2

ความเกลียดไม่เคยจางหาย



2

ความเกลียดไม่เคยจางหาย

 

โฟล์กสวาเกนสีฟ้าเคลื่อนผ่านแมกไม้สีเขียวเข้มสลับอ่อนของฤดูร้อนอย่างเชื่องช้า ช้ากว่าระดับการขับรถบนถนนในกรุงเทพฯ ที่การจราจรแน่นขนัดเสียอีก

หลังจากพยายามหาเหตุผลเพื่อยืดเวลาการกลับไร่ตะวันฉายได้สักพัก วันฟ้าใหม่ก็หมดข้ออ้างใดๆ อีก ปัณศรกับโภคินตัดสินใจจะสอบเข้ารับราชการในกรมป่าไม้ จึงเริ่มตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบจนเธอไม่ได้เห็นหน้ามาหลายสัปดาห์ วันฟ้าใหม่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เพื่อหวังให้ความหวั่นวิตกนานาประการทุเลาลง ที่รบกวนจิตใจมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่เธอต้องเผชิญหน้ากับอาทิตย์อีกครั้ง แม้ว่าความต้องการครอบครองจะหมดไปจากใจแล้ว แต่ความรู้สึกผิดยังแจ่มชัดอยู่ทุกอณู

เขาไม่ได้โกรธเธอแล้วจริงๆ หรือ เธอเชื่อที่ครองประทีปพูดเพียงครึ่งเดียว แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เธอไม่อาจผิดสัญญากับคนที่คอยพยุงเธอให้พ้นจากช่วงเวลายากลำบาก และการยืดเวลาทำตามสัญญาออกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอต้องกลับไร่ตะวันฉายแล้วจริงๆ

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ไม่นาน สุดท้ายวันฟ้าใหม่ก็พารถมาถึงทางเข้าไร่ตะวันฉายจนได้ เธอชะลอรถมองดูป้ายขนาดใหญ่ ก่อนเลื่อนสายตาลงมาพินิจสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่สไตล์คันทรี มันคือร้านอาหารซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงร้านเล็กๆ มีไม่กี่โต๊ะ ตอนนี้ถูกปรับปรุงใหม่จนเธอแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ ฉากหลังของร้านคือไร่องุ่นอันกว้างใหญ่ไพศาล วูบหนึ่งเธอคิดถึงความทรงจำในระยะเวลาสั้นๆ ที่ตนพำนักอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเธอก็เคยเรียกที่นี่ว่าบ้าน

...เป็นบ้านที่ไม่เคยมีใครต้อนรับเธอ

หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา ความรู้สึกของคนกำลังเดินลงหุบเหวเป็นเช่นนี้นี่เอง

“เอาวะ สี่ปีมาแล้ว...คนที่นี่คงไม่ผูกใจเจ็บยาวนานขนาดนั้นหรอกมั้ง เราอาจจะคิดมากไปเอง”

กำลังใจเริ่มกลับมาอีกครั้ง วันฟ้าใหม่ยืดตัวตรง สูดลมหายใจเข้าลึก แววตามาดมั่น

“แค่สองปี เราทำสวนกล้วยไม้ให้คุณลุงเรียบร้อยแล้วจะไปให้ไกลเลย”

 

แม้ภายนอกไร่ตะวันฉายจะเปลี่ยนไปมาก แต่พอวันฟ้าใหม่พารถเคลื่อนเข้ามายังอาณาบริเวณของเรือนสุริยะสกุล เธอก็พบว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เรือนไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ฉากหลังคือภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามเหมือนภาพวาด

ภาพที่เคยสะกดสายตาเธอตั้งแต่คราแรกที่มา เธอชอบที่นี่ แต่ไม่มีความรัก เธอไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเหน็บหนาวลึกๆ เมื่อรับรู้ถึงความไม่เป็นที่ต้องการ คนที่นี่เกลียดเธอ

หญิงสาวจอดรถแล้วจัดการลากกระเป๋าใบโตมาวางที่พื้น ข้างในกระเป๋าคือเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย และหนังสือจำนวนหนึ่ง เพราะไม่ได้คิดที่จะอยู่ถาวรจึงใช้เงินมรดกซื้อคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุถึงเกณฑ์ที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ข้าวของส่วนมากถูกเก็บไว้ที่นั่นรอวันเธอกลับไป

อากาศร้อนระอุทำให้เริ่มมีเหงื่อซึมจนเสื้อเปียก วันฟ้าใหม่ดึงยางรัดผมที่ข้อมือมารัดผมของตนไว้ ก่อนจัดการลากกระเป๋าขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเอาของมามากเกินไป

“หนึ่ง สอง ซั่ม ฮึบ!” วันฟ้าใหม่ออกแรงยกกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่ภารกิจสั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ใบหน้ากระจ่างใสมีรอยยิ้ม

ทว่าขณะที่กำลังดีใจอยู่นั้น บางสิ่งก็ทำให้เธอรู้ว่าตรงนั้นไม่ได้มีตัวเองยืนอยู่คนเดียว

ตรงหน้าคือโต๊ะรับประทานอาหารตัวเดิมที่ตั้งอยู่ริมระเบียงบ้านสุริยะสกุล มันยังตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นเดิมดังเช่นก่อนเธอจากไป แต่เพราะสมาชิกที่นั่งกันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารนั่นต่างหากที่ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ

หัวโต๊ะคือครองประทีป ประมุขของไร่ตะวันฉาย ชายสูงวัยมองมาที่เธอด้วยความยินดีอย่างไม่ปิดบัง ด้านขวาเป็นหญิงสูงวัยที่แม้ว่าใบหน้าจะเริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งความชรา แต่ก็ยังมีเค้าความงามเด่นชัด นางคือทับทิมคนที่แสนจะเกลียดชังเธอและดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังเกลียดไม่เปลี่ยนแปลง อีกฝั่งคือหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ผมดำขลับยาวประบ่า ใบหน้าหวานซึ้ง หล่อนคือพนิตนันท์ ลูกสาวเจ้าของรีสอร์ตชื่อดังในอำเภอปากช่องที่มีความสนิทสนมกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตของหล่อนที่มองมายังเธอนั้นยากจะคาดเดาความรู้สึก

และคนสุดท้ายที่นั่งติดกับพนิตนันท์คือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคล้ามแดดขึ้นเล็กน้อย แต่วันฟ้าใหม่มองว่ามันทำให้เขาดูหล่อสมบูรณ์แบบมากขึ้น ทว่าเธอไม่มีแก่ใจจะมัวมาชื่นชมความหล่อ เมื่อดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองมาคล้ายกับหมายจะสังหารเธอ

ไม่พบกันตั้งสี่ปี เขายังมีแววตาเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง

‘ไหนว่าไม่โกรธแล้วไง นี่ถ้าสายตาฆ่าคนได้ วิญญาณเราคงถึงมือยมบาลไปแล้ว กลับตอนนี้ทันไหมวะ’

วันฟ้าใหม่หายใจไม่ทั่วท้อง จะกลับก็ไม่ได้ จะเดินหน้าก็ไม่มีหนทาง เธอยกมือขึ้นไหว้ทุกคนหลังจากคิดได้ว่าควรทักทายตามมารยาทไทยก่อนเป็นอันดับแรก

“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่นาง พี่อาทิตย์” ข้อความสุดท้ายของเธอแผ่วเบาอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หญิงสาวก้มหน้างุด แต่มิวายเหลือบมองคนที่โต๊ะรับประทานอาหาร ปรากฏว่าสายตาแห่งความเกลียดชังยังโจมตีมาที่เธออย่างไม่ลดละ พานให้ขนแขนลุกชัน

ครองประทีปเดินรี่มาหา ใบหน้าของชายสูงวัยกระจ่างไปด้วยรอยยิ้ม

“หนูแป้ง มาได้ยังไงลูก ทำไมจะมาไม่บอกลุงก่อน จะได้เตรียมห้องหับไว้ให้ มะปราง เอ็งไปดูห้องให้คุณแป้งหน่อยไปเร็ว ให้คนไปทำความสะอาดห้องเดิมของคุณแป้งตอนนี้เลย” ครองประทีปหันไปสั่ง ก่อนกลับมาสนใจผู้เพิ่งมาถึงอีกครั้งพลางสัมผัสหัวไหล่บอบบางด้วยความเอ็นดู “ไปอยู่ที่โน่นเสียนาน ข้าวของมีแค่กระเป๋าใบเดียวเองหรือ หรือว่าอยู่ในรถ ลุงจะให้คนไปยกมาให้”

วันฟ้าใหม่รู้สึกว่าลำคอแห้งผากเป็นผง กับครองประทีปนั้นเธอได้พบอยู่เนืองๆ เพราะชายสูงวัยขยันไปเยี่ยมเธอไม่ต่ำกว่าปีละสามครั้ง กอปรกับมีการสนทนาทางโทรศัพท์ตลอดจึงทำให้ความสนิทสนมมีอยู่มาก แต่อีกสามคนที่นั่งคอแข็งอยู่ที่โต๊ะนั้น ถ้าวันนี้จะเรียกว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ไม่ผิดอะไรนัก

“คุณลุงคะ แป้งขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ”

 

วันฟ้าใหม่นั่งกะพริบตาปริบๆ อยู่ที่โถงกลางของเรือนสุริยะสกุลร่วมกับพนิตนันท์และบรรดาสาวรับใช้ที่มองเธอปานจะกินเลือดกินเนื้อ เจ้านายของพวกนั้นหายเข้าไปในห้องทำงานของครองประทีป แว่วเสียงภายในห้องที่ดังออกมาพอให้เดาได้ว่าด้านในกำลังถกเถียงกันอยู่ด้วยประเด็นปัญหาที่มาจากตัวเธอ หญิงสาวถอนหายใจก่อนหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องเช่นเดียวกับเธอ

พนิตนันท์ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลย เธอสวยน่ามองเพราะผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าสวยหวาน วันฟ้าใหม่เคยคิดอิจฉาความงามของเจ้าหล่อน ความจริงแล้ว...เธอน่าจะอิจฉาในความสัมพันธ์อันดีระหว่างหล่อนกับอาทิตย์มากกว่า

อย่ากระนั้นเลย พนิตนันท์เองก็ไม่น้อยหน้าเธอเท่าใดนัก เรียกว่าศีลเสมอกันก็ว่าได้

...

‘ทีหลังไม่ต้องหอบข้าวปลาอาหารมาให้นะ ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ไม่ต้องคิดจะอยากมาทำบุญ’

วันฟ้าใหม่ในวัยย่างสิบเจ็ดปียืนกอดอกกล่าวกับหญิงสาวผู้มีอายุมากกว่าหลายปีโดยไม่คิดกริ่งเกรง แววตาดื้อรั้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตร

‘ใช่ไม่ใช่ ที่นี่ก็รับเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่มาอยู่ด้วยตั้งหนึ่งคน นิสัยเสีย พฤติกรรมแย่เหมือนไม่เคยมีคนสั่งสอน ถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาของคุณลุง มีหรือคนอย่างเธอจะได้ลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่’

‘เธอว่าใครไม่มีพ่อแม่’ วันฟ้าใหม่โกรธจนตัวสั่น นัยน์ตาแดงจัดอย่างที่พยายามกลั้นน้ำตาแห่งความคับแค้นไม่ให้ร่วงริน

‘เธอไง ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ฉันพูดผิดตรงไหนเหรอ’

วันฟ้าใหม่ในวันนั้นช่างโง่เขลานัก ต่างจากอีกฝ่ายที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ ว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างพนิตนันท์ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูฉลาดทันคน และมักจะทำให้คนที่ไร้วุฒิภาวะอย่างวันฟ้าใหม่สติแตกได้เสมอ ด้วยบันดาลโทสะเด็กสาวจึงก้าวเท้าไปผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนร่วงไปกองที่พื้น เหมือนชะตาเธอยังเลวร้ายไม่พอ อาทิตย์เปิดประตูมาเห็นภาพนั้นเต็มสองตา

...

วันฟ้าใหม่เผลอพ่นลมหายใจออกมาเมื่อจำสีหน้าของอาทิตย์ได้ดี เขาไม่ต่อว่าอะไรเธอ คงเพราะไม่อยากเสวนาด้วย แต่รีบปรี่เข้าไปหาร่างที่กองอยู่กับพื้นทันที ปลอบประโลมพะเน้าพะนอพนิตนันท์ จนเธอในเวลานั้นแทบจะลงไปดิ้นกับพื้นด้วยความเจ็บใจ

ตอนนั้นกับวันนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เธอไม่มีความรู้สึกริษยาความงามของพนิตนันท์อีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นความชื่นชมอย่างเงียบๆ เมื่อได้จ้องมองใบหน้าสวยหวานน่ามองของเจ้าหล่อนที่บัดนี้สวยสะพรั่งกว่าแต่ก่อนมาก คงเป็นเพราะดูแลตัวเองมากขึ้นตามวัย รสนิยมการแต่งกายก็ดูทันสมัยเรียบร้อยมาก

“คุณไม่เห็นใจลูกกับฉันบ้างหรือคะ เด็กคนนั้นจะทำให้ครอบครัวเราพัง ฉันยอมอยู่ร่วมชายคาบ้านกับเด็กโกหกสร้างเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”

เสียงทับทิมดังลอดช่องประตูมากระทบโสตประสาทคนฟังด้านนอก วันฟ้าใหม่ไม่ได้โกรธที่ทับทิมกล่าวถึงเธอแบบนั้น เพราะหากเป็นเธอ เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะทนรับพฤติกรรมของวันฟ้าใหม่เมื่อสี่ปีก่อนได้หรือไม่ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ทับทิมพูดมาก็ถือว่าสมควรแล้ว

ผลัวะ!

ประตูห้องถูกเปิดออก ทับทิมก้าวข้ามธรณีประตูออกมา ใบหน้าเรียบตึงเหมือนมีคนตอกตะปูขึงไว้ก็มิปาน นางมองผู้เพิ่งมาถึงเหมือนจะสาปให้เป็นหิน ก่อนจะทำท่าฮึดฮัดสะบัดหน้าเดินหนีไป

อาทิตย์ลุกขึ้นยืนช้าๆ กล่าวกับบิดาด้วยเสียงอันดังเหมือนต้องการให้คนด้านนอกได้รับรู้ด้วย

“ที่นี่เป็นบ้านของพ่อนี่ครับ พ่อจะให้ใครอยู่หรือให้ใครไปผมคงห้ามไม่ได้ แต่ขออย่างเดียว อย่าให้เธอมายุ่งเกี่ยวกับผม ไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้าได้เป็นดี แค่ต้องหายใจใช้อากาศร่วมกันก็หนักหนาเกินทนแล้ว”

พูดจบแค่นั้นเจ้าของร่างสูงก็เดินออกจากห้องมาหยุดตรงตำแหน่งเดียวกับที่ทับทิมยืนก่อนหน้า

‘แม่ลูกนี้แววตาถอดกันมาเปี๊ยบ มองกันเหมือนจะฆ่าให้ตาย’ วันฟ้าใหม่สบตาสีน้ำตาลคู่นั้นวูบเดียวก็ต้องเหลียวมองทางอื่น

“น้องนางครับ เราไปกันเถอะ” อาทิตย์เดินไปหาพนิตนันท์ที่นั่งทำตาโตไร้เดียงสา

วันฟ้าใหม่เผลอแบะปาก กับเธอทำเหมือนจะฆ่าจะแกง ไม่ถึงนาทีก็หันไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับอีกคน นับถือในความสามารถด้านการปรับอารมณ์ของเขาเหลือเกิน อ้อ...ความสามารถในการเลือกปฏิบัตินั่นด้วย

อาทิตย์และพนิตนันท์พากันเดินลงจากบ้านไป วันฟ้าใหม่พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด โล่งใจที่สามารถรอดตายจากความอึดอัดก่อนหน้านี้มาได้

“ลุงขอโทษนะ ที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้”

ครองประทีปเดินออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่แววตาวิตกกังวลนั้นทำให้วันฟ้าใหม่ยิ่งรู้สึกผิดต่อชายสูงวัย เธอก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้ครองประทีปต้องพบกับความลำบากหลายต่อหลายครั้ง

ร่างบางในชุดเสื้อยืดแขนยาวลายขวางกับกางเกงยีนขายาวลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มกว้างๆ ให้ครองประทีปเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นทุกข์อะไรกับการถูกเกลียดชังจากทับทิมและอาทิตย์หรือใครๆ เธอเข้าใจในเหตุผลแห่งความเกลียดชังที่ทุกคนมีต่อเธอ

“แป้งโอเคค่ะคุณลุง ถ้าหากว่าคุณป้ากับพี่อาทิตย์ไม่สบายใจ แป้งจะไปอยู่บ้านพักคนงานก็ได้ค่ะ ที่นั่นน่าจะมีห้องว่างสักห้อง”

คำตอบของวันฟ้าใหม่ทำให้ครองประทีปหยุดความคิดทั้งหมด แล้วหันมาพินิจใบหน้าของหญิงสาวให้แน่ใจว่าคนที่พูดนั้นคือวันฟ้าใหม่ที่เขารู้จัก และก็พบว่าเธอไม่ได้พูดไปด้วยความประชดประชันหรือแกล้งพูดเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ตรงกันข้ามนัยน์ตาของหญิงสาวกลับสุกใสเปล่งประกายและจริงใจอย่างที่สุด

 

ไร่ตะวันฉายเป็นไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเนื้อที่เกือบสองพันไร่ เนื้อที่ส่วนมากเป็นไร่องุ่นทั้งสำหรับรับประทานสดและสำหรับแปรรูป พื้นที่บางส่วนปลูกผลไม้ตามฤดูกาล ผักออร์แกนิก มีฟาร์มปศุสัตว์ที่เลี้ยงทั้งโคเนื้อและโคนม ที่พิเศษเลยก็คือโรงผลิตไวน์และบรั่นดีขนาดใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่าความงามของพืชพันธุ์ธรรมชาติเสียอีก

เรือนพักคนงานตั้งอยู่ห่างจากบ้านสุริยะสกุลแค่สามร้อยเมตร มีสองลักษณะ แบบแรกเป็นเรือนไม้ห้องแถวสำหรับคนงานทั่วไป และบ้านไม้เป็นหลังยกพื้นสูงสำหรับหัวหน้าคนงานหรือผู้จัดการ

วันฟ้าใหม่ได้พักเรือนของหัวหน้าคนงานซึ่งปลูกแยกออกมาเป็นสัดส่วนจากเรือนไม้ห้องแถว เวลานี้บ้านพักคนงานยังเงียบสนิทเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน

“มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับคุณแป้ง” แสบวางกระเป๋าลงแล้วถามด้วยสีหน้าติดไปทางเรียบเฉย

วันฟ้าใหม่รู้ดีว่านายแสบไม่ค่อยอยากจะเสวนากับเธอเท่าใดนัก ตอนที่คุยกับครองประทีปที่เรือนใหญ่เธอก็เห็นว่าคนรับใช้ของบ้านสุริยะสกุลออกมายืนดูอยู่ตลอดเวลา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกในทางลบอย่างไม่ปิดบัง

“ไม่มีอะไรแล้วค่ะพี่แสบ ขอบคุณนะคะ” เธอยกมือไหว้

แสบรีบพนมมือรับไหว้เก้ๆ กังๆ มองอดีตเจ้านายขาวีนอย่างอึ้งๆ วันฟ้าใหม่ขบขันอยู่ภายในแต่ไม่พูดอะไร เธอลากกระเป๋าเข้าไปในบ้านแล้วทิ้งให้นายแสบยืนเกาหัวอยู่ตรงนั้น ไม่นานก็เดินลงจากบ้านไปโดยไม่พูดอะไร

ตะวันบ่ายคล้อย วันฟ้าใหม่นั่งลงบนตั่งไม้ในห้องโถง มองไปรอบๆ ตัวเรือนอันว่างเปล่าก็ได้ข้อสรุปว่าพรุ่งนี้เธอคงต้องเข้าตัวเมืองไปจัดการซื้อข้าวของอีกหลายอย่าง บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ความกว้างของตัวบ้านประเมินจากสายตาแล้วน่าจะมีพื้นที่ไม่เกินห้าสิบตารางเมตร ภายในแบ่งเป็นหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และบริเวณที่เธอนั่งน่าจะเรียกได้ว่าห้องอเนกประสงค์ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นใดนอกจากเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น

เธอคว้ากระดาษปากกามาจดเตือนความจำถึงสิ่งที่ต้องซื้อ ขณะที่กำลังคิดเรื่องจัดที่พักใหม่ อยู่ๆ แสงแดดอ่อนจากตะวันยามบ่ายก็ทำให้ดวงตากลมค่อยๆ ปรือลง เธอเอนตัวนอน แต่มือยังถือปากกากับกระดาษ

พักสายตาสักยี่สิบนาทีก็ดีเหมือนกัน

 

จากที่ตั้งใจพักสายตาแค่ยี่สิบนาที ปรากฏว่าวันฟ้าใหม่ตื่นมาพบกับความมืดสนิท ท้องฟ้ามืดแล้ว หญิงสาวสะดุ้งลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์ กดเปิดไฟฉายส่องหาสวิตช์ไฟ

“ตายเหอะ หลับไปตั้งสามชั่วโมง”

หญิงสาวบิดร่างบางไล่ความเมื่อยขบเพราะนอนบนพื้นแข็งๆ นานเกินไป เธอเดินสะลึมสะลือเข้าไปในห้องนอน คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

พออาบน้ำเสร็จ ท้องที่ไม่ได้รับประทานอะไรมาตั้งแต่กลางวันก็เริ่มประท้วง มองออกไปจากตรงที่เธออยู่หนทางนั้นมืดสนิท บ้านเรือนคนงานที่อยู่ไม่ไกลปิดประตูเงียบเชียบ ที่นี่ไม่เหมือนหอพักของเธอที่พอเดินลงมาข้างล่างก็พบกับร้านขายอาหารตลอดข้างทาง หรือถ้าดึกกว่านั้นก็ยังมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เธอสะเพร่าไปจริงๆ ที่ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท

ถึงอย่างไรก็คงหาอะไรกินวันนี้ไม่ทันแล้ว เธอคงต้องอดทนรอให้ถึงเช้า

“ได้มาม่าสักถ้วยก็คงดี”

คิดแล้วก็ปลงเพราะคงทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวเดินกลับไปล้มตัวลงบนที่นอน ดีที่เมื่อครู่เธอเห็นกองผ้าห่มใหม่สะอาดวางอยู่ที่ระเบียง ครองประทีปคงให้คนจัดหามาให้ ทำให้เธอไม่ต้องนอนปวดหลังทั้งคืน แต่ไยผู้เป็นลุงจึงไม่ยักให้คนนำอาหารมาให้เธอด้วยเล่า เพราะอาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่ม

วันฟ้าใหม่ลืมตามองเพดานว่างเปล่าอยู่หลายนาทีก่อนจะหลับตาลง แต่เธอเพิ่งตื่นหลังจากหลับไปสามชั่วโมงจึงไม่สามารถนอนหลับได้โดยง่าย ซ้ำยิ่งพยายามนอนให้หลับก็ยิ่งดูเหมือนเป็นการทำให้ความหิวแสดงตัวตนออกมามากกว่าเดิม

ราวสองชั่วโมง...ความอดทนของคนหิวก็ต้องหมดลง เธอต้องกินอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้...มิเช่นนั้นคืนนี้ต้องตายแน่ๆ

 

บ้านสุริยะสกุลเงียบเชียบไม่ต่างจากทั่วอาณาบริเวณในไร่ตะวันฉาย ไฟสีส้มเปิดเป็นบางดวงเมื่อสมาชิกในบ้านต่างแยกย้ายเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว เธอรู้ว่าครองประทีปและทับทิมนอนเร็ว ไม่เกินสองทุ่มครึ่ง คงจะมีก็แต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้านที่นอนดึกเป็นประจำ และดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะอยู่บ้าน

วันฟ้าใหม่ลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปข้างหลังบ้านอันเป็นส่วนของห้องครัว เธออยู่ที่นี่สามปี รู้จักทุกซอกทุกมุม และรู้ว่าเวลานี้ทั้งบ้านไม่มีใครสนใจห้องครัวแล้ว หญิงสาวเดินตรงไปที่ตู้เย็น พอเปิดตู้เย็นได้เธอก็คว้ากล่องน้ำผลไม้ออกมาเป็นอันดับแรก เทใส่แก้วใบใหญ่แล้วกระดกทีเดียวหมดไปครึ่งแก้ว พอน้ำผลไม้ช่วยคลายความหิวได้บ้างแล้วหญิงสาวก็คว้าถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาเปิด เทน้ำใส่แล้วส่งมันเข้าไมโครเวฟ แต่แล้วขณะที่เธอกำลังรอให้ไมโครเวฟทำงานเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าถ้วยเดียวคงไม่พอจึงเดินไปหยิบอีกถ้วยมาเทน้ำใส่ พอถ้วยแรกเสร็จจึงส่งถ้วยสองเข้าไปแทนที่แล้วกดปุ่มทำงาน

อาหารที่เลิศรสที่สุดก็ไม่อร่อยเท่าอาหารธรรมดายามเมื่อท้องหิว

วันฟ้าใหม่ตักบะหมี่ร้อนๆ ใส่ปาก ความร้อนทำให้เธอเกือบคายมันออกมา แต่สุดท้ายก็กลืนมันลงท้องไปได้ พอเริ่มชินกับความร้อนแล้วก็จัดการตักคำที่สอง สาม และสี่เข้าปากตามกันติดๆ

“คิดจะทำอะไรชั่วๆ อีกเหรอ”

เสียงที่ดังขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้วันฟ้าใหม่หันขวับไปมองทั้งที่เส้นบะหมี่ยังคาอยู่ที่ปาก เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร

‘พี่อาทิตย์’ วันฟ้าใหม่ตะโกนก้องในใจ พูดไม่ได้เนื่องจากปากเต็มไปด้วยเส้นบะหมี่ หญิงสาวตั้งสติชั่วครู่จึงจัดการกลืนมันลงท้องอย่างรวดเร็ว

ติ๊ง!

เสียงไมโครเวฟดังขึ้นเตือนว่าบะหมี่อีกถ้วยสุกแล้ว หญิงสาวกัดริมฝีปากส่งสายตาขอลุแก่โทษให้เจ้าของบ้านที่ตอนนี้ยืนมองเธอเหมือนกำลังจะจับผู้บุกรุกสักคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันส่งให้ใบหน้านิ่งขรึมดุมากขึ้นไปอีก

“คิดจะทำอะไร” ร่างสูงหกฟุตเศษเดินเข้าไปหาผู้บุกรุก มองอย่างไม่ไว้วางใจ อย่าว่าแต่สี่ปีเลย ต่อให้อีกร้อยปีเขาก็ไม่มีทางลืมว่าวันฟ้าใหม่ร้ายกาจเพียงใด

วันฟ้าใหม่ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ เธอกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นโครมครามเหมือนว่ามันจะกระดอนออกมาจากอก

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสี่ปีก่อนเธออยากได้ผู้ชายคนนี้เป็นสามี

หน้าตาเขาดุอย่างกับยักษ์...ไม่เห็นจะน่าพิศวาสตรงไหน

“ฉันถาม เป็นใบ้หรือไง” เสียงเข้มดังขึ้นอีกจนเกือบเป็นตะคอก

จะดุหาอะไรกันนักกันหนา...วันฟ้าใหม่ตั้งสติรวบรวมความกล้าบอกกับเขาไปด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

“แป้ง มาหาอะไรกินค่ะ”

“โกหก” เสียงเข้มนั้นโพล่งออกมาทันที “จะโกหกก็ทำให้มันเนียนกว่านี้หน่อยนะ คนอย่างเธอมีแผนเสมอนั่นแหละ คิดว่าตัวเองแกล้งลืมความชั่วที่เคยทำไว้แล้วคนอื่นเขาจะลืมด้วยอย่างนั้นเหรอ อยากรู้จริงๆ ว่าหน้าเธอทำด้วยอะไรถึงได้ด้านขนาดกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก”

‘อะไรกัน (วะ)’ วันฟ้าใหม่อุทานอยู่ในอกเพราะไม่รู้จะหาถ้อยคำไหนมาตอบโต้ น่าแปลกที่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเธอได้หลายประโยคกว่าที่ผ่านมา แต่ถ้าเลือกได้เธอจะขอให้เขามองผ่านแล้วเห็นเธอเป็นอากาศไปเหมือนครั้งอื่นๆ จะดีกว่า ไม่คิดเลยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะซ่อนวาจาร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้

“งั้น...ถ้าแป้งรกหูรกตาพี่อาทิตย์มาก แป้งกลับบ้านพักก็ได้ค่ะ” เธอรู้ว่าการโต้เถียงกับเขาไม่ต่างจากเดินเข้าไปหาเรื่องเหยียบตะปู และคนมีชนักติดหลังเช่นเธอควรหรือที่จะอยู่เผชิญหน้ากับคนที่แค้นตนขนาดนั้น

วันฟ้าใหม่ไม่ลืมหันกลับไปหยิบถ้วยบะหมี่ในไมโครเวฟ ความร้อนจากถ้วยทำให้เธอต้องรีบวางมันลงบนเคาน์เตอร์ โชคดีที่ไม่ทำมันหกเลอะเทอะให้วุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่ขณะที่กำลังสาละวนกับอาหารมื้อเย็นที่ล่วงเลยมาจนดึกดื่น เธอก็พบว่ารังสีอำมหิตจากดวงตาของอีกคนยังไม่จางหายไป

อาทิตย์จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย วันฟ้าใหม่เพิ่งสังเกตว่าเขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวสะอาดกับกางเกงนอนขายาวสีเทาจัมป์ข้อเท้า กล้ามยักษ์ที่เด่นชัดนั้นทำให้เธออดประเมินไม่ได้ว่าถ้าเขาบีบคอเธอ เธอจะตายในกี่นาที

ตายละ...เธอเขียนลายแทงบอกที่ซ่อนศพให้ปัณศรกับโภคินละเอียดดีหรือยังนะ

แต่แววตาช่างสำรวจของเธอนั้นทำให้อาทิตย์เข้าใจไปอีกทาง เขาคิดว่าวันฟ้าใหม่กำลังรู้สึกบางอย่างกับร่างกายของเขา เธอมองเขาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นมาหยุดที่หน้าอก

“เลว”

หา...วันฟ้าใหม่ใจกระตุกวูบ ก่อนความหวาดกลัวจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความกรุ่นโกรธเข้ามาแทนที่ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้ดีอะไรนัก ออกจะเลวทรามมากอย่างที่เขาพูดไม่ผิดเพี้ยน แต่ว่ากันขนาดนี้ก็ทำให้เธอเลือดขึ้นหน้าได้เหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็ควรจะมีมนุษยธรรมสักนิด มาต่อว่ากันยามที่เธอกำลังหิวจนจะกินคนได้ทั้งคนได้อย่างไร

“พี่อาทิตย์ ว่ากันแรงเกินไปแล้วนะคะ”

“หึ เกินไปเหรอ น้อยไปเสียด้วยซ้ำ คนแบบเธอฉันไม่จับฆ่าหมกป่าก็ดีตั้งเท่าไหร่ สมบัติที่พ่อเธอทิ้งไว้ให้มันไม่พอให้เธอไปเริ่มต้นชีวิตที่อื่นเหรอ เธอใช้หมดแล้ว หรือว่า...อยากจะได้อะไรจากที่นี่มากกว่าเงินทอง”

“อะไรที่ว่าคืออะไรเหรอคะ”

“ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ฉันไม่พูดให้ปากสกปรกหรอก”

“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดค่ะ แป้งกลับได้หรือยังคะ” เธอคร้านจะต่อความเพราะไม่อยากรับศึกสองด้าน แค่ความหิวก็ทำร้ายเธอได้มากพออยู่แล้ว

หญิงสาวก้มมองถ้วยบะหมี่ก็เห็นว่าควันยังลอยออกมาเป็นจำนวนมาก

“ขอยืมกล่องใส่อาหารหน่อยนะคะ” วันฟ้าใหม่หันไปขออนุญาตโดยไม่สนใจอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะมีควันพวยพุ่งออกจากหูไม่ต่างจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยนี้เท่าใดนัก

วันฟ้าใหม่เทบะหมี่ใส่กล่องอาหาร ก่อนหันไปเปิดตู้เย็นหยิบกล้วย ส้ม ขนมปัง และไส้กรอกยัดเข้าไปอีกกล่อง หลังจากนั้นเธอก็หอบกล่องอาหารเดินตัวลีบออกมา พอจะต้องผ่านร่างสูงเหมือนยักษ์นั่นหญิงสาวก็รีบโกยอ้าว อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่อยากตายตอนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นตอนที่ท้องเธอว่างแบบนี้

เจ้าของร่างสูงมองตามร่างที่ร้อนรนออกไป ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายวูบไหวคล้ายไม่แน่ใจบางอย่าง

“คิดจะมาไม้ไหน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น