อ “เรารับออกแบบโครงสร้างภายใน รวมถึงมีทีมอินทีเรียร์ด้วย ถ้าก้องสนใจก็บอกได้ เราคิดราคาพิเศษเลย”

“ถ้าเรากำลังจะสร้างอะไรแล้ว เราสนใจเราจะมาบอกฟ้าเลย”

“ขอบคุณมากเลย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ 

                “ว่าแต่ฟ้าสบายดีไหม”

                “ก็เรื่อยๆ จ้ะ แล้วก้องสบายดีไหม” 

เธอแอบมองมือซ้ายของเขา เห็นว่านิ้วนางยังว่างอยู่ 

“เรื่อยๆ เหมือนกัน” ก้องกิตติ์ตอบเพียงเท่านั้นก็เดินมาถึงห้องน้ำพอดี “ถ้าฟ้าเสร็จก่อนก็มาเจอกันหน้าห้องน้ำนะ”

เขาว่าแล้วผายมือให้เธอเข้าไปยังห้องน้ำฝั่งตรงข้าม ดั่งฟ้ายิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างคราบครีมออก พลางมองหน้าตัวเองในกระจกไปด้วย 

ใบหน้ารูปไข่ของเธอถอดแบบจากพี่สาวมาไม่มีผิดเพี้ยนจนใครหลายคนเคยทักผิดว่าเป็นดาราดัง เธอมีดวงตากลมโต จมูกโด่งแบบที่ไม่ต้องศัลยกรรม ทุกอย่างดูเข้ารูปแบบที่ต้องขอบคุณพ่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต่างจากพี่สาวตรงที่ยามทำงานปกติจะแต่งหน้าแค่บางๆ รวมถึงมีฟันกระต่ายที่ทำให้ใบหน้าติดจิ้มลิ้มกว่าพี่ และด้วยใบหน้าแบบนี้เองที่ดึงดูดให้คนแวะเวียนมาหาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย แต่ก็ไม่มีใครจริงจังกับเธอเท่าสมุทร...ที่สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมแพ้ความพยายามของเขา 

พยายาม...

ถ้าสิบห้าปีก่อนเธอตัดสินใจจะพยายามกับเรื่องราวของก้องกิตติ์ เธอเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร

อาจจะได้คบกัน อาจจะได้แต่งงานกัน อาจจะแยกย้ายกันแล้วมองหน้ากันไม่ติด หรือ...จริงๆ แล้วอาจจะไม่มีโอกาสนั้นแม้เธอจะได้พยายามแล้วก็ตาม

นั่นคือประโยคที่ดั่งฟ้ามักใช้ปลอบใจตัวเองเสมอในยามที่นั่งเสียดายว่า เพราะอะไรตนถึงไม่พยายามกับเรื่องของก้องกิตติ์ แล้วก็ได้แต่ปล่อยให้เรื่องราวของเขาเป็นความทรงจำสีชมพูจางๆ ในหัวใจของเธอเอง 

เมื่อดั่งฟ้าก้าวออกมาจากห้องน้ำ ก้องกิตติ์ก็ยืนรออยู่แล้ว แขนเสื้อของเขาเปียกเป็นวงกว้าง ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจมัน แล้วหันมายิ้มบางๆ ให้เธอ

“เรียบร้อยใช่มั้ย”

“จ้ะ ไปกันเถอะ” ดั่งฟ้ายิ้มตอบ ก่อนเดินเคียงเขาไป ผ่านไปครู่ใหญ่ ก้องกิตติ์ไม่ได้เปิดบทสนทนาใหม่ หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายชวนคุย

“จะว่าไปงานนี้เพื่อนก็เยอะดีเนาะ”

“นั่นสิ เยอะมาก” ก้องกิตติ์เห็นด้วย

“เหมือนงานเลี้ยงรุ่นเลย” 

ชายหนุ่มถามต่อ “แล้วฟ้าได้กลับไปโรงเรียนมั่งมั้ย หรือได้กลับไปงานคืนสู่เหย้าบ้างเปล่า” 

หญิงสาวชะงักก่อนส่ายหน้า “ก้องล่ะ”

“เหมือนกัน”

เขาตอบแล้วก็เงียบ ดวงตาคู่เรียวยังคงมองเธออยู่เช่นนั้น พลันเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ก้องกิตติ์รีบรับสายทันที

“ว่าไงมัด”

ดั่งฟ้ามองตรงกลับไปข้างหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มยังคุยโทรศัพท์

“ตอนนี้ยังไม่กลับเลย แต่พรุ่งนี้คงไปเปเปอร์เพลนส์ตั้งแต่เช้านั่นละ เข้าไปเช็กงานคุณทิวากรอีกรอบ ว่าแต่งานคุณวิญญูที่ฝากไว้กับอาชว์เป็นไงมั่ง พี่เองก็ไม่ได้ถามอาชว์เลย รีบหน่อยก็ดี ส่วนเรื่องเอ็มอาร์คก็คงต้องจัดการเรื่องอินแอปเพอร์เชสอีกครั้งด้วย แต่เดี๋ยวเรื่องนี้พี่ดูเอง แล้วก็เรื่องคุยกับสถาปนิกด้วย”

หญิงสาวพอเดาได้ว่าเขาคงคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือไม่ก็ลูกน้อง น้ำเสียงที่ใช้นั้นฟังดูสบายๆ แต่จากเนื้อความแล้วดูท่าว่ากำลังอยู่ในช่วงเร่งกัน

“อ้อ อาชว์ว่างั้นเหรอ ดีที่เสร็จก่อนพี่ไปเอดิน”

เอดิน...

ดั่งฟ้าเริ่มจับต้นชนปลายว่าเอดินของก้องกิตติ์นั้นคือที่ไหน แต่เอดินที่เธอรู้จักมีเพียงที่เดียวในโลก

เอดินบะระ...เมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์

เมืองที่เธอกำลังจะเดินทางไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

ชายหนุ่มยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ทำเสียงอืมในคอไปด้วยแทนการตอบรับ 

“มัดมีตั๋วฟรีตลอดชีพอยู่แล้ว ก็บินตามมาเที่ยวด้วยกันสิ ยังขอวีซาทันนะ”

น้ำเสียงของก้องกิตติ์อ่อนโยนลง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

“อะไร จะเข้าเกมอีกแล้วเหรอ หยุดเลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะ”

รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าก้องกิตติ์แม้ในยามที่เขาวางสายไปแล้ว ดั่งฟ้ายังคงมองใบหน้าเขาเช่นนั้น จนกระทั่งก้องกิตติ์หันกลับมาทางเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่าเธอนิ่งไป

“ก้อง”

ดวงตาคู่เรียวยังคงมีประกายอ่อนโยนยามจับจ้องเธอ ทว่าความสงสัยระบายอยู่เต็มใบหน้าคมสัน ดั่งฟ้าหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามทันที

“ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ แต่...”

“ว่า...”

“คือ...ก้องกำลังจะไปเอดินบะระใช่ไหม พอดีว่าเราก็กำลังจะไปเหมือนกัน”

“จริงเหรอ ไปช่วงไหน” ก้องกิตติ์ถามกลับ เสียงนุ่มทุ้มประหลาดใจในความบังเอิญนี้

“ไปทำงานตั้งแต่กลางกันยา ก้องล่ะ” หญิงสาวตอบรวดเร็ว กำมือแน่นขึ้นไม่รู้ตัว เห็นชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ 

“พอๆ กันเลย เราไปช่วงปลายกันยาอยู่ยาวเป็นเดือนเหมือนกัน”

                ดั่งฟ้าพอจะเห็นจากหางตาของตนว่ากลุ่มเพื่อนอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวแล้ว แต่แทนที่จะเดินฉับๆ เข้าไปหา เธอกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับก้องกิตติ์ หญิงสาวมองเขาให้เต็มตาจนกระทั่งรู้สึกเหมือนตนเห็นเด็กหนุ่มพูดน้อยแต่ใจดีในอดีตอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ข้างนอกฝนหยุดตกแล้วหรือยัง แต่ภายใน...กลับเหมือนมีฝนโปรยสายลงมาสู่หัวใจอันแห้งผากของเธอ

        สายฝน...ที่ไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว 

“ขอเบอร์ได้มั้ยก้อง”

หญิงสาวโพล่งออกไป แม้ในวันนี้เธอจะไม่ได้คิดอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว แต่การได้พบกันอีกครั้งก็ยังเป็นเรื่องน่ายินดี และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะขอเบอร์ติดต่อเขาไว้ ในเมื่อกำลังจะเดินทางไปที่เดียวกัน

ก้องกิตติ์ยังคงมองหน้าเธอนิ่ง ก่อนพยักหน้า คลี่ยิ้มที่ไม่ผิดแผกไปจากสิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้...สมัยที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มยิ้มยากในสายตาเธอ แต่พอยิ้มทีกลับทำให้โลกสดใสขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“ได้เลย แล้วคุยกันนะ”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น