9

กาลกิณี

บทที่ ๙

กาลกิณี

 

      ดาหวันสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากประตูรั้ว ตั้งสติได้ก็รีบลงจากเรือน มุ่งไปหาต้นเสียง

เดือนบนฟ้าส่องสกาว อาบทาหมู่บ้านให้เป็นสีหม่น 

“ดาหวัน...ดาหวัน” เสียงเรียกไพเราะดังต่อเนื่อง แม้แต่หรีดหริ่งเรไรยังต้องหยุดฟัง เมื่อออกมาที่หน้าบ้านก็พบว่าเป็นมารดาของเธอเอง 

ดวงจันทร์ส่องแสงมายังร่างของทองใบ สุกสกาวงดงาม หญิงชรามีใบหน้าผุดผ่อง ไม่ได้ผอมแห้งเป็นคนขี้โรค 

“แม่ แม่หายแล้ว” ดาหวันยิ้มดีใจ มารดาเหมือนตอนอายุสี่สิบต้นๆ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ตาเป็นประกายคล้ายดาวประกายพรึก

“แม่สบายแล้วลูกเอ๋ย” ทองใบยิ้มงาม 

“แม่เอาชุดใครมาใส่” แม่ของเธอสวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว ทาบทับด้วยสไบสีแดงสด ผ้าซิ่นตีนจกราคาแพง แถมผมเผ้าก็เกล้าปักปิ่นเหมือนเจ้านางในคุ้ม

“คุณพระคุณเจ้าท่านมาโปรดแม่ ให้แม่ได้ไปเมืองบน ความดีที่สั่งสมมาทำให้แม่ไม่ทุกข์ไม่โศกอีกแล้ว”

“ข้าดีใจเหลือเกินแม่” ดาหวันน้ำตาริน

“แต่ว่าลูกรัก สูต้องอดทนนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ยึดมั่นในความดีที่สูเคยเชื่อ ในวันที่ท้องฟ้ามืดมิด ยังไงดวงดาวก็ยังอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับวันที่เจอเรื่องร้ายๆ ก็ให้เชื่อว่าดาวแห่งความดีจะยังคงอยู่เสมอ”

“แม่พูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”

“องค์อินทร์ของสูกำลังจะจากไป”

เสียงเฮโลจากวงไพ่ทำดาหวันสะดุ้งตื่น เริ่มรู้ตัวว่าเผลอหลับไปหน้าโลงศพแม่ โดยที่ข้างๆ มีญาติของแม่นอนพักรวมกัน

หันไปมองรูปถ่ายมารดา คิดถึงเรื่องในความฝัน 

‘แม่เอ่ยเรื่องอันใดหนอ...องค์อินทร์ของข้า กำลังจะจากไป’

ตีห้าแล้ว ดาหวันตัดสินใจลงจากเรือน ตรงไปที่โรงครัว เตรียมตัวก่อไฟหุงหาอาหารสำหรับเช้านี้ กระทั่งจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวาย เธอรีบออกมาดู เห็นไอ้วัน ลูกน้องของบุญคงวิ่งหน้าตาตื่นมาหา

“พี่ดาหวัน แย่แล้ว!”

“มีอะไร” 

ไอ้วันกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน พยายามเอ่ยช้าๆ “ไอ้สมบัติมันนอนอยู่ใต้กอไม้ไผ่ เข้าไปดูก็พบว่ามันไม่หายใจแล้ว!”

อีกมากมายที่ไอ้วันเอ่ย แต่ดาหวันก็ไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงอื้ออึง ทุกอย่างรอบตัวเหมือนเคลื่อนไหวช้าๆ หญิงสาวตัดสินใจวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ

ที่สุดก็เห็นร่างคนที่บอกลาเมื่อคืนนอนคว่ำหน้าข้างกอไผ่ ตัวแข็งทื่อและไม่มีลมหายใจ

“สมบัติ สูเป็นอะไร” 

หญิงสาวทำได้เพียงเขย่าร่าง ตะโกนเรียกให้สมบัติลืมตามาคุยกับเธอ 

“สมบัติ ตื่นมาคุยกับข้าก่อน เร็วๆ จะเช้าแล้ว สูจะช่วยข้านึ่งข้าวอยู่ไม่ใช่เหรอ” 

“มันนั่งเล่นไพ่กับพวกเราจนเที่ยงคืน บอกว่าจะกลับไปนอน ข้ามาเจอมันล้มนอนที่นี่ก็ตอนตีห้าแล้ว” วันเล่าให้ฟัง

ผู้คนที่ยังอยู่ในงานศพเมื่อรู้ข่าวต่างรีบพากันมามุงดู ดาหวันตัวสั่นเทา ยกร่างเขามาหนุนตัก

“มันเป็นลมไปหรือเปล่า” คนอื่นพยายามถาม

ชาวบ้านระดมส่องทั้งไฟฉายและตะเกียงน้ำมันเพิ่มแสงสว่าง ร่างสมบัติซีดเซียว ริมฝีปากคล้ำ ไม่พบรอยบาดแผลตามร่างกาย จนกระทั่งมีใครเห็นอะไรบางอย่างที่คอ เป็นรอยเลือดสองจุด

“รอยนี้มัน...” ไอ้วันใช้ไฟฉายส่อง ก่อนจะเบิกตาโพลง ชี้ให้ทุกคนดู “รอยงูกัด ไอ้สมบัติโดนงูกัด!”

เสียงฮือฮาไปทั่ว ดาหวันแทบหมดแรง เธอจ้องหน้าเขา ยังไม่อยากเชื่อสิ่งใด

“ใครก็ได้ไปแจ้งพ่อหลวงที ไอ้สมบัติมันตายแล้ว” ไอ้วันตะโกนก้อง

“ยัง มันยังไม่ตาย” หญิงสาวบอกทุกคนแล้วเขย่าร่างชายหนุ่ม “สมบัติ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว อย่าเล่นแบบนี้ ตื่นมา” เธอพูดซ้ำๆ แต่ร่างของชายหนุ่มก็ยังนิ่งราวกับท่อนไม้

“พอเถอะ ดาหวัน ไอ้สมบัติมันคงไปลบหลู่ ท้าตีท้าต่อยเจ้าพ่อ เอาเชือกกล้วยไปหลอกเจ้าพ่อ เจ้าพ่อท่านเลยส่งงูของจริงมาฉกมัน” เสียงหนึ่งพิพากษา ทุกคนฮือฮาและเห็นด้วย

“ไม่จริง ไอ้สมบัติมันยังไม่ตาย ฟื้นขึ้นมาสมบัติ สูบอกข้าว่าจะไม่ทิ้งข้าไปไหน ฮือๆ” ดาหวันยังไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าบัดนี้ไม่มีผู้ชายแสนดีที่ชื่อสมบัติอีกต่อไป

องค์อินทร์กลับคืนสู่เมืองบนเสียแล้ว

 

กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ทั้งเรื่องคดีและชันสูตรศพ เวลาก็ปาเข้าไปเกือบสาย ตำรวจลงบันทึกว่าสมบัติเสียชีวิตเพราะถูกสัตว์มีพิษกัดที่คอ

ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ทางทิศใต้เกือบจะท้ายหมู่บ้าน การตายของชายหนุ่ม คนในหมู่บ้านเชื่อว่าเป็นเพราะเขาลบหลู่เจ้าพ่อคำสะหลี พ่อเจ้าเลยส่งงูมาฆ่าเพียงข้ามคืน 

แสงหล้าตบเข่าฉาด หัวเราะด้วยความสะใจหลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากอัมพรและน้อยโหน่ง 

“ข้าสะใจนัก แม่อีดาหวันตายยังไม่พอ คนที่คอยปกป้องมันอย่างไอ้สมบัติก็ตายไปด้วย สาธุ เจ้าพ่อคำสะหลีช่างศักดิ์สิทธิ์นัก” หญิงสาวยกมือไหว้ท่วมหัว พอใจไม่น้อยที่ชีวิตของดาหวันต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ 

“ใช่เพียงแต่ฝีมือเจ้าพ่อ ทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีข้า” น้อยโหน่งกระซิบ 

“กูรู้แล้วน่า” แสงหล้าตาเขียว 

“ข้ากลัวสูลืมน่ะสิ เพราะที่ข้าทำไปเสี่ยงที่จะโดนลูกปืนพ่อหลวงไม่น้อย” 

ลูกศิษย์เจ้าพ่อมองค้อน เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือเขาทั้งนั้น ทั้งเรื่องไก่ชนที่ตาย เขาก็ไปขโมยมาจากบ้านสุชาติ หักคอแล้วโยนไปยังใต้ถุนบ้านของทองใบ ถัดมาอีกวันก็แต่งเป็นหญิงชราปลอมตัวบุกไปหลอกชาวบ้าน เลือกบ้านที่มีสาวแก่ ลูกเล็กเด็กแดงที่ไม่มีแรงสู้ เพราะขืนโผล่ไปหลอกบ้านที่มีผู้ชายอยู่ คงโดนลูกปืนหรือมีดไล่ฟันแน่ๆ

“เออ กูจะสมนาคุณให้มึงอยู่แล้วน่า” แสงหล้าชายตามองค้อน “แต่ตอนนี้อีดาหวันมันคงอกแตกตาย สมน้ำหน้า ชอบคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก คนอย่างมันเป็นได้แค่อีกาลกิณีในหมู่บ้านเท่านั้นแหละ” หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข

“ตอนนี้อีดาหวันมันคงเกรงกลัวฤทธิ์ของเจ้าพ่อแล้ว” น้อยโหน่งเอ่ย

“คนอย่างมันจะมาสู้ข้าได้ยังไง ในเมื่อเจ้าพ่อคำสะหลีท่านเมตตาข้ามากกว่ามัน” แสงหล้ายังยิ้มไม่หุบ 

“ต่อไปนี้คงจะมีแต่คนนับถือเจ้าพ่อ” น้อยโหน่งได้ทีคุย การตายของทองใบและสมบัติทำให้ใครๆ ต่างเกรงกลัวบารมีเจ้าพ่อ ถึงวันงานรดน้ำดำหัวปีนี้คงมีคนนำข้าวของเงินทองมาถวายให้เจ้าพ่อมากกว่าเดิมแน่

“ข้าว่าในเมื่อถึงขนาดนี้แล้ว เราควรจะปล่อยข่าวไปเลยว่าอีดาหวันอาจจะติดเชื้อผีพรายจากแม่ของมัน” แสงหล้าเสนอความคิด

“แต่หากมันไม่มีผีสิงร่างจริงๆ ล่ะ” น้อยโหน่งสงสัย

“ไอ้ง่าว แค่เจ้าพ่อบอกว่าเป็นเรื่องจริง คนทั้งหมู่บ้านก็พร้อมจะเชื่อแล้ว” แสงหล้าสบตากับอัมพรที่ดูท่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้เหมือนกัน

 

ดาวเหนือล้างจานใบสุดท้ายเสร็จแล้วจึงนำมาวางตากที่แคร่ เสร็จสิ้นภารกิจช่วยงานสวดพระอภิธรรมนางทองใบคืนสุดท้าย แขกคืนนี้นับรวมแล้วไม่ถึงยี่สิบ ชาวบ้านรังเกียจผีพราย แถมตอนนี้เริ่มมีข่าวว่าผีร้ายอาจจะสืบทอดเชื้อสายไปยังลูกสาวอย่างดาหวัน

                แม้กระทั่งดาวเหนือเองก็มีหลายคนเตือนให้ระวังตัว เพราะอยู่ใกล้ชิดดาหวัน อาจจะเจอเรื่องร้ายๆ ไปด้วย แต่เด็กน้อยกลับไม่ใส่ใจ ที่ผ่านมายามที่ชีวิตเธอเจอเรื่องแย่ๆ ก็มีเพียงดาหวันเท่านั้นที่คอยดูแลให้กำลังใจ ไม่เห็นชาวบ้านคนไหนมาเป็นห่วงจริงๆ สักคน

เด็กหญิงเดินมานั่งข้างๆ ดาหวันที่กำลังมองโลงศพแม่เป็นคืนสุดท้าย

“ข้าจะกลับไปนอนก่อนนะ”

ดาหวันพยักหน้า แววตาเหม่อลอย ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียคนที่รักและรักเธอไปในเวลาใกล้ๆ กัน

“พรุ่งนี้ข้าจะมาแต่เช้ามืด” ดาวเหนือบอก แต่อีกฝ่ายยังเงียบ

เด็กน้อยจึงตัดสินใจเดินกลับบ้าน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง หันกลับไปมองพบว่าดาหวันกำลังเดินออกมาจากบ้านด้วยเช่นกัน แต่เลี้ยวขวาไปอีกทาง

“น้าดา จะไปไหน” เธอถาม 

หญิงสาวไม่ตอบ มุ่งตรงไปตามทาง ดาวเหนือรู้ทันที ดาหวันกำลังจะไปงานศพของสมบัติแน่ๆ

“น้าดา เดี๋ยวข้าไปด้วย” เด็กน้อยตัดสินใจวิ่งตาม

ดวงเดือนลอยหลบหลังเงาเมฆ เหมือนแอบส่องสองสาวที่กำลังเดินไปตามถนนเลียบคลอง ดาวเหนือกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน เหลียวซ้ายแลขวา เริ่มกลัวความมืดยามวิกาล 

นกเค้าแมวตัวใหญ่เกาะนิ่งบนกิ่งมะม่วงป่า สายตาเล็งจับหาเหยื่อ เมื่อเห็นหนูนาโผล่ออกมาจากรูก็ถลาบินโฉบผ่านหน้า ดาวเหนือตกใจจนเผลอร้องดัง แต่ดาหวันยังก้าวเท้าไปต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

แมลงกลางคืนร้องดังทั่วทุ่ง แต่เมื่อพวกเธอเดินผ่าน พวกมันก็พร้อมใจกันหยุด เดินมาอีกไม่กี่อึดใจก็เริ่มเห็นแสงไฟจากบ้านที่มีงานศพ

ครอบครัวของสมบัติอาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังเล็กด้วยกันถึงเจ็ดคน สมบัติเป็นลูกคนที่สี่ซึ่งแยกตัวไปนอนอยู่ใต้ยุ้งฉาง

คนในงานทยอยกันกลับจนเกือบหมดแล้ว คงเหลือแต่พวกขี้เมา นักเลงวงไพ่ และญาติสนิท ทุกคนแปลกใจที่เห็นการปรากฏตัวของดาหวัน ต่างชี้มือจับกลุ่มนินทา 

“อีดาหวันมันยังกล้ามางานศพอยู่เหรอ เพราะมันคนเดียวทำให้ไอ้สมบัติต้องตาย” หนึ่งเสียงดังขึ้น 

ดาหวันไม่สนใจ ปรี่เข้าไปที่หน้าโลงศพ พอเห็นโลงไม้และรูปขาวดำของเขา หญิงสาวก็เริ่มตาพร่ามัว ไร้เรี่ยวแรง

นางนงคราญมารดาของสมบัติไม่พอใจ รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปขวางหน้า

“มึงมาทำไม” หญิงชราเท้าสะเอว จ้องหน้าเอาเรื่อง

“ข้าอยากจะมาลา...สมบัติ” ดาหวันเอ่ยเสียงขาดหาย

เผียะ! 

ไม่สนสิ่งใด แม่คนตายเหวี่ยงมือตบหน้าดาหวันท่ามกลางความตกใจของทุกคน ดาหวันล้มทั้งยืน น้ำตาร่วงริน ดาวเหนือรีบเข้าไปประคอง

“เพราะมึงคนเดียว อีตัวกาลกิณี มึงทำให้ลูกกูต้องตาย มึงมันเป็นตัวซวย เป็นตัวขึด” นงคราญตะโกนทั้งน้ำตา 

“ข้าขอโทษ” ดาหวันยกมือไหว้

“อีนงคราญ มึงไปตบอีดาหวันทำไม” น้อยนูผู้เป็นสามีรีบเข้ามาห้ามทัพ

“ก็เพราะมันคนเดียว...” เมียรักตัวสั่นน้ำตาไหล “มันรู้ว่าไอ้สมบัติรักมัน มันเลยหลอกใช้ ให้สมบัติคอยปกป้อง จนต้องมาเจอเรื่องอัปมงคลจากอีผีพราย แถมยังทำให้เจ้าพ่อไม่พอใจ เจ้าพ่อคำสะหลีน่าจะหักคอมึงแทนลูกกูนัก ฮือๆ” 

คนเป็นแม่ร่ำไห้ใจจะขาด พยายามจะเข้ามาทำร้ายอีก แต่น้อยนูสั่งให้คนอื่นๆ พาภรรยาของเขาไปสงบสติอารมณ์หลังบ้าน

ดาหวันคุกเข่าสะอื้นไห้จนแทบจะกราบพื้นดิน 

‘สมบัติ...แม่สูพูดถูก คนอย่างข้า ตายไปแทนสูคงดีกว่า’

“น้าดา กลับบ้านเราดีกว่า” ดาวเหนือเอ่ยเสียงเบา

ดาหวันเงยหน้ามองโลงศพ มีคำมากมายเป็นร้อยพันที่อยากบอกเขา แต่วันนี้ต่อให้ตะโกนดังกว่าเสียงฟ้าผ่าเขาก็ไม่ได้ยิน

“มึงอยากไปไหว้ศพมันก็ไปเถอะ” ชายผู้เป็นบิดาเอ่ย “ข้ารู้ว่าไอ้สมบัติลูกข้ามันก็คงรอให้สูมาหา” น้อยนูรู้ว่าลูกชายก็คงต้องการเช่นนี้

ดาหวันลุกขึ้น ก้าวไปหาโลงศพตรงหน้าอย่างยากลำบาก ในรูปถ่าย เขาสวมเสื้อเชิ้ตตัวเก่ง แววตายังเป็นคนอารมณ์ดี ยิ่งมองคนในรูปดาหวันก็ยิ่งเกลียดตัวเอง

หยิบธูปมาจุดไฟจากตะเกียง พนมมือไว้กลางอก อธิษฐานบอกเขา

‘ข้ามาขออโหสิ เรื่องใดที่เคยล่วงเกินสูทั้งกาย วาจา ใจ ยกโทษให้ข้าด้วย’ 

สายลมอ่อนๆ พัดผ่าน พาเปลวไฟในตะเกียงวูบไหว ควันธูปสีขาวลอยขึ้นเป็นทางยาว ตวัดเลื้อยก่อนจะหายไปในความมืด ดาหวันรู้สึกเหมือนมีมือมาสัมผัสปลอบประโลม เธอเชื่อว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ และคงอยากให้เธอเข้มแข็ง

‘ขอบคุณนะที่คอยยืนเคียงข้างผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง’

“เสียดายที่สมบัติมันบุญน้อย จะเป็นเพราะเจ้าพ่อหักคอมันหรือเป็นเพราะงูเห่ามันพิษนัก แต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเวรตามกรรม” น้อยนูพยายามพูดให้เธอสบายใจ

ดาหวันสงบลง สบตาสมบัติในรูปถ่าย พูดกับเขาในใจอีกครั้ง

‘อีดาหวันคนนี้จะขอรับผิดชอบการตายของสูเอง ข้าจะแข็งแกร่งเหมือนที่สูเคยบอก และสูจงรู้ไว้นะสมบัติ ว่าข้า...รักสู’

คำคำนี้ที่สมบัติรอคอยมานานแสนนาน...แม้จะสายไป แต่หวังว่าเขาจะรับรู้

“ไปสู่สุคตินะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่นเครือและปักธูปลงในกระถาง รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะร่วง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อ่อนแออีกต่อไป

                

                ไฟเผาผลาญทุกอย่างให้กลายเป็นฝุ่นผง และสายลมก็พัดพาทุกอย่างให้ปลิวหาย ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ 

                เช่นเดียวกับที่บ้านสันทราย หลังสิ้นงานศพ ทุกคนไม่อยากจำเรื่องราวอัปมงคลที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของนางขี้โรคที่เป็นผีพราย รวมไปถึงไอ้หนุ่มปากไวที่ลบหลู่ผีเจ้านายจนสิ้นชีพ ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อรอคอยงานบุญที่จะมาถึง

                งานฉลองหอระฆังใหม่ สูงใหญ่ สวยงาม อาคารทำจากไม้สักสูงสามชั้น ตัวระฆังหล่อมาจากกรุงเทพฯ เสียงดีตีดัง เล่าลือว่าได้ยินไปไกลถึงตัวอำเภอฝาง สร้างโดยนางมาลัย สาวใหญ่ที่ไปทำงานเป็นนางโลมอยู่เมืองกรุง แล้วได้ผัวฝรั่งร่ำรวยกลับมา 

ยิ่งใกล้วันงานก็ยิ่งคึกคัก ผู้คนช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือนเตรียมของทำบุญ ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถแห่ขายของ มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว รวมถึงพวกเครื่องดื่มน้ำแข็งก็มีมาบริการถึงหน้าบ้าน

                ถนนที่มุ่งสู่วัดปักตุงหลากสีตลอดสองข้างทาง ยามสายลมพัดสะบัดไหวดูงดงามเหมือนช่างฟ้อนเริงระบำ งานบุญจัดสามวันสามคืน มีทั้งมวย ลิเก ดนตรี ภาพยนตร์ หลานสาวบุญคงตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะครั้งนี้ตาของเธออนุญาตให้ไปเที่ยวงานได้

วันแรกพวกเธอตื่นแต่เช้า รีบทำงานบ้านให้เสร็จ ก่อนจะวิ่งปร๋อไปนั่งข้างๆ ผู้เป็นตา บุญคงชายตามอง รู้ดีว่าสองพี่น้องต้องการอะไร

“อยากไปเที่ยวงานปอยสิท่า”

สาวน้อยทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน แม้จะแอบหวั่นใจว่าบุญคงอาจไม่อนุญาต แต่เวลานี้ตาของเธอไม่ขี้โมโหเหมือนแต่ก่อนแล้ว

“กูไม่ได้ให้มึงไปเที่ยวอย่างเดียวนะ อีดาว อีเดือน ไปวัดให้ไปช่วยคนอื่นทำงาน ไปเหมือนเป็นตัวแทนกู”

สองสาวพยักหน้าโดยพลัน บุญคงหยิบเหรียญในกระเป๋ายื่นให้หลานทั้งสอง 

“อ้อ แล้วอย่าลืมชวนอีดาหวันไปด้วยนะ ถ้าอีดาหวันไม่ไป พวกมึงก็ไม่ต้องไป” ชายชรายังไม่ทิ้งลายความเฮี้ยบ 

ดาวเหนือและเดือนเด่นยกมือไหว้ แล้วรีบออกจากบ้านทันที

“แล้วอย่าไปซนให้มาก ให้เชื่อฟังอีดาหวันคนเดียว” บุญคงตะโกนตามหลังแล้วถอนหายใจ นึกถึงลูกอีผีพราย ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้างหนอ...

แม่มันและไอ้สมบัติตายได้ไม่ถึงสามเดือน บ้านสันทรายก็มีงานปอย ทุกคนสนุกสนานกันหมด คงมีแต่อีดาหวันกระมังที่สลัดหนีจากความทุกข์ไม่ได้ มันขลุกอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปพบใคร มีแต่อีดาวเหนือและเดือนเด่นที่ยังไปมาหาสู่ทุกวัน ก็ยังดี อย่างน้อยมันก็คงมีเพื่อนคุยบ้าง 

 

“เร็วๆ น้าดา” ดาวเหนือกวักมือเรียกให้น้าสาวเร่งฝีเท้า อยากให้ถึงที่หมายโดยเร็ว 

“มึงจะรีบไปทำไม วัดมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า” ดาหวันเอ่ย สีหน้าไม่รื่นเริงเท่าไร

“ข้าตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่ตายอมให้ข้ามาเที่ยวได้ อีกอย่างข้าอยากให้น้าดาได้ออกจากบ้านบ้าง จะได้ไม่เหงา” ดาวเหนือตอบซื่อๆ

ดาหวันยิ้มจางๆ ยินดีในความห่วงใยของเด็กหญิง

“เดี๋ยวเราไปไหว้พระในวิหารก่อน ขอพรให้เจอแต่เรื่องดีๆ” ดาวเหนือบอกน้องสาว “น้าดาเคยบอกว่า ถ้าเป็นคนดี ก็จะเจอแต่เรื่องดีๆ เนาะ” 

สาวน้อยหันมาคุย ดาหวันพยักหน้าให้ทั้งที่ในใจเริ่มไหวหวั่น

‘ทำดีได้ดีแน่หรือ...กูทำมาทั้งชีวิต แล้วทำไมตอนนี้ชีวิตกูถึงน่าสมเพชนัก’

สามสาวเข้าไปกราบพระในวิหาร ดาหวันเงยหน้ามองพระประธานตรงหน้า พระพักตร์อวบอิ่ม สายตาหลุบมองต่ำเหมือนจ้องมองมายังเธอ

‘พระเจ้าตนหลวง สิ่งที่ข้าเคยอธิษฐาน สิ่งที่ข้าเคยเชื่อมันเป็นเรื่องจริงไหมหนอ ข้าขอไหว้ขอวอนอีกครั้ง การที่ข้าตั้งใจทำความดี ขอความดีนั้นส่งผลให้ข้าสุขสบาย สมหวังในทุกสิ่งด้วยเถอะ’

ไหว้พระทำให้อิ่มใจ ดาหวันเหมือนได้พลังงาน มีแรงที่พร้อมจะสู้ชีวิตต่อ เมื่อเสร็จจึงเดินลงจากวิหาร เห็นผู้ใหญ่สุชาติยืนสั่งการลูกน้องให้ช่วยกันจัดโต๊ะเก้าอี้ ดาหวันไม่เข้าไปทัก แกล้งทำเป็นไม่สนใจเสีย

“ทำไมอีดาหวันมันถึงมางานได้” ไอ้อิ่นถามหัวหน้า เพราะยังมีชาวบ้านหลายคนเชื่อว่าดาหวันอาจจะติดเชื้อผีพรายมาจากแม่

“มันก็เป็นคนสันทราย แปลกตรงไหนที่มันจะมาร่วมงานปอย” พ่อหลวงตอบ แต่ในใจกลับนึกกลัวว่ามันจะไปวุ่นวายกับคนอื่น

ข่าวลือที่แสงหล้ากุขึ้นเรื่องดาหวันติดเชื้อผีพรายจากแม่...น่าจะเป็นผลแล้ว

ดาหวันมุ่งตรงไปยังโรงครัว ผู้หญิงทุกวัยกำลังช่วยกันทำอาหารต้อนรับแขก จันทร์เพ็ญในฐานะเมียผู้ใหญ่บ้านหรือที่ทุกคนเรียกว่า ‘แม่หลวง’ สวมสร้อยทองเส้นโตยืนยิ้มแฉ่งคอยสั่งงาน บัวเรียวล้างผัก ส่วนศรีมอยกำลังเทน้ำใส่เหยือก ทันทีที่เห็นดาหวันเดินมา เมียผู้ใหญ่ก็อ้าปากหวอ รีบเข้ามาดักไว้ก่อน

“น้องดา ออกจากบ้านมาได้แล้วเหรอ” จันทร์เพ็ญจีบปากจีบคอ

“เจ้า อยู่บ้านก็น่าเบื่อ เลยคิดว่ามาช่วยงานดีกว่า”

แม่หลวงเอามือทาบอก นิ่งคิดก่อนจะฉีกยิ้ม “ตอนนี้งานครัวมีคนช่วยเยอะแล้ว น้องดาไม่ต้องทำก็ได้ นั่งเฉยๆ เตรียมดูช่างฟ้อนดีกว่าเนาะ” เธอรีบผายมือให้ดาหวันไปนั่งเก้าอี้หลังต้นไม้ 

“งั้นให้ข้าช่วยเช็ดถ้วยจานหรือโต๊ะเก้าอี้ก็ได้ ปะ อีดาว อีเดือน เราไปเช็ดโต๊ะดีกว่า เอ๊ะ หรือว่าไปเตรียมเหยือกน้ำไว้ต้อนรับแขก”

“หยุด!” จันทร์เพ็ญเสียงดังจนคนฟังสะดุ้งโหยง

“อันนั้นศรีมอยรับหน้าที่ไปแล้ว” จันทร์เพ็ญหน้าตึงจนแป้งที่โปะมาอย่างหนาเริ่มหลุดร่วง “เอางี้ ห้องน้ำยังไม่มีใครล้าง น้องดากับเด็กๆ ไปล้างห้องน้ำดีกว่า” เมียผู้ใหญ่ยิ้มหวานอีกครั้งพร้อมกับโบกมือให้ดาหวันพาเด็กๆ ไปทำงานตามสั่ง

“พี่ดาว ข้าไม่อยากล้างห้องน้ำ มันเหม็น” เดือนเด่นหน้านิ่ว 

“ทำๆ ไปเถอะอีเดือน ล้างเสร็จเดี๋ยวเราก็ได้เดินเที่ยวแล้ว” ดาวเหนือยังมองโลกในแง่ดี

ดาหวันจึงพาเด็กน้อยไปล้างห้องน้ำซึ่งมีถึงสิบห้องเสียโดยดี

“เกือบไปแล้วนะพี่เพ็ญ” ศรีมอยซึ่งสังเกตอยู่นานรีบเข้ามาชวนคุย “ถ้าให้อีดาหวันมาช่วยทำอาหาร งานปอยวันนี้คงไม่มีใครกล้ากิน เพราะกลัวติดเชื้ออีผีพราย”

“ข้าถึงให้มันไปอยู่ที่ห้องน้ำ ผีพรายมันชอบกินขี้อยู่แล้วเนาะ” จันทร์เพ็ญตอบ เล่นเอาคนที่ได้ยินโห่ฮา

สิ่งสกปรกที่อยู่ในห้องน้ำคงเหมือนกิเลสตัณหาที่ติดอยู่ในใจคน...ดาหวันคิดอย่างนั้น เธอจึงพยายามขัดล้างทุกอย่างให้สะอาดที่สุด เดือนเด่นบ่นอุบว่าเธอไม่ชอบงานนี้ เป็นไปได้เธออยากเป็นช่างฟ้อน เพราะได้แต่งตัวสวย ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย

“อดทนไว้อีเดือน ชีวิตคนเรามันไม่เป็นดั่งใจไปทุกอย่างหรอก ทำหน้าที่ให้มีความสุขไปดีกว่า” ดาหวันปลอบ ความจริงเธอเองก็เคยเป็นช่างฟ้อน มีแต่คนชมว่าฟ้อนงาม แต่พอวันผ่าน น่าขัน ช่างฟ้อนคนงามต้องมาล้างส้วม

คนที่แวะเวียนมาเข้าห้องน้ำ เมื่อเห็นดาหวันก็พยายามเลี่ยงพร้อมส่งสายตาว่าขยะแขยง

“ทำไมมีแต่คนไม่อยากมาใกล้เราเลยพี่ดาว” เดือนเด่นถาม

“ไม่มีอะไรหรอกน่า รีบทำให้เสร็จแล้วเราไปซื้อขนมกัน” ดาวเหนือเลี่ยงตอบ เพราะเกรงว่าจะกระทบความรู้สึกน้าสาวข้างบ้าน

“มาอยู่ที่นี่เอง อีดาว อีเดือน” เสียงหนึ่งดังทักมาแต่ไกล 

เด็กน้อยหันไปดูก็ดีใจ กระโดดตัวลอย

“แม่!” 

แสงหล้าเข้าไปกอด หอมแก้มลูกให้หายคิดถึง ก่อนจะชายตามายังดาหวันเช่นผู้ชนะ

“ตายแล้ว ใครหนอช่างคิด เอาอดีตช่างฟ้อนงานปอยมาล้างห้องน้ำได้” แสงหล้ามองดาหวันอย่างสมเพช วันนี้เธอเป็นดั่งคนชั้นสูง ที่คอและแขนมีสร้อยทองเส้นโต ผมเผ้าก็ดัดเป็นลอนสวยเก๋เหมือนนางสาวไทย แถมชุดใหม่ที่ใส่ก็ไปตัดไกลถึงในเมืองเชียงใหม่

“งานอื่นที่โรงครัวมีคนทำเยอะแล้วแม่ พวกเราเลยได้มาล้างห้องน้ำ” ดาวเหนือตอบแทน

“เสียหน้ากูหมด อีดาว” แสงหล้าทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากเป็นเชิงรำคาญ

“อีดาว มึงไปเที่ยวงานกับแม่มึงเถอะ กูล้างคนเดียวได้” ดาหวันเอ่ยเสียงเรียบ

“ไปกันเถอะอีดาว อีเดือน มาอยู่ทำไมในห้องน้ำ มึงไม่ใช่ผีพรายนะ จะได้มาหากินขี้” แสงหล้ายังยั่วไม่หยุดจนดาวเหนือต้องเขย่าแขนเตือน

“ไปเที่ยวงานปอยกัน แล้วมึงอยากกินอะไรก็ชี้นิ้วเอาเลย ลุงจำรัสพกเงินมาเป็นหมื่น” แสงหล้าจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน

ดาหวันตัดสินใจหันหลังเดินเข้าห้องน้ำและปิดประตู ขังตัวเองอยู่ด้านใน เธอยังได้ยินเสียงคนคุยกันนอกห้องน้ำ ชื่นชมแสงหล้าที่งามทั้งใจและใบหน้า แถมได้ผัวหล่อและรวย เห็นเอาพัดลมเครื่องใหญ่มาถวายให้วัด และอีกไม่นานก็จะกลับมาปลูกบ้านใหม่ริมน้ำฝางอีกด้วย

ดาหวันได้ยินทุกคำ เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ กลุ่มคนเหล่านั้นต่างตกใจ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความขยะแขยง

“อีดาหวัน มึงมาอยู่ทำไมตรงนี้ มากินขี้หรือไง”

ดาหวันชายตามอง แต่ก็ยังเลือกที่จะสงบปาก หันไปเก็บของและเดินจากไปเสีย

“น่าเกลียดจริงๆ ไม่นึกเลยว่ามันจะกล้ามางานปอย”

“ใช่ งานบุญแท้ๆ ทำไมต้องให้คนอย่างมันมาทำให้เสื่อมเสีย พ่อหลวงน่าจะไล่มันไปให้พ้นจากหมู่บ้านเราเสีย” 

อีกมากมายที่พวกเขาสนทนากันลับหลัง แต่ก็ตั้งใจให้ลูกผีพรายได้ยิน

เสียงฆ้อง กลองตึ่งโนงดัง ตามด้วยปี่แน เป็นสัญญาณของการแสดงฟ้อนเล็บ ชาวบ้านทั้งหนุ่มแก่ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบมุ่งไปยังลานวัดซึ่งช่างฟ้อนสาวน้อยยี่สิบคนกำลังจัดแถว ทุกคนเกล้าผมเปิดวงหน้างาม บนผมมีดอกเอื้องเหน็บและมีมาลัยร้อยเป็นอุบะมาทางซ้าย พวกเธอสวมเสื้อแขนกระบอกสีชมพูคาดสไบสีทอง นุ่งซิ่นผืนงาม เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ยกมือวันทาผู้ชม ก่อนจะกรีดนิ้วร่ายรำตามจังหวะ

เล็บสีทองสะท้อนแสงตะวันงามระยับ เดือนเด่นชื่นชมในความงดงาม ตั้งใจว่าโตขึ้นจะเป็นช่างฟ้อนให้ได้

แสงหล้าเชิดหน้า ยิ้มระรื่น การได้กลับมาร่วมงานปอยครั้งนี้เหมือนได้ทำให้เธอกลับมามีที่ยืนในหมู่บ้านอีกครั้ง ใครๆ ต่างชื่นชมเธอไม่ขาดปาก

ก็แน่ละ เธอทุ่มเงินร่วมทำบุญกับเจ้าภาพ คอยช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้านและภรรยาทุกอย่าง ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดีมีฐานะ ทุกคนจึงลืมเรื่องอีแสงหล้า นางวันทองสองใจไปแล้ว

ทั้งคู่ราวกับดาราจรัสแสงในงานบุญ ผิดกับหญิงสาวที่เพิ่งล้างห้องน้ำเสร็จ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนหลีกหนี

“ระวังลูก อย่าไปใกล้มัน เดี๋ยวจะติดเชื้ออีผีพราย” คนเป็นแม่รีบอุ้มลูกหนีเมื่อดาหวันเข้ามาใกล้ ซึ่งต่อให้ดนตรีปี่แนในวัดดังขนาดไหน ดาหวันก็ยังได้ยิน

ความน้อยใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ หญิงสาวจึงหลบลี้ผู้คนออกมา จะไปทางไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ คิดจะกลับบ้านเสียดีกว่า 

“น้าดา”

ดาหวันหันไปตามเสียงที่ทัก จึงพบเด็กชายแต่งกายโทรมๆ มองเธออย่างสงสัย ลูกอีกคนของแสงหล้านั่นเอง

“วินัย มีอะไรหรือเปล่า”

“ข้าเห็นว่าน้าดาหลบอยู่แถวนี้ตั้งนานแล้ว ไม่ไปช่วยเขาทำงานที่โรงครัวเหรอ” วินัยคงสงสัยว่าทำไมดาหวันมานั่งหลบมุม

“ข้าเหนื่อยเลยมานั่งพัก” ตอบไปส่งๆ แต่เด็กน้อยก็ยังจ้องหน้าอยู่

“น้าดาอยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้” 

“ไม่ต้องห่วงข้า” ดาหวันอมยิ้ม “ว่าแต่สูเถอะ ทำไมไม่ไปอยู่กับแม่ล่ะ” 

แววตาของวินัยเปลี่ยนไป ก่อนจะส่ายหน้า “แม่คงไม่อยากเจอข้าหรอก ชุดใหม่ข้าก็ไม่มี ข้าอยู่ใกล้หลวงปู่ดีกว่า มีขนมเยอะดี” วินัยตอบซื่อๆ รู้แล้วว่าตัวเองควรจะอยู่ที่ที่มีคนต้องการมากกว่า

“ดีแล้ววินัย สูบวชเมื่อไหร่ข้าจะอนุโมทนาบุญด้วย อยู่ในผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมาเจอทางโลกนะ” 

ดาหวันลูบหัวเด็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงมาเพื่อกลับบ้าน ก้าวออกจากประตูวัดได้ไม่ไกลก็สวนทางกับรถเก๋งคันหนึ่ง เมื่อเห็นดาหวันรถคันนั้นก็หยุด

“ดาหวัน!”

เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เธอหันหน้าไปหาร่างใหญ่ที่เปิดประตูรถลงมาส่งยิ้มหวานให้ เห็นเช่นนั้นดวงใจที่หม่นเศร้าก็ชุ่มชื่นขึ้นทันที

“พี่พรเทพ” เธอยิ้ม ในใจนึกอยากจะโผกอดเขาเสียเหลือเกิน 

‘ในเวลาที่น้องสิ้นหวังเช่นนี้ พี่พรเทพเป็นดั่งฝนทิพย์ที่รดมายังหัวใจที่กำลังจะตาย’

“จะไปไหนเหรอ ดาหวัน”

“คือข้า...กำลังจะกลับบ้าน”

“ทำไมถึงรีบกลับ พี่ว่ากำลังจะไปวัด” เขาเอ่ย ชายหนุ่มยังคงรักษาสัญญาที่บอกว่างานปอยครั้งนี้ เขาจะกลับมาและพาเธอไปเที่ยว

“คือข้า...จะกลับก่อน ตอนค่ำๆ ค่อยมาใหม่” เธอตอบเลี่ยงๆ 

พรเทพอมยิ้ม วันนี้เขาแต่งกายดูดี สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงทันสมัย แถมทรงผมก็หวีเสยทาน้ำมันเรียบแปล้ 

“พี่เสียใจเรื่องแม่ทองใบด้วยนะ พี่เพิ่งรู้ข่าว เลยไม่ได้มางานศพ”

“ไม่เป็นไรพี่ ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่ถึงขับรถยนต์มาได้”

พรเทพยังไม่ทันได้ตอบ ประตูฝั่งผู้โดยสารก็เปิดออก หญิงสาวหน้าตาดีเดินลงมา ดูอายุแล้วน่าจะสามสิบต้นๆ แต่งตัวนำสมัย เธอเดินเข้ามาหาและมองหน้าดาหวัน ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ใครเหรอพรเทพ”

“อ้อ ดาหวันเป็นน้องสาวที่รู้จักครับคุณหงษ์ เธอช่วยดูแลลูกผมอย่างดี” พรเทพพูดกับเธออย่างสุภาพ

หงษ์ทองหันมายิ้ม ดาหวันยกมือไหว้ทักทาย

“คุณหงษ์เป็นลูกสาวของเจ้านายพี่”

“ใช่ แล้วก็เป็นแฟนของพรเทพด้วย” หญิงสาวหน้าหมวยพูดเสริม ดาหวันชะงัก “คุยกันเสร็จหรือยังคะ หงษ์อยากเข้าไปในวัดแล้ว” หญิงสาวมีสีหน้าหงุดหงิด ก่อนจะเดินขึ้นรถ

คงไม่สังเกตว่าคนที่ยืนสนทนาอยู่ด้วย...แทบล้มทั้งยืน

“พี่ไปก่อนนะ” พรเทพยิ้มและหมุนตัวกลับ

“เดี๋ยว...” ที่สุดดาหวันก็เอ่ยปาก

พรเทพหยุดกึก หมุนตัวกลับมาหา

“เมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าพี่เป็นแฟนกับเธอ เป็นเรื่องจริงเหรอคะ” ในคำถามมีหยดน้ำตาซ่อนอยู่

หนุ่มเมียทิ้งหน้าเจื่อน เม้มปากอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมา

“เฮียกับเจ๊แกเมตตาพี่มาก แกเห็นว่าพี่เป็นคนขยันทำงานดี คุณหงษ์แกยังไม่มีสามี เลยอยากให้ลองคบกันดู”

ดาหวันรู้สึกเหมือนถูกชายหนุ่มจิกหัวแล้วเอามือล้วงควักหัวใจของเธอออกมาบีบเล่น นัยน์ตารื้นไปด้วยหยดน้ำ 

“ดาหวัน พี่ขอโทษ แต่พี่...”

เธอไม่อยากสบตาคนมักง่าย ไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น หญิงสาวกำหมัดแน่นและเหวี่ยงเข้าไปที่ใบหน้าเขาเต็มแรง

ผัวะ!

ชายหนุ่มหน้าหัน ดาหวันหมุนตัวหนี และถึงแม้เขาจะตะโกนอย่างไร เธอก็ไม่หันกลับมาอีกเลย

‘ไอ้พรเทพ ไอ้คนวอกนัก!’

อยากกรีดร้องเช่นคนบ้า อยากจับมีดยาวเป็นวามาฟันร่างเขา สิ่งที่พรเทพทำช่างเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกฆ่าเสียนี่กระไร เพราะถ้าตายไปจริง เธอก็คงไม่ทรมานถึงเพียงนี้

ไหนล่ะ เทพบุตรคนดีที่เป็นดั่งน้ำฝน ที่บอกให้เธอรอ...แล้วจะกลับมาหา ทั้งหมดเป็นแค่ลมปากของผู้ชายปลิ้นปล้อน 

หนทางกลับบ้านช่างยาวไกล ดาหวันน้ำตาไหลอาบแก้ม สวนทางกับคนที่กำลังมุ่งหน้าไปวัดด้วยความสุข ซ้ำบางคนยังขบขันที่เห็นอีผีพรายร้องไห้

ดาหวันเร่งฝีเท้า หวังจะกลับไปที่เรือนให้เร็วที่สุด กระทั่งมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาขวาง กลุ่มไอ้อิ่น ลูกน้องของพ่อหลวงสุชาตินั่นเอง 

“อีดาหวัน พ่อหลวงให้กูมาบอกมึงว่า ไม่ต้องมางานปอยอีกนะ”

หญิงสาวปาดน้ำตา “ทำไม”

ไอ้อิ่นส่ายหัว “มึงก็น่าจะรู้ งานบุญ ทุกคนอยากทำบุญ อยากสนุกสนาน แต่พอมึงมา ทุกคนก็กลัวและรังเกียจ พ่อหลวงกลัวว่าคนหมู่บ้านอื่นจะนินทาเอาได้ว่าบ้านสันทรายเรามีผีพราย”

“หึ แม่ข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นผีพราย ตอนนี้ยังลามมาถึงข้า ถึงขั้นไม่อยากให้ร่วมงานบุญ แล้วทีอีผู้หญิงสองผัว พอมีเงินมาทำบุญ ชูคออยู่ในวัด พวกมึงกลับเห็นดีเห็นงามกันหมด” ดาหวันถามถึงความถูกต้อง

“มึงอย่าหาเรื่องคนอื่น แสงหล้ามันเป็นห่วงมึงนะ มันอยากให้มึงไปทำพิธีตัดผีพรายเพื่อช่วยให้มึงมีชีวิตเหมือนเดิม” ไอ้อิ่นเอ่ย

“ช่วยยังไง เอามีดมาปักหัวเหมือนแม่ข้าน่ะเหรอ”

“ใช่ แสงหล้ามันปรารถนาดีกับมึง ถ้ามึงเชื่อมัน ยอมๆ ให้เจ้าพ่อทำตามพิธี บางทีมึงอาจจะมีชีวิตที่ดีเหมือนมันก็ได้นะ” ไม่พูดเปล่า พวกนั้นยังหัวเราะด้วยความขบขัน

ดาหวันรู้สึกว่าเส้นด้ายความอดทนของเธอขาดสะบั้นแล้ว

“อีแสงหล้าใช่มั้ยที่บอกให้ข้าไปตัดพราย”

“ใช่” 

ดาหวันหันหลัง เดินกลับไปอย่างรวดเร็ว ไอ้อิ่นกับคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะทางที่นางผีพรายเดินไปหาใช่ทางไปหอเจ้าพ่อคำสะหลีไม่ แต่มันคือทางกลับไปวัด


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น