1
ชีวิตใหม่
“ตุ่มใส่น้ำ ใส่น้ำให้เต็มตุ่ม ตุ่มใส่น้ำ ใส่น้ำให้เต็มตุ่ม แล้วเราก็ชื่นใจ แล้วเราก็ชื่นใจ ตุ่มตะลุ่มตุ่มโป๊ะ...”
เสียงเพลงสันทนาการดังไปทั่วบริเวณลานอเนกประสงค์อันเป็นสถานที่รับน้องของนิสิตคณะเกษตรศาสตร์ ทั้งรุ่นพี่ซีเนียร์และเหล่าเฟรชชีต่างพากันร้องรำอย่างสนุกสนาน
แต่วันฟ้าใหม่นั่งมองภาพความครื้นเครงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถอนใจไม่รู้นาทีละกี่ครั้ง คอยนับเวลาให้หมดไป ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนหญิงสาวก็ไม่มีแก่ใจจะรื่นเริงกับอะไรทั้งนั้น
อาทิตย์ปลอดภัยแล้ว แม้ร่างกายเขาบาดเจ็บ แต่ไม่ได้พิกลพิการอย่างที่เธอกังวลในตอนแรก กระนั้นเขาก็ต้องรักษาตัวอยู่นานนับเดือนเพราะกระดูกหักหลายส่วนและมีบาดแผลช้ำใน แน่นอนเธอไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมไม่ว่ากรณีใดๆ ซ้ำพอหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ทับทิมก็พากลับไปอยู่ที่บ้านแม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเพราะอะไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลยนับจากคืนที่เธอถอดเสื้อผ้าไปอยู่บนเตียงเขา
“ก็สมควรแล้วที่เขาเกลียด”
“ว่าอะไรนะ”
เสียงใครบางคนดังขึ้นใกล้หู ทำให้วันฟ้าใหม่ต้องหยุดคิดเรื่องของตัวเองแล้วกลับมาสู่โลกปัจจุบัน เจ้าของใบหน้ากลมแป้นกับดวงตาเรียวเล็กอย่างคนเชื้อสายจีนกำลังมองเธอด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เปล่า ฉันพูดไปเรื่อยเปื่อย” วันฟ้าใหม่กระซิบกลับไป ตายังมองไปด้านหน้าซึ่งขณะนี้ทีมสันทนาการแยกย้ายกันเข้าหลังฉากไปแล้ว กลายเป็นกลุ่ม ‘พี่ว้าก’ ยืนเรียงรายทำหน้าถมึงทึง
“นี่ ฉันชื่อขนุนนะ เธอพักหอในไหม ถ้าไม่ เรามาจับคู่เป็นบัดดีกันเถอะ พวกหอในจับคู่กันเองหมดแล้ว”
วันฟ้าใหม่ไม่ตอบ แต่มองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างประเมิน เธอเพียงแค่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพื่อนกับใครได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการใช้สายตาเช่นนี้ทำให้คนที่อยากจะเป็นมิตรกับเธอต่างพากันหายหน้าไปหมด
...แต่คงไม่ใช่กับหญิงสาวร่างอ้วนกลมสมชื่อคนนี้
“เธอล่ะ ชื่ออะไร”
“ฉันชื่อถุงแป้ง”
“ชื่อถุงแป้งตั้งแต่เกิด หรือเพิ่งมาเติม ‘ถุง’ ตอนโตล่ะ”
วันฟ้าใหม่ทำหน้านิ่ว งุนงงกับคำถาม เหตุใดเธอจะต้องมาเติม ‘ถุง’ ลงไปในชื่อตอนโตด้วยเล่า แต่พอได้คิดดูหญิงสาวก็พอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ “เรียกฉันว่าแป้งเฉยๆ ก็ได้”
พอบอกเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มแป้นจนดวงตาหยีมากยิ่งขึ้นอีก วันฟ้าใหม่อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนสามารถมองผ่อนช่องเล็กๆ ระหว่างเปลือกตานั่นได้อย่างไร มันแทบจะปิดอยู่แล้ว ทว่าวินาทีต่อมาความสนใจในตัวเพื่อนใหม่ก็หมดไป เสียงเข้มติดดุดันของวากเกอร์ดังจนทำให้นิสิตใหม่พากันนั่งเงียบกริบ วันฟ้าใหม่เผลอกลอกตาเป็นครึ่งวงกลมเมื่อเห็นหน้าเพื่อนร่วมชั้นปีซีดลง และบางคนทำเหมือนจะร้องไห้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังร้องเพลงสนุกสนานขนาดนั้น หรือเป็นแค่เธอที่ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
ไม่ใช่หรอก!
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้
เพราะเธอแทบไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความซึมเศร้ามานานแล้ว
“คิดถึงพ่อแม่เหรอ เห็นทำหน้าเหมือนถูกใครบังคับมา”
ปัณศรถามเมื่อพยายามเดินให้ทันเพื่อนใหม่ หลังจากการรับน้องเสร็จสิ้นลงในช่วงค่ำ นิสิตคณะเกษตรศาสตร์ต่างแยกย้ายกันกลับที่พักซึ่งส่วนมากจะอยู่หอในในช่วงปีแรก รุ่นพี่ต่างจับกลุ่มกันเดินไปส่งรุ่นน้องเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
เว้นแต่วันฟ้าใหม่กับปัณศร...
วันฟ้าใหม่หันไปมองร่างอวบอ้วนของเพื่อนใหม่ที่พยายามเดินลัดเลาะทางแคบๆ ซึ่งเต็มไปรถจักรยานยนต์เพื่อมาให้ถึงตัวเธอ
“เปล่า”
“เหรอ แล้วทำไมถึงเครียดขนาดนั้นล่ะ”
“นี่หน้าปกติ”
“เหรอ” ปัณศรขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจในหน้าที่เพื่อนบอกว่าปกติ ถ้าหน้าแบบนี้ปกติ แล้วถ้าเวลาเศร้าสีหน้าจะเป็นแบบไหนกันหนอ “เธอไม่ได้พักหอใน แสดงว่าบ้านอยู่ใกล้ ม. ใช่มะ อยู่แถวไหนล่ะ เผื่อนั่งรถกลับพร้อมกัน”
วันฟ้าใหม่ไม่ได้ตอบ แต่หยิบรีโมตมากดปลดสัญญาณล็อกรถ ไฟจากโฟล์กสวาเกนสีฟ้าอ่อนกะพริบสองหนพร้อมดังติ๊ดๆ เป็นคำตอบว่าวันฟ้าใหม่คงไม่ต้องนั่งรถกลับพร้อมปัณศร
ปัณศรอ้าปากค้างไปหลายวินาที ก่อนเดินเข้ามาใกล้รถคันดังกล่าวแล้วทำตาลุกวาว
“โอ้โห รถเธอเหรอ สวยมากเลยอะ” แววตาชื่นชมปรากฏบนใบหน้ากลมแป้นได้ไม่นานมันก็ค่อยๆ จางหายไป แบบนี้วันฟ้าใหม่คงไม่อยากเป็นเพื่อนกับตนแน่ๆ “งั้นฉันกลับก่อนนะ ไว้วันพรุ่งนี้เจอกันในคลาสเรียน”
วันฟ้าใหม่เห็นสีหน้าที่สลดแบบนั้นก็แปลกใจ แต่ไม่กล้าถาม นานมากแล้วที่เธอไม่ได้สนใจความเป็นไปของคนอื่น อย่างน้อยก็สามปีมานี้ การจะถามไถ่อะไรใครจึงเหมือนเป็นคำพูดที่เธอพูดไม่เป็น
ปัณศรหันหลังเดินจากไป วันฟ้าใหม่ก้มหน้ามองมือที่ถือรีโมต หัวใจดวงน้อยกลับมารู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้ง ทำอย่างไรหนอ ความอ้างว้างในหัวใจของเธอจึงจะหมดไปจากชีวิตเสียที
คงไม่มีวัน ตราบใดที่เธอยังจมอยู่กับความทุกข์ไม่เลิกรา
“ขนุน!” หญิงสาวร้องเรียก ปัณศรหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้างุนงง ก่อนรอยยิ้มจะคลี่ออกมาเมื่อวันฟ้าใหม่พูดต่อจนจบ “ติดรถฉันไปข้างนอกเถอะ กว่าจะเดินไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยก็จะมืดไปมากกว่านี้”
“เธอดูเป็นลูกคุณหนูเสียจนฉันสงสัยว่าทำไมถึงได้เลือกมาเรียนคณะเกษตร” ปัณศรถามหลังจากรถเคลื่อนตัวออกมาจากลานจอด เธอมองเสี้ยวหน้าหวานก็ยิ่งรู้สึกว่าวันฟ้าใหม่คือลูกคนรวยที่วันๆ คงแทบไม่ได้โดนแดด ผิวถึงได้ขาวกระจ่างใสไปทั้งตัว และถึงไม่ดูที่ผิวพรรณ โฟล์กคันนี้ก็คงไม่ใช่รถที่คนทั่วไปจะซื้อให้ลูกขับได้ง่ายๆ เพราะสนนราคาของมันสามล้านอัป
“ฉันต้องกลับมาทำสวนกล้วยไม้ให้คุณลุงน่ะ” วันฟ้าใหม่บอกความจริง แต่ไม่ได้อธิบายทั้งหมด
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้าของกิจการ”
คราวนี้วันฟ้าใหม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพิ่งสังเกตตัวเองว่านับจากวันที่เกิดเรื่องร้ายกับชีวิต ประสิทธิภาพในการเข้าสังคมของเธอต่ำลงมากจนแทบจะติดลบ เวลานี้เธอไม่มีคำพูดใดจะมากล่าวกับปัณศร อยู่ๆ ก็คิดไม่ออกราวกับคนที่เพิ่งหัดพูด เหมือนกับว่าเธอตายจากโลกอันสดใสแล้วเกิดใหม่เป็นอีกคนในโลกสีเทาอึมครึม เหมือนตัวเองเป็นคนละคน
“เฮ้ย! นั่นมันโพนี่นี่ เดินอยู่นั่น”
คนที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยชะงัก ก่อนมองตามนิ้วอวบอ้วนของเพื่อน
‘โพนี่’ หรือ โพนี่จะมาเดินอยู่ข้างถนนได้อย่างไร
ความสงสัยได้รับความกระจ่างเมื่อเพื่อนใหม่ของเธอกดกระจกลงทักทายชายรูปร่างอ้อนแอ้นที่กำลังเดินอยู่ริมถนน วันฟ้าใหม่จำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นปีคนนี้ออกไปเต้นตอนสันทนาการเสียจนคนชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ ท่าทางกระตุ้งกระติ้งบ่งบอกถึงรสนิยมทางเพศอย่างไม่ต้องสงสัย
วันฟ้าใหม่ชะลอรถโดยอัตโนมัติ โชคดีที่เวลาใกล้สองทุ่มแบบนี้ถนนสายนี้ในมหาวิทยาลัยไม่มีรถใครนอกจากเธอ
“เดินไปเหรอโพนี่ เธอพักอยู่หอในไม่ใช่หรือไง”
ปัณศรผู้อัธยาศัยดีเป็นที่หนึ่งเอ่ยถามออกไป ใบหน้ากลมยิ้มแป้นแล้นจนตาหยี แต่พอโพนี่หรือชื่อจริงๆ ว่าโภคินหันมามอง ทั้งปัณศรและวันฟ้าใหม่ก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก รอยยิ้มของปัณศรหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะใบหน้าของโภคินเลอะไปด้วยคราบน้ำตา
“เฮ้ย! เธอเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ฮึกๆ เธอ แม่ฉันตายแล้ว”
“หา!”
วันฟ้าใหม่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถโฟล์กสวาเกน ในสมองคิดอะไรว้าวุ่นไปหมด เธอกำลังไตร่ตรองว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และคำตอบที่ได้คือเธอกำลังขับรถพาโภคินมุ่งหน้ากลับบ้านที่อยุธยา
ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะทำอะไรแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสัปดาห์ ซ้ำยังไม่เคยคุยกันเลยสักคำ
ปัณศรรีบโทร. บอกที่บ้านว่าคืนนี้ไม่กลับเพราะต้องไปงานศพแม่ของเพื่อน ปลายสายบ่นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามเสียทีเดียว วันฟ้าใหม่แปลกใจเล็กน้อยที่ปัณศรขอผู้ปกครองไปนอนค้างที่อื่นได้ง่ายๆ เพราะหากเป็นบ้านเธอ ถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่ เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ไปนอนที่อื่น
คิดมาถึงตรงนี้หัวใจดวงน้อยก็วูบไหว ด้วยระลึกได้ว่าเธอไม่ต้องขออนุญาตใครอีกไม่ว่าจะไปนอนที่ไหน เมื่อไรก็ตาม
“ฮึกๆ”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจากเบาะหลังดึงความคิดของวันฟ้าใหม่กลับมา โภคินร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถมาจนขณะนี้ เธอเข้าใจความเจ็บปวดนั้นดี การสูญเสียบุพการีเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต เพราะไม่ว่าพ่อหรือแม่เราก็ไม่สามารถหาใครมาแทนได้ ยิ่งถ้าจากไปในตอนที่ยังไม่ถึงวัยอันควร ความเจ็บปวดของคนที่อยู่นั้นยิ่งมากเป็นทบเท่าพันทวี
โภคินบอกทางจนรถมาจอดในลานวัดแห่งหนึ่งในเวลาเกือบห้าทุ่ม ทั้งวัดเงียบสนิท มีเพียงแสงไฟที่เปิดสว่างอยู่ในศาลาสวดศพ
ร่างอ้อนแอ้นเดินเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงไปยังหน้าโลงศพ น้ำตาที่ยังไม่ทันเหือดหายทะลักออกมาอีกครั้ง วันฟ้าใหม่หันไปสบตากับปัณศร เพื่อนสาวเริ่มตาแดงเหมือนจะร้องไห้ตาม ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไร ต่างพากันเดินไปหยิบธูปมาจุดแล้วกราบเคารพศพ
“คิน”
เสียงเรียกอันโรยแรงดังมาจากด้านหน้าศาลา ชายร่างผอมบางผิวกร้านแดดเดินช้าๆ เข้ามาใกล้กลุ่มพวกเธอ วันฟ้าใหม่เห็นใบหน้าซีดเซียวนั้นแล้วทราบในทันทีว่าเป็นบิดาของโภคินเพราะโครงหน้าถอดกันมาอย่างชัดเจน
“พ่อ หนูขอโทษที่ไม่ได้อยู่ช่วยดูแลแม่” โภคินลุกขึ้นโผเข้าไปหาพ่อ
สองพ่อลูกต่างน้ำตารินกันทั้งคู่
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ถึงยังไงแม่เอ็งก็ต้องไปอยู่ดี โรคที่แม่เป็นมันรักษาไม่ได้ เอ็งมีหน้าที่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองก่อน”
“ถ้าหนูไม่เรียน แม่อาจจะมีเงินรักษาตัวเอง หนูอาจจะไปทำงานหาเงินมาช่วยแม่ได้ แต่เพราะบ้านเราเอาเงินเก็บมาจ่ายค่าเทอมให้หนู แม่ถึงไม่ได้รักษา”
“มันไม่พอหรอกลูก เงินเก็บบ้านเรามีไม่กี่หมื่น โรคมะเร็งต้องใช้เงินหลายแสน แม่ทำถูกแล้วที่ให้เอาเงินก้อนนั้นมาส่งเอ็งเรียน”
วันฟ้าใหม่ก้มหน้ามองนิ้วเรียวขาวจัดของตนแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสะท้อนใจมากเพียงใด ไม่ใช่แค่เธอที่ต้องพบกับเรื่องเจ็บปวด ทุกคนต่างก็มีความเจ็บปวดเป็นของตัวเองทั้งนั้น และดูเหมือนว่าเธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าชะตาชีวิตตนกับโภคิน ใครน่าเห็นใจมากกว่ากัน
วันฟ้าใหม่อยู่ร่วมพิธีจนถึงวันฌาปนกิจ งานศพแม่ของโภคินนั้นจัดอย่างเรียบง่ายตามประสาชาวบ้าน จำได้ว่างานศพของพ่อเธอ ครองประทีปเป็นเจ้าภาพจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด ตั้งศพไว้เจ็ดวันและทุกวันก็เต็มไปด้วยแขกเหรื่อล้นศาลา บ่งบอกว่าธราเทพเป็นที่รักของใครๆ ด้วยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่พ่อเธอก็เต็มใจช่วยจนเป็นที่นับหน้าถือตา
เธอไม่ทราบเรื่องราวของมารดาโภคินมาก่อน เพราะนับระยะเวลาที่ได้คุยกับเพื่อนครั้งแรกจนถึงวันนี้ก็เพิ่งเป็นวันที่สาม แต่เท่าที่เห็นก็รู้ได้ว่าโภคินนั้นเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน การจัดงานก็ดูอัตคัดไปเสียหมด วันฟ้าใหม่จึงควักธนบัตรใส่ซองจนหมดกระเป๋าเพื่อให้โภคินจัดพิธีให้มารดาอย่างสมเกียรติมากที่สุด
“ฉันไม่รู้จะตอบแทนพวกเธอยังไงเลยจริงๆ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแท้ๆ แต่พวกเธอสองคนก็มีน้ำใจกับฉันมาก” โภคินบอกกับวันฟ้าใหม่และปัณศร ใบหน้ามีสีเลือดขึ้นเล็กน้อยหลังจากพิธีฌาปนกิจผ่านพ้นไป
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เธอน่ารัก ใครๆ ก็ชอบเธอกันทั้งนั้น เราอยากเห็นเธอกลับไปมีความสุขเหมือนตอนสันทนาการงานรับน้องอะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เราสามคนก็มาเป็นเพื่อนกันซะเลยสิ ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกตั้งสี่ปี” ปัณศรเสนอ แต่เหมือนนึกอะไรได้จึงหันไปมองวันฟ้าใหม่ด้วยสายตาละห้อย “เธอไม่ต้องฝืนใจหรอกนะ ฉันรู้ว่าเธอก็อยากจะคบกับคนในระดับเดียวกัน”
“คนในระดับเดียวกัน? ยังไง” วันฟ้าใหม่ทำหน้างง ไม่เข้าใจที่ปัณศรพูด
“ก็เธอรวยขนาดนี้ คงไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับพวกเรา”
สีหน้าและแววตาใสซื่อของปัณศรกับโภคินทำให้วันฟ้าใหม่เกือบหลุดหัวเราะ ความคิดของปัณศรเหมือนหลุดมาจากละครหลังข่าวสักเรื่อง ในขณะที่ชายใจหญิงอย่างโภคินก็ดูน่าสงสารแกมน่าขบขันไม่ต่างจากชีวิตเธอ
“ถึงไม่อยากคบก็คงเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วละ เพราะว่าเราโดดเรียนมาด้วยกันตั้งสามวันแล้ว คนอื่นเขาคงมีกลุ่มกันหมดแล้วละ ฉันจะยอมเป็นเพื่อนกับคนน่าสงสารอย่างพวกเธอก็ได้”
“นี่” ปัณศรเท้าเอวทำหน้าเหมือนจะเอาเรื่อง
วันฟ้าใหม่หน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อคิดว่าคำพูดของตัวเองอาจจะทำให้คนฟังไม่พอใจ ทว่าคำพูดต่อมาขอปัณศรก็ทำให้เธอยิ้มได้
“คิดว่าเธอพูดแบบนี้แล้วฉันสองคนจะรู้สึกอะไรหรือไง แล้วฉันสองคนก็จำได้ทุกคำนะว่าเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร ห้ามผิดคำพูด”
วันฟ้าใหม่ยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง นี่อาจเป็นรอยยิ้มแรกในรอบสามปีของเธอเลยก็ว่าได้ที่สามารถยิ้มได้กว้างขนาดนี้ หัวใจที่ด้านชาไร้ความรู้สึกกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้งด้วยคำว่ามิตรภาพ แม้จะเพิ่งเกิดในระยะเวลาสั้นๆ แต่วันนี้วันฟ้าใหม่ก็ได้เรียนรู้ว่าความปรารถนาดีด้วยใจบริสุทธิ์อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำกัดว่าอยู่ในสถานะใด นับจากนี้เธอจะไม่ใช้เหตุผลที่ตนไม่มีพ่อแม่มาเป็นข้ออ้างในการทำอะไรตามใจตนเองอีก
บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่เธอที่เจอกับความทุกข์
วันฟ้าใหม่พาร่างอันอิดโรยเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนออกมาจากตึกคณะเกษตรศาสตร์ในช่วงเที่ยงของวัน กวาดสายตาหาปัณศรกับโภคินก็เห็นเพื่อนโบกมือโบกไม้อยู่ที่โต๊ะไม้ไม่ไกลออกไป เธอลากเท้าไปหาบุคคลทั้งสองเหมือนคนที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่าง
“ผ่านไหม” ปัณศรที่พัฒนารูปร่างจากอวบระยะสุดท้ายกลายเป็นอ้วนถามขึ้นขณะที่มือยังถือแก้วกาแฟสด
“เดี๋ยวนะ ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าอาจารย์ชูชาติไม่ให้แกผ่าน หืย...แบบนี้จบช้าไปอีกเทอมหรือเปล่าวะ” โภคินถามขึ้น สีหน้าวิตก ตอนนี้เขากลายเป็นเกย์หนุ่มตัวท็อปของคณะไปแล้ว ด้วยเครื่องหน้าที่สะอาดสะอ้านและความสามารถด้านกิจกรรม ที่สำคัญปีการศึกษาที่ผ่านมาเขายังได้รับตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตอีกด้วย
“โอ๊ย! ตาย” ปัณศรร้องขึ้นอีก “จบช้าไปอีกเทอม รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“แกนั่นแหละ ชวนมันตะลอนจนมันไม่สนใจทำโพรเจกต์ พากันไปหาของกินถึงนครศรีธรรมราช อีกวันไปฟาดที่เชียงใหม่ แล้วมันจะเอาเวลาไหนมาใส่ใจเรื่องเรียน เห็นไหมว่าเพื่อนต้องเดือดร้อนเพราะแก” โภคินจิ้มนิ้วไปที่กลางหน้าผากของเพื่อน ออกแรงผลักจนหน้ากลมๆ หงายเงิบ “แล้วดูซิ กินเข้าไป ไอ้ของที่ทำให้อ้วนเนี่ย ตัวจะกลิ้งได้อยู่แล้ว”
“อะไร ฉันชวนมันไป แต่วิจัยฉันก็ผ่านป้ะวะ แกนั่นแหละ มัวแต่เอาเวลาไปทำกิจกรรมหาเสียงเรียกยอดไลก์ เคยคิดที่จะมาช่วยเพื่อนเก็บข้อมูลประมวลผลบ้างมั้ย ไม่เคย ไม่นับที่เอาเวลาไปอ่อยหนุ่มคนโน้นคนนี้นะ”
“นังขนุน”
“พอได้หรือยัง” วันฟ้าใหม่ยกมือขึ้นห้ามทัพ หลับตาลงอย่างต้องการสะกดกลั้นสติอารมณ์ “ถามคำถามมานี่ คิดจะเอาคำตอบบ้างไหม ถามเองตอบเอง โวยวายเอง เป็นโรคประสาทหลอนหรือไงฮะ”
นั่นแหละ ปัณศรกับโภคินถึงจะสงบศึกกันได้
วันฟ้าใหม่นั่งลงบนเก้าอี้ ยื่นหน้าไปหาเพื่อนที่อยู่ตรงข้าม มองทั้งสองคนสลับไปมาก่อนจะเผยรอยยิ้มกระจ่าง
“งานวิจัยของฉัน...ผ่าน...แล้ว...โว้ย!”
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องด้วยความยินดีดังขึ้นจนคนโต๊ะอื่นๆ หันมามอง
โภคินหันไปสบตาแล้วขยิบตาให้คนพวกนั้นตามสไตล์คนที่ชอบเป็นจุดสนใจ ก่อนจะหันกลับมาคุยกับเพื่อนอีกครั้ง
“ดีใจด้วย วันนี้เราต้องไปฉลองกันนะ นี่เท่ากับว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือนพวกเราก็จะกลายเป็นบัณฑิตกันแล้ว สิ้นสุดกันที ชีวิตนิสิต ฉันจะได้มีเงินไปให้พ่อสร้างบ้านใหม่สักที”
“ใช่ ต่อไปฉันจะหางานทำ พอได้เงินเดือนมาก็จะไปตระเวนกินของอร่อยๆ ทั่วประเทศไทย แล้วพอโบนัสปลายปีออก ฉันจะซื้อตั๋วไปญี่ปุ่น กินปลาหมึกฮอกไกโดให้หมดเกาะไปเลย”
“เดี๋ยว นี่กินหรือสูบยะ” โภคินมองอย่างอึ้งๆ ความคิดของปัณศรก็วนอยู่แต่กับเรื่องกินไม่เลิกรา ก่อนจะหันไปสะดุดกับสีหน้าหมองลงของวันฟ้าใหม่ ทั้งที่เมื่อครู่ออกจะบานเป็นจานดาวเทียม “ไอ้แป้ง เป็นอะไรของแก ไม่ดีใจหรือไงที่งานวิจัยแกผ่านเรียบร้อยแล้ว”
“ฉันก็ดีใจอยู่นะ แต่ว่า...ฉันคงคิดถึงพวกแกมากๆ เลย”
“โอ๊ย! ฉันสองคนไปหาแกได้ตลอดอยู่แล้ว ไร่ตะวันฉายไม่ได้ไกลสักหน่อย นั่งรถสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว ดีจะตาย ฉันจะได้ใช้สิทธิ์เพื่อนสนิทขอส่วนลดบ้าง”
ยิ่งโภคินพูดวันฟ้าใหม่ก็ยิ่งเศร้าลงไปอีก อยู่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ มาสี่ปี เธอไม่เคยกลับไร่ตะวันฉายอีกเลยเพราะไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใคร เรื่องราววันที่อาทิตย์ประสบอุบัติเหตุยังเป็นแผลในใจเธอ แม้จะรู้ว่าอาทิตย์หายเป็นปกตินานแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ต้องรักษาตัวเป็นระยะเวลาถึงแปดเดือน ใจจริงเธออยากหนีความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตโดยไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีก แต่ติดตรงที่เธอสัญญากับครองประทีปไว้ และเขาก็ยังย้ำถึงสัญญาข้อนี้อยู่ทุกครั้งที่โทร. มาถามความเป็นไป
‘แป้งจะไปจากที่นี่ค่ะคุณลุง’ เด็กสาวร้องไห้น้ำตานองหน้า เมื่อทราบข่าวว่าอาทิตย์ไม่ยอมกลับมารักษาตัวที่บ้าน สาเหตุนั้นใครๆ ก็ต่างรู้ดีว่าเขาไม่ต้องการเห็นหน้าเธออีก ไม่ใช่แค่เพียงอาทิตย์ ทั้งทับทิม ป้าทองคำ ลุงสมร มะปราง และใครต่อใครในไร่ตะวันฉายต่างมองเธออย่างเกลียดชัง
ทุกคนไม่ต้องการให้เธออยู่!
‘หนูจะไปก็ได้ แต่ไม่ได้ให้ไปตลอดนะลูก หนูไปเรียนหนังสือสักสี่ปีแล้วกลับมาอยู่กับลุง เข้าใจไหม’ ครองประทีปเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
วันฟ้าใหม่ส่ายศีรษะไปมา เธอไม่อยากเรียนหนังสืออีกแล้ว แค่คิดว่าจะต้องไปเรียนโดยไม่มีใครไปส่ง ไม่มีพ่อคอยถือกระเป๋าเข้าหอพัก ไม่มีแม่คอยดูแลจัดการเรื่องโน่นนี่ ไม่มีคนยินดีกับความสำเร็จ เธอก็หดหู่จนแทบจะร้องไห้ออกมา เธออาจจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้เพราะ
ไม่อยากทนฟังใครพูดถึงพ่อแม่ แค่ต้องเรียนมัธยมปลายสามปีเธอก็ทุกข์ทรมานเกินพอแล้ว เธอไม่ขอไปเห็นภาพความอบอุ่นของครอบครัวใครอีก
‘แป้งไม่อยากเรียนหนังสือค่ะ’
‘วันฟ้าใหม่...หนูฟังลุงนะ ชีวิตของเรา เราไม่รู้หรอกว่าเกิดมาแล้วจะตายตอนไหน เราไม่รู้วันตายของใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก หรือใครก็ตามบนโลกใบนี้ แต่ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หนูต้องหักอกหักใจทิ้งความเศร้านั้นเสีย เพราะเอาแต่คิดมากไปพ่อของหนู แม่ของหนูก็ฟื้นคืนกลับมาไม่ได้ ไม่มีทางได้เลย ตราบใดที่เวลาของเรายังมาไม่ถึง หนูจะต้องใช้ชีวิตต่อไป การใช้ชีวิตอยู่นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก แต่ความรู้จะทำให้เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง หนูจะสร้างโลกนี้ทั้งใบยังได้เลย คราวนี้หนูคิดได้หรือยัง ว่าจะทำอย่างไรต่อไป’
วันฟ้าใหม่นิ่งคิดตามเป็นครั้งแรก ชีวิตของผู้อื่นจะสั้นหรือยาวนานเธอไม่ทราบ แต่ชีวิตของตัวเองนั้นยาวนานเกินไป
‘ก็ได้ค่ะ แป้งจะเรียนหนังสือค่ะ’ เธอตอบตกลงในที่สุด ไม่ใช่เพราะคิดได้ว่าการเรียนมีความสำคัญ เธอแค่ไม่เห็นทางไหนที่จะดีไปกว่านี้
‘ดีมาก’ ครองประทีปยิ้มกระจ่าง
วันฟ้าใหม่สบตาผู้สูงวัย เธออบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่นัยน์ตาเอื้ออาทรนั้นมองมา ‘แต่แป้งไม่รู้จะเรียนอะไร แป้งไม่มีจุดหมายอะไรในชีวิต แป้งไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไรค่ะคุณลุง’
‘หนูก็เรียนเพื่อลุงสิ ถ้าหนูเห็นแก่ลุง หนูไปเรียนเกษตรแล้วเอาความรู้มาทำสวนกล้วยไม้ดีๆ ให้ลุงสักแปลงได้ไหมล่ะ’
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้วันฟ้าใหม่เลือกเรียนคณะเกษตรศาสตร์ โดยมีเป้าหมายว่าจะนำความรู้ที่ได้ไปเพาะพันธุ์กล้วยไม้ให้ครองประทีป ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าคณะเกษตรศาสตร์ไม่มีเอกกล้วยไม้แต่อย่างใด เธองุนงงไปครู่หนึ่ง แต่ก็กลับหลังไม่ได้ ทว่าการเลือกเรียนคณะเกษตรศาสตร์สาขาวิทยาศาสตร์เกษตรก็ให้ผลมากกว่าแค่ความรู้เรื่องกล้วยไม้ เธอได้ความรู้ทั้งเรื่องพืชสวน พืชไร่ การดูแลรักษาโรคพืช ตลอดจนเรื่องสัตวบาล และวันฟ้าใหม่ก็พบว่าเธอสามารถทุ่มเทความสนใจให้แก่เนื้อหาวิชาเรียนด้วยความชอบที่เธอไม่เคยได้ค้นพบมาก่อนในชีวิต แม้ว่าบิดาของเธอจะทำสวนลำไยและแปรรูปส่งออกมาหลายสิบปี
ความดีความชอบทั้งหมดนั้นเธอยกให้ครองประทีปทั้งหมด เขาทำให้เธอกลับมาเห็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ วันนี้คงเป็นวันที่เธอถือว่าสำเร็จการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะโพรเจกต์สุดท้ายของการเรียนระดับปริญญาตรีสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าเธอไม่เคยลืมสัญญาที่เคยให้ไว้แก่ครองประทีปเลย เธอเต็มใจและอยากกลับไปยังสวนกล้วยไม้ตามคำขอตั้งแต่เรียนได้หนึ่งปีแล้วด้วยซ้ำ
...ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าคนที่นั่นเกลียดเธอ
‘กลับมาอยู่กับลุงนะ พี่เขาไม่ได้โกรธหนูแล้ว ทุกคนที่นี่คิดถึงหนูนะลูก’
อาทิตย์น่ะหรือ...ไม่ได้โกรธเธอแล้ว เป็นเรื่องที่เชื่อไม่ได้ที่สุดตั้งแต่เธอเกิดมา
“ทำหน้าเศร้าแบบนี้ คิดถึงอดีตว่าที่สามีอยู่ล่ะสิ”
เสียงโภคินแทรกเข้ามาในความคิดของวันฟ้าใหม่ ‘อดีตว่าที่สามี’ เป็นคำนิยามที่ชัดเจนมากที่สุดเลย
“ใช่ ฉันต้องกลับไปไร่ตะวันฉาย แต่กำลังคิดว่าจะทำยังไงไม่ให้ถูกลากไปฆ่าหมกป่า” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแสดงให้เห็นว่าเธอคิดหนักมากจริงๆ แต่ดูเป็นความกังวลที่ไม่เหมือนคนกลัวตายเลย “เอางี้ดีกว่า ก่อนที่ฉันจะกลับไปที่นั่น ฉันจะวาดลายแทงให้พวกแก”
“ลายแทง!”
ปัณศรกับโภคินร้องขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนสาวร่างอวบจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามแล้วทำเสียงกระซิบ
“ที่ไร่นั่นมีสมบัติซ่อนไว้เหรอ”
“สมบัติบ้านป้าแกสิ ลายแทงหาศพฉันต่างหาก ถ้าฉันถูกลอบฆาตกรรม ไม่ต้องสงสัยใครเลย เพราะทุกคนอยากให้ฉันตายกันหมดนั่นแหละ แล้วไม่มีทางที่ตำรวจจะตามกลิ่นเจอแน่นอน ดังนั้นถ้าฉันขาดการติดต่อไปเกินสามเดือน แกสองคนก็ออกตามหาศพฉัน ไม่ว่า
ยังไงก็ต้องเอาศพฉันไปทำพิธีให้ได้เว้ย ฉันไม่อยากเป็นวิญญาณเร่ร่อนกลางป่า นี่ลายแทงที่คาดว่าจะเป็นจุดอำพรางศพ ไร่ตะวันฉายมีเนื้อที่ตั้งสองพันไร่ ขืนมัวหาซี้ซั้วคงได้แก่ตายคาไร่เปล่าๆ แน่”
สิ้นสุดคำพูดอันยาวเหยียด สองเพื่อนคู่หูก็ถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะหันมาสบตากันแล้วพากันลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเงียบเชียบ
“อ้าว! จะไปไหนกันล่ะ” วันฟ้าใหม่ถาม ทำหน้าเหลอหลา แต่ไม่มีคนตอบ “นี่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะโว้ย!”
ความคิดเห็น |
---|