บทที่ ๗
ดั่งฟ้าเดินไปเรื่อยๆ จนถึงถนนลีทในย่านเมืองใหม่ ปกติเวลาอยู่ต่างประเทศ เธอจะเดินมองซ้ายมองขวาชื่นชมสถาปัตยกรรมไปด้วย ทว่าในวันนี้ เมื่อกลับมาถึงแฟลตขนาดสตูดิโอซึ่งบริษัทเช่าให้ เธอก็ตรงไปล้มตัวลงบนเตียงทันที หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอาคารสีน้ำตาลเรียงรายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเริ่มโปรยปราย
หญิงสาวผ่อนลมหายใจแรงๆ แล้วเสยผมบนที่ปรกหน้าปรกตา ลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆ บนเตียง บนโต๊ะปลายเตียงมีกระดาษสเกตช์เต็มไปหมด เธอไม่คิดเก็บแม้มันจะเป็นกระดาษไม่ใช้แล้วก็ตาม
นับตั้งแต่วันที่เธอโสด ไม่สิ ไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม ชีวิตเธอก็มีกระดาษพวกนี้ราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง และดั่งฟ้าก็ไม่คิดว่าจะทิ้งมันได้เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่กับใคร
ครั้งหนึ่งสมุทรเคยขอเธอว่า ถ้าแต่งงานไปแล้วอยากให้มาช่วยแม่ของเขาทำธุรกิจก็พอ ไม่ต้องทำงานเป็นสถาปนิกแล้ว แต่พอได้ยินดังนั้นดั่งฟ้าก็แย้งในใจ เธอมีครอบครัวของตัวเอง มีพ่อที่สุขภาพไม่แข็งแรง มีแม่ มีพี่สาว มีงานการมากมายที่ต้องดูแล จนเริ่มคิดว่าตนไม่อยากสร้างครอบครัวใหม่กับใคร
ไม่ใช่ไม่รักสมุทร แต่ดูแลกันแบบห่างๆ...คือนิยามความรักของเธอ
เธอเคยคิดว่าสมุทรเข้าใจความต้องการของเธอ เพราะนับตั้งแต่วันที่เขาสารภาพรัก เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธความรักของเขา ชายหนุ่มคือตัวอย่างของการจีบสายตื๊อที่แท้จริง เพราะเขามักจะมาโผล่มาพร้อมดอกไม้ โผล่มาพร้อมข้าวของให้เธอประหลาดใจ มาหาถึงคณะบ่อยครั้ง จนเพื่อนฝูงอิจฉาและพากันเชียร์ให้เธอรับรักเขาเสียที
แรกๆ ก็ตื่นเต้นดีอยู่ หลังๆ ก็กลายเป็นความเคยชิน เธอเห็นความพยายามมาตลอด ดั่งฟ้าเห็นว่าเขามีความทุ่มเท เธอยอมไปกินข้าวกับเขา นั่งฟังเขาเล่าเรื่องราว สมุทรเป็นคนช่างพูดช่างคุย เรื่องราวบางเรื่องแม้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอผ่านปากเขาแล้วกลับน่าฟัง และนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครชื่นชอบเขา
หน้าตา คำพูดคำจา มันสมอง นิสัย และมนุษยสัมพันธ์ทำให้สมุทรได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยมัธยม เพียงแต่ตอนนั้นเธอไม่ได้สนใจเขา แม้ช่วงที่เขาจีบเธอ หญิงสาวจะเริ่มพัฒนาความรู้สึกที่มีให้เขาจนเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ก็ยังไม่ใช่แฟน และสมุทรก็ยังเป็นชายหนุ่มแสนดีที่อดทนเพียรตามจีบเธอเป็นปี
มันก็ดี...มีคนคุย มีคนมาให้หวั่นไหว แต่ดั่งฟ้าไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง ไม่ค่อยบ่นความเหนื่อยยากของตัวเองให้เขาฟัง แม้ตัวเองจะยุ่งหนักแค่ไหนก็ตาม แม้เดือดร้อนก็ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะเธอเคยชินกับการแก้ปัญหาด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้น ความรัก...ที่มีคนคอยประคองให้ความช่วยเหลือ อาจจะไม่จำเป็นสำหรับเธอ
สมุทรคือเพื่อนที่พิเศษ แต่ถ้าเริ่มความสัมพันธ์ฉันคนรักเมื่อไร ดั่งฟ้าเกรงว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เธอไม่อยากคาดหวังกับความสัมพันธ์ใดๆ เธออยากอยู่โดยใช้ชีวิตกับงาน เธอไม่เคยจินตนาการภาพตัวเองเดินเคียงข้างใครออก เธอมีงานยุ่งๆ ที่ต้องจัดการตลอดเวลา ยุ่งเกินกว่าจะบ่น ยุ่งเกินกว่าจะเหนื่อย
เธออยู่ได้...เธอเชื่อว่าเธออยู่ได้ เธอเชื่อเช่นนั้นมาตลอด
จนกระทั่งช่วงที่ต้องส่งโพรเจกต์ใหญ่ของวิชาที่เรียน ดั่งฟ้าไข้ขึ้นสูงอยู่คอนโด ตอนนั้นพี่สาวไปทำงานที่นิวซีแลนด์ หญิงสาวอาเจียนจนไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน ได้แต่นอนซมอยู่บนเตียง จะโทร. หาเพื่อนสนิทก็รู้ดีว่าเพื่อนยุ่งกันอยู่ทั้งนั้น จะโทร. หาแม่ แม่ก็อยู่นครสวรรค์ อีกทั้งเธอเองไม่อยากให้แม่กังวล สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เปิดอินเทอร์เน็ตแล้วหายากินรักษาตามอาการ เชื่อว่าเดี๋ยวก็หายเองแบบที่เป็นมาเสมอ
ระหว่างที่นอนสะลึมสะลืออยู่ สมุทรโทร. หาเธอ ดั่งฟ้าจึงเล่าอาการให้เขาฟัง ทว่าเขากลับรีบถามทางมาคอนโดเธอแล้วพาเธอไปโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกและต้องแอดมิต ในช่วงระยะไข้ขึ้นสูงเสี่ยงต่อการช็อก สมุทรก็แวะมาหาแทบทุกวันจนดั่งฟ้าอดถามไม่ได้
‘ซี...ทำไมต้องเอาใจใส่ฟ้าขนาดนี้ ซีก็ยุ่งเหมือนกัน ฟ้ารู้’
‘ถึงเราจะยุ่ง แต่เราไม่มองข้ามคนที่เรารักหรอกนะฟ้า แล้วก็...นี่เป็นครั้งแรกมั้งที่ฟ้าให้เราช่วย ก่อนหน้านี้ฟ้าไม่เคยขออะไรเราเลยทั้งที่เราเต็มใจทำให้ฟ้า ดังนั้น...ครั้งนี้เราอยากให้ฟ้ารู้ว่าเราห่วงฟ้า และยินดีจะอยู่ข้างฟ้าเสมอ’
ดั่งฟ้าฟังแล้วสะอึก มองดวงหน้าคมสันของคนที่ตามจีบเธอมาสองปีเต็ม รอยคล้ำปรากฏอยู่ใต้ขอบตา เขามักมาเฝ้าไข้เธอจนดึกเสมอแล้วค่อยกลับบ้าน อยู่ดูแลแทนพี่สาวที่ยังติดงานอยู่ จนกระทั่งพ่อของเธอซึ่งแยกทางกับแม่และลงมาอยู่กรุงเทพฯ นานแล้วทราบข่าวจึงมาดูแล สมุทรถึงได้ลดจำนวนชั่วโมงเฝ้าไข้ลง แต่ก็ยังมาให้เห็นทุกวัน
เป็นสัปดาห์...ที่ดั่งฟ้าเห็นความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ของเขา ความรู้สึกประหลาดเริ่มก่อเกิดในหัวใจ คล้ายกับความอบอุ่นของแดดยามเย็นที่อยู่ดีๆ ก็สาดส่องลงมา เธออดคิดไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่เธอเชื่อว่าตัวเองอยู่คนเดียวได้ มีหน้าที่ดูแลคนอื่น ไม่ใช่ให้คนอื่นดูแล
แต่การได้รับการดูแลในยามอ่อนแอ...กลับทำให้เธอหวั่นไหวไม่น้อย จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูดขึ้นตอนที่เขานั่งอ่านเลกเชอร์อยู่ที่โซฟาสำหรับคนมาเยี่ยมไข้
‘ซี...อย่าดีกับเราไปมากกว่านี้เลย’
สมุทรสีหน้าเปลี่ยน ความหวังที่สว่างในตาหม่นลง เขาถามเสียงแผ่ว
‘เพราะอะไรล่ะ’
‘เรารู้ว่าซียุ่ง เราก็ยุ่ง ถ้าซียังดูแลเราแบบนี้ต่อไป...เราเกรงว่าจะทำให้ซีเสียเวลา แล้วก็...’
‘สำหรับฟ้า เราไม่เคยคิดว่าเสียเวลา แต่ที่ฟ้ากลัว...คือฟ้ากลัวว่าจะชอบเราใช่ไหม’
ดั่งฟ้าชะงัก ใช้เวลาไม่กี่วินาทีสำรวจหัวใจเพื่อพบคำตอบว่าใช่
ราวหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมา ดั่งฟ้าหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้สมุทรสังเกตเห็นความรู้สึกที่เธออาจเผยออกไป สมองสั่งให้พูดว่า
‘เราคิดว่าเรายังไม่พร้อม’
‘ยังไม่พร้อม...ก็แสดงว่ามีโอกาสในอนาคต...’
คนป่วยเงียบ ไม่ปฏิเสธ
พอสมุทรเห็นว่าเธอยังเงียบฟังเขา เขาเลยยิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
‘ฟ้ายังไม่พร้อม เราเองก็ยุ่ง แต่ถ้าเรารอให้ฟ้าหยุดยุ่ง แล้วเราต้องรอถึงเมื่อไหร่เหรอ’
ที่เขาพูดมาไม่ผิดเลยสักนิด ชีวิตการเรียนของเธอมีแต่จะทวีความยุ่งขึ้นไปจนเหมือนไม่มีโอกาสจะได้พูดว่าไม่ยุ่ง
‘เราไม่อยากรบกวนซี’ เธอตอบเสียงอ่อย ไม่สบตาเขา
‘ถ้าเราคิดว่าฟ้ารบกวน เราคงไม่มานั่งเฝ้าฟ้าแบบนี้ เพราะไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน เราก็เหลือพื้นที่ให้ฟ้าอยู่เสมอ ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับฟ้าว่าจะให้โอกาสเราหรือเปล่า’
แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านหน้าต่างมาต้องใบหน้าของเขา ดูนุ่มนวลและละมุน
‘ถ้าเรามัวแต่รออยู่ บางทีเราอาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้นะฟ้า ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์มีความรักเหมือนกัน ดังนั้น...ไม่ว่าเราจะยุ่งหรือไม่ยุ่ง เราก็พร้อมจะให้เวลามัน และประคับประคองมันไป...’
เขาจับมือข้างขวาของเธอซึ่งมีเข็มน้ำเกลือแทงอยู่เบาๆ แล้วกล่าวเสียงหนักแน่น
‘ฟ้าว่าไงล่ะ พร้อมจะประคองไปด้วยกันมั้ย’
ดั่งฟ้าสบดวงตาคู่โตที่ฉายแววจริงจังและจริงใจจนยากจะละสายตาได้ ความรู้สึกแปลกใหม่ในหัวใจไหลแล่นไป รวมกับพิษไข้ที่ยังอยู่ในตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงจนหน้ามืดขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะความอ่อนแอในยามนี้ที่ทำให้การตัดสินใจผันแปรไปหรือเปล่า แต่...ดั่งฟ้าก็พอเห็นแล้วว่าสมุทรพยายามเพื่อเธอมาขนาดไหนเป็นเวลาสองปี
‘ฟ้า...ฟ้าก็น่าจะยังยุ่งในอนาคต’ ดั่งฟ้ากล่าวเสียงอ้อมแอ้มกว่าที่เคยเป็นมา แก้มแดงระเรื่อ
‘เรารู้’ สมุทรบีบมือเธอแน่นขึ้น
‘เราไม่รู้ด้วยว่าเรื่องของเราจะเป็นยังไง เราอาจจะยุ่ง...จนไม่ได้ดูแลซีกลับเลยก็ได้’
‘ถ้าฟ้ารักใครสักคนแล้ว เชื่อเถอะว่าฟ้าจะดูแลคนคนนั้นไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม’
น้ำเสียงสมุทรหม่นลง ดั่งฟ้าสะอึก ที่เธอว่ายุ่ง...จริงๆ แล้วอาจเป็นแค่ข้ออ้าง เพียงเพราะเธอยังไม่รักเขาก็เป็นได้
แต่...มันจะกลายเป็นความรักได้ไหมในอนาคต
ดั่งฟ้าเริ่มจินตนาการ
ความรัก...นำไปสู่การแต่งงาน การใช้เวลาอีกเกินครึ่งชีวิตเพื่อดูแลใครอีกคน อยู่เป็นคู่ชีวิต แบ่งเวลางานมาร่วมกันสร้างครอบครัว มีลูก เลี้ยงดูลูกด้วยกัน
ดั่งฟ้าเติบโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อกับแม่ของเธอจากกันด้วยดีเพราะพวกท่านไม่ได้รักกันแบบหนุ่มสาวมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ถูกบังคับให้แต่งงานกัน จนกระทั่งแม่ขอหย่าพ่อเพราะอยากให้พ่อได้ไปดูแลคนรักของตนที่แท้จริงเสียที หลังจากพ่อต้องเสียสละทั้งความรักและหน้าที่การงานของตนเพื่อแม่ แม่มักทำงานและเลี้ยงดูพวกเธอจนยุ่งเสมอ และดั่งฟ้าก็เชื่อมั่นว่าเธอจะเป็นได้เหมือนแม่
แข็งแกร่ง...และดูแลคนอื่นได้
กับความสัมพันธ์ที่เธอไม่มั่นใจว่าท้ายสุดจะเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วดั่งฟ้าก็บอกเขาตรงๆ
‘แต่เราไม่มั่นใจ...’
‘ไม่มั่นใจอะไร’
‘ไม่มั่นใจว่าจะจบยังไง เรายังจินตนาการอนาคตไม่ออก’
เธอกลัวว่าเธอจะไม่อาจดูแลใครได้นอกจากครอบครัวของตัวเองอีก เธอยังไม่พร้อมและไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น
‘ฟ้าคิดถึงวันที่เราอาจจะจบทั้งที่เรายังไม่ได้เริ่ม เราอยากบอกฟ้าว่าไม่ว่าจะคู่ไหน...ถ้าคบกันมันก็มีสิทธิ์เลิกกันทั้งนั้นละ แต่ถ้าเรายังไม่เริ่ม เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าเราจะเลิกกันไหม ดังนั้น...เรามาลองพยายามก่อนด้วยกันมั้ยฟ้า’
เสียงชายหนุ่มเริ่มขมขื่น ‘เหมือนกับช่วงที่พ่อเราป่วย พ่อเรารู้ว่าก็ต้องไปสักวัน แม่รู้ เรารู้ ญาติทุกคนรู้ แต่พ่อก็ยังพยายามหายใจต่อไป...จนกระทั่งวันสุดท้ายของพ่อ ที่พ่อได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว’
เพียงพูดถึงพ่อ แววเจ็บร้าวก็ปรากฏวาบในดวงตาสมุทร เขาเงียบไปหลังจากนั้นนานมากราวกับติดอยู่ในห้วงความหลัง ดั่งฟ้าเม้มปากอย่างสะเทือนใจ กำมือเขาแน่นขึ้น
‘ซี...’
เขายิ้มให้เธอเศร้าๆ ดั่งฟ้าเริ่มยิ้มบางๆ ให้เขา ตัดสินใจได้ในที่สุด
‘ซี...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา เรา...เราว่าเราเองก็ควรจะลองพยายามดูเพื่อซีบ้างแล้วละ’
เพียงสิ้นคำนั้น ดั่งฟ้าก็รู้สึกร้อนผะผ่าวที่สองแก้ม ทว่าเธอยังไม่อยากหลบสายตาที่ลึกซึ้งของสมุทร แล้ววินาทีต่อมา เธอก็ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดบนใบหน้าน่ามองของเขา
วินาทีนั้นยังคงตราตรึงใจ...แม้ในวินาทีนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ตาม
ดั่งฟ้าบิดขี้เกียจหลังจากเขียนแบบร่างขั้นต้นแสดงพื้นที่ใช้สอยในอาคารเรียบร้อย แต่ในการออกแบบขั้นต้นนี้ยังเหลืองานสเกตช์เพอร์สเปกทีฟขาวดำภายใน รวมถึงงบประมาณการปรับปรุง ซึ่งเธอจะต้องเร่งทำแล้วส่งให้ทางซูเปอร์ไวเซอร์ที่นี่ตรวจก่อน ซึ่งดั่งฟ้าค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีอะไรต้องปรับแก้แล้ว
หญิงสาวปิดคอมพิวเตอร์ คว้าเทรนช์โคตสีครีมตัวยาว แล้วหันไปยิ้มให้สถาปนิกหนุ่มชาวลิเวอร์พูลที่นั่งข้างกัน
“งานวันนี้เสร็จแล้ว ไปก่อนนะพอล”
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้ เขาเป็นสถาปนิกฟรีแลนซ์เรียนจบหมาดๆ ที่เพิ่งมารับโครงการที่นี่ได้ไม่กี่วัน และก็อยู่ในช่วงคิดคอนเซปต์เพื่อเจรจากับลูกค้าจนไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน
“ยังไม่เสร็จดีหรอก เดี๋ยวกลับไปคิดต่อที่แฟลต เดี๋ยวเข้าไปดรอปไฟล์ก่อนก็กลับละ ไปละ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
ดั่งฟ้ายิ้มให้กำลังใจอย่างเข้าใจดี มองพอลที่ขอบคุณแล้วโบกมือให้อย่างอ่อนล้า เธอเดินไปยังโต๊ะซูเปอร์ไวเซอร์ที่อยู่ลึกเข้าไป แล้วยื่นแฮนดีไดรฟ์ให้สตีเฟน สถาปนิกชาวสกอตอายุราวๆ สี่สิบปีที่มากประสบการณ์จากการรับผิดชอบโครงการใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน
“เสร็จแล้วค่ะ”
“โอ้ เยี่ยมมาก” สตีเฟนยิ้มกว้างจนตาหยี แก้มอูมสองข้างเปล่งปลั่งราวลูกมะเขือเทศ
“ขอบคุณค่ะ ถ้ายังไงรบกวนเช็กคร่าวๆ เลยได้มั้ยคะว่าโอเคหรือเปล่า เผื่อมีอะไรต้องแก้ ฉันจะได้แก้ที่นี่เลย”
สตีเฟนส่ายหน้า “เมื่อกี้ผมเพิ่งไปข้างล่าง มีคนมาพบคุณที่นี่ คุณไปพบเขาก่อนละกัน”
“มีคนมาหาฉันที่นี่เหรอคะ ไม่ทราบว่า...”
“คุณผู้หญิงไทยชื่อมิสซิสยาตราภักดิ์”
ดั่งฟ้าอึ้ง ไม่ได้ตอบอะไรจนเขาถามซ้ำ
“คุณฟ้า มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ ไม่มีค่ะ” ดั่งฟ้าส่ายหน้าพรืด “ถ้ายังไงฝากงานไว้ด้วยนะคะ แล้วถ้ามีจุดแก้ไขอะไรบอกฉันได้ทันที ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันขอลงไปพบ...มิสซิสยาตราภักดิ์ก่อน”
“โอเค ตามสบายครับ เจอกันพรุ่งนี้”
สตีเฟนยิ้มให้เธอแล้วจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ ส่วนดั่งฟ้ารีบสาวเท้าออกมา ทว่าแต่ละย่างก้าวกลับเหมือนเท้าหนักขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าล็อบบี เห็นผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคยอยู่ตรงนั้น
สิมายิ้มทักทายเธอ ดวงตาคู่กลมของท่านเต็มไปด้วยประกายใจดีแบบที่เป็นเสมอมา ทว่าดั่งฟ้าก้าวขาไม่ค่อยออก เธอยกมือไหว้ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“สวัสดีค่ะคุณน้า”
“ฟ้า” ท่านลุกขึ้นตรงมากอดดั่งฟ้า เธอยืนตัวแข็งทื่อ
“เอ่อ...คุณน้าทราบได้ไงคะว่าฟ้าทำงานอยู่ที่นี่”
“เห็นซีบอกว่าฟ้ามาทำงานที่นี่ แม่ก็เลยตามมาจ้ะ พอดีอยากเจอฟ้า แต่ว่าแม่ไม่มีเบอร์ติดต่อ”
สถาปนิกสาวได้แต่ร้องในใจ...ไม่มีหมายเลขก็ไม่ต้องหาทางติดต่อก็ได้ค่ะคุณแม่ สมุทรเองก็ฉลาดนักที่รู้จักจุดอ่อนเธอ ใช้ความเคารพนบนอบของเธอให้เป็นประโยชน์ด้วยการส่งสิมามาเช่นนี้
กี่ครั้งกันแล้วหนอ...ที่สิมาพยายามเป็นกาวประสานรอยร้าวให้เธอกับสมุทร นับตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เธอเลิกกับลูกชายท่านอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งเขาจะแต่งงาน สิมาก็โทร. มาหา ตอนนั้นท่านไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล พอดั่งฟ้าใจอ่อนไปเยี่ยม ท่านก็ถือโอกาสขอให้ดั่งฟ้าไปงานแต่งสมุทรเสียเลย ขนาดเธอไม่รับปากก็ยังโทร. มาขอให้ไปตอนหลัง โทร. ทุกวันจนสุดท้ายดั่งฟ้าเริ่มเห็นแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ แถมให้อภัยสมุทรเพราะเรื่องมันผ่านมานานแล้ว จึงยอมทำตามด้วยการไปแสดงความยินดี แม้ว่าไปงานแล้วจะพบความจริงที่ทำให้เธอโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงว่าจริงๆ แล้วเขานอกใจเธอมาตั้งสามปีเต็มก่อนเลิกกัน
“อ่า...ฟ้าก็ดีใจนะคะที่ได้เจอคุณน้า” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ตาไม่ยิ้มตาม “ว่าแต่ไปคุยกันที่คาเฟ่ตรงข้ามนี้มั้ยคะ”
แม้ไม่อยากคุยยาว แต่งานนี้คงได้คุยกันอีกยาว
“ดีจ้ะลูก แม่อยากคุยกับฟ้ามากเลย”
“คุณน้าสบายดีมั้ยคะ”
“ตามเรื่องตามราวจ้ะ ฟ้าล่ะ”
“เหมือนกันค่ะคุณน้า” หญิงสาวตอบแกนๆ แล้วเดินนำไปยังร้านกาแฟซึ่งเป็นอาคารอิฐสีน้ำตาลกลมกลืนไปกับทั้งเมือง เธอชวนสิมาคุยเรื่องดินฟ้าอากาศอยู่พักใหญ่ ก่อนเข้าเรื่องเมื่อได้กาแฟ เดินไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างกระจกใส
“แล้วคุณน้าก็มาอยู่ที่นี่กับซีตลอดเลยใช่ไหมคะ ตอนแรกฟ้านึกว่าซีมาแค่คนเดียว”
“จ้ะ มาอยู่กับซีจนกว่าจะกลับนั่นละ”
สถาปนิกสาวพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงเห็นด้วย “ก็ดีนะคะ จะได้ดูแลคุณน้าด้วย แล้วช่วงหลังนี้สุขภาพคุณน้าเป็นไงคะ โอเคขึ้นบ้างหรือยัง”
ดวงตาของแม่อดีตคนรักหม่นลง แสงอาทิตย์บางเบาและอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่งในเมืองฟ้าครึ้มเป็นนิตย์ส่องลงมาต้องใบหน้า เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นชัดขึ้น เยอะกว่าในอดีตจนชวนให้ใจหายว่าท่านแก่ตัวลงพอควร
“ก็ยังไม่ค่อยโอเคหรอกจ้ะ ยังต้องเทียวหาหมอบ้าง”
สิมาสุขภาพไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร มีหลายโรครุมเร้า ไม่ว่าจะเบาหวาน ความดัน ปวดหลัง ตาพร่า รวมถึงโรคทั้งหลายแหล่ที่มาตามวัย
“คุณน้าดูแลสุขภาพดีๆ นะคะ ฟ้าเป็นห่วง”
“จ้า ขอบคุณนะ ฟ้าก็ดูแลแม่มาตลอดเลย”
ท่านพูดแล้วก็ได้แต่เงียบ ช่วงเวลาที่สมุทรอยู่สิงคโปร์ ก็มีแต่ดั่งฟ้านี่แหละที่เทียวหาแม่ของเขาราวกับเป็นแม่ตัวเอง
“ช่วงนี้เอาจริง...แม่ว่าทุกอย่างก็ไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ทุกอย่าง...” คนอ่อนวัยกว่าทวนคำ “ทุกอย่างที่ว่า...”
“เรื่องธุรกิจน่ะจ้ะ ตัวแทนจำหน่ายน้อยลงมาก ลูกค้าเองก็หายกันไปหมด ช่วงนี้พวกแบรนด์ใหญ่ๆ แบรนด์เคาน์เตอร์เขาก็มาร์เกตติงกันหนักเพราะมีงบ จนแบรนด์เราเริ่มไม่มีที่ยืน”
สิมาเริ่มทำธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางและเครื่องประทินผิวแบรนด์เล็กๆ จากฝรั่งเศสตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เนื่องจากมีญาติอยู่ที่ปารีสและเห็นช่องทางทำมาหากิน พ่อของสมุทรเป็นนักธุรกิจเก่าที่ทิ้งสมบัติไว้มากจนพอสร้างบริษัทได้ แต่ดูเหมือนหลังจากวรศักดิ์เสียชีวิตไป เงินก้อนนั้นก็เหมือนจะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ เพราะภรรยาไม่มีหัวและไหวพริบทางธุรกิจเท่าสามี ส่วนสมุทรเองก็มุ่งมั่นแต่กับการเรียน ดังนั้นระหว่างที่คบกับสมุทร ดั่งฟ้าได้ยินสิมาบ่นเรื่องธุรกิจที่แย่ลงนับครั้งไม่ถ้วน แต่คิดว่าเงินเดือนสมุทรนั้นน่าจะมากพอที่จะจุนเจือครอบครัวของเขาได้
“ช่วงนี้อะไรทุกอย่างก็แย่ลงค่ะคุณน้า ทั้งในระดับโลกและระดับบ้านเรา ไทยเองก็เศรษฐกิจไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งช่วงปีนี้ยิ่งแย่...” ดั่งฟ้าเห็นด้วย “แล้วคุณน้าทำไงต่อคะ มีแผนการตลาดใหม่ไหม หรือว่าจะนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่”
“แม่คงไม่เสริมอะไรเพิ่มแล้วละจ้ะ มันจะใหญ่เกินตัว ตั้งแต่ตอนนั้นที่ได้ไพรด์กับฝันช่วยไว้ แม่ขอบคุณมาก”
“ยินดีค่ะ”
ดั่งฟ้ายิ้มอ่อนๆ รับคำขอบคุณ เสมองไปยังท้องฟ้าเจิดจ้าข้างนอก หลายปีมานี้ธุรกิจของสิมาได้พรีเซนเตอร์ชั้นนำอย่างดุจฝันช่วยโฆษณาและถ่ายรูปโพรโมตราวกับเป็นครีมของตัวเอง พอเธอคบกับภาคภูมิซึ่งเป็นอาจารย์หนุ่มด้านเศรษฐศาสตร์และเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ ก็ขอให้เขาเข้ามาช่วยคิดแผนการตลาด รวมถึงขยายเงินทุนด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นและชวนเหล่าเศรษฐีกระเป๋าหนักมาช่วยกันลงทุน จนธุรกิจกระเตื้องฟื้นขึ้นมาได้ โดยทั้งดุจฝันและภาคภูมิเองก็ไม่ได้คิดค่าช่วยอะไร เพราะถือว่าเป็นน้ำใจให้ว่าที่เขยเล็ก
ตอนนั้นสิมาขอบคุณเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนสมุทรเองก็ซึ้งใจอย่างยิ่งที่เธอช่วยธุรกิจทางบ้านของเขาไว้
‘แต่...ถ้าเจ้รู้ว่าไอ้ผีทะเลมันสวมเขาฟ้ามาตั้งนานนะ เจ้จะสั่งคนไปเผาโรงงานให้ เอาให้เจ๊งจนไม่มีตังค์ส่งมันเรียนเลย นี่มันต้องขอบคุณฉัน ฉันทำให้มันมีกินตั้งหลายปี!’
ดุจฝันพูดถึงน้องซี อดีตว่าที่น้องเขยด้วยความเอ็นดูหลังจากดั่งฟ้าเล่าว่างานแต่งของสมุทรลงเอยเช่นไร และจริงๆ แล้วชายหนุ่มนอกใจเธอมาถึงสามปีก่อนเลิกกัน คนเป็นน้องเห็นด้วยว่าตอนนั้นตัวเองช่วยเหลือคนรักแทบเป็นแทบตาย แถมพอช่วยครั้งหนึ่งเรียบร้อย สิมายังคะยั้นคะยอให้ภาคภูมิเข้ามาออกแบบธุรกิจให้ รวมถึงยังขอให้ดุจฝันช่วยโฆษณาครีมต่อไปกระทั่งเลิกกันนั่นเอง
“แล้วตอนนี้ทางฟ้าเป็นไง”
“ก็...อยู่ในระดับที่แค่พยุงได้ค่ะ เศรษฐกิจมันแย่อย่างที่เห็นกัน”
อันที่จริงแล้วธุรกิจร้านขนมหวานของครอบครัวเธอขยายตัวสวนทางกับเศรษฐกิจ แต่ดั่งฟ้าไม่อยากพูดความจริง
สิมาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นั่นสิ แต่แม่ก็หวังนะว่าธุรกิจของแม่มันจะยังเป็นไปได้ด้วยดี มาถึงตอนนี้เราเริ่มขาดทุนทุกปีแล้ว”
เสียงผู้อาวุโสติดสั่นเล็กน้อย หญิงสาวฟังแล้วสงสาร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าสงสาร จริงอยู่ที่ว่าถ้าให้ภาคภูมิลองช่วย ธุรกิจคงกลับมากระเตื้องขึ้น เพราะพี่เขยเธอเป็นคนเก่งทางธุรกิจมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เธอเคยรู้จักมา แต่ดั่งฟ้าเชื่อว่าตอนนี้ เขาคงมีแต่จะช่วยแช่งให้เจ๊งเสียมากกว่า
“ฟ้าเป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” เธอได้แต่อวยพร
“ขอบคุณนะจ๊ะฟ้า ฟ้าดีกับแม่จริงๆ คนอื่นไม่เหมือนฟ้าเลย”
คนอื่น...เหมือนไม่ระบุตัว แต่ดั่งฟ้ารู้ดีว่าจริงๆ แล้วสิมาตั้งใจกระทบกระเทียบอดีตว่าที่ลูกสะใภ้
“มีแต่ฟ้านี่แหละที่แม่วางใจฝากซีไว้ในมือได้ ตอนที่ซีตัดสินใจแต่งงานกับเขานะ แม่ถึงกับนอนไม่หลับไปทั้งคืนเลยฟ้ารู้มั้ย”
แม้จะไม่ได้ใกล้ชิดกับครอบครัวสมุทรหลังจากเลิกกัน ทว่าดั่งฟ้าก็พอได้ยินข่าวลือที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างชลธรกับสิมานั้นระหองระแหง สิมาชอบลูกสะใภ้ที่สามารถคุยธุรกิจด้วยกันได้ อ่อนน้อมและเข้าหาแบบเธอ แต่เธอได้ยินมาว่าชลธรนั้นไม่ค่อยเข้าหาสิมา ด้วยความที่สิมายังมีมาดของภรรยานักธุรกิจใหญ่หลงเหลือ กับคนไม่สนิทก็ไม่คิดเอ็นดู ออกแนวนิ่งๆ แข็งๆ เย็นๆ ให้ชลธรหวาดๆ ว่าที่แม่สามีเสียมากกว่า แถมที่มาของความสัมพันธ์เองก็เป็นแบบลักกินขโมยกิน แน่นอนว่าสิมาไม่ปลื้ม ภูมิหลังครอบครัวชลธรเองก็ไม่ได้มีธุรกิจใหญ่โต เป็นครอบครัวชนชั้นกลางที่มีบ้านหลังเล็กๆ อยู่ชานเมือง
เอาจริงเรื่องนั้นไม่แย่ แต่แค่ไม่ถูกใจสิมา
ส่วนดั่งฟ้า แม้โตมากับครอบครัวชนชั้นกลาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากพี่สาวเข้าวงการบันเทิง ได้เจอพี่เขยซึ่งเป็นที่ปรึกษาบริษัทยักษ์ใหญ่นับสิบของเมืองไทย รวมถึงเป็นนักลงทุนมือฉมัง แถมเอาหลักทรัพย์ที่เธอมีไปช่วยลงทุนให้ดอกเบี้ยงอกเงยจนงดงาม ดังนั้นถ้าประเมินทรัพย์สินของครอบครัวดุจฝัน และของเธอเองที่แม้จะไม่ถึงหนึ่งในสามของพี่สาว ก็ยังพอเรียกได้ว่ามีกินไปอีกสามรุ่น
‘เชื่อเหอะว่าที่คุณแม่อยากได้แกกลับไปเป็นลูกสะใภ้ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยส่วนหนึ่ง’ ตั้งดาวตั้งข้อสันนิษฐาน
‘ฉันว่าเป็นเรื่องหลักเลยแหละ บ่อเงินบ่อทองอยู่ตรงหน้า ใครจะไม่อยากตกลงไป’ ภานินีฟันธง ในขณะที่ดั่งฟ้าเองยังไม่อยากคิดอกุศลเช่นนั้น แต่ก็อดคิดไม่ได้เช่นกัน
“วันก่อนซีไปเจอฟ้าที่ร้านจีนใช่มั้ย”
คำถามที่เธอไม่อยากตอบมาอีกแล้ว ดั่งฟ้าพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ รับเสียงแบ่งรับแบ่งสู้
“ค่ะคุณน้า เพิ่งรู้จากปากซีตอนนั้นใช่มั้ยคะว่าฟ้ามาทำงานที่นี่”
“อ๋อ ใช่จ้ะ พอซีรู้ว่าฟ้าอยู่ที่นี่ปุ๊บ ซีก็โทร. หาแม่เลย ตอนนั้นแม่ยังอยากมาหาฟ้า”
“แต่ตอนนี้เราก็ได้เจอกันแล้วค่ะคุณน้า” ดั่งฟ้าพยายามยิ้ม ไม่อยากจินตนาการว่าถ้าเกิดสมุทรพาแม่มาตอนนั้น มีหวังเธอได้กระอักกระอ่วนจนจองตั๋วกลับเมืองไทย
“ซีเขาว่าไงกับลูก คุยอะไรกันบ้างเปล่า”
จริงๆ ท่านคงพอรู้เนื้อความมาบ้างแล้วจากปากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ดั่งฟ้าจึงเล่าเลี่ยงๆ
“ก็คุยกันตามปกติค่ะคุณน้า”
“แล้ว...ตั้งแต่วันที่ฟ้าเลิกกับซี ฟ้าได้มีใครใหม่หรือเปล่า” สิมาไม่ยอมแพ้
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ ฟ้ายุ่งกับงานจนไม่มีเวลาเลยค่ะ ฟ้าคิดว่าบางทีฟ้าไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ใหม่ค่ะ” หญิงสาวยืนยันพร้อมกับตอกตะปูปิดประตูโอกาสไปในเวลาเดียวกัน
สิมาหรี่ตามองเธอจนดั่งฟ้ารู้สึกเหมือนตัวเองโดนประเมินอยู่ “แม่ดีใจที่ได้ยินฟ้าว่างั้นนะ”
ดั่งฟ้าพูดไม่ออก หวังว่าสิมาจะไม่พยายามสานต่อความสัมพันธ์แทนลูกชายหุนหันพลันแล่นของตน
“ไม่รู้ฟ้ารู้มั้ยว่าหลังจากงานแต่งของซีเป็นไง เขาเล่าให้ฟังหรือเปล่า”
“ไม่ได้เล่าค่ะ”
ถ้าพูดให้ถูกคือ เขาพยายามจะเล่าแต่เธอไม่ฟัง
“พองานล่ม ซีก็เลิกกับแทมทันที”
ความเงียบงันพลันแทรกตัวเข้ามากลางบทสนทนา ดั่งฟ้าฟังประโยคนั้นอย่างไม่แปลกใจ
“แต่หลังจากนั้นทุกอย่างมันแย่มากเลยนะฟ้า อย่างที่เห็นว่าเพื่อนซี...ทั้งที่ออฟฟิศ ทั้งเพื่อนสมัยเรียนไปงานกันเยอะ ทุกคนในบริษัทเลยพูดถึงเรื่องซี ส่วนแทมเองแม่ไม่ทราบว่าเป็นไง เพราะแม่ก็ไม่ได้อยากรู้หลังจากเขามาทำแบบนั้นกับซี แม่รับไม่ได้”
ดั่งฟ้ายังเงียบ แต่ในใจถามกลับว่าแล้วที่ลูกชายคุณแม่มาทำกับเธอเล่า...
“ส่วนทางแม่เองก็ขายหน้า โดนถอนหุ้นกันไปเพราะเรื่องอื้อฉาวของซี ผลกระทบที่ตามมาหลังจากงานแต่งงานนั้นมันแย่มากเลยฟ้า ครอบครัวของเราเหมือนตกอยู่ในนรก ซี...ที่เหมือนจะไม่เป็นอะไรมานานแล้ว สุดท้ายก็ซึมเศร้าหนักจนต้องพักงานสองสัปดาห์”
“พักงาน...” คนฟังเลิกคิ้ว ดวงตากลมโตใต้ขนตายาวหมองลง “ถึงขั้นพักงาน...อีกแล้วเหรอคะ คุณน้า”
“ซีทำงานไม่ไหว เขาเครียดจนเป็นโรคนอนไม่หลับ แล้วก็อย่างที่ฟ้ารู้ว่ามันส่งผลกระทบต่ออารมณ์เขา พออดนอนเข้ามากๆ ทำงานมากๆ ก็เครียดจนน็อกตอนขับรถ ไปชนเสาไฟข้างทาง ดีที่ไม่ได้เป็นอันตรายไปมากกว่านั้น ตอนนั้นแม่แทบใจสลาย ซีเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ตอนนี้ซีก็ยังต้องกินยาอยู่”
ความสงสารก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดั่งฟ้ารู้ว่าสมุทรมีอาการของโรคซึมเศร้า เขาเริ่มมีภาวะทางอารมณ์มาตั้งแต่ตอนปีสี่ที่เรียนหนักมาก หลังจากก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดี หลายครั้งที่เขาเริ่มฉุนเฉียว หลายครั้งไม่มีเหตุผล แต่ดั่งฟ้าก็พยายามเลี่ยง ไม่เผชิญหน้ากับพายุกลางมหาสมุทร จนพอเขาไปทำงานที่บริษัทแม่ก็เริ่มห่างกันมากขึ้น
“แล้วตอนนี้ก็เป็นปกติใช่ไหมคะ”
ถามไป...ทั้งที่ไม่แน่ใจ เพราะยังจำท่าทีของเขาที่มีต่อเธอเมื่อสองวันที่แล้วได้ขึ้นใจ
“ก็ปกติแล้วแหละ แต่บางทีก็ติดหงุดหงิด แม่เห็นลูกแม่เป็นแบบนี้ แม่ก็ยังไม่วางใจจริงๆ มีแต่ฟ้านั่นละที่เข้าใจเขา คบกับเขาได้นาน”
นานทีเดียวกว่าดั่งฟ้าจะพูดออก
“คบได้นาน เพราะฟ้าเลี่ยงไม่ปะทะโดยที่ตอนนั้นฟ้าไม่เคยรู้อะไรเลยค่ะคุณน้า ไม่รู้...จนกระทั่งเลิกกัน”
เพียงพูดเรื่องนี้ ความรู้สึกผิดที่ดั่งฟ้าไม่อยากรู้สึกอีกแล้วก็แล่นวาบขึ้นมากลางหัวใจ หญิงสาวพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนมันออกไป ทว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจลบความรู้สึกนั้นไปจากจิตใต้สำนึกได้
ที่ไม่รู้ไม่ใช่เพราะสมุทรไม่บอก
แต่เป็นเพราะเธออยู่ติดกับคำว่ายุ่งเกินไป...จนไม่พยายามประคองความสัมพันธ์ตามที่เคยสัญญากับเขาไว้ตอนตัดสินใจคบกับเขาต่างหาก
ความคิดเห็น |
---|