1

ชายชรากับหลานสาว

บทที่ ๑

ชายชรากับหลานสาว

 

ยามแลง ใกล้สิ้นแสงสุริยน 

ชาวบ้านหมู่บ้านสันทรายต่างตื่นเต้นกันใหญ่ เพราะคืนนี้มีบริษัทร้านยาชื่อดังจัดหนังกลางแปลงมาฉายถึงลานหน้าวัด

นานทีปีหนจะได้ชมมหรสพชั้นเลิศโดยไม่ต้องเดินทางไปถึงโรงหนังในอำเภอ บ้านสันทรายอยู่ห่างจากตัวอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ห้ากิโลเมตร ทว่าการคมนาคมนั้นแสนลำบาก

ยิ่งค่ำบรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก เสียงเพลงดังจากรถขายยาเชิญชวนให้คนอยากออกจากบ้าน หมาวัดแข่งกันหอนประสาน สามเณรรำคาญ หยิบก้อนหินขว้างใส่จนพวกมันเผ่นเตลิดไปคนละทิศ

ผู้คนที่มาถึงทยอยปูเสื่อจับจองที่นั่งที่ดีที่สุด หนึ่งในนั้นคือ ‘ดาหวัน’ สาวสวยวัยยี่สิบสี่ที่ตื่นเต้นไม่แพ้ใคร

ตั้งแต่ได้ยินเสียงจากรถแห่ประกาศไปตามท้องถนนว่าคืนนี้จะมีหนังกลางแปลงมาฉาย นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ พระเอกนางเอกชื่อดังแห่งยุค ดาหวันก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เลือกเสื้อลายดอกสีสวยและหยิบผ้าถุงผืนงามมาใส่ ผัดหน้าจนผ่อง พร้อมแล้วที่จะออกไปเพลิดเพลินกับมหรสพ

บ้านของเธออยู่ไม่ไกลจากวัด ออกจากซอย เลี้ยวขวาข้ามถนนและเดินไปอีกไม่กี่อึดใจก็ถึง หน้าวัดคนแน่นขนัด ดาหวันทักทายทุกคนตามประสาก่อนจะเลือกหาที่นั่ง หนังยังไม่เริ่ม คิดอยากหาถั่วลิสงต้มมากิน จึงลุกไปยังเขตแนวข้างกำแพงวัด ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ข้าวผัด กล้วยแขก ถั่วต้ม ชาเย็น หรือแม้แต่ของเล่นล่อใจเด็กๆ

ดาหวันเดินไปสั่งถั่วลิสงต้มและชวนแม่ค้าคุยสัพเพเหระ ทันใดนั้นเองก็มีคนมาสะกิดแขน เธอหันไปส่งยิ้มให้คนทัก ซึ่งไม่ใช่ใคร ‘บัวเรียว’ พี่สาวข้างบ้านที่เคยเล่นหัวด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทว่าตอนนี้ออกเรือนไปอยู่กับสามีที่หมู่บ้านอื่นไม่ไกลจากบ้านสันทรายนัก

“ลูกกูมันอยากดูหนัง เลยพามา” คนแก่กว่าบอก ก่อนจะกระซิบความลับใกล้หูดาหวัน “กูพาอีดาวมาด้วยนะ”

ได้ยินชื่อนั้นดาหวันก็แปลกใจ ดาวเหนือคือหลานสาวของบัวเรียว อาศัยอยู่กับผู้เป็นตาซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านของดาหวัน

“อีดาว มันมาได้ไงในเมื่อลุงคง...” 

ไม่ทันได้พูดต่อ บัวเรียวก็ยกนิ้วขึ้นจุปาก ดาหวันมองตามสายตาคู่สนทนา ท่ามกลางผู้คนเห็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบกำลังสนุกสนานกับลูกๆ ของบัวเรียว ดูตื่นเต้นกับทุกสิ่งอย่างรอบตัว

“มันอยากดูหนังมานานแล้ว กูเลยรับปากมันว่าถ้าน้องมันหลับและพ่อกูเข้านอน กูจะไปรับมันมาเอง”

“ข้าดีใจแทนอีดาวมันที่ได้ดูหนังขายยาซะที มันเคยขอข้าให้พามาหลายครั้งแล้ว แต่ลุงคงก็ไม่เคยให้มา” ดาหวันเอ่ยตามจริง แม้จะอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง แต่การจะพาดาวเหนือออกไปไหนมาไหนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะ ‘บุญคง’ นั้นหวงหลานยิ่งกว่าอะไรดี

“เออ กูเข้าใจ ขนาดกูเป็นป้าแท้ๆ พ่อกูยังไม่ยอมให้พามันไปไหนเลย คงแค้นแม่มันที่ทำเรื่องงามหน้าไว้” 

บัวเรียวส่ายหน้า นึกถึงเมื่อก่อน บุญคงเคยเป็นคนใจเย็น รักลูกหลาน แต่หลังจาก ‘แสงหล้า’ แอบหนีตามผัวใหม่ ทิ้งลูกสามคนให้ดูแล ชายชราก็เปลี่ยนไป

เสียงเพลงจากลำโพงเงียบลง ขณะที่จอสี่เหลี่ยมเริ่มปรากฏภาพเคลื่อนไหว ผู้ประกาศเคาะไมโครโฟนทำเสียงหล่อโหมโรงนำเข้าสู่ความบันเทิงในค่ำคืนนี้

“หนังจะฉายแล้ว กูไปก่อนนะ” 

บัวเรียวหันมาบอกดาหวัน แต่ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแข่งกับเสียงโฆษก ผู้คนแตกตื่น หรือจะมีนักเลงหัวไม้ตีกันตั้งแต่หนังยังไม่ทันเริ่ม กระทั่งได้ยินเสียงแม่ค้าตะโกนบอกต่อกันว่า ปู่เฒ่าบุญคงตามมาเฆี่ยนหลานสาวถึงหน้าวัด!

บัวเรียวหน้าซีดเผือด ดาหวันจึงรีบบอก

“พี่บัวเรียว รีบไปดูอีดาวเถอะ”

บัวเรียวปรี่ไปยังที่นั่งตน เห็นบิดากำลังใช้ไม้เรียวฟาดร่างหลานสาวไม่ยั้ง ดาวเหนือกรีดร้องทั้งน้ำตา เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็น

“หยุด! พวกมึงอย่ายุ่ง นี่มันหลานกู กูจะทำอะไรมันก็ได้” 

ชายชราชี้หน้าคนที่จะเข้ามาห้าม ก่อนจะกระหน่ำฟาดต่อ บัวเรียวรีบเข้าไปจับแขนบิดา ส่วนดาหวันซึ่งตามมาก็อุ้มดาวเหนือถอยหนี

“หยุดได้แล้วพ่อ เด็กมันก็แค่อยากดูหนัง”

เมื่อเห็นคนที่แอบพาหลานตัวเองออกมาจากบ้าน บุญคงก็ยิ้มมุมปาก “อ้อ มึงสินะที่พามันออกมา”

“ใช่ อีบัวเรียว ป้ามันนี่แหละที่ไปรับมันมา แค่ออกมาดูหนัง จะฆ่ากันให้ตายเลยหรือไง” บัวเรียวก็เหลืออด เพราะเห็นว่าบุญคงเข้มงวดกับหลานสาวเกินไป

“ถ้าฆ่าได้ กูก็จะฆ่ามันด้วยมือกูนี่แหละ เด็กอะไร นิสัยเหมือนแม่มันไม่มีผิด” บุญคงมองเด็กหญิงอย่างเกรี้ยวกราดราวกับโกรธทุกอย่างบนโลกนี้

“ฮือๆ ข้าแค่อยากดูหนัง” 

น้ำตาของหลานสาวไม่ได้ทำให้บุญคงสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้าม กลับเป็นดั่งน้ำมันที่ราดลงเพลิงอารมณ์

“มึงไม่ต้องมาสำออย!” 

บุญคงสะบัดแขนจากบัวเรียว เข้าไปกระชากตัวดาวเหนือจากดาหวันแล้วจับฟาดไม่ยั้ง บัวเรียวเข้าห้ามแต่ก็ถูกผลักไปอีกทาง

“อีบัวเรียว ถ้ามึงยังมายุ่งกับอีดาว มึงก็เอามันไปเลี้ยงเลย!” 

คำขู่นั้นทำให้บัวเรียวชะงัก เพราะแค่ผัวและลูกอีกสี่ชีวิตก็แทบจะเลี้ยงกันไม่ไหว หากเอาดาวเหนือและเดือนเด่นไปอยู่ด้วยคงได้อดตายกันพอดี

“ลุงคง ให้อีดาวเหนือมันดูหนังกับข้าก็ได้ ไว้หนังจบเดี๋ยวข้าไปส่ง” ดาหวันยกมือไหว้ขอร้อง ในฐานะคนบ้านใกล้กันหวังว่าชายชราจะยินยอม

“มึงไม่ต้องมายุ่ง อีดาวเหนือมันหลานกู มันไม่มีสิทธิ์ไปไหนหากกูไม่อนุญาต” พูดจบก็หันมาจิกผมเด็กน้อยจนหน้าหงาย “จำไว้นะอีดาว อย่ามาทำนิสัยเหมือนแม่มึง” 

พูดพร้อมกับหวดไม้เรียวลงไปที่น่องน้อยๆ อีกหลายครั้ง มีคนร้องห้ามแต่บุญคงไม่สน

“ลุงคง เรื่องของแสงหล้ามันไม่เกี่ยวกับอีดาว เด็กมันจะไปรู้เรื่องอะไร ข้าขอเถอะ!” ดาหวันยังไม่ยอมแพ้ 

ครานี้บุญคงหยุดชะงักและหันมามองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเหยียด

“มึงสงสารอีดาวสินะ”

“เจ้า”

บุญคงยกมุมปากจนหนวดกระตุก

“มึงสงสารตัวเองเถอะอีดาหวัน สภาพของมึงก็ไม่ต่างจากอีดาวเท่าไหร่ เพราะอีแสงหล้าไม่ใช่เหรอที่ทำให้มึงกลายเป็นสาวแก่ขึ้นคานมาจนถึงป่านนี้ มึงน่าจะโกรธอีแสงหล้ามากกว่ากูด้วยซ้ำ เพราะมันแย่งทุกอย่างไปจากมึง!”

ดาหวันหน้าชา เถียงไม่ออก สายตาทุกคู่หันมามองเธอราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทง

ชายชรากำลังสะกิดรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันหายให้อักเสบ พอสาแก่ใจก็ฉุดกระชากดาวเหนือกลับบ้าน เสียงร้องของเด็กน้อยได้ยินไปตามทางเป็นที่น่าสลดใจของผู้ที่พบเห็น บัวเรียวทนอยู่ไม่ไหว ฝากลูกตัวเองให้นั่งรอกับญาติ แล้วรีบตามบิดาไปทันที

มีเสียงนินทาบุญคงตามหลัง พูดถึงตาแก่เจ้ายศเจ้าอย่างที่ถูกลูกสาวคนเล็กทิ้งลูกๆ ให้เลี้ยงดู แถมลูกเขยอย่าง ‘พรเทพ’ ก็ไม่เอาอ่าว หนีเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ ลามไปถึงอีบัวเรียวและไอ้ ‘บุญภพ’ พี่ทั้งสองของแสงหล้าที่ไม่มีใครรับเลี้ยงอีดาวเหนือและน้องๆ มันสักคน

ดาหวันยังได้ยินเสียงนินทาเรื่องที่ว่าเธอเคยถูกแสงหล้าคนก่อเรื่องนี่แหละแย่งพรเทพ อดีตชายคนรักไปอย่างไม่ไยดี

แม้เรื่องมันนานมาแล้ว แต่ดาหวันรู้...ความเจ็บปวดนั้นไม่เคยหาย แต่ที่ยังนิ่งได้คงเป็นเพราะความชินชา

เหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ โฆษกคนเดิมจึงประกาศเชิญชวนให้ทุกคนนั่งที่ เพราะอีกไม่กี่นาทีหนังจะเริ่มฉายแล้ว 

ดาหวันรวบรวมสติ เดินกลับมาที่เสื่อของตน พลันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีร่างใหญ่ขวางทางเดินอยู่

“สมบัติ ตกใจหมด” 

ชายหนุ่มยิ้มเห็นฟันขาว “ขอโทษที่ข้ามาช้า สูรอข้านานหรือเปล่า” เขาพูดหวาน หวังให้เธออารมณ์ดี

“ข้าไม่ได้ชวนสูมา” ดาหวันตอบเสียงห้วน เดินเลี่ยงหนี ไม่สนชายหนุ่มที่รีบเดินตามแถมยังถือวิสาสะนั่งลงบนเสื่อผืนเดียวกับเธอ

“แต่ข้าอยากดูหนังกับสู” เขายังทำหน้าออดอ้อน “ตะกี้เห็นเขาบอกว่าลุงคงมาเฆี่ยนหลานสาวถึงที่นี่เลยเหรอ” ‘สมบัติ’ ชวนคุยต่อตามที่ได้ยินคนอื่นพูดกัน

“อือ” ดาหวันพยักหน้า “แกคงไม่อยากให้อีดาวออกจากบ้านไปไหนกลางค่ำกลางคืน”

“คงแค้นอีแสงหล้าและพี่พรเทพที่ทิ้งลูกไว้ให้เลี้ยง เลยพาล...”

“สมบัติ สูทำไมพูดมาก” ดาหวันชักสีหน้า เขาเลยต้องรีบโอนอ่อน

“ข้าก็พูดมากกับสูคนเดียว เพราะว่าข้ารัก...”

“หยุด! ข้าจะดูหนัง รำคาญ” ดาหวันรีบบอกปัด เวลานี้เธอไม่ได้อยากฟังคำหวานๆ จากใครทั้งนั้น

สมบัติเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้

“เออ วันก่อนข้าเจอพี่พรเทพด้วยนะ”

คราวนี้ดาหวันหันขวับไปยังหนุ่มกล้ามโตทันที “ที่ไหน สูเจอพี่พรเทพที่ไหน” เกือบจะหนึ่งปีแล้วสิที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา 

“ที่โรงสีเฮียชัย แถวบ้านแม่สาว”

หัวใจที่ห่อเหี่ยวเหมือนได้รับน้ำทิพย์ชโลม แม่สาว...หมู่บ้านที่เลยตัวอำเภอฝางไปอีกสิบกิโลเมตร

“พี่พรเทพไปทำอะไรที่นั่น” ดาหวันรีบถามต่อ

“เป็นลูกจ้างโรงสีข้าว”

“เขา...สบายดีหรือเปล่า”

“สบายดี แต่ดูท่าจะดำลงหน่อย คงทำงานหนัก” สมบัติตอบ เห็นสีหน้าของดาหวันที่อยากรู้เรื่องของพรเทพแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้ 

“ดาหวัน ข้านึกว่าสูจะลืมพี่พรเทพได้แล้ว”

หญิงสาวชะงัก แกล้งหันไปมองจอหนัง “ข้าก็ถามเผื่ออีดาว”

“ขนาดพี่พรเทพทำร้ายจิตใจสูมากมายขนาดนั้น สูก็ยังคิดถึงเขาอีกเหรอ”

“หุบปากสมบัติ ถ้าไม่ดูหนังก็กลับบ้านไปซะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ทั้งๆ ที่ในใจสั่นระริก สมบัติไม่มีทางรู้หรอก จะผ่านไปกี่วันกี่คืน จะมีกี่รอยแผลที่เคยประสบ ในใจอีดาหวันมันก็ยังมีแต่ผู้ชายคนนั้นคนเดียว 

พี่พรเทพ...

รักแรกของเธอช่างงดงาม แต่วาสนาของเธอกับเขาช่างน้อยนัก ชาติก่อนคงไม่ได้ตักบาตรร่วมขัน กองทรายสักกองก็คงไม่ได้ก่อร่วม ชาตินี้จึงรักกันไม่ได้

ก็คงได้แต่ภาวนาและหาหนทางทำบุญกับพี่พรเทพให้มากที่สุด เผื่อสักวันเธอและเขาจะกลับมาสมหวังในรักอีกครั้ง

 

บัวเรียววิ่งตามบิดามาถึงหน้าบ้าน เห็นว่าบุญคงยังไม่หยุดตีเด็กหญิง

“พอเถอะพ่อ อายชาวบ้านชาวช่องบ้าง”

ชายแก่หยุด แต่ไม่วายผลักดาวเหนือล้ม บัวเรียวรีบเข้าไปประคอง

“มันจะมีอะไรน่าอายเท่าที่อีแสงหล้ามันทำไว้อีก” บุญคงทิ้งไม้เรียวและเดินขึ้นบันได

“แต่พ่อจะไปลงกับเด็กไม่ได้ อีดาวมันไม่รู้เรื่อง” บัวเรียวเอ่ยตามหลัง

บุญคงหันหน้ามา “กูไม่ได้เฆี่ยนมันเพราะอีแสงหล้า กูเฆี่ยนเพราะว่าอีดาวมันดื้อ กูเคยห้ามไม่ให้ออกไปไหน มันยังทิ้งน้องให้นอนในห้อง หลอกกูว่าเข้านอน แล้วแอบหนีออกไปดูหนัง หัดโกหกตั้งแต่ยังไม่เป็นสาว” 

ชายชราเดินซัดเท้าขึ้นเรือน ปิดประตูห้องเสียงปึงปัง เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตาจ้องมองพระพุทธรูปบนหิ้งพระ

‘เออหนอ...พระเจ้าที่กำลังมองข้าอยู่ ช่วยมาดับไฟที่มันสุมในอกในใจข้าที เรื่องมันก็ล่วงเลยมาจะเป็นปีแล้ว แต่ยามใดที่เห็นหน้าลูกของอีแสงหล้า ความเจ็บปวดนั้นมันก็ไม่เคยจางหาย...’

ยิ่งคิดยิ่งแค้น...ยิ่งรักยิ่งเกลียด สำหรับบุญคงแล้ว เขาเคยทำทุกอย่างเพื่อลูกสาวคนสุดท้อง แต่ดูสิ่งที่เธอทำกับเขาสิ...สุดจะทน

ยี่สิบกว่าปีก่อน บัวนำ เมียรักตายด้วยไข้ป่า หลังจากคลอดแสงหล้าได้ไม่ถึงปี บุญคงจึงสัญญากับตัวเองว่าเขาจะรักและดูแลลูกสาวคนสุดท้องให้ดีที่สุด

‘ข้าอาจจะบุญน้อยไม่ได้ดูแลลูกแสงหล้า ขอให้สูเลี้ยงมันให้ดีๆ นะ’ คำสั่งเสียในคืนที่บัวนำจะสิ้นใจยังก้องอยู่ในหัว จึงทำให้บุญคงรักแสงหล้ามากกว่าลูกคนไหน

แสงหล้าเป็นลูกหลง เกิดห่างจากบุญภพ พี่คนรองถึงสิบหกปี นอกจากบิดาตามใจทุกอย่างแล้ว พี่ทั้งสองก็ยังคอยประคบประหงม

                บัวเรียวส่งดาวเหนือเข้านอนเสร็จก็เดินออกจากห้องและตะโกนไปยังห้องบิดา

“ข้ากลับก่อนนะ พ่อก็นอนเสีย ไม่ต้องคิดมาก”

ไม่มีเสียงตอบรับ แต่เธอไม่ใส่ใจ เพราะรู้ดีว่าบุญคงเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แสงหล้าหนีไปนั่นแหละ

บัวเรียวไม่ได้โกรธสิ่งที่น้องสาวทำ แต่แค่ไม่เข้าใจ เพราะตั้งแต่แม่จากไป แสงหล้าเป็นดั่งศูนย์รวมความรักของทุกคน เธอเป็นเด็กน่ารัก ช่างฉอเลาะ ทุกคนตามใจ แสงหล้าอยากได้อะไรทุกคนก็หามาให้ ครั้นอายุย่างเข้าสิบหก แสงหล้าก็ดันไปหลงรักพรเทพ หนุ่มหล่อท้ายหมู่บ้าน เลยเถิดจนถึงขั้นผิดผี แม้ตอนนั้นบุญคงจะโกรธ แต่ยังใจอ่อนยอมจัดงานแต่งให้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายมีฐานะยากจน

‘จะทำยังไงได้ล่ะ น้องมึงรักเขาไปแล้ว แต่งงานไปก็ยังดีกว่าไปเป็นขี้ปากคนอื่น’ บิดาให้เหตุผลในการจัดงานครั้งนั้น แถมยังปลูกบ้านหลังเล็กๆ ให้ทั้งสองอยู่ท้ายสวน

พรเทพไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็เป็นคนขยัน หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลืองานในไร่นาของบุญคงได้ดีไม่น้อย อยู่กินไม่นานแสงหล้ากับพรเทพก็มีลูกสาวคนแรกออกมาให้เชยชม นั่นคือดาวเหนือ ถัดจากนั้นมาก็มีลูกชายและลูกสาวคลอดคลานตามกันมา นั่นคือ ‘วินัย’ และ ‘เดือนเด่น’

ทุกอย่างเหมือนจะดี กระทั่งไม่รู้ว่าผีป่าอะไรเข้าสิง ดลใจให้แสงหล้าทิ้งลูกทิ้งผัวหนีไปกับชายอื่นในวันที่เดือนเด่นอายุได้เพียงสามขวบ

นี่กระมังที่ทำให้บิดาของเธอเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม 

 

สายตาจดจ้องอยู่กับหน้าจอหนัง แต่ใจของหญิงสาวกลับนึกถึงแต่คำพูดของสมบัติ เรื่องที่เขาได้เจอพรเทพเมื่อตอนกลางวัน

‘ป่านนี้พี่พรเทพจะเป็นยังไงบ้างหนอ สงสารเหลือเกิน อุตส่าห์ออกเรือนมีครอบครัว แต่ทุกอย่างกลับพังทลายเพราะความไม่รู้จักพอของอีแสงหล้า’

ความจริงบุญคงก็พูดไม่ผิด...อีดาหวันคนนี้สมควรโกรธอีแสงหล้ามากกว่าใคร เพราะมันไม่ใช่หรือที่เคยฉีกอกเธอให้แหลกด้วยการแย่งคนรักเธอไป ทั้งๆ ที่เธอและพรเทพยังรักกัน

ดาหวันกับแสงหล้าอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง อายุเท่ากัน เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พอเริ่มแตกเนื้อสาว ทั้งคู่ก็กลายเป็นสาวสวยประจำหมู่บ้าน แสงหล้าตาหวาน ผิวเนียนสีน้ำผึ้ง ขณะที่ดาหวันตาเรียวเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวผุดผ่อง สวยคนละแบบ แต่ก็น่าพิศชวนมองทั้งสองนาง

แสงหล้าเป็นลูกคนพอมีอันจะกิน ผิดกับดาหวันที่อยู่กับแม่ที่ยากจน ทำให้ขาดโอกาสหลายอย่าง เรียนหนังสือถึงแค่ ป. สอง ต้องออกมารับจ้างทำงาน ขณะที่แสงหล้าเรียนจบถึง ป. สี่ ทำงานแค่ในบ้าน เพราะบุญคงและพี่ๆ นั้นรักและตามใจ

บางครั้งดาหวันน้อยใจในวาสนา แต่ก็ไม่เคยนึกริษยา เธอยินดีทุกครั้งที่เห็นแสงหล้าได้ดี อีกอย่างสาวน้อยคิดว่า แม้เธอจะไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่กำลังใจจากใครคนหนึ่งก็มากเกินกว่าแก้วแหวนเงินทองไหนๆ

กำลังใจจากพี่พรเทพ...

เขาอายุแก่กว่าเธอหนึ่งปี เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก พรเทพอยู่กับพ่อแม่ที่ท้ายหมู่บ้าน เขามักจะจูงควายมากินน้ำที่คลองหน้าบ้านทุกเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ดาหวันมักไปนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น

เมื่อก่อนพรเทพมักจะแวะเวียนมาเล่นด้วยกันกับพวกเธอ แต่ในวันที่ร่างกายเริ่มแตกสาว ดาหวันรู้สึกว่าสายตาที่เขาจ้องมาช่างคมยิ่งกว่าเคียวเกี่ยวข้าวในนา 

พรเทพเป็นคนตัวสูง ผิวคล้ำจากการทำงานหนัก เขาเป็นคนซื่อ พูดน้อย ยามได้สบตากันครั้งใด ชายหนุ่มมักจะอมยิ้มเหมือนมีความลับอยู่ในใจ

‘ยิ้มอะไร’ เธอเคยถามตอนที่เขาอยู่อีกฝั่งคลอง

‘เห็นคนสวยก็ต้องยิ้มเป็นธรรมดา’ นั่นคือวาจาที่ส่งสัญญาณว่าเขาก็สนใจในตัวเธอ

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ความรักก่อตัวขึ้นเงียบๆ ดาหวันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอหน้าเขา แม้จะยังไม่มีการเอื้อนเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ออกมา แต่ดาหวันก็รู้ทุกการแสดงออกของเขา มีความรักที่พร้อมจะทะลักออกมาจนเธอสัมผัสได้

บรรยากาศของหนังขายยาคืนนี้ทำให้นึกถึงงานปอยหลวงเมื่อหลายปีก่อน เธอและเขาได้เที่ยวงานวัดด้วยกัน ดาหวันแต่งตัวสวยด้วยเสื้อลายลูกไม้เช่นสาวน้อยแรกแย้ม พรเทพสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนเหมือนพระเอกหนัง เขาชวนเธอเข้าไปไหว้พระในวิหารหลังใหม่ ต่อหน้าพระประธาน หนุ่มสาวนั่งเคียงข้างกัน จุดเทียนและอธิษฐานขอพร

‘ดาหวัน น้องอธิษฐานว่าอะไรจ๊ะ’ เขากระซิบถามหลังจากไหว้พระเสร็จ

‘ข้าขอให้ข้าและพี่พรเทพมีความสุข’ เธอเอียงอาย แกล้งจับปอยผมมาทัดหู ‘แล้วพี่พรเทพล่ะ’

‘พี่เหรอ’ เขาทิ้งจังหวะ ก่อนจะมองเจ้าเล่ห์ ยิ่งทำให้หญิงสาวอยากรู้ ‘พี่ไม่ได้อธิษฐาน แต่พี่สาบาน’

‘สาบานอะไร’

‘สาบานว่าถ้าพี่ได้รักใคร พี่จะทำทุกทางให้เขามีความสุขตลอดไป’

หัวใจดาหวันสั่นยิ่งกว่ากลองเพล ‘คนนั้นคือใครเหรอจ๊ะ’

‘จะมีใครอีกเล่า พี่ก็รักแต่ดาหวันคนเดียวเท่านั้น’

คำว่ารัก อักษราค่ายิ่งใหญ่ที่สาบานไว้ต่อหน้าพระประธาน ดาหวันไม่เคยลืม เธอนับวันรอหวังให้ปาฏิหาริย์ดลบันดาลให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา งานปอยหลวงคืนนั้นช่างสุขใจ เดินไปไหนคนบ้านสันทรายก็แซวว่าสองคนช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน

ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยแสดงผล คงมีแต่ตัณหาของชายหญิงเท่านั้นที่มีจริง ใครจะรู้ว่าขณะที่เธอกำลังบ่มเพาะความรักกับพรเทพ แสงหล้าเองก็หลงรักชายหนุ่มด้วยเหมือนกัน

 

หนังจบแล้ว คนดูต่างลุกขึ้นม้วนเสื่อกลับบ้าน สมบัติชวนเธอซ้อนท้ายจักรยานคันเก่า ดาหวันไม่ปฏิเสธ เพราะเธอรู้สึกกับเขาเหมือนเพื่อนชายคนหนึ่งที่คอยดูแลเธอเสมอ ดาหวันไว้ใจ แต่ยังไม่ให้ใจ

คนทั้งหมู่บ้านเองก็รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นคิดอะไรกับเธอ สมบัติ หนุ่มตัวใหญ่ ใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย แต่ยามใดที่ได้เจอดาหวัน เหล็กกล้าอย่างเขาก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เขาแสดงออกว่าชอบดาหวันมาแต่ไหนแต่ไร แม้หญิงสาวยังไม่ยอมปลงใจ ชายหนุ่มก็ไม่เคยท้อ ยังเทียวหา ดูแลอย่างเสมอต้นเสมอปลาย 

“ดาหวัน ทำไมสูถึงเงียบไป หรือว่ายังโกรธที่ข้าพูดมาก” สมบัติถามขณะปั่นรถจักรยานไปตามทาง

“ข้าไม่ได้โกรธ เพียงแต่ว่า...กำลังนึกถึงงานปอยหลวงเมื่อหลายปีก่อน”

“ตอนนั้นข้ายังบวชเรียนอยู่วัดในเวียง ยังไม่ได้ออกมาพบทางโลก” สมบัติบวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะสึกมาตอนอายุได้ยี่สิบ บางคนก็เรียกเขาว่า ‘น้อยสมบัติ’ เช่นคนที่บวชเป็นพระมา

“สูน่าจะหาเมียได้แล้วนะ” คำพูดของเธอทำเอาสมบัติสะดุ้งโหยง

“ข้าก็รอสูอยู่นี่ไง” เขายิ้มหวาน 

สมบัติเองไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ ขยันทำงาน แต่ติดตรงที่ยากจนและยังชอบเจ้าชู้ไปทั่ว ชอบทำผู้หญิงหัวบ้านท้ายบ้านอกหักเป็นแถว

“ข้ามันแก่ลงไปทุกวัน สูควรไปสนใจสาวน้อยดีกว่า”

“สูยังไม่แก่เสียหน่อย”

“เป็นผู้หญิง อายุเลยยี่สิบก็ไม่มีใครเอาแล้ว” ดาหวันเอ่ยตามจริง ไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเวลากับคนอย่างเธอ

“ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เรื่องหัวใจข้าบังคับใครไม่ได้ คงได้แต่หวังว่าสักวันสูจะลืมพี่พรเทพแล้วหันมามองข้าบ้าง” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้หวานแต่ฟังหนักแน่น

ดาหวันทำได้เพียงยิ้มรับ ถ้าบังคับหัวใจกันได้ง่ายๆ เธอคงรักสมบัติไปนานแล้ว ทว่าหัวใจก้อนนี้มันเกเร เจ็บไม่เคยจำเลยสักครั้ง

หลังจากรู้ว่าพรเทพต้องแต่งงานกับแสงหล้า ดาหวันซึ่งหัวใจสลายก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมกินข้าวกินปลา รู้ซึ้งถึงความเจ็บในใจเหมือนจะตายเป็นความจริง ยามตื่นก็เหมือนมีไฟร้อนแผดเผา ยามนอนเศร้าก็ราวกับนอนทับเข็มนับพันเล่ม

หากแต่เวลาและคำสอนของแม่เท่านั้นที่เป็นดั่งแสงสว่างให้ดาหวันหลุดพ้น มารดาเตือนสติว่าคนเรา หากจะได้เป็นคู่ชีวิต ต้องเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน

บุญของดาหวันกับพรเทพอาจเพียงแค่ให้ได้รักกัน แต่ไร้ซึ่งวาสนาที่จะได้อยู่เคียงกัน...

เมื่อห่างจากวัด คนก็เริ่มแยกย้ายกลับเข้าบ้านจนเหลือแค่หนุ่มสาวสองต่อสอง

ดวงจันทร์ข้างแรมโผล่ออกมาจากเมฆ ส่องแสงแจ่มฟ้า ทาบทาให้รอบตัวเป็นสีขาวโพลนโดยไม่ต้องเปิดไฟฉาย หนุ่มกล้ามโตยังร้องเพลงลูกทุ่งไปตลอดทาง รถถีบคันเก่าแล่นฉิวไปตามถนน บ้านดาหวันอยู่ริมน้ำเหมืองหรือคลองของหมู่บ้าน เป็นกระท่อมหลังเล็ก อยู่ลำพังสองแม่ลูก

“แล้วแม่สูอาการดีขึ้นหรือยัง” สมบัติเปลี่ยนมาถามถึงญาติคนเดียวของดาหวัน

“เหมือนเดิม พอหกล้มในนาครั้งนั้นก็เจ็บป่วย ลุกไปไหนไม่ได้” 

ดาหวันถอนหายใจ ตั้งแต่จำความได้ แม่ของเธอก็มักเจ็บป่วยเสมอ แต่คราวนี้หนักหน่อย เพราะสามเดือนก่อนหน้ามืดหกล้มกลางทุ่งนา แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ ‘ทองใบ’ ก็เอาแต่นอนซม ลุกไปไหนไม่ได้ กินอะไรไม่ค่อยลงมาหลายเดือนแล้ว

“ให้แกกินข้าวนักๆ คนเฒ่ากระดูกคงไม่แข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกนะ” ชายหนุ่มเอ่ย เมื่อมาถึงบ้านของหญิงสาว เขาก็ลงมาส่งเธอที่ประตูรั้ว

“ขอบคุณนะที่มาส่ง” ดาหวันตอบ สายตาแอบชำเลืองไปยังบ้านข้างๆ ที่มืดมิด บุญคงและหลานสาวคงนอนหลับไปแล้ว

พลันหูก็ได้ยินเสียงกุกกักมาจากในบ้าน ดาหวันหันขวับ แต่ที่ไวกว่าคือสมบัติที่รีบดันเธอมาอยู่ด้านหลังตนพร้อมกับเงี่ยหูฟัง 

กึก...กึก...เสียงประหลาดดังมาจากใต้ถุนบ้านของดาหวัน

“ได้ยินเหมือนกันหรือเปล่า” เธอกระซิบถาม แต่ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาจุปาก หยิบไฟฉายไว้กับตัว

ดาหวันใจสั่น เริ่มคิดมาก หรือจะเป็นขโมย วันก่อนได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดกลางตลาดว่ามีโจรปล้นควายชาวบ้านแถวบ้านศรีดงเย็น ไม่คิดว่าจะมาถึงบ้านสันทรายได้เร็วขนาดนี้

‘แต่ถึงมา โจรมันจะมาปล้นอะไรที่บ้านกู ควายสักตัวก็ไม่มี เงินทองบนเรือนก็ไม่มีให้เห็น’

ขณะที่คิดฟุ้งซ่าน สมบัติก็พาเธอย่องเข้ามาในเขตบ้าน เสียงแปลกๆ ดังอีกครั้ง

กึกๆ

ดาหวันเหงื่อตก พยายามหายใจให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าโจรร้ายอาจได้ยิน ยังอุ่นใจหน่อยที่มือของสมบัติยังจับเธอไว้แน่น

แสงจันทร์ขาวนวล อาบทาให้ทุกอย่างเป็นสีหม่นวังเวง ทันใดนั้นทั้งคู่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างกำลังคลานออกมาจากใต้ถุนบ้าน

“กะต๊าก!” 

เสียงไก่ร้องดังก่อนจะเงียบเสียง สมบัติจึงตัดสินใจสาดไฟฉายเข้าไป ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่

หญิงชราคลานไปมาบนพื้น นางสะดุ้งที่เห็นแสงไฟ ทว่าปากยังไม่หยุดเคี้ยว เลือดเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้าและเสื้อผ้า ในมือมีซากไก่ที่หัวขาด!

ดาหวันเบิกตาโพลง

“แม่...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น