3

ดาวโจร


บทที่ ๓

ดาวโจร

 

เห็นเด็กหญิงล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ดาหวันก็อดสงสารไม่ได้ พอรถมอเตอร์ไซค์ของแสงหล้าและผัวใหม่จากไป เธอจึงโผล่ตัวออกมาหา

“ลุกขึ้นอีดาว ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์” มือใหญ่ปัดเนื้อตัวมอมแมมของเด็กน้อย คราบน้ำตาที่อาบแก้มยืนยันถึงความเสียใจได้เป็นอย่างดี

“กลับไปทำงานบ้านเถอะ ก่อนที่ตาของมึงจะกลับมาแล้วเฆี่ยนมึงต่อ” ดาหวันเตือนสติ

ดาวเหนือสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่มีใครต้องการข้ากับอีเดือนเลย” เด็กน้อยเอ่ยตามที่คิด ชีวิตนี้ช่างน่าสมเพชนัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอยากให้ไปอยู่ด้วย

“ทุกคนต่างมีเหตุผล ถ้ามึงเป็นผู้ใหญ่ มึงจะเข้าใจ” ดาหวันประคองร่างเล็กเข้าไปในเขตบ้าน

“น้าดาหวัน ข้าอยากเก่งเหมือนน้า” ดวงตาดาวเหนือยังสั่นระริก

คนแก่กว่ายิ้ม “อยากเก่งเหมือนกู มึงก็ต้องหยุดร้องไห้เสียก่อน”

ดาวเหนือพยายามทำตาม ปาดน้ำตาอีกครั้ง

“จำไว้นะอีดาว คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ไม่มีใครรัก มึงก็ต้องรักตัวเอง รักน้องมึงให้มากๆ ส่วนกูก็จะคอยช่วยส่งกำลังใจให้มึงอีกแรง”

“พ่อข้าให้ข้าเป็นดาวนำทางให้น้อง ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าขอน้าดาหวันเป็นดั่งดาวอีกดวงที่ช่วยนำทางข้าทีได้ไหม”

คนแก่กว่าคิดไม่นานจึงพยักหน้า “กูยินดี”

เด็กน้อยฝืนยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ดาหวันมองตาม แต่ดวงใจหวั่นไหว 

‘มึงคิดว่ากูเข้มแข็งสินะอีดาวเหนือ ใจจริงแล้วตัวกูก็อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ เหมือนกัน’

บางทีก็อยากบอกให้ดาวเหนือรู้ว่า เพราะอีแสงหล้าแม่มันนั่นแหละ ที่ทำให้ดาหวันต้องเจ็บปวดมานาน ตั้งแต่เด็ก แสงหล้าก็คอยหาเรื่องสารพัด คิดว่าเธอคอยแต่จะเด่นเกินหน้า และพอมีคนชมว่าเธอสวยกว่าเมื่อไร ขานั้นเป็นออกอาการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เย้ยหยันว่าเธอเป็นแค่ลูกแม่ม่ายคนจน

โครม!

บางอย่างดังมาจากบนเรือน ดาหวันสะดุ้ง วิ่งไปตามต้นเสียง

“แม่”

ทองใบตกใจเมื่อเผลอเอามือไปปัดแก้วน้ำหล่นจากหีบจนน้ำกระเซ็นเรี่ยราด เมื่อลูกสาวเดินเข้ามาหาในห้องจึงโล่งใจที่มารดาไม่ได้หกล้มหรือเป็นอะไรไปอีก

“เรี่ยวแรงมันไม่ค่อยมี กูเลยเผลอเอามือไปโดนแก้ว” นางทองใบบอกลูกสาว ดาหวันรีบเข้ามาเก็บเช็ดถู

“ปู่คงเฆี่ยนหลานมันอีกแล้วเหรอ” ทองใบหมายถึงเสียงเอะอะที่ได้ยินแต่เช้า ลากยาวมาถึงตอนสาย

“เจ้า แล้วตะกี้พี่พรเทพกับแสงหล้ามาเยี่ยมลูก เด็กๆ เลยร้องไห้อยากไปอยู่กับพ่อกับแม่”

“กรรมเวรแท้ๆ อีแสงหล้า นังผู้หญิงมักมาก ทิ้งลูกไปเอาผัวใหม่ ส่วนไอ้พรเทพก็ขี้ขลาด พอเมียทิ้งก็เลี้ยงลูกไม่ได้”

“พี่พรเทพกำลังได้งานใหม่ที่แม่สาว อีกไม่นานคงกลับมารับลูกๆ” ดาหวันเถียงทันควัน จนคนเป็นแม่รับรู้ว่าลูกสาวยังคงรักไอ้หนุ่มท้ายบ้านที่ทิ้งให้ขึ้นคานมาจนทุกวันนี้

“มึงก็อีกคน อย่าไปยุ่งกับบ้านหลังนั้นมาก มึงควรตกลงปลงใจกับไอ้สมบัติไปเสีย อย่างน้อยหากกูตาย ก็ยังโล่งใจว่ามีคนดูแลมึงได้” ทองใบรู้ เธอเป็นม่ายผัวตายตั้งแต่ดาหวันอายุไม่ถึงสิบขวบ กัดฟันเลี้ยงดูลูกมาอย่างยากลำบาก ผู้หญิงหากขาดผู้ชายเป็นเสาหลักก็ลำบากแทบจะเอาตัวไม่รอด หากลูกสาวไม่อยากมีชีวิตเหมือนเธอก็ต้องแต่งงานมีคู่ครองไปเสีย

“แม่กินข้าวหรือยัง” ดาหวันเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้มารดามาวุ่นวายเรื่องหัวใจตน ลูกสาวชายตาไปยังสำรับกับข้าวที่ตั้งไว้แต่เช้า ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม 

“กูไม่หิว” หญิงชราเอนหลังลงบนฟูก

ดาหวันเข้ามานั่งใกล้ๆ เห็นสภาพของแม่แล้วก็ชวนหดหู่ ทองใบเคยเป็นคนสวย ร่างกายมีน้ำมีนวล มาวันนี้มีแต่หนังหุ้มกระดูก

“ไม่หิวแม่ก็ฝืนกินหน่อยเถอะ จะได้หายเร็วๆ” ลูกสาวเอื้อมมือไปบีบนวดแขน “หรือว่าถ้าแม่อยากกินอย่างอื่น บอกข้ามาได้นะ ข้าจะไปหามาแกงให้”

“มันกินไม่ลง” หญิงชราส่ายหน้า “เออ กูว่าจะถาม เมื่อคืนมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กูเหรอ”

ดาหวันหน้าซีด ในที่สุดทองใบก็ถามถึงเรื่องนี้ “มีอะไรหรือเปล่าแม่”

“กูจำได้ว่าก่อนนอนกูใส่เสื้อสีขาว แล้วตื่นมาทำไมมันกลายเป็นสีดำ”

“ไม่ใช่นะแม่ แม่ใส่เสื้อสีดำตลอด เสื้อขาวของแม่มันขาดหมดแล้ว” ดาหวันตอบแต่ไม่สบตา

“งั้นเหรอ” ทองใบเสียงเบา ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้

“ข้าจะไม่เก็บขันโตกนะ แม่หิวเมื่อไหร่ก็มากินได้ตลอด” ดาหวันเอ่ยพร้อมกับลงเรือนไป 

ทองใบเปลี่ยนอิริยาบถมานอนหงาย ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก รู้ทันทีว่าดาหวันโกหก

‘เกิดอะไรขึ้นกับกูหนอ เสื้อที่ใส่ถึงมีแต่เลือด ส่วนเนื้อตัวก็ไม่มีบาดแผล หรือว่า...พอตกกลางคืน ตอนหลับแล้วไม่รู้สึกตัวไปทำเรื่องที่ไม่ดีไม่งาม หรือจะมีบางอย่างอยู่ในตัวกู!’

 

ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเริ่มลดแสงจนมองเห็นดวงตะวันเป็นสีส้มสุก ค่อยๆ ลอยลับหลังดอยสูง

บุญคงขับเกวียนเข้ามาในบ้าน เขาสั่งให้สัตว์สี่เท้าหยุดนิ่ง ปลดเกวียนออกจากหลังวัว แล้วจูงมันไปล่ามไว้กับเสาใต้ถุนยุ้งฉาง

สักพักก็หอบหญ้าที่เกี่ยวมาเทใส่ราง วัวตัวเขื่องยืนเคี้ยวอย่างไม่เร่งรีบ ชายชราจึงเดินไปสุมไฟเพื่อช่วยไล่ยุงและแมลงที่มารบกวนสัตว์เลี้ยงตลอดทั้งคืน

ทำทุกอย่างเสร็จก็เดินไปล้างมือ แล้วมานั่งที่แคร่หน้าบ้านซึ่งดาวเหนือตั้งสำรับอาหารเย็นไว้รอแล้ว มีน้ำพริกปลาร้า ไข่ต้ม และผักต่างๆ เป็นเครื่องเคียง

แม้ดาวเหนือจะยังเป็นเด็กเล็ก แต่เพราะบุญคงเคี่ยวเข็ญเรื่องการบ้านการเรือนอย่างหนัก เด็กหญิงจึงทำหน้าที่ไม่เคยบกพร่อง บ้านเรือนสะอาดเอี่ยมอ่อง เสื้อผ้าของบุญคงซักตากทุกวัน แถมอาหารการกินก็ยังทำได้พอประมาณ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บุญคงพอใจในตัวหลานทั้งคู่เท่าไร แม้แต่อาหารในขันโตกวันนี้

“กูจำได้ว่าไข่ในตู้กับข้าวมันมีสองฟอง แล้วทำไมมึงเอามาต้มให้กูกินฟองเดียว” ชายชราทักท้วง จำได้ว่าไข่ที่เหลือมีมากกว่าที่เห็น

“ข้าเสียมันตกพื้น เลยเอาให้อีเดือนมันกิน” ดาวเหนือตอบตะกุกตะกัก 

บุญคงมองอย่างเอาเรื่อง รู้ทันทีว่าหลานตัวเองโกหก เขาหยิบช้อนในขันโตกขว้างใส่หน้าเด็กหญิง ด้ามช้อนโดนหน้าผากทำให้พอเจ็บ แต่ดาวเหนือก็ไม่ยอมร้องสักแอะ

“มึงอย่ามาวอก! น้องมึงมันตะกละ อยากกินข้าวก่อนกูน่ะสิ” ชายแก่โมโห ด้วยความที่เป็นคนตระหนี่ อาหารการกินทุกอย่างไม่อยากให้ใครได้กินตามอำเภอใจ

พอเห็นภาพพี่สาวถูกทำร้าย เดือนเด่นก็จะเบะปากร้องไห้ บุญคงทนไม่ไหว ตวาดด่าทั้งพี่ทั้งน้อง

“ไป๊! อีสองพี่น้อง พวกมึงจะไปไหนก็ไป กูขี้เกียจเห็นหน้า” 

ไม่พูดเปล่า หยิบจับอะไรได้บุญคงก็ปาใส่ ดาวเหนือยกมือขึ้นบัง แล้วรีบอุ้มเดือนเด่นหนีขึ้นไปบนห้อง ปิดประตูได้เธอก็พาน้องสาวมุดเข้ามุ้งนอน

“ข้ากลัวตา” เดือนเด่นเสียงสั่น เพราะตั้งแต่มาอยู่ด้วย บุญคงเหมือนปีศาจที่เธอหวาดกลัว เวลานี้แม้แต่น้ำคลองหน้าบ้านก็ทำให้เธอไม่อยากเข้าใกล้ เพราะกลัวจะถูกทำโทษ

“ไม่ต้องกลัว พี่มึงอยู่ที่นี่ทั้งคน” ดาวเหนือปลอบ

เด็กน้อยวัยสี่ขวบข่มตานอน พี่สาวคอยพัดวีและลูบผมให้ไม่ห่าง 

“อือ จา จา” ดาวเหนือพยายามร้องเพลงกล่อมตามที่เคยได้ยินจากแม่

เมื่อรู้สึกปลอดภัย ไม่นานน้องสาวก็หลับปุ๋ย ส่วนดาวเหนือนั้นยังต้องดูแลบุญคงต่อ เธอเดินลงจากเรือนเพื่อรอเก็บขันโตก เห็นบุญคงอิ่มแล้ว แต่ยังยืนกอดอกมองดูหลานสาว

“วันนี้นอกจากพ่อมึง แม่มึงก็มาหารึ” เรื่องที่พรเทพและแสงหล้ามาเยี่ยมลูกไม่พ้นชาวบ้านไปบอกเล่าให้ฟังถึงหู

“เจ้า” เด็กหญิงตอบเสียงเบา

บุญคงแสยะยิ้ม ยังนึกขันที่ลูกสาวที่รักก็ไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ อย่างที่เคยอวดเก่ง ใช่สิ ทั้งแสงหล้าและพรเทพไม่เคยมาขอโทษหรือบอกลาด้วยซ้ำ

“หึ...แล้วไอ้อีสองตัวนั้นมันจะมารับมึงกับน้องไปอยู่ด้วยเมื่อไหร่ล่ะ”

คำถามนั้นยิ่งกว่าศรธนูปักกลางอก ดาวเหนือเงียบ ชายชรายิ่งได้ใจ

“พวกมันสองตัวคงรักมึงมาก หายไปเกือบปี เสื้อใหม่สักผืนกูไม่เคยเห็นมันซื้อมาให้มึงเลย” บุญคงเย้ยหยัน “เลิกหวังได้เลยว่ามันจะมารับมึงไปอยู่ด้วย ทั้งอีแสงหล้าและไอ้พรเทพมันลืมพวกมึงไปหมดแล้ว”

ลูกศรที่ปักนั้นอาบยาพิษทำให้ดวงใจเด็กน้อยทรมานจนน้ำตารินหลั่งออกมาอีก

“ฮือๆ”

เมื่อเห็นหลานสาวร้องไห้ บุญคงก็รู้สึกพอใจ

“มึงไปไหนไม่ได้หรอกอีดาว มึงต้องอยู่กับกูนี่แหละ”

“พ่อกับแม่บอกว่าถ้าพร้อม จะมารับข้าไปอยู่ด้วย” ดาวเหนือยังพยายามเถียง

“มันหลอกมึงน่ะสิ อีกไม่นานพวกมันก็จะมีลูกใหม่ ลืมมึงสองคนไปแน่” บุญคงมองหน้าหลานสาวที่ยังสะอื้นไห้ “จำใส่หัวไว้เลย อย่าไปเชื่อมัน ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปนับถือว่ามันเป็นพ่อเป็นแม่ เรียกมันว่าอีแสงหล้ากับไอ้พรเทพไปเลยยิ่งดี” 

บุญคงหัวเราะลั่นบ้าน ทิ้งให้หลานสาวจมอยู่กับกองน้ำตาและความหวังที่พังทลาย

 

เทพราตรีคลี่ผืนผ้าไหมสีดำเต็มผืนฟ้า หยิบเอาดวงดารามาปักแซมบนภูษางามระยิบ คืนนี้ดวงจันทร์ยังอายแสง หลบหลังดอยสูง ดาวน้อยใหญ่จึงแข่งประชันแสง

บุญคงอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เดินขึ้นห้อง ส่วนดาวเหนือยังเหลือหน้าที่สุดท้าย คือไปตักน้ำในคลองมาใส่ตุ่มเพื่อใช้กินใช้อาบในวันรุ่งขึ้น

ร่างเล็กถือถังน้ำสังกะสีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไปที่ริมคลอง ความเสียใจยังคงอยู่ แต่หน้าที่ก็ต้องดำเนินต่อ เมื่อมาถึงริมคลอง ดาวเหนือก็ทิ้งตัวลงปาดน้ำตาเพียงลำพัง

เธอเป็นแค่เด็กน้อยที่ต้องเจอกับโชคชะตาที่โหดร้าย ยิ่งนึกก็ยิ่งเสียใจ เธอ วินัย และเดือนเด่น คือเด็กที่ไม่มีใครต้องการ

นั่งร้องไห้ หวังให้ดวงดาวบนฟ้าช่วยปลอบ พลันก็เห็นสะพานไกลๆ มีแสงวูบวาบ ดาวเหนือเพ่งมอง แสงไฟนั้นเคลื่อนไหวช้าๆ มุ่งมาทางเธอ

น่าจะเป็นแสงไฟจากตะเกียง แต่แล้วจู่ๆ แสงนั้นก็เลือนหาย ดาวเหนือเริ่มกลัว หรือว่าแสงประหลาดจะเป็นผีกระสือ ผีโพง จึงรีบจับถังสังกะสีกำลังจะจ้วงลงไปในน้ำ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีใครคนหนึ่งมายืนข้างๆ ในมือเขาถือตะเกียงเจ้าพายุ

“พี่เป็นใคร” เด็กน้อยถามเสียงสั่น 

เด็กชายอายุน่าจะเกินสิบขวบจ้องมองดาวเหนือแปลกๆ แล้วยิ้มตาหยี

“เมื่อกี้เธอร้องไห้ใช่ปะ” กลับเป็นเขาที่ถามต่อ

“ฉันไม่ได้ร้อง” ดาวเหนือหลบหน้า แต่เขากลับยกตะเกียงขึ้นมาส่องให้เห็นชัด

“ฉันนั่งอยู่ที่สะพานตรงนู้น ได้ยินเสียงคนร้องไห้” เด็กชายถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ มองดูดาวเหนือตักน้ำ

“ค่ำมืดป่านนี้แล้วยังจะตักน้ำอีกเหรอ คนใช้ไม่มีหรือไง”

ดาวเหนือไม่ตอบ แต่รีบทำงานให้เสร็จ คนแปลกหน้ามองแล้วขัดใจจึงยื่นมือไปช่วย

“อย่ามายุ่ง” เธอดึงถังน้ำหนี

“ตัวกะเปี๊ยกเดียว ให้ฉันช่วยเถอะ เป็นผู้ชายก็ต้องช่วยผู้หญิงสิ” เขารับอาสา แย่งถังมาแล้วหิ้วถังน้ำขึ้นฝั่ง เมื่อถามเธอว่าให้เทใส่ตรงไหน ดาวเหนือก็ชี้ไปยังใต้ถุน

ใช้เวลาเพียงหกเที่ยว น้ำก็เต็มตุ่ม

“เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย เธอต้องทำคนเดียวทุกวันเหรอ” เด็กชายแปลกหน้าถามต่อ แต่คนอ่อนกว่ากลับยกมือจุปาก เพราะเกรงว่าคนแก่ที่นอนอยู่บนบ้านจะได้ยินเสียง

“อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวตาฉันจะตื่น พี่กลับบ้านไปเถอะ” เธอกระซิบบอกเขา

“อะไรกัน คนอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ ดันไล่ให้กลับบ้าน”

“ฉันไม่อยากโดนด่าแล้ว”

คนแปลกหน้ากลับไม่สน “เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะว่าเธอร้องไห้เพราะอะไร”

“ทำไมฉันต้องบอก” ดาวเหนือแย้ง

เขายิ้มตาหยีอีกครั้ง

“พี่เป็นใครก็ไม่รู้” สาวน้อยไม่ไว้ใจ

“ฉันเหรอ เป็นโจรมั้ง” เด็กชายยืดอก

สาวน้อยตาโต “โจร!”

เด็กชายพยักหน้า

“แล้วจะมาปล้นบ้านฉันเหรอ”

“ไม่หรอก ฉันจะปล้นเฉพาะคนเลวๆ เท่านั้น เธอเป็นคนดีหรือเปล่าล่ะ” 

ดาวเหนือรีบผงกหัวตอบโดยพลัน

“ถ้าเป็นคนดี ต่อไปใครรังแกจนร้องไห้อีกก็บอกฉันได้นะ ฉันจะมาช่วย”

“มึงพูดกับใครอีดาว” เสียงบุญคงดังมาจากบนเรือนทำให้เด็กหญิงหน้าตาตื่น

“เปล่าเจ้า” รีบตอบและหันไปโบกมือให้เด็กชายรีบออกจากเขตบ้านไปเสีย

“ยายขี้แย เธอชื่อดาวสินะ”

“ใช่ ฉันชื่อดาวเหนือ” เธอเสียงเบา แถมยังต้องออกแรงดันให้เขาไปเสีย

“ถ้าเธอร้องไห้อีกแล้วอยากให้ฉันช่วย ก็อธิษฐานกับดาวโจรนะ แล้วฉันจะมาหา” เขาหลิ่วตาให้

“ดาวโจร?”

“ใช่ เรียกฉันว่าดาวโจรก็ได้” เด็กชายบอกชัด

“อีดาวเหนือ กูถามว่ามึงคุยกับใคร!” เสียงแข็งของผู้เป็นตาทำให้ดาวเหนือหันขวับ

ชายชราเดินลงจากเรือน สอดส่ายสายตาไปในเงามืด แต่ไม่พบใคร

“ข้ากำลังจะขึ้นบ้าน” หลานสาวโล่งใจที่พบว่าโจรคนนั้นหายไปแล้ว

“งั้นก็ขึ้นบ้าน” 

บุญคงยืนรอที่หัวบันได เด็กน้อยเดินตาม ไม่วายหันกลับไปมองแสงที่มาจากสะพานทิศใต้ คนแปลกหน้าส่งยิ้มโบกมือให้ เธอตกใจ รีบขึ้นเรือนไปอย่างรวดเร็ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น