2

คนต้นเรื่อง

บทที่ ๒

คนต้นเรื่อง

 

แสงของวันใหม่ลอดเข้ามาทางช่องฝาบ้านที่ผุพัง 

ทองใบค่อยๆ ลืมตาตื่น เพราะฝูงนกกระจอกที่เกาะเหนือต้นมะม่วงใหญ่ส่งเสียงจอแจ ฟังแล้วดูเพลิน แต่สำหรับคนป่วยขี้โรคกลับรู้สึกหงุดหงิดมากกว่า

“อีดาหวัน” เรียกหาลูกสาวด้วยเสียงแหบๆ เพื่อให้รู้ว่าตื่นแล้ว แต่ไร้เสียงตอบรับ บางทีดาหวันอาจกำลังหุงหาอาหารอยู่ในครัว 

หญิงชราพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก ขยับตัวทีก็ร้องโอดโอย ใกล้จะออกพรรษาแล้ว แต่ฝนยังไม่ทิ้งช่วง ทำให้อากาศเย็นจนตัวสั่น หากเข้าสู่หน้าหนาวเมื่อไรคงได้หาเสื้อหนาๆ มาใส่เพื่อไม่ให้ป่วยไข้ไปกว่านี้ 

ทองใบคลานเข่ามาขัดสมาธิที่คันฉ่อง ในห้องสลัว เงากระจกสะท้อนภาพสตรีวัยสี่สิบห้าที่บัดนี้ดูเหมือนหญิงชราวัยหกสิบกว่า ผมขาวโพลน ดวงตาลึกโหล ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ตัวซีดอย่างไก่ต้มไหว้ผี ผอมกะหร่องไม่ต่างจากโครงกระดูกเดินได้ 

เห็นกายหยาบของตน ทองใบก็ได้แต่ปลง หลังจากหน้ามืดเป็นลมที่ทุ่งนาเมื่อสามเดือนก่อน เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หดหาย ยิ่งนานวันก็ยิ่งเป็นหนัก ถึงขั้นเดินไม่ได้เหมือนเก่า ลองให้ดาหวันไปไหว้ขอสูมาผีปู่ผีย่า ถามผีหม้อนึ่ง ผีท่านก็บอกว่าถูกของดีทัก ต้องทำพิธีถวายสะตวงเครื่องเซ่น เธอก็ทำทุกอย่าง แต่อาการกลับไม่ดีขึ้น

คงจะเป็นกรรมเป็นเวรที่ทำให้สังขารตัวเองเสื่อมโทรมได้เร็วเช่นนี้ อยากตายไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยังคิดหนักว่าหากตายไปแล้วลูกสาวคนเดียวจะอยู่กับใคร 

ทองใบกระเถิบตัวมาเปิดหน้าต่าง หวังให้ความสดชื่นยามเช้าปลุกชีวิตให้มีกำลังวังชา แสงแห่งอรุณรุ่งหอบเอาลมเย็นล้วงเข้ามาในห้อง ไล่ต้อนความมืดอับให้หายไป ที่นอนของดาหวันถูกพับเก็บเรียบร้อย แต่ทองใบต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตนไม่ได้ใส่เสื้อตัวเดิมเหมือนเมื่อตอนเข้านอน

เมื่อคืนยังจำได้...ก่อนที่ดาหวันจะออกไปดูหนังกลางแปลง เธอสวมเสื้อคอกระเช้าสีขาวและผ้าซิ่นคาดก่าน เช้านี้มันถูกเปลี่ยนเป็นอีกชุด

‘เกิดอะไรขึ้นกับกู!’

นางขี้โรคขยับตัว คลานไปที่ตะกร้าใส่ผ้าที่รอซัก รื้อค้นก็ไม่เจอเสื้อที่ใส่เมื่อวาน 

หรือจะฝันไป โรคภัยที่รุมเร้าอาจทำให้จำไม่ได้ว่าใส่เสื้อตัวไหน ขนาดวันนี้เป็นวันอะไรยังลืม

ทองใบถอนหายใจ บังเอิญสายตาเหลือบไปยังตู้เสื้อผ้าที่ปิดไม่สนิท สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ขยับตัวไปหา

เสียงตู้ไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกเปิดออก ข้างในมีเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ได้ใช้ เห็นดาหวันตั้งใจว่าจะเก็บไปแลกไข่กับพ่อค้าเจ๊ก ส่วนบางตัวที่ยังใหม่จะเอาไปให้เด็กๆ ใกล้บ้าน และแล้วหญิงชราก็เหลือบไปเห็นกองผ้ายัดอยู่ด้านในสุดของตู้

มือเหี่ยวๆ ลองเอื้อมจับมาคลี่ดู ทองใบก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ผ้านั้นมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ ที่สำคัญ มันคือเสื้อคอกระเช้าสีขาวของตัวเอง!

 

ดาหวันถือตะกร้าเดินเลือกซื้อของในตลาด แม่ค้าและลูกค้าส่วนใหญ่ต่างจับกลุ่มพูดคุยเรื่องหนังที่มาฉายเมื่อคืน หญิงสาวเลี่ยงที่จะผ่านตรงที่คนเยอะ ก้มหน้าเลือกซื้อแต่ของที่ต้องการ แต่ก็ไม่วายยังมีคนทัก

“อีดาหวัน” เสียงเรียกดังขณะที่เธอกำลังจะหยิบถุงกะปิ 

“จะซื้อกะปิไปตำน้ำพริก” เธอรีบตอบ แม้อีกฝ่ายยังไม่ได้ถามอะไร แตงสา แม่ค้ายิ้มระรื่นชวนคุยต่อ 

“มึงจะเหม่อไปไหน กูแค่จะถามว่าเมื่อคืนมึงได้ดูหนังตอนจบไหม เขาว่านางเอกเกือบตาย ดีนะที่พระเอกไปช่วยไว้ทัน เสียดายที่กูต้องรีบกลับ เพราะลูกกูมันดันหลับคาตักไปซะก่อน” 

“ใช่แล้ว” ดาหวันรีบส่งเงินให้แม่ค้า 

“เออนี่...ได้ยินว่าลุงบุญคงมันไปเฆี่ยนอีดาวถึงหน้าวัดและยังหาเรื่องมึงด้วยเหรอ” แตงสาจีบปากจีบคอถามตามประสาคนช่างจ้อ

“ช่างมันเถอะ ข้าไม่ถือ”

“ปูเฒ่าบุญคงโกรธลูกสาวแล้วพาลไปหมด” แตงสาส่ายหัว ก่อนจะหันไปถามลูกค้าว่าต้องการอะไรเพิ่มอีก เพราะเห็นดาหวันเอาแต่เงียบ ไม่ยอมคุยต่อเหมือนทุกครั้ง

“ไม่...เอาแล้วเจ้า” ดาหวันส่งยิ้มและเดินหลบมาเสีย 

โล่งใจที่ตลาดยามเช้าส่วนใหญ่คุยแต่เรื่องหนังขายยาและชายแก่บุญคง แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องแม่เธอที่คาบไก่ใต้ถุนบ้านมากินสดๆ 

หวังว่าคงไม่มีใครรู้ เพราะเรื่องนี้แหละจึงทำให้เธอนอนไม่หลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด มารดาขี้โรค เดินไปไหนไม่ได้ ออกจากห้องนอนยังลำบาก แต่เมื่อคืนกลับเห็นเต็มตาว่าคลานอยู่ใต้ถุน แถมยังจับไก่ที่เลี้ยงไว้มากิน!

แต่พอเห็นแสงไฟฉาย ทองใบก็เป็นลมหมดสติ สมบัติจึงอุ้มขึ้นบ้าน ฝังซากไก่ และบอกให้ดาหวันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่เสีย

‘สมบัติ สูอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ’ 

ชายหนุ่มพยักหน้า บอกให้ดาหวันเข้านอนและปิดประตูให้มิดชิด 

เมื่อยังไม่มีใครรู้เรื่องแม่ ดาหวันซื้อของเสร็จก็รีบกลับบ้าน เดินออกมาจากตลาดก็พบชายหนุ่มกล้ามโตยืนรออยู่

“สมบัติ” เธอตกใจ ไม่นึกว่าจะเจอเขาที่นี่

“ข้ามาซื้อข้าวสาร” 

เธอพยักหน้า สมบัติจึงถามต่อ “แล้วป้าทองใบ...”

“ยังไม่ตื่น” ดาหวันรีบตอบ เพราะไม่อยากให้เขาพูดยาว

หนุ่มหน้าคมมีสีหน้าจริงจัง “ถ้าคนอื่นรู้เรื่องเมื่อคืน เขาจะว่าแม่สูมีพรายสิงอยู่”

คนฟังหัวใจหล่นไปที่ตาตุ่ม เรื่องที่เธอไม่อยากพูดถึง แต่เขากลับเอ่ยออกมา ดาหวันรีบเข้าไปประชิดตัว

“ปากหมา แม่ข้าแค่นอนละเมอ” เธอชักสีหน้า

“ดาหวัน จะเป็นโรคหรือจะเป็นผี เราควรหาวิธีรักษา”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” เธอเดินหนี ชายหนุ่มรีบตาม

“อ้อ! และถ้าสูไปเล่าให้ใครฟัง อีดาหวันคนนี้แหละจะเป็นผีไปบีบคอสู” ดาหวันหันมาชี้หน้าก่อนจะเดินกลับ ขณะที่ชายหนุ่มมองตามด้วยความเป็นห่วง 

‘ดาหวันเอ๋ย ทำไมข้าจะไม่รู้ สูก็คิดเหมือนข้านั่นแล’

 

สาวสวยเร่งฝีเท้าให้ถึงบ้านเร็วขึ้น นึกหวั่นใจกับคำพูดของชายหนุ่ม

‘หรือจะมีผีพรายสิงร่างแม่กูจริงๆ’

เคยได้ยินมาตั้งแต่ยามเล็ก ผีพรายจะเข้าสิงร่างคนที่มีจิตอ่อน เช่น คนป่วยที่ลุกไปไหนไม่ได้ ซึ่งหากผีมันสิงร่างก็จะทำให้เปลี่ยนไปเป็นอีกคน

กลางวันนอนซม ตาฝ้าฟาง ไม่สู้แสง กินอะไรไม่ได้ แต่พอกลางคืนกลับตาใส ร้องหิวอยากกินไปเสียหมดทุกอย่าง ว่ากันว่าเจ้าของร่างตัวจริงอาจจะตายไปแล้ว ที่เห็นอยู่คือพรายที่อดอยากปากแห้ง!

ไม่...แม่เธอแค่นอนซมไปไหนไม่ได้ พูดจาก็ยังเป็นภาษาคน แต่ที่แปลก...ก็คงเรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ ที่อยู่ดีๆ แม่กลับลุกขึ้นมากินไก่ดิบใต้ถุนบ้าน

เห็นทีต้องไปทำบุญให้แม่เสียหน่อยแล้ว

 

บุญคงเดินลงมาจากเรือนแล้วยืนบิดขี้เกียจไล่เลือดลม หนวดเคราที่รกครึ้มทำให้เขาดูหน้าตาเคร่งขรึม แม้อายุจะปาเข้าเลขหก มีผมสีขาวเกือบค่อนหัวแล้ว แต่เขาก็ยังแข็งแรงไม่แพ้หนุ่มรุ่นกระทง

ชายชราเดินมาที่โอ่งน้ำข้างๆ โรงครัว หยิบขันมาตักน้ำล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วจึงตะโกนถามหลานสาวที่กำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตา

“อีดาว นึ่งข้าวเสร็จหรือยัง พระจะมาแล้วนะ” อีกกิจวัตรในยามเช้าของเขาคือการใส่บาตรทำบุญ

หลังจากพรเทพและแสงหล้าแยกทางกันไป ดาวเหนือและเดือนเด่นก็ย้ายมาอยู่กับเขา คอยทำงานบ้านทุกอย่าง ส่วนวินัยหลานชายอีกคนก็พาไปฝากกับหลวงปู่ที่วัด หวังให้ได้บวชเรียน อย่างน้อยก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองข้าวสุก

ดาวเหนือนำกล่องข้าวเหนียวและไข่ต้มออกมาส่งให้ผู้เป็นตา บุญคงรับไว้แล้วเดินไปหน้าบ้าน รอพระมาบิณฑบาตในเช้าวันใหม่

“อีเดือนล่ะ” ชายชราหันมาถามหาหลานสาวอีกคน

“ยังไม่ตื่นเจ้า”

“ไปเรียกให้มันตื่น ก่อนที่กูจะตามไปเฆี่ยนถึงในห้อง”

คำสั่งนั้นทำให้ดาวเหนือต้องรีบเดินขึ้นเรือนไปปลุกเดือนเด่นที่ยังนอนฝันหวาน

“อีเดือน ตื่นได้แล้ว” น้องสาวของเธอเป็นคนขี้เซา ปลุกยาก “ถ้ามึงไม่ตื่น ตาจะเข้ามาเฆี่ยนมึงถึงในห้องนะ”

ดาวเหนือเขย่าร่างเล็ก และต้องตกใจเมื่อพบว่าฟูกนอนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ

“อีเดือนตื่นเดี๋ยวนี้ มึงฉี่รดที่นอน!”

ดาวเหนือออกแรงเรียกอีกหลายทีจนคนขี้เซาลืมตา เมื่อรู้ตัวเดือนเด่นก็ดีดตัวลุกขึ้น หน้าซีดเผือด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอนอนหลับเพลินจนเผลอปัสสาวะรดที่นอน

“ทำไงดี พี่ดาว” เดือนเด่นตัวสั่น ครั้งก่อนเธอโดนบุญคงฟาดด้วยด้ามไม้กวาดจนนอนซมจับไข้เป็นสัปดาห์

“ลุกออกจากห้องไปก่อน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าตาออกไปทำงาน ค่อยเอาที่นอนออกไปตาก” ดาวเหนือวางแผน เดือนเด่นจะร้องไห้ พี่สาวก็ยกมือขึ้นมาจุปาก

“อย่าร้อง เดี๋ยวตาได้ยิน”

“กูได้ยินหมดแล้ว” 

เสียงแข็งดังมาจากด้านหลัง ดาวเหนือและเดือนเด่นเบิกตาโพลง เพราะผู้เป็นตายืนอยู่ในห้องแล้ว

“อย่าคิดจะมาวอกกู” ร่างใหญ่เดินเข้ามา จ้องหน้าเดือนเด่นที่ตัวสั่นราวกับลูกนกตกน้ำ

“กูเคยบอกแล้วนะว่าห้ามฉี่ใส่ที่นอน”

“ขะ...ข้าไม่รู้ตัวว่าฉี่ตอนไหน” เดือนเด่นพูดตะกุกตะกัก

ไม่รอช้า ชายชราปรี่เข้าหา เหวี่ยงฝ่ามือตบใบหน้าคนต้นเหตุจนล้มคว่ำ

เดือนเด่นกรีดร้อง น้ำตาไหลพราก หวาดกลัวสุดหัวใจ บุญคงกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย ยื่นมือไปจิกผมของหลานสาวและกดหน้าเด็กน้อยลงไปที่คราบปัสสาวะบนที่นอน

“ข้ากลัวแล้ว ข้าขอโทษ” เธอร้องขอด้วยเสียงอู้อี้ แต่ชายแก่กลับกดหัวแน่นกว่าเดิมจนเดือนเด่นหายใจไม่ออก

“เยี่ยวมึง มึงก็ดมซะ อีเด็กสกปรก”

“ตา อีเดือนมันหายใจไม่ออก” ดาวเหนือเขย่าแขนร้องขอ แต่กลับโดนชายแก่เหวี่ยงหลังมือใส่เต็มหน้า

“มึงก็อีกคน ดูแลน้องยังไง ปล่อยให้มันเยี่ยวใส่ที่นอน”

บุญคงไม่สนเสียงร้องไห้ของหลานสาว อะไรที่ทั้งคู่ทำแล้วไม่ถูกใจเขา นั่นย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขาอุ้มเดือนเด่นลงจากเรือนตรงไปที่ลำคลอง

“ตา อย่า!” ดาวเหนือวิ่งตาม รู้ดีว่าบุญคงกำลังจะทำอะไร

“มึงไม่เคยหลาบจำเลยนะอีเดือน”

“ข้ากลัวแล้ว ปล่อยข้าเถอะ” เดือนเด่นร้องลั่น พยายามดิ้นหนี ฝ่ายดาวเหนือก็กอดขาผู้เป็นตาให้ปล่อยน้องสาว

“ปล่อยกู อีดาว!” ชายชราขบกรามด้วยความรำคาญ ก่อนจะยกเท้าอีกข้างถีบใส่ดาวเหนือจนล้ม

“ตา อย่า!” ดาวเหนือปาดดินที่เปื้อนหน้า แต่ชายแก่ไม่สน ถึงริมฝั่งก็โยนร่างเล็กลงไปในคลอง

บุ๋ม! 

น้ำลึกแค่เอวผู้ใหญ่ แต่ก็พอทำให้เด็กหญิงวัยสี่ขวบผลุบๆ โผล่ๆ พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือน้ำ 

“อีเดือน!” ดาวเหนือรีบลุกขึ้น วิ่งลงน้ำทันที

“มึงจำใส่หัวไว้นะ อีเดือน ถ้ายังฉี่รดที่นอนอีก กูก็จะจับมึงโยนลงน้ำอีก” บุญคงกอดอกมองดูหลานสาวดิ้นรนอยู่กลางคลอง

ดาวเหนือเข้าไปช่วยน้องสาว แต่กว่าจะพาขึ้นมาบนฝั่งได้ก็กลืนน้ำไปหลายอึก ระหว่างนั้นชายคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าบ้านพอดี เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ รีบวิ่งเข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสอง

“อีดาว อีเดือน”

แม้จะยังสำลักไม่หยุด แต่เมื่อได้เห็นหน้าผู้มาเยือน ดาวเหนือและเดือนเด่นก็ดีใจจนรีบเข้าโผกอด 

“พ่อ”

แววตาของบุญคงที่เคยสะใจแปรเปลี่ยนเป็นความเคืองขุ่น

“มันเกิดอะไรขึ้น” เขาถามลูกสาวพร้อมกับเงยหน้ามองอดีตพ่อตา

เด็กน้อยในอ้อมกอดบิดาไม่ยอมปริปาก เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว

“ทำเกินไปหรือเปล่า พ่อคง” พรเทพเดาตามรูปการณ์

“เด็กมันไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน กูก็ต้องคอยดัดนิสัยเป็นธรรมดา” บุญคงพูดสีหน้าเรียบเฉย

“แต่ถึงขั้นจับโยนลงน้ำ มันเกินไปนะพ่อ” ยิ่งเห็นหน้าลูก พรเทพก็ยิ่งสงสาร

“ถ้าคิดว่ากูทำเกินไป มึงก็รับเอามันไปเลี้ยงเสียสิ”

เจอย้อนไม้นี้ ก็ทำให้พรเทพต้องอ่อนลง “พ่อก็รู้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่พร้อม แค่ตัวคนเดียวยังเอาตัวไม่รอด”

“หึ” ชายแก่ยกมุมปากจนหนวดกระดิก “มึงมันคนไม่ได้เรื่อง น่าสมเพชสิ้นดี”

“ข้าขอเถอะพ่อ ถ้าข้าตั้งตัวได้ ข้าจะมารับลูกไปอยู่ด้วยแน่ๆ”

บุญคงรู้สึกชนะทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบ จึงเดินผิวปากขึ้นเรือน เตรียมตัวออกไปทำงานที่ทุ่งนา

“พ่อ เอาข้ากับอีเดือนไปอยู่ด้วยไม่ได้เหรอ” ดาวเหนืออ้อนวอนบิดา

“ข้าอยากไปอยู่กับพ่อ” เดือนเด่นเอ่ยบ้าง

“ลูกเอ๋ย...ใช่ว่าพ่อไม่อยากเอาลูกมาอยู่ด้วย แต่พ่อจะเอาปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงสู” พรเทพพูดตามจริง ทุกวันนี้จะกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ตัวเองยังไม่กล้า เพราะมีภาระอีกมากมายที่พ่อแม่ของตนต้องดูแล หากเอาลูกไปอยู่ด้วยก็ยิ่งลำบากไปกันใหญ่

หลังจากเมียแต่งทำงามหน้า หนีตามผัวใหม่ พรเทพก็ไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านอีก ทนไม่ไหวที่ถูกมองว่าเป็นไอ้โง่ถูกเมียสวมเขา จึงฝากลูกไว้กับพ่อตา ส่วนเขาก็เข้าไปหางานทำในเวียง จนได้รู้จักเถ้าแก่โรงสีข้าวที่แม่สาว ซึ่งอยู่ห่างตัวอำเภอฝางไปอีกหลายกิโลเมตร ได้พี่พักฟรีมีข้าวกินก็พอประทัง แต่จะให้มารับลูกสาวไปอยู่ด้วยก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี

“ทนเอาหน่อยนะ ตาคงเป็นคนปากร้าย แต่อยู่ที่นี่สูไม่มีทางอดตาย” มือหยาบของผู้เป็นพ่อลูบผมของลูกสาวทั้งสอง

“อีดาว พ่อตั้งชื่อให้สูว่าดาวเหนือ ให้สูเป็นดั่งดาวนำทางให้น้อง” 

เด็กหญิงดาวเหนือมองพ่อตาแป๋ว 

“ส่วนอีเดือน พ่อให้สูงดงาม ใจเย็นเหมือนดวงจันทร์บนฟ้า รอเวลานะลูก อดทนกันไปก่อน”

“ข้าคิดถึงพ่อ” ลูกสาวคนเล็กกอดพ่อไว้แน่น

“พ่อจะมาเยี่ยมบ่อยๆ อ้อ นี่พ่อซื้อซาลาเปาจากในเวียงมาฝากด้วย” พรเทพชูถุงซาลาเปา เด็กน้อยทั้งสองจึงยิ้มออกมาได้

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วมากินกัน” บิดาเอ่ย

“พี่พรเทพ” เสียงหนึ่งตะโกนทักมาจากอีกฝั่งคลอง พรเทพหันไปมองก็พบหญิงสาวยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงนั้น

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี รอยยิ้มนี้ก็คุ้นเคยเสมอ

“ดาหวัน”

 

บุญคงแต่งตัวและนำเกวียนออกจากบ้านไปแล้ว เขาไม่หันกลับมามองอดีตลูกเขยและหลานสาวทั้งสองด้วยซ้ำว่าทำอะไรกันอยู่ 

จะกอดจะอ้อนหรือจะพากันกลับไปอยู่ที่ไหนก็เชิญ ออกจะยินดี หากที่เหลืออยู่จะได้ไม่ต้องมีรอยมลทินของพวกมันให้ปวดใจ

ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไย ดาวเหนือและเดือนเด่นค่อยๆ กัดกินซาลาเปาอย่างระวังเพราะกลัวมันจะหล่น การได้กินอย่างอื่นนอกเหนือจากข้าวสามมื้อย่อมหมายความว่าเป็นของพิเศษ

“อร่อยมากเลยพ่อ” เดือนเด่นยิ้มแก้มปริ

พรเทพลูบผมลูก ดีใจที่ของฝากช่วยปลอบขวัญให้ลูกสาวลืมเรื่องราวเลวร้ายในเช้านี้

“แล้วพี่พรเทพกินอะไรมาหรือยัง” ดาหวันซึ่งนั่งข้างๆ ถาม แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ พรเทพผอมและคล้ำลงกว่าเดิมนัก แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนที่เธอคิดถึงเพียงคนเดียว 

“กินซาลาเปามาแล้ว” เขาเอ่ย มองไปยังหญิงงาม “แต่พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้เอามาฝากสูกับแม่”

“ไม่เป็นไร เงินทองมันของหายาก พี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ห่วงแต่อีดาวกับอีเดือนเถอะ น่าสงสารมันที่โดนพ่อคงด่าตีเกือบทุกวัน” 

ดาหวันเล่าตามที่เห็น นึกไม่ถึงว่าหลังจากกลับตลาด ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พอทำอาหารให้แม่เสร็จเลยออกมาดู จึงได้พบกับคนที่เธอแสนคะนึงหา พรเทพบอกว่าวันนี้โรงสีหยุดงาน จึงยืมรถจักรยานคันเก่าของเจ้านายปั่นมาเยี่ยมลูก

“พี่อยากพาลูกไปอยู่ด้วยใจจะขาด ติดแต่ว่าพี่มันคนขี้ขลาดนัก หากเอาไปอยู่ด้วยก็คงจะอดตายกันหมด”

ดาหวันหันไปมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้เลือดครึ่งหนึ่งจะเป็นของแสงหล้า ผู้หญิงที่แย่งทุกอย่างของเธอไป แต่อีกครึ่งยังเป็นเลือดของพรเทพ ชายคนที่รักที่สุด

“คงต้องฝากให้ดาหวันคอยดูแลลูกพี่ด้วยนะ”

ตาโศกๆ ของเขาจับจ้องใบหน้า ทำให้เลือดลมของหญิงสาวหมุนเวียนจนแก้มเปล่งประกายเป็นสีชมพูระเรื่อ พรเทพผอมลงกว่าเดิม แต่ก็ยังเป็นคนหล่อของเธอเสมอ

“พี่ไม่ต้องห่วง อีดาวอีเดือนมันก็เหมือนลูกเหมือนหลาน”

พรเทพยิ้ม “ขอบคุณนะดาหวัน แม้ว่าพี่จะเป็นยังไง แต่สูยังเป็นน้องที่น่ารักของพี่เสมอ พี่หวังว่าวันไหนพี่พร้อม มีเงินมีทอง พี่จะกลับมาหาลูกและสูนะ”

หัวใจหวาม คำพูดนั้นเหมือนมีปราสาทหลังงามตั้งตรงหน้า โดยมีเขาเป็นเจ้าชายรูปงามรออยู่ 

‘พี่พรเทพยังไม่ลืมสัญญา สัญญาว่าจะรักและดูแลข้าไปตลอด เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่พร้อม และถ้าพร้อมเขาจะมารับลูกสาวและอีดาหวันคนนี้ไปอยู่ด้วย’ เธอรู้สึก

“ข้าจะเอาใจช่วยพี่” บอกเป็นนัยๆ ว่าเธอก็ไม่รังเกียจพ่อม่ายลูกติด บทสรุปนิยายรักของเธอและเขาที่ถูกแสงหล้าขโมยไปกำลังถูกนำกลับคืน

“แล้วงานของพี่ที่แม่สาวเป็นยังไงบ้าง” ความอายทำให้ต้องรีบเปลี่ยนมาถามเรื่องการงานที่ทำอยู่

“ทำงานในโรงสีข้าว เฮียแกใจดีกับพี่อยู่”

“งานบุญหอระฆัง พี่จะได้มาไหม” ดาหวันหมายถึงงานวัดฉลองหอระฆังที่จะจัดกันในอีกไม่กี่เดือน

“พี่อยากมาเหมือนกัน”

“มาเถอะพี่ อีดาวกับอีเดือนมันคงอยากเที่ยว ถ้าพี่ไม่มา พ่อคงก็ไม่ให้พวกมันไปไหน ขนาดเมื่อคืนอีดาวมันไปดูหนัง ยังโดนเฆี่ยนตั้งแต่หน้าวัดมาจนถึงบ้านเลย”

พรเทพมองหน้าลูกสาวคนโตแล้วก็นึกสังเวชใจ “พี่จะมาให้ได้ จะได้พาลูกและสูไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน” 

“จริงๆ นะ” ดาหวันยิ้มกว้าง หันไปพูดกับเด็กๆ “งานปอยหลวงพวกมึงจะได้เที่ยวงานแล้วนะ พ่อพรเทพจะพาไป”

เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ วิ่งเข้ามากอดบิดา แถมยังออดอ้อนว่าอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ ดาหวันอิ่มใจ แค่ได้เห็นพรเทพยิ้ม บนโลกใบนี้เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

นั่งคุยกันได้อีกสักพัก หนุ่มเมียทิ้งก็จำเป็นต้องเอ่ยลา 

“จะไปไหนต่อหรือพี่” เธอถาม

“พี่จะเข้าไปหาวินัยที่วัด” เขาพูดเสียงหาย น้อยใจในชะตาชีวิต พอเมียทิ้ง ตัวเองไปทาง ลูกทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ช่างน่าสมเพชนัก

ดาหวันพยักหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วงอีดาวและอีเดือนนะ ข้าจะคอยดูแลมันแทนพี่” 

พรเทพยิ้มอ่อน ก้มลงกอดและหอมแก้มลูกสาวทั้งสอง ส่งยิ้มบอกลาดาหวัน ก่อนจะปั่นรถถีบคันเก่าออกจากรั้วบ้านไป 

พอออกจากซอย กำลังจะข้ามถนนใหญ่ รถถีบคันเก่าของพรเทพก็สวนทางกับมอเตอร์ไซค์คันโก้ เขาเงยหน้ามองคนขับและคนซ้อน หัวใจเหมือนหล่นบนพื้นถนน โดยถูกล้อรถมอเตอร์ไซค์ทับให้แหลกอยู่ตรงนั้น

อีแสงหล้า...

สายตาเมียเก่าสบจังหวะประสานกันพอดี ไม่กี่วินาทีแต่รู้สึกว่ามันช่างยาวนาน หญิงสาวแกล้งเสไปมองถนน หลบหน้าอดีตสามีที่กำลังปั่นจักรยานคันเก่า พรเทพก็เช่นกัน เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

ไม่อยากจะทัก ไม่อยากจะหายใจร่วมโลกกับนางแพศยา

 

ดาหวันช่วยเด็กๆ ยกฟูกออกมาตากแดดและซักผ้าปูที่นอนริมคลอง เมื่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังหน้าบ้าน ทั้งสามก็หันไปมอง

“แม่” ดาวเหนือและเดือนเด่นร้องลั่นด้วยความดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหา

แสงหล้าลงจากรถ อ้าแขนกอดลูกสาวทั้งสอง ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งไปธุระต่อที่อื่นได้

“เป็นไงบ้าง อีดาว อีเดือน” เธอลูบผมเด็กน้อย

“ข้าคิดถึงแม่” ร่างเล็กแย่งกันพูดพร้อมกับจูงแขนมารดาเข้ามาในเขตบ้าน จนได้พบกับดาหวันซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นลำไย

“มาเยี่ยมลูกเหรอ” สาวข้างบ้านตั้งใจทักทาย

แสงหล้าพยักหน้า แต่สบตาดาหวันอย่างรู้ทัน

“แล้วสูมานั่งในบ้านนี้ได้ไง” พูดพร้อมกับส่งห่อขนมที่ซื้อมาฝากเด็กๆ ให้คนละถุง ดาวเหนือและเดือนเด่นดีใจ รีบแกะออกมากิน

“ข้าก็แวะมาดูเด็กๆ” ดาหวันตอบ

“มาดูเด็กๆ หรือว่ามาดูพ่อมัน” แสงหล้าเอ่ยเสียงเรียบจนดาหวันหน้าชา

แม้ว่าทั้งแสงหล้าและดาหวันจะเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เคยเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่พอโตเป็นสาวกลับไม่สนิทกัน ด้วยเพราะแสงหล้าเป็นคนที่ถือตนเหนือกว่าทุกอย่าง เธอสวย เธอรวยกว่าดาหวัน และมักจะขัดใจเวลาที่ใครมักจะชมอีกฝ่ายว่าสวยกว่า และยิ่งทนไม่ได้เมื่อรู้ว่าคนที่เธอหลงรักอย่างพรเทพดันไปชอบพอกับดาหวัน ไฟริษยาจึงก่อขึ้นเงียบๆ ไม่ร้อนแรง แต่ก็ไม่เคยดับ

“สูหมายความว่าไง” สาวข้างบ้านถามกลับ

“ข้าเห็นนะว่าเมื่อกี้พี่พรเทพเพิ่งปั่นจักรยานออกไป” 

ดาหวันพอจะเข้าใจสิ่งที่แสงหล้าเอ่ย “ใช่ พี่พรเทพมาหาลูก ข้าก็มาทักทายตามประสา”

“ประสาคนรักเก่าเหรอ” แสงหล้ายิ้มเยาะ

“ประสาคนข้างบ้านที่เวทนาเด็กไม่มีพ่อมีแม่” ดาหวันตอบ

“ไม่ต้องมาแกล้งเป็นคนดีหรอกดาหวัน ข้ารู้ว่าสูยังไม่ลืมพี่พรเทพ เลยอยากเป็นแม่ใหม่ให้อีดาวกับอีเดือน”

ดาหวันหน้าซีด “ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ดูหน้าก็รู้ แต่ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก อยากได้ก็เอาไปเลย คนอย่างพี่พรเทพน่าเบื่อจะตาย” แสงหล้ายักไหล่ก่อนจะหันไปมองรอบๆ 

หลายเดือนเหมือนกันที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ บ้านไม้สักของพ่อเธอยังเหมือนเดิม ส่วนกระท่อมหลังเล็กที่ปลายนาคงถูกปล่อยร้างผุพังไปแล้ว แม้ไม่อยากกลับมา แต่ในใจก็ยังนึกห่วงลูก เมื่อจำรัสผัวรักมีธุระที่สันทราย เธอจึงขอติดรถมาด้วย เลือกเอาเวลาสายๆ เพราะคิดว่าบุญคงน่าจะออกไปทำงานกลางทุ่งนาแล้ว 

“แล้วสูล่ะ ไปไหนมาเหรอ” ดาหวันถามบ้าง

“พี่จำรัสมาติดต่อซื้อควายที่แม่สูน บอกว่าถ้าได้กำไรงวดนี้จะซื้อทองให้ข้าใส่” น้ำเสียงโอ้อวดเมื่อกล่าวถึงสามีใหม่ที่มีดีกรีเป็นถึงพ่อค้าวัวควายผู้มั่งคั่งในตัวเมืองฝาง

“ถ้ารวยขนาดนั้น ทำไมไม่เอาลูกไปอยู่ด้วยล่ะ” ดาหวันเอ่ย แต่คนฟังรู้สึกเหมือนโดนประชดจนหันขวับมามอง

“เสือก! ลูกข้ามันจะอยู่ที่ไหนมันก็เรื่องของข้า”

“แล้วสูรู้หรือเปล่าว่าเด็กมันโดนพ่อคงตบตีเกือบทุกวัน” 

“ก็ดีแล้วนี่ จะตามใจกันไปทำไมมากมาย” แสงหล้าขึ้นเสียง

บทสนทนาเสียงดังทำให้ดาวเหนือและเดือนเด่นหันมามอง

“อันที่จริงก็ควรให้พ่อมันรับผิดชอบบ้าง มันไม่ใช่หน้าที่ของข้าเพียงคนเดียว อ้อ หรือว่าสูไม่ยากให้พี่พรเทพต้องรับผิดชอบอะไร สูกับมันจะไปอยู่กินด้วยกันแบบสบายๆ สินะ” แสงหล้าเริ่มพาลไปหมด

“พูดอะไรหัดดูตัวเองบ้าง ที่ลูกผัวสูต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะใคร” ดาหวันเถียงสู้

“สูไม่ต้องมาเสือกเรื่องของข้ากับลูก ยังไงอีดาว อีเดือน ข้าไม่เอามันไปอยู่ในเวียงด้วยแน่ๆ และลูกข้ามันสบายดี อยู่ที่นี่ก็มีข้าวกิน เผลอๆ สบายกว่าสูกับแม่ด้วยซ้ำ”

เจอย้อนมาแบบนี้ดาหวันก็เถียงไม่ออก จึงตัดสินใจลุกหนีกลับบ้าน

แสงหล้าแบะปากตามหลัง 

‘สมน้ำหน้า อย่ามาทำเป็นสอนกู นี่มันชีวิตใหม่ของกู ไอ้อีหน้าไหนก็มาขวางกูไม่ได้ จำไว้’

“แม่ไม่เคยคิดจะพาข้ากับน้องไปอยู่ด้วยเลยเหรอ” เจ้าของเสียงเล็กๆ ถามหลังจากแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันมานาน

“อะไรอีกล่ะอีดาว กูขี้เกียจตอบคำถามมึงแล้ว” แสงหล้าเอาเสียงดังเข้าขู่

“เมื่อตะกี้แม่บอกกับน้าดาหวันว่าจะไม่พาข้ากับอีเดือนไปอยู่ด้วย” เด็กน้อยกลั้นใจถามต่อ เธอยังคิดว่าอีกไม่นานมารดาจะรับไปอยู่ด้วย

จำได้ไม่เคยลืม ปีก่อนตอนออกพรรษา เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงพ่อตะโกนอยู่หน้าบ้าน

‘อีแสงหล้า อีกะหรี่!’

พรเทพสาปแช่งตามหลังเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ค่อยๆ ห่างออกไปทุกที

ดาวเหนือเดินลงจากเรือนด้วยความหวาดกลัว นอกเรือนมีลมพัดแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ บิดาทรุดตัวตรงหน้าประตูรั้ว

‘พ่อ...’

พรเทพหันไปมองบุตรสาว เขาตั้งสติไม่ฟูมฟาย ก่อนจะรีบเข้าไปโผกอด

‘แม่ไปไหนเจ้า’

คนเป็นพ่อไม่ตอบ แต่กอดลูกไว้แน่น 

หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ดาวเหนือก็ไม่เห็นหน้ามารดาอีก ส่วนบิดาเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่ยอมทำงาน บุญคงผู้เป็นตาทนไม่ไหว จึงรับดาวเหนือและเดือนเด่นมาอยู่ด้วย ส่วนวินัยก็ให้ไปอยู่กับหลวงปู่ที่วัดหวังให้ได้เรียนหนังสือ

นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนของครอบครัว บุญคงกลายเป็นคนอารมณ์เสีย มักดุด่าเฆี่ยนตีจนเด็กน้อยร้องไห้ทุกวัน แต่ก็ยังหวังจะได้เจอหน้าแม่อีก ส่วนพ่อก็เริ่มเสียคน ผ่านไปสามเดือนพรเทพก็หายตัวไป จนได้ข่าวว่าไปทำงานอยู่ต่างอำเภอ ในที่สุดบุญคงจึงบอกว่าแม่ของเธอหนีไปกับผัวใหม่ และจะไม่กลับมาหาเธอและน้องๆ อีกแล้ว

ผ่านไปหลายเดือน แสงหล้าจึงมีเวลาแอบมาหาดาวเหนือและเดือนเด่นยามที่บุญคงไม่อยู่ เธอบอกลูกๆ ว่าต้องไปอยู่กับลุงจำรัสในตัวอำเภอ และอีกไม่นานจะกลับมารับเธอและน้องๆ ไปอยู่ด้วย

แต่เมื่อครู่ดาวเหนือได้ยินเต็มสองหู มารดาเอ่ยกับน้าสาวข้างบ้านว่า ไม่มีทางที่จะพาพวกเธอไปอยู่ด้วยแน่ๆ

“อีดาว อย่ามาสำออย ตอนนี้มึงอยู่กับตาก็สบายดี ไม่อดอยาก”

ดาวเหนือเบะปากร้องไห้ “แต่ข้าไม่อยากอยู่กับตา ตาชอบตีข้า แม่พาข้าไปอยู่ด้วยนะ”

พอลูกสาวพูดไม่รู้ฟัง แสงหล้าก็เริ่มหงุดหงิด

“อีดาว กูยังเอามึงไปอยู่ด้วยไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง”

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ พ่อก็บอกว่าจะมารับแต่ก็ไม่มา แม่ก็เหมือนพ่อ ผู้ใหญ่ชอบหลอกเด็ก”

“อีดาว มึงกำลังทำให้กูอารมณ์เสีย” แสงหล้าถอนหายใจ ก่อนจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคยดังมาทางบ้านพอดี

“อีเด็กดื้อ กูไปก่อนละ” แสงหล้าลุกขึ้นมองไปที่รั้วบ้าน จำรัสกลับมารับเธอแล้ว จึงรีบเก็บข้าวของและเดินออกไป ไม่สนเด็กน้อยทั้งคู่

“แม่ รอก่อน บอกข้าสิ”

                แสงหล้าไม่สน เร่งฝีเท้าเพราะไม่อยากให้สามีรูปหล่อรอนาน ดาวเหนือตัดสินใจวิ่งตามหลังเข้าไปดึงแขนไว้

“แม่จะมารับข้ากับน้องเมื่อไหร่”

ความอดทนของแสงหล้าสิ้นสุด เธอสะบัดแขนจนร่างดาวเหนือปลิวล้มแล้วเหวี่ยงฝ่ามือฟาดตัวอีกครั้ง เดือนเด่นเห็นพี่สาวถูกตีก็ร้องไห้ลั่น

“กูพร้อมเมื่อไหร่จะมาเอง ไม่ต้องมาบีบน้ำตา กูไม่ชอบ” แสงหล้าชี้นิ้วจ้ำไปที่หัวหวังให้ดาวเหนือสำนึก ก่อนจะเดินเชิดหน้าไปหาชู้รัก

“มีอะไรกัน” จำรัสแปลกใจที่เห็นเด็กๆ ร้องไห้กันระงม

“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะถึงบ้านค่ำ”

ดาวเหนือน้ำตาอาบแก้ม รวบรวมแรงที่มีอยู่วิ่งตามมอเตอร์ไซค์คันโก้

“แม่จ๋า...รอข้าด้วย”

มารดาไม่หันมามองแม้แต่หางตา รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นพาแสงหล้าออกไปทางถนนใหญ่ ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจะได้กลับมา

เด็กน้อยยกแขนปาดน้ำตาที่ร่วงริน ความน้อยใจเกาะกุมเต็มอก ชีวิตของเธอช่างไร้ค่า อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครต้องการ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น