4

บทที่ ๔

บทที่ ๔

 

ดั่งฟ้าเจอก้องกิตติ์ครั้งแรกตอนอายุสิบหกปี ตอนเพิ่งเปิดเทอม ม.ห้า

วันนั้นเธอมีเรียนวาดเส้นติวเข้าสถาปัตย์ตอนเย็น แต่ดันลืมการบ้านสเกตช์ไว้ที่โรงเรียน จึงรีบกลับมาเอาการบ้านที่โรงเรียนซึ่งห่างจากสยามสแควร์แค่สิบนาที ตอนที่เธอกลับมานั้นไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่ในอาคารแล้ว แต่ภารโรงยังไม่ได้มาปิดประตูห้องเรียน เด็กสาวจึงรีบวิ่งเข้าไปเอาการบ้าน ทว่าขากลับกลับตกบันไดขาพลิกเพราะความรีบร้อน 

เด็กสาวเจ็บจนลุกไม่ไหว ฝนเริ่มตกแล้ว ดั่งฟ้าพยายามยืนขึ้น พลันเด็กหนุ่มใบหน้าสะอาด ตัดผมรองทรงตามกฎระเบียบโรงเรียนก็ปรากฏตรงหน้าเธอเสียก่อน 

‘เป็นไรเปล่า’ เด็กหนุ่มคนนั้นย่อตัวลงถามเธอพลางขมวดคิ้วเข้ม

ดั่งฟ้าส่ายหน้า เริ่มคุ้นๆ ว่าเป็นนักเรียนสายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับเธอ แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆ เขาก็โผล่มาตรงหน้า แต่ดั่งฟ้าก็รีบขอบคุณไปก่อน

‘ไม่เป็นไรจ้ะ ขอบคุณนะ’

ทว่าเธอเจ็บจนยืนไม่ได้ เด็กหนุ่มพินิจเธอแล้วส่ายหน้า 

‘เราว่าตกลงมาขนาดนั้นน่าจะเจ็บได้เรื่องอยู่’

ดั่งฟ้าไม่รู้ว่าเขาเห็นตอนเธอตกบันได ตอนที่จะถามต่อเขาก็อธิบายเสียก่อน 

         ‘พอดีเรากำลังลงบันไดด้านนั้น’ ว่าแล้วก็ชี้ไปที่บันไดข้างๆ ลิฟต์ซึ่งอยู่อีกฝั่งของอาคาร ‘ตอนนี้ยืนไหวไหม ไปห้องพยาบาลก่อนหรือเปล่า’

‘ไม่เป็นไรจ้ะ’ ดั่งฟ้ารีบปฏิเสธแล้วลุกขึ้น ทว่าขากลับพลิกจนเซไปด้านหน้า เกือบได้ล้มอีกครั้งถ้าเด็กชายคนนั้นไม่จับไว้เสียก่อน 

ดั่งฟ้าทำหน้าไม่ถูก เจ็บเท้าก็เจ็บ แต่ความกระอักกระอ่วนมีมากกว่า เธอค่อยๆ เบนสายขึ้นสบดวงตาคู่เรียวน่ามอง พลันเขาค่อยๆ ปล่อยมือจากเธอ

‘ขอโทษ’

ดั่งฟ้ายืนยักแย่ยักยัน ขมวดคิ้ว

‘ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ ถ้ายังไง...เราไปก่อนดีกว่า’

เธอรีบโบกมือลา เก็บความหวังดีของเด็กหนุ่มชั้นเดียวกันคนนี้ไว้ในใจ หันหน้าจะเดินลงบันไดอีกครั้ง แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียว ขาก็พลิกจนจะล้มอีกครั้งจนเด็กหนุ่มต้องช่วยจับแขนไว้ก่อน 

‘แน่ใจเหรอว่าไหว’ เขาถาม เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนแล้วพูดต่อ ‘เราว่าห้องพยาบาลตึกห้าสิบปิดแล้ว ถ้าไงลงลิฟต์แล้วค่อยว่ากัน’

         ความปวดทำให้ดั่งฟ้าพยักหน้าอัตโนมัติ มือหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนแบนๆ กับกระเป๋าเคียงของโรงเรียน เด็กหนุ่มจึงจับกระเป๋านั้นไว้เพื่อจะช่วยถือ ทว่าดั่งฟ้าส่ายหน้าพรืด

            ‘ไม่เป็นไรจริงๆ จ้ะ’

            ‘ไม่เป็นไรหรอก เรามือว่าง’ เขายักไหล่ที่สะพายเป้อยู่ ‘เราว่าเธออาจจะเดินไม่ไหว ถ้าไงค่อยๆ เดินละกัน เราช่วยถือกระเป๋าก่อน’

            สุดท้ายดั่งฟ้าก็ยอมให้เขาช่วยพยุงลงลิฟต์อาจารย์ แต่การพยุงของเขาเป็นการจับแขนแบบห่างๆ เพื่อให้เธอมีหลักยึด พอถึงชั้นล่าง เขาก็ถามซ้ำคำเดิมว่าเจ็บหรือไม่ แน่นอนว่าดั่งฟ้าตอบคำเดิมว่าไม่เช่นกัน

‘แน่ใจเหรอ’

เขาถามย้ำราวกับไม่เชื่อเธอเลยสักนิด ดั่งฟ้าพยักหน้า ความเจ็บเหมือนทุเลาลงไปเล็กน้อย เธอมองเขาปล่อยมือจากแขนเธอ ก่อนถามว่าทำไมเขาถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งที่จะหกโมงเย็นแล้ว และเธอก็คิดว่าไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่ในอาคาร

‘พอดีลืมการบ้าน ก็เลยกลับมาเอา’

         ‘เหมือนกันเลย’ 

ดั่งฟ้ายิ้มแล้วขอกระเป๋าคืน เด็กหนุ่มยื่นกระเป๋าคืนให้เธอ เมื่อเธอยืนได้มั่นคงแล้ว ทั้งสองคุยกันและพบว่าต้องกลับทางสยามเช่นเดียวกัน

         ‘แต่ฝนตกหนัก เอาไงดี เดินไม่ไหวแน่’

เด็กหนุ่มที่เธอยังไม่รู้ชื่อเหลือบมองเท้าเธอ ดั่งฟ้าผ่อนลมหายใจออกมาแล้วมองสายฝนที่กำลังซัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนอกอาคาร หยิบร่มสีฟ้าติดโบสีแดงออกมา 

‘มีร่มมั้ย’

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วแล้วส่ายหน้า ‘ไม่เป็นไรหรอก ฝนแค่นี้พอไหว’

ดั่งฟ้าส่ายหน้าแล้วเสนอ ‘กลับแท็กซี่กันเถอะ’

มือยังกำร่มตอนที่ปากเสนอทางเลือก เสียงฝนข้างนอกดังจนแทบไม่ได้ยินอะไร เด็กสาวพินิจใบหน้าขาวดูดีของเด็กหนุ่มที่เข้ามาช่วยเธอทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อ ดวงหน้าของเขามีแววกังวลเจือจาง 

                ‘กลับกัน เราเดินไม่ไหว เธอเองก็คงไม่อยากเดินตากฝนเหมือนกัน’

เด็กหนุ่มพยักหน้าในที่สุด สีหน้าของเขาติดจะนิ่งๆ หากดูเผินๆ ทว่าเมื่อได้มองเข้าไปในดวงตา เธอกลับเห็นความใจดีที่มีให้คนแปลกหน้าเช่นเธอ 

ดั่งฟ้ากางร่มทันที ร่มสีฟ้าติดระบายสีขาวออกแบบจากการ์ตูนเรื่องเซเลอร์มูนนี้พี่สาวของเธอได้รับมาจากแฟนคลับ ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ชอบแล้วเอามายัดใส่กระเป๋านักเรียนของน้องสาวด้วยความเป็นห่วง โดยไม่คิดว่าดั่งฟ้าเองก็ไม่ได้โปรดปรานของหวานแหววเช่นเดียวกัน ดั่งฟ้าไม่คิดจะใช้มันแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้เธอกลับอยู่ใต้ร่มลายเซเลอร์มูน...กับเด็กหนุ่มที่เธอไม่รู้จักชื่อ

                เขาถือร่มโดยเบี่ยงมาทางเธอเสียเป็นส่วนมาก ดั่งฟ้าเห็นว่าไหล่ข้างหนึ่งของเข้าเปียกฝนเป็นดวงๆ เธอจึงพยายามดันร่มไปทางเขา ทว่าเขากลับจับมันแน่นในตำแหน่งเดิมไม่ให้เธอเปียก ดั่งฟ้าจึงตัดสินใจขยับตัวใกล้เขาอีกนิดเพื่อให้ร่มคลุมได้ทั่ว ก่อนเหลือบมองใบหน้าที่เธอรู้สึกว่าหล่อเหลาเหลือเกินจากระดับจมูก 

                อยู่สายเดียวกัน...แต่ทำไมปีก่อนไม่เห็นเจอกัน

ช่างมันเถอะ อย่างไรปีนี้ก็อยู่ตึกเดียวกัน ได้เห็นหน้าไปอีกเป็นปี

                ไม่กี่นาทีให้หลังทั้งสองก็ยืนริมถนนอังรีดูนังต์ที่รถติดหนักเพราะสายฝนในช่วงเย็น เขาเดินเคียงข้างเธอไปขึ้นรถแท็กซี่ เมื่อบอกจุดหมายเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็พับร่มที่ยังมีน้ำหยดติ๋งๆ ให้เธอ ดั่งฟ้ารับร่มของตัวเองมาแล้วถาม

‘ไปบีทีเอสใช่มั้ย กลับเลยเปล่า’

‘กลับเลย แล้ว...ล่ะ’ เขาไม่ได้พูดชื่อเธอ ดั่งฟ้าจึงรีบตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ

‘ยังหรอก เดี๋ยวไปเรียนพิเศษต่อ ว่าแต่...ลืมถามไปเลยว่าชื่อไร อยู่วิทย์คอมพ์ใช่มั้ย’

เด็กหนุ่มพยักหน้า ใบหน้านิ่งเริ่มดูละมุนขึ้นในความรู้สึกของผู้มอง 

‘เราก้อง ห้องหกหกสอง’

ดั่งฟ้ายิ้มอย่างพึงใจ เห็นทีคงได้เจอกันทั้งปีจริงๆ 

‘เราฟ้า หกหกหนึ่ง’

เสียงฝนตกกระทบหน้าต่างรถเหมือนจะดังขึ้น แอร์ภายในรถเย็นจนหนาว ทว่าดั่งฟ้าไม่ได้สนใจ ในเมื่อเธอเอาแต่มองรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าก้องกิตติ์ ก่อนยิ้มกว้างราวลืมเจ็บ

‘วันนี้ขอบคุณมากนะก้อง’

‘ไม่เป็นไรหรอก เรายินดี’

น้ำใจจากเพื่อนใหม่เหมือนชาอุ่นๆ ในวันที่ฝนตกหนักเช่นนี้ การจราจรคับคั่งจนรถเคลื่อนตัวได้ช้า ทว่าดั่งฟ้ากลับอยากให้รถติดต่อไปเรื่อยๆ ราวไม่มีจุดหมาย 

แต่สุดท้ายแท็กซี่ก็พาเธอมาถึงที่เรียนพิเศษทันเวลา แล้วค่อยเลี้ยวไปส่งก้องกิตติ์ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามต่อ โดยก่อนจะลงจากรถ ดั่งฟ้าไม่ลืมถามว่าเพื่อนใหม่จะกลับอย่างไร

ก้องกิตติ์ลงรถไฟฟ้าที่สถานีอ่อนนุช แล้วต้องนั่งรถอีกสองต่อ เพราะวันนี้พี่ชายติดธุระไม่สามารถมารับได้ ดั่งฟ้าจึงรีบโยนเงินเพื่อหารค่าแท็กซี่ให้เขา ในจังหวะที่เขามัวแต่ปฏิเสธว่าจะไม่รับเงินนั่นเอง ดั่งฟ้าก็แอบวางร่มของตนไว้บนเบาะ ด้วยหวังว่าก้องกิตติ์จะไม่ทันสังเกตตอนนี้ แต่ไปเห็นเอาก็ตอนลงจากรถแล้ว

ระหว่างเรียน ดั่งฟ้าเอาแต่คิดถึงร่มเซเลอร์มูนที่เป็นของลิขสิทธิ์ราคาแพงนั้น ไม่ใช่เพราะเสียดาย แต่เพราะจินตนาการว่าเด็กชายตัวสูงโปร่งจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นเธอทิ้งร่มไว้ให้ แถมเป็นร่มหวานแหววไม่เข้ากับเขาเสียอีก ถือไปไหนได้มีเขินแน่นอน ทว่า...บางทีเขาอาจจะยอมถือเดินกลับบ้าน บางทีอาจจะพับไว้ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ดั่งฟ้าคิดว่าเขาคงไม่ทิ้งมันไว้บนแท็กซี่ และที่เธอทำก็ไม่ได้มีเจตนามากไปกว่าไม่อยากให้เขาเปียกฝนก็เท่านั้นเอง

ดั่งฟ้ายังยิ้มน้อยๆ ความเจ็บที่ขายังไม่หาย แต่บรรเทาลงไปมากแล้วจนเดินได้เป็นปกติ หลังเลิกเรียนพิเศษตอนสองทุ่ม ดุจฝันซึ่งเพิ่งถ่ายละครแถวสีลมแวะมารับเธอถึงโรงเรียนติวสถาปัตย์เพราะฝนยังไม่หยุดตก และเมื่อดั่งฟ้าสารภาพว่าไม่มีร่ม ดุจฝันก็ขมวดคิ้วมุ่นถามทันที

‘ร่มไปไหนอะฟ้า’

ดั่งฟ้ายิ้มน้อยๆ ‘อยู่กับหน้ากากทักซิโด’

เจ้าของร่มตัวจริงเกาหัวแกรกๆ ‘หมายความว่าไงนั่น หน้ากากทักซิโดอะไร’

‘เปล๊า’ ดั่งฟ้ายักไหล่แล้วหัวเราะเบาๆ ในคอ ‘ฟ้าหิวแล้ว กลับไปกินหมี่เกี๊ยวที่คอนโดเรากันดีกว่า’

แม้ดุจฝันจะยังสงสัยว่าร่มหายไปไหน แต่สุดท้ายแล้วพี่สาวเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ร่มยอดมนุษย์หญิงมากนัก เพราะเป็นเพียงของที่แฟนคลับให้มาและไม่ถูกจริตเธอ ดุจฝันพูดแค่ว่าให้ระวังอย่าให้ร่มหายอีก พอกลับถึงคอนโดก็ยื่นร่มสีดำเรียบๆ ให้ดั่งฟ้าใช้ติดกระเป๋าไปเรียนแทนคันเดิม 

วันต่อมาแดดแจ่มจ้าตั้งแต่เช้า อากาศร้อนจัดไม่ต่างจากกลางเดือนเมษายนทั้งที่ล่วงเข้าเดือนมิถุนายนแล้ว ระหว่างที่ดั่งฟ้ากำลังขะมักเขม้นทำการบ้านฟิสิกส์ช่วงพักระหว่างชั่วโมง เพื่อนร่วมชั้นของเธอก็เดินเข้ามาเรียกออกไปนอกห้องเพราะมีเพื่อนต่างห้องมารออยู่

ก้องกิตติ์ยืนอยู่ด้วยสีหน้านิ่งขรึม ในมือมีร่มสีฟ้าติดโบสีแดงที่พับเรียบร้อย ดั่งฟ้ามองแล้วก็อดขันเบาๆ ไม่ได้ ทำให้ก้องกิตติ์ตีหน้าขรึมกว่าเดิมแล้วยื่นร่มให้ทันที

            ‘ฟ้าลืมร่มไว้ในรถ’

เสียงเขาเรียบราวกับเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มใจดีเมื่อวันก่อน แวบแรกตั้งใจจะบอกเขาว่าขอโทษที่ลืม แต่วินาทีต่อมากลับตัดสินใจเปลี่ยนเป็นส่ายหน้า

‘ไม่ได้ลืมหรอก ให้ก้องใช้นั่นแหละ’

ก้องกิตติ์กะพริบตาปริบๆ มองร่มในมือเธอ ดั่งฟ้าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อธิบายต่อ 

‘โทษที เราลืมบอกว่าเมื่อวานพี่สาวเรามารับหลังเรียนพิเศษ พี่เรามีร่ม และเราก็กลับกันได้ แต่ก้องต่างหากที่ไม่มีร่มแล้วต้องกลับบ้านอีกหลายต่อ กลัวก้องเป็นหวัด’

ดั่งฟ้าว่าแล้วก็ยิ้มอย่างจริงใจ มองสีหน้าก้องกิตติ์ไปด้วย เขากระแอมเบาๆ ไม่ว่าอะไรต่อจากนั้น ดั่งฟ้าไม่แน่ใจว่าเขาได้ใช้ร่มของเธอหรือเปล่า แต่แค่วันนี้เขายังสบายดีก็โอเคแล้ว

ก้องกิตติ์สบตาเธออยู่พักใหญ่ทีเดียวก่อนจะยิ้มออกมา

‘ขอบคุณมากนะ’

รอยยิ้มนั้น...ทำให้ใบหน้าคมสันน่ามองขึ้น ดั่งฟ้ายิ้มรับรอยยิ้มนั้นตอนที่เขาถามต่อ

‘ว่าแต่เท้าเป็นไงมั่งฟ้า’

         ‘สบายมาก ไล่เตะคนได้’

         มุกของเธอทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ดั่งฟ้าเผลอหัวเราะตาม สบดวงตาที่ฉายแววอ่อนโยนลงของก้องกิตติ์แล้วกล่าวเสียงใส

‘ขอบคุณจริงๆ นะก้อง ขอบคุณมาก’

‘ขอบคุณเหมือนกัน...สำหรับร่ม’

เพียงเท่านั้นดั่งฟ้าก็พอรู้คำตอบแล้วว่าก้องกิตติ์ได้ใช้ร่มของเธอหรือไม่ เธอกำร่มแน่นขึ้น แม้จะไม่ได้ชอบเซเลอร์มูนเป็นพิเศษ แต่ดั่งฟ้าก็คิดแล้วว่าบางทีเธอคงจะพกร่มคันนี้ต่อไปทั้งปี 

เผื่อว่าอาจจะมีสักวันที่ได้อยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกับหน้ากากทักซิโดอีกสักครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น