6

ผีค่ำ

บทที่ ๖

ผีค่ำ

 

ยามสาย หอเจ้าพ่อคำสะหลีคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านที่หวังมาพึ่งใบบุญเจ้าพ่อ 

“เชิญทุกท่านบนศาลาเลยนะ”

น้อยโหน่งในฐานะลูกศิษย์คนสำคัญคอยต้อนรับแขกที่หน้าบันไดหน้าระรื่น คงไม่ทันสังเกตว่ามีเงาร่างหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ยังไม่กล้าเผยตัวออกไปขอความช่วยเหลือ

ไม่นานนัก บนหอทรงก็ได้ยินทั้งเสียงหัวเราะ ร้องไห้ หรือแม้แต่ทำนองจ๊อยซอจากเจ้าพ่อคำสะหลี ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่อยากให้ท่านช่วย การมาหาเจ้าพ่อก็เพื่อหวังให้ผีเจ้านายได้เป็นพี่พึ่งทางใจในวันที่ชีวิตไร้แสงนำทาง

ใกล้เที่ยง คนกลุ่มสุดท้ายลงจากศาลา พอปลอดคนก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมาหา

“อีดาหวัน” น้อยโหน่งเอ่ยชื่อพร้อมกับหันไปสบตาร่างทรงอย่างรู้ทัน

“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าพ่อท่านช่วย” ลูกสาวนางผีพรายเอ่ยเสียงเบา

ร่างทรงกระแอมสงวนท่าที หยิบยามวนในสำรับมาจุดไฟและสูบเข้าไปเต็มปอด ไฟจากปลายบุหรี่แดงระเรื่อ ก่อนเจ้าตัวจะพ่นควันออกมาเป็นสาย 

“เรื่องแม่มึงน่ะรึ”

ดาหวันผงกหัว ร่างทรงอาจจะรู้ด้วยสัมผัสพิเศษ หรือว่ารู้...เพราะขี้ปากของคนทั้งหมู่บ้าน

“ข้าจะลองถามเบื้องบนดู” สาวห้าวชายตามองดาหวันก่อนจะหันหน้าเข้าหิ้งพิธี 

ดาหวันนั่งเฉยจนน้อยโหน่งตำหนิให้เธอยกมือไหว้ บ่นอุบว่าดาหวันไม่รู้เรื่องพิธีกรรมอะไรเลย ผีพรายถึงได้มาทำร้ายครอบครัว

อัมพรชูขันเงินขึ้นเหนือหัว ขยับปากขมุบขมิบ แล้วจึงวางขัน ก่อนจะลืมตาโพลงและหันหน้ามาทางลูกสาวนางขี้โรค น้อยโหน่งเอ่ยให้ดาหวันรู้ตัวว่า บัดนี้เจ้าพ่อคำสะหลีประทับร่างอัมพรแล้ว

ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอันใด เจ้าพ่อก็ถลึงตาชี้หน้า

“แม่ของมึงเป็นผีพราย!” 

ใจที่เคยหวั่นไหวเหมือนใบไม้ใกล้ร่วง บัดนี้ถูกลมพัดปลิวหายไปในนภากาศ หญิงผู้ทุกข์ใจหน้าเสีย กลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน 

“แล้วจะทำยังไงดีเจ้าพ่อ ข้าจนปัญญาแล้ว”

“แม่มึงต้องเข้าพิธีตัดพราย” เจ้าพ่อเอ่ยเสียงดังฟังชัด

“ตัดพรายยังไง” ดาหวันไม่เข้าใจ

“มึงทำไมง่าวนักอีดาหวัน แม่มึงมีผีพรายในตัว เจ้าพ่อท่านให้พามาหา จะได้ไล่ผีพรายออกให้” น้อยโหน่งตอบแทน

“ถ้าผีพรายมันสิงร่างแม่ข้าอยู่ แล้วตอนนี้แม่ข้าอยู่ไหน” ดาหวันถามสิ่งที่ตนสงสัย หากผีพรายมันเข้าสิงร่างคนใด แสดงว่าวิญญาณของคนคนนั้นย่อมอ่อนแอ หรือไม่...ก็อาจจะตายไปแล้ว จึงทำให้สัมภเวสีมาสิงสู่ได้

เจ้าพ่อค่อยๆ หลับตาลงและพูดตามที่ตนเห็นในนิมิต “ยังลอยล่องอยู่แถวบ้านมึงนั่นแหละ ต้องไล่ผีพรายออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ร่างแม่มึงจะเน่าและเอาคืนมาไม่ได้”

แม้จะตกใจ แต่ก็ยังพอมีหวังถ้าเจ้าพ่อช่วยได้ “ข้าต้องทำยังไงบ้าง”

“พาแม่มึงมาหากู” เจ้าพ่อคำสะหลีสั่ง 

ดาหวันยกมือไหว้ “เจ้า แล้วข้าจะพามา”

“อีดาหวัน มึงต้องเอาเงินมาให้กูเพื่อเตรียมพิธีสามร้อยบาทด้วยนะ” น้อยโหน่งเตือน

“สะ...สามร้อย” คนมีปัญหาหน้าซีด “ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยรึ”

“อ้าว อีนี่ จะทำพิธีมันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เรื่องนี้มันเป็นบาปเป็นกรรมของแม่มึงนะ”

“แต่ข้ายังไม่มีเงิน” ดาหวันเสียงเบา “ข้าติดไว้ก่อนได้มั้ย”

“สามหาวนักอีดาหวัน นี่เจ้าพ่อคำสะหลีนะ มึงจะมาต่อราคาเหมือนเนื้อหมูในตลาดได้ไง” น้อยโหน่งโวยวาย เห็นสีหน้าหญิงสาวว่าน่ารำคาญแล้ว ยังไม่มีเงินพอจะทำพิธีอีก เจ้าพ่อไม่น่าเสียเวลาช่วยชีวิตให้แม่มันเลย

“เงินตั้งสามร้อย มันไม่มากไปเหรอเจ้าพ่อ” 

เสียงทักท้วงดังมาจากบันได เมื่อน้อยโหน่งหันไปมองก็พบว่าเป็นชายหนุ่มที่มักไปไหนมาไหนกับดาหวันเป็นประจำ

“ไอ้สมบัติ”

หนุ่มกล้ามโตเดินขึ้นศาลา เหลียวมองซ้ายมองขวา แต่ยังยืนค้ำหัวเจ้าพ่อคำสะหลี แม้แต่ดาหวันยังตกใจ

“สมบัติ นั่งลงก่อน” หญิงสาวดึงชายเสื้อให้นั่งลง แต่เขาไม่สน จ้องหน้าเจ้าพ่อที่หลับตาโยกตัวไปมา

“ข้าสงสัยนัก เจ้าพ่อจะช่วยคนบ้านเดียวกัน ทำไมต้องเก็บเงินเก็บทอง เจ้าพ่อเองก็ตายเป็นผีไปแล้ว ไม่น่าได้ใช้เงินใช้ทองอะไร เอ๊ะ หรือว่าเจ้าพ่อหาเงินให้อีอัมพรไว้ใช้ บ้านใหม่ของมันจึงหลังใหญ่ดีแท้”

“ไอ้สมบัติ! ปากหมานัก เงินทองที่ลูกศิษย์เอามาถวาย อัมพรมันก็เอามาสร้างหอ สร้างบารมีให้เจ้าพ่อท่าน” น้อยโหน่งเถียง

“ได้เงินดีแบบนี้ ข้าก็อยากเป็นร่างทรงเหมือนกัน เจ้าพ่อรับข้าไว้ทีสิ” สมบัติหลิ่วตากวนๆ 

เจ้าพ่อเหลืออด ลืมตาและชี้หน้าเขาทันที “จำคำกูไว้ มึงจะไม่ตายดี”

สมบัติส่ายหัว “ตายดีหรือตายไม่ดี มันก็ตายเหมือนกันนั่นแหละเจ้าพ่อ”

“ไอ้สมบัติ พอแล้ว” ดาหวันรีบดึงแขนเขาออกมา

“กลับไปเลย ไอ้อีคนชั่ว พวกมึงลบหลู่เจ้าพ่อคำสะหลี ก็เหมือนลบหลู่คนบ้านสันทราย” น้อยโหน่งโบกมือไล่

“ถ้าเจ้าพ่อเก่งจริง แล้วทำไมตอนข้ามาขอให้ช่วยน้องข้าเมื่อสามปีก่อน เจ้าพ่อไม่ช่วย รอแต่เงินอย่างเดียว หรือว่าหากใครไม่มีเงิน เจ้าพ่อก็ไม่คิดจะช่วยเลย” 

คำพูดของชายหนุ่มทำเอาทุกคนเงียบกริบ น้อยโหน่งโกรธจัด รีบผลักให้ชายหญิงคู่นั้นลงจากศาลาทรงเจ้าทันที

“ข้าขอโทษแทนสมบัติด้วยนะ” ดาหวันหน้าเสีย 

แต่ชายหนุ่มกลับยักไหล่ “พอข้าพูดเรื่องนี้ ทำไมเจ้าพ่อถึงเงียบไปล่ะ”

“ลงศาลาข้าไปเดี๋ยวนี้” เจ้าพ่อตะโกนลั่น เริ่มมีคนได้ยินเสียงจึงวิ่งมามุงดู

“ข้าไปก็ได้ แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งเอามาฝากเจ้าพ่อ” สมบัติหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงและโยนไปยังร่างทรง

สิ่งนั้นเป็นลำยาวและพาดไปที่บ่าเจ้าพ่อคำสะหลี

“งู!” สมบัติตะโกน 

ทั้งเจ้าพ่อและลูกศิษย์กรีดร้องกระโดดหนี กระทั่งน้อยโหน่งซึ่งได้สติรีบเขย่าแขนร่างทรงที่คุมสติไม่อยู่

“เดี๋ยวๆ เจ้าพ่อ นั่นมันไม่ใช่งู” 

“ฮ่าๆ เจ้าพ่อคำสะหลีกลัวเชือกกล้วย” สมบัติหัวเราะเยาะเสียงดัง

“สมบัติ เล่นอะไร ไม่กลัวหรือไง” ดาหวันเองก็ตกใจ รีบดึงเขาออกมาให้ห่างที่สุด

หญิงสาวฉุดกระชากลากถูชายหนุ่มออกมาจากบ้านของอัมพร ปากก็บ่นที่สมบัติทำกิริยาไม่งามต่อหน้าเจ้าพ่อที่คนทั้งหมู่บ้านนับถือ

“เจ้าพ่อสาปแช่งไว้แล้ว สูไม่กลัวเหรอ” เธอยังจำสีหน้าและคำพูดของคนมีอำนาจได้

ชายหนุ่มนิ่งไปพักใหญ่ แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีก

“เมื่อตะกี้สูเห็นหรือเปล่า เจ้าพ่อห่าอะไร กรี๊ดดังเป็นเสียงอีอัมพร แถมยังกระโดดหนีเร็วกว่าไอ้น้อยโหน่งอีก” ยิ่งพูดยิ่งขำ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าอัมพรเป็นเจ้าพ่อกำมะลอ “แล้วก็ทำมาเป็นสาปแช่งกู คิดว่ากูจะกลัวเรอะ” คนตัวใหญ่กอดอกตะโกนไปทางศาลา ยืนยันว่าเขาไม่กลัวอิทธิฤทธิ์คนทรงเจ้า

“ข้าแค่อยากให้เจ้าพ่อช่วยเรื่องแม่ข้า” ดาหวันเอ่ยเสียงเบา

ชายหนุ่มเงียบเสียง รู้สึกเห็นใจในความทุกข์ของหญิงสาว “ดาหวัน ข้าบอกแล้ว แม่สูเป็นโรคที่หมอสมัยใหม่รักษาได้ สองคนนั้นมันรวมหัวกันหลอกสูเพราะอยากได้เงินมากกว่า คิดดูสิ คนอื่นก็เก็บน้อยนิด แต่พอเป็นสูกลับเก็บถึงสามร้อย เอาเงินไปซื้อควายมาเลี้ยงยังจะคุ้มค่ากว่า” สมบัติพูดยาว 

“ที่สูไม่นับถือเจ้าพ่อ เป็นเพราะเรื่องน้องสูใช่มั้ย” ดาหวันเริ่มสงสัย เพราะเมื่อครู่เขาพูดถึงเรื่องน้องชายที่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน

สมบัติถอนหายใจ ไม่เคยลืมการสูญเสียของคนในครอบครัวครั้งนั้น เขาเป็นคนที่สี่ในจำนวนพี่น้องห้าคน น้องชายสุดท้องอายุเพียงแปดขวบก็ป่วยไข้ ท้องเสียรุนแรง ตอนนั้นเขายืนกรานว่าจะพาไปหาหมอในอำเภอ แต่พ่อกับแม่ของเขากลับเชื่อคำพูดของเจ้าพ่อคำสะหลี

“อีอัมพรมันบอกว่าไอ้แดงมันไม่สบายเพราะไปลบหลู่เจ้าพ่อ ต้องเตรียมเงินหนึ่งร้อยบาทมาทำพิธี ถ้าไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ พ่อข้าต้องรีบไปหายืมเงิน แต่ก็ไม่ทันกาล พอตกดึกไอ้แดงมันก็ตาย”

ดาหวันปล่อยให้เขาพูดต่อ

“ก่อนตาย พ่อข้าอุ้มร่างไอ้แดงไปหา หวังให้เจ้าพ่อช่วย แต่พวกมันบอกว่าสายไปแล้ว ที่ไอ้แดงตายเพราะมันเยี่ยวใส่เสาศาลาของเจ้าพ่อ เจ้าพ่อเลยโกรธ” สมบัติเล่าความคับแค้นใจอีกครั้ง 

“แต่สูรู้หรือเปล่าดาหวัน พอลงศาลามา ข้าเห็นหมาดำของอีอัมพรที่มันเลี้ยงไว้มันก็เยี่ยวใส่ศาลาเจ้าพ่อเหมือนกัน แล้วทำไมมันไม่ตายเหมือนไอ้แดง” เขาคิดว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

ดาหวันคิดตามก่อนจะตบบ่าเขาเบาๆ

“เออ ข้าเข้าใจ เจ้าพ่อก็ขี้โกงจริงๆ หมาเยี่ยวได้ ทำไมคนเยี่ยวไม่ได้เนาะ” เธอปลอบ ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้ 

“ข้าจึงไม่อยากให้สูเชื่ออีอัมพรกับไอ้น้อยโหน่งให้มาก หลังๆ มีคนเห็นว่าอีแสงหล้ามักจะมาหาพวกมันบ่อยๆ คงได้เงินจากอีแสงหล้าไปเยอะอยู่” สมบัติคิดว่าร่างทรงอาจจะเป็นพวกเดียวกับแสงหล้าที่ไม่ชอบดาหวันเป็นทุนเดิม “ส่วนเรื่องแม่สู เอาไว้ค่อยพาไปหาหมอในเวียงดีกว่า” 

แววตามุ่งมั่นทำให้ดาหวันใจชื้น

สมบัติขี่จักรยานโดยมีดาหวันซ้อนท้ายออกมาจากบ้านของร่างทรง ผ่านตลาดเห็นอาแปะกำลังเข็นรถขายไอศกรีมหลอด ดาหวันเห็นความมีน้ำใจของเขาจึงอาสาจะเลี้ยงแทนคำขอบคุณ

สมบัติดีใจตาเป็นประกายเมื่อได้ไอศกรีมแท่งสีแดง

“ดีใจเป็นเด็กไปได้” เธอแซว

“เสียดายที่ต้องกินมัน ข้าอยากจะเก็บเอาไว้นอนกอด” เขายิงฟันขาว

“ไอ้ผีบ้า แค่ไอติมแท่งเดียว”

เพราะเป็นของที่ได้จากหญิงที่รัก ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ละเลียดดูดกินของหวานจนริมฝีปากเป็นสีเดียวกับไอศกรีม 

ดาหวันเห็นเขาแล้วก็เอ็นดู ทำไมหนอ ผู้ชายแสนดีอย่างสมบัติถึงไม่เคยฝ่ากำแพงเข้ามาในหัวใจเธอได้สักที บางครั้งเธอก็รู้สึกดี แต่บางทีก็คิดว่าเขายังไม่ใช่ หัวใจที่ซื่อสัตย์มันสั่งให้รอใครบางคน

ไอศกรีมหมดแท่ง แต่ความหวานฉ่ำยังอยู่...

“ครั้งต่อไปเลี้ยงไอติมข้าอีกนะ” คนกล้ามโตอ้อนเป็นเด็ก

“พอแล้ว ข้าไม่มีตังค์” ดาหวันมองค้อน เงินทองของเธอไม่ได้มีมากพอที่จะไปซื้อของแบบนั้นบ่อยๆ

“ไม่เป็นไร แค่สูบอกว่าจะพาไปกิน แล้วเลือกไอติมให้ข้า ข้าจ่ายเงินก็ได้” 

ดาหวันส่ายหัว ไม่ตอบคำถาม แต่ตีไหล่เขาอีกครั้งเพื่อสั่งให้เขาปั่นจักรยานกลับบ้านได้แล้ว

“โธ่ ดาหวัน ตีข้ายังกับข้าเป็นควายเทียมเกวียน”

สมบัติถีบรถไปตามถนน ปากก็ร้องเพลงฮิตที่เคยได้ยินจากวิทยุ เดินผ่านใครก็ทักทายเสียงดัง จนมีคนแซวว่าคู่นี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เมื่อไหร่จะมีข่าวดีหนอ

“เห็นหรือยังดาหวัน มีแต่คนบอกว่าเราสองคนเหมาะสมกัน” 

“ความคิดคนเรามันน่ากลัวนะสมบัติ โดยเฉพาะการคิดไปคนเดียว”

เจอย้อนแบบนี้ก็เล่นเอาสมบัติเบรกรถตัวโก่ง ดาหวันตกใจ กำลังจะด่า ก็พบว่าเขาพามาถึงบ้านแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่สูจะคิดเหมือนข้าบ้าง” เขาเสียงอ่อย

“ขอบคุณที่มาช่วยข้านะ ข้าเข้าบ้านก่อนละ” เธอไม่สนคำถาม รีบโบกมือเป็นเชิงบอกให้ชายหนุ่มกลับไปเสีย ชายหนุ่มจึงยอมปั่นจักรยานคู่ใจกลับไปโดยดี

ดาหวันหมุนตัวเข้าบ้าน สังเกตเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใครคนนั้นเหมือนคนที่เธอมักจะฝันถึง

“พี่พรเทพ” 

ดาหวันแทบลืมความวิตกทุกสิ่งอย่าง การปรากฏตัวของชายหนุ่มคือน้ำทิพย์ที่ล้างความขุ่นหมองในกมลให้หมดไป

“พี่มาเยี่ยมลูก เลยแวะมาหาสู” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นถุงของฝากให้ “ข้าวซอยร้านในเวียงฝาง พี่ซื้อมาฝากดาหวันและแม่”

หญิงสาวยิ้มแฉ่ง รีบรับไว้ด้วยความเกรงใจ

“พี่พรเทพไม่น่าลำบากเลย เงินทองเป็นของหายาก” 

“ไม่ลำบากเลยสักนิด ดาหวัน ตอนนี้พี่พอมีเงินมีทองแล้ว เจ้านายที่พี่ทำงานอยู่ด้วยท่านใจดี”

ดาหวันแววตาชื่นชม “แสดงว่าอีกไม่นานพี่จะ...” เธอเว้นจังหวะหายใจด้วยความตื่นเต้น “มารับอีดาวกับอีเดือนไปอยู่ด้วยใช่ไหม”

เขายิ้มและพยักหน้า “แต่คงอีกสักระยะ สูยังเชื่อใจพี่ใช่ไหม”

ทุกอย่างรอบตัวช่างสวยงาม ดาหวันหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเชื่อใจพี่อยู่แล้ว” เอ่ยแค่นี้หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าเธอก็ยังรอเขาเสมอ

“แล้วอาการลุงคงเป็นยังไงบ้าง” ดาหวันรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เขาจับพิรุธได้ว่าเธอดีใจเกินเหตุ

“ยังนอนซม สงสารก็แต่อีดาวเหนือที่คอยหุงหาอาหาร ทำความสะอาดบ้านคนเดียวหมด” 

บุญคงกลับจากโรงพยาบาลมานอนพักฟื้นอยู่บ้าน แต่ยังใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ เขากลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่พูดไม่จากับใครนอกจากหลานสาว

“อีดาวเหนือมันเก่ง ข้าสอนมันเสมอว่า ถ้ายึดมั่นในความดี ยังไงก็ไม่ลำบาก”

“ขอบใจนะดาหวันที่ช่วยดูแลอีดาวกับอีเดือนมัน เออ...แล้วแม่สูเป็นยังไงบ้างล่ะ” 

พอเขาถามถึงแม่ ดาหวันก็ใจหาย หวังว่าพรเทพจะยังไม่รู้ว่าคนลือกันไปทั่วแล้วว่าแม่ของเธอเป็นผีพราย เพราะถ้ารู้ กลัวเหลือเกินว่าพี่คนดีจะรังเกียจอีดาหวันคนนี้ไปด้วย

“ก็เหมือนเดิมแหละพี่ นอนอยู่บนบ้าน ตอนนี้คงหลับอยู่” รีบตัดบทเพราะไม่อยากให้เขาเห็นสภาพแม่ตน

“เสียดาย พี่ว่าจะขึ้นไปเยี่ยมเสียหน่อย” เขาชะเง้อไปบนบ้าน

“ไม่เป็นไร แค่พี่แวะมาหา ข้าก็ดีใจแล้ว” ดาหวันเอ่ยตามใจคิด พี่พรเทพคือกำลังใจชั้นดีที่ทำให้เธอมีแรงสู้ต่อ

นั่งคุยกันสักพัก เขาจึงขอตัว “พี่ต้องไปละนะ” 

“เดินทางปลอดภัยนะพี่ ข้าจะรอให้พี่กลับมาเยี่ยมอีกนะ”

หนุ่มคนซื่อเงียบ แต่ยังมองหญิงสาวตาเป็นประกาย ช่วงเวลานั้นเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน ดาหวันตัวชา หัวใจพองโต พรเทพยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไปแตะแขนเธอเบาๆ

“พี่จะมาอีกแน่นอน”

ดาหวันมองตามแผ่นหลังกว้างจนเขาหายลับไปจากสายตา ทิ้งให้หญิงสาวจมอยู่กับความหวังอีกครั้ง...โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครแอบมองเธออยู่ด้วยความน้อยใจ

 

ผ่านไปสามสัปดาห์ก็ถึงวันเพ็ญเดือนเกี๋ยงเหนือ หรือวันออกพรรษา

ชาวบ้านสันทรายตื่นแต่เช้าไปวัดทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ ต่างคนต่างหอบข้าวของพะรุงพะรังประกอบด้วยกรวยดอกไม้ อาหารคาวหวาน มุ่งหน้าไปที่ศาลาการเปรียญ คนล้านนาเชื่อว่าเมื่อได้ทำบุญเข้าพรรษาแล้วก็ต้องทำบุญออกพรรษาด้วย ถ้าไม่ไปวัดในวันนี้ ‘พรรษาจะขำก้น’ คือเข้าแล้วไม่ยอมออก เหมือนกับกินอาหารทางปากแล้วไม่ยอมถ่ายออกทางก้นฉันนั้น

ในศาลาพระภิกษุและสามเณรต่างสวดมนต์ให้พรเสียงขรม ส่วนอีกฟากเด็กวัดช่วยกันถ่ายอาหารจากขันข้าวของชาวบ้านใส่ภาชนะของวัด

ยามสาย พระฉันมื้อเช้าเสร็จ เด็กชายวินัยซึ่งสาละวนกับการคัดแยกกองข้าวของที่คนมาทำบุญก็ถูกหลวงปู่กวักมือเรียก

“วันนี้มีคนช่วยงานที่วัดเยอะอยู่ มึงเลือกเอาขนมไปฝากตามึงที่บ้านสิ” หลวงปู่บอก 

เด็กน้อยวัยหกขวบรับคำตาแป๋ว รีบหาตะกร้าใบเล็ก แล้วเลือกอาหารและขนมที่มีมากมายใส่ลงไป ไม่นานก็วิ่งปร๋อออกนอกรั้ว

หลวงปู่มองตามด้วยความเห็นใจ วินัยลูกชายแสงหล้ามาอยู่วัดตั้งแต่อายุหกขวบ บุญคงผู้เป็นตาบอกว่า พ่อมันไปทาง แม่มันไปทาง จึงขอฝากมาพึ่งใบบุญหลวงปู่ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ หากมันโตพอก็จะให้บวชเรียนเสีย

หลวงปู่ไม่ขัด เลี้ยงหมาแมวยังเลี้ยงได้ แค่เด็กคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ วินัยเองก็เป็นเด็กดี ตั้งใจช่วยงานในวัด เข้ากับเณรและเด็กวัดคนอื่นได้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นหลวงปู่ก็มักแอบเห็นมันร้องไห้เงียบๆ อยู่หลังวิหาร คงคิดถึงครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

‘มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก วินัยเอ๋ย อย่ายึดติดกับมันเลย ที่เราเห็นวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีแล้ว’ หลวงปู่เคยบอกวินัย หวังให้เขายอมรับชะตากรรมที่เล่นตลก

 

เด็กน้อยกึ่งเดินกึ่งวิ่ง หวังให้ถึงบ้านผู้เป็นตาให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นเมื่อก่อน วันพระก็คงได้พบตาของเขาอยู่บ้าง แต่ตั้งแต่บุญคงขาหักก็ไม่ได้เจอกันอีก วินัยมองข้าวของที่มีมากมายเต็มตะกร้า คิดว่าทุกคนที่บ้านต้องดีใจที่วันนี้จะได้กินของฝากจากหลวงปู่ เท้าน้อยๆ ย่ำไปตามถนนลูกรัง ก่อนจะข้ามสะพานมุ่งตรงไปยังบ้านไม้หลังเก่า เด็กน้อยแปลกใจเมื่อพบว่าใครคนหนึ่งกำลังถอยหนีมาจากประตูบ้านพร้อมข้าวของที่ถูกเขวี้ยงออกมา

แสงหล้า แม่ของเด็กชายนั่นเอง เขาจำแทบไม่ได้ เพราะไม่เจอหน้ากันหลายเดือน

“เออ ไม่อยากเห็นหน้าข้า ข้าไม่อยู่ก็ได้โว้ย! คนแก่อะไรเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ยอมปลง” แสงหล้าตะโกนด่าเข้าไปด้านใน

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู ไปไหนก็ไป” บุญคงไม่ยอมแพ้ ขว้างของออกมาอย่างต่อเนื่อง 

ลูกสาวแบะปากใส่ ก่อนจะปัดเนื้อตัวสำรวจว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บหรือไม่ จนรู้สึกว่ามีใครมองอยู่ด้านหลัง

“วินัย” 

เด็กน้อยยืนกะพริบตาปริบๆ

“ไปไงมาไงล่ะเนี่ย” แสงหล้าปรี่เข้าไปหาและลูบผมเด็กชายที่ดูผอมกะหร่องไปจากเดิมมาก

“กูมาหาตา มึงไปไหนมาเหรอ อีแสงหล้า” 

คำตอบทำเอาคนเป็นแม่สะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ลูกๆ ทุกคนคงโดนบุญคงเสี้ยมสอนให้เรียกเธอว่า ‘อีแสงหล้า’ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“แม่มาเยี่ยมตา วินัยสบายดีไหม”

เด็กชายพยักหน้าพร้อมบอก “กูเอาข้าวกับขนมมาให้ตากับน้อง”

แสงหล้ามองในตะกร้า จึงเข้าใจว่าคงเป็นอาหารที่มาจากวัด

“ความจริงแม่ก็เอามาฝากตากับน้องเหมือนกัน” แสงหล้าหมายถึงข้าวของที่เธอเตรียมมาให้ผู้ใหญ่ตามประเพณีวันออกพรรษาของคนเหนือ

“มึงยังไม่ออกบ้านกูไปอีก อีแสงหล้า” บุญคงซึ่งได้ยินเสียงลูกสาวตัวดียังหัวเสีย อาละวาดทุบเรือนต่อ โดยมีหลานสาวในบ้านคอยร้องห้าม

แสงหล้าถอนหายใจ “แม่ไปก่อนนะวินัย ได้ฤกษ์บวชเณรเมื่อไหร่ ให้หลวงปู่มาบอกแม่ด้วยนะ”

เธอจับแก้มลูกชายและถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหิ้วกระเป๋าเดินออกจากรั้วบ้านไป

วินัยหันมองตามหลัง แม้จะเคยร้องไห้ที่แม่ทิ้งเขาไปจากอ้อมอก ทว่าเวลานี้สัจธรรมจากหลวงปู่สอนให้เขาเข้าใจแล้วว่า คนไม่รัก ต่อให้รั้งไว้อย่างไรก็ไม่ยอมอยู่

เด็กน้อยจึงถือตะกร้าและเดินเข้าไปในบ้านของผู้เป็นตา

บุญคงกำมือแน่น หายใจแรง เพราะความโกรธยังอัดแน่นในอก เสียงลูกสาวตัวดีเงียบหายไป แต่มีเด็กชายตัวน้อยเดินเข้ามาแทนพร้อมข้าวของเต็มมือ

“ไอ้วินัย” 

เด็กชายยิ้มรับ ยื่นของที่นำมาให้ดาวเหนือและเดือนเด่น แล้วจึงมานั่งข้างๆ ตา

“ตาเป็นยังไงบ้าง” วินัยถาม

ชายชรารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกคอ “ข้าก็สบายดี เพียงแต่ยังเดินไม่ได้เหมือนเดิม” เขาฝืนตอบให้ดูเข้มแข็ง

“ข้าอยากมาช่วยตาทำงานที่นา” เด็กน้อยเอ่ยตาแป๋ว พอเห็นสภาพตาตัวเองที่ไม่ค่อยสบาย วินัยก็อยากมาช่วยงาน

“ตัวมึงเท่าลูกหมา ยังจะมาช่วยกู เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงด่าหลานชายแรงกว่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่าน บุญคงเริ่มรู้สึกแล้วว่า ถึงเด็กๆ จะเป็นภาระในการเลี้ยงดู แต่ก็ยังเป็นห่วงตัวเขามากกว่าใคร

มากกว่าลูกในไส้ด้วยซ้ำ...

“จริงๆ นะตา ข้าทำได้ ให้ข้ามาอยู่ด้วย ข้าจะได้ช่วยพี่ๆ ดูแลตา” วินัยยังคะยั้นคะยอ

ชายชราส่ายหัว ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาใสซื่อ “มึงอยู่กับหลวงปู่ดีแล้ว ถ้าอายุถึงเกณฑ์ก็บวชเรียนไปเสีย”

“แต่ว่าข้าอยากอยู่กับอีดาวและอีเดือน” วินัยหน้าเศร้า

“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงพี่เป็นห่วงน้อง แต่วิธีนี้ดีที่สุดแล้วไอ้วินัย บวชเรียนหนังสือ จบมาค่อยมาทำงานกับกูก็ได้ ถือว่ากูขอนะ”

วินัยจำเป็นต้องพยักหน้า บุญคงเอื้อมมือไปลูบผมเบาๆ 

ให้วินัยได้บวชก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ขอผ้าเหลืองช่วยคุ้มกันให้มันปลอดภัย เติบใหญ่เป็นคนดี ส่วนอีดาวกับอีเดือน ชายชราเริ่มมีแนวคิดจะให้สองพี่น้องได้เรียนหนังสือ เพราะอยากให้มันฉลาดกว่าแม่มันนัก

“ไหน เอาอะไรมาให้ตากิน อีดาวจัดขันโตกแล้วมากินข้าวด้วยกัน”

วินัยยิ้มร่า ปรี่เข้าไปช่วยพี่สาวจัดสำรับ บุญคงมองภาพนั้นด้วยความอิ่มใจ คงจะเป็นมื้อเช้าที่อร่อยกว่าวันไหน

 

                แสงหล้าหัวเสีย อุตส่าห์ตั้งใจจะมาทานขันข้าวให้ผู้เป็นพ่อ กลับถูกด่าขับไล่อย่างกับหมูกับหมา ทำอย่างไรบุญคงก็ไม่ให้อภัย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปสมบัติอะไรที่เป็นของบิดา เธอคงไม่ได้สักอย่าง

                ถึงจะมั่นใจว่าจำรัสเลี้ยงดูเธอได้ไม่อดอยาก แต่หลังจากบุญคงล้มป่วยขาหัก ทั้งบัวเรียวและบุญภพต่างก็พูดเรื่องแบ่งมรดกกันแล้ว

สองคนนั้นบุญคงยังพูดจาดีด้วย แต่เธอแค่หน้าบิดาก็ไม่อยากมอง หากบุญคงเป็นอะไรไป พี่ทั้งสองอาจจะฮุบเอาสมบัติทั้งหมด แล้วอ้างว่าบิดาไม่ยินยอมมอบอะไรให้เธอ

ไม่ได้ เธอไม่ยอม อย่างน้อยเธอก็ลูกบุญคงเหมือนกัน หนำซ้ำยังเป็นลูกที่เขารักที่สุด

“ใจเย็นๆ ลูกสองคนของมึงก็อยู่ด้วย ยังไงพ่อคงก็ไม่โกรธมึงนานหรอก” อัมพรปลอบใจเพื่อนหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากแสงหล้าที่เล่าด้วยความหงุดหงิด

“พ่อข้าบอกว่า ไม่มีข้าก็มีความสุขดี ข้าวปลาอีเดือนก็คอยทำให้ ส่วนเรื่องไร่เรื่องนา ไอ้สมบัติมันก็มารับจ้างทำแทนตีนแทนมือ”

“พ่อคงเป็นคนมีเงินเยอะ เพียงแต่ว่าขี้เหนียวไปหน่อย” น้อยโหน่งเอ่ยสมทบ

“มีเงินจ้างไอ้สมบัติมาทำนา แต่พอจะเลี้ยงหลานมาทำเป็นบ่น แถมยังเอาของทำบุญในวัดมากิน น่าอายนัก” แสงหล้าส่ายหัว พ่อเธอถือว่าเป็นคนมีเงินมีทองอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนขี้เหนียวพอสมควร

“เรื่องไอ้สมบัติ พ่อสูคงเห็นใจอีดาหวัน เพราะมันคอยมาดูแลพ่อคงและช่วยอีดาวอีเดือนทำงาน” อัมพรสุมไฟในอก 

พอบุญคงขาหัก ดาหวันก็คอยมาเยี่ยม ดูแลดาวเหนือและเดือนเด่น ส่วนสมบัติก็มาเป็นคนงานในทุ่งนา ดูเหมือนว่าบุญคงจะวางใจหนุ่มสาวทั้งคู่ไม่น้อย

“ระวังไว้ อีดาหวันจะมาแย่งของของมึงไป” น้อยโหน่งเสริม

“หึ ข้าไม่มีวันยอมแน่” แสงหล้าหายใจแรง “แล้วอาการแม่ผีพรายมันเป็นยังไงบ้างแล้ว”

“ก็เหมือนเดิม ทรงๆ ทรุดๆ วันก่อนมันยังมาหาที่ศาลาขอเจ้าพ่อช่วยรักษาแม่มัน แต่ดันไม่มีเงินสักบาท ที่น่าเจ็บใจคือไอ้สมบัติมันตามมา พูดจาหมิ่นเกียรติเจ้าพ่อ เอาเชือกมาหลอกเจ้าพ่อว่าเป็นงู ดีนะที่เจ้าพ่อท่านยังนิ่ง ไม่ตกใจเลย แต่มีชาวบ้านหลายคนไม่พอใจเรื่องนี้” น้อยโหน่งรีบเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้แสงหล้าฟัง

“สามหาวนัก ทั้งอีดาหวันและไอ้สมบัติ ข้าชักจะรอไม่ไหวแล้วนะว่าเมื่อไหร่ผีพรายหรือเจ้าพ่อจะเล่นงานมันให้หลาบจำ” แสงหล้าเอ่ยพร้อมกับครุ่นคิด ตาวาวโรจน์

“จะว่าไป ถ้ารอเจ้าพ่อหรือผีพรายไม่ได้ ข้าก็พอมีวิธีนะ” เธอหันไปบอกร่างทรงเจ้าพ่อและลูกศิษย์

“วิธีอะไร” อัมพรและน้อยโหน่งเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

แสงหล้ายิ้มกริ่ม ก่อนจะเขยิบตัวเข้าใกล้ทั้งสอง เพราะกลัวว่าใครจะได้ยินบทสนทนา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น