4

เธอไม่ใช่คนเดิม


4

เธอไม่ใช่คนเดิม

 

เธอต้องไปสำรวจพื้นที่สร้างโรงเรือน

วันฟ้าใหม่คิดไว้ทั้งคืนว่าเช้าวันนี้จะต้องไปดูสถานที่จริงที่ครองประทีปจะใช้ทำเรือนกล้วยไม้ หลังจากหมกตัวอยู่ในบ้านได้สามวันสามคืนเพื่อจัดการข้าวของและข้อมูลในการเพาะชำกล้วยไม้ร้อยแปดอย่าง เธออยู่บ้านทุกวัน จะออกไปไหนต้องคอยระวังเพราะไม่อยากให้อาทิตย์เห็น กลัวก็เรื่องหนึ่ง ไม่อยากรกหูรกตาใครก็เรื่องหนึ่ง

การกลับมาพบกับอาทิตย์อีกครั้งหลังจากสี่ปีผ่านไป ความรู้สึกหลงรักหวงแหนที่เธอเคยมีต่อเขาได้จางหายไปสิ้นแล้ว แต่ความเกลียดชังที่เขามีต่อเธอยังอยู่ครบถ้วน ไม่แน่ว่ามันอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

...อยู่ห่างๆ ได้เป็นดี

ร่างบางสวมชุดกางเกงเอี๊ยมยีนขายาว สวมเสื้อยืดสีขาวด้านใน รองเท้าเซฟตีหุ้มข้อเท้าป้องกันสัตว์มีพิษและการบาดเจ็บจากหนามของวัชพืช วันฟ้าใหม่ก้มมองตัวเองก็รู้สึกว่าเธอเว่อร์ไปนิด แต่คิดอีกที...เธอต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด อย่าให้เกิดอันตรายแม้แต่ปลายเล็บ เพราะหากเจ็บป่วยขึ้นมา พิจารณาจากปริมาณมิตรที่มีจำนวนเท่ากับศูนย์แล้วนั้น เธอตายอย่างเดียว

“พี่ หวัดดี”

เสียงเล็กๆ ของใครบางคนทำให้วันฟ้าใหม่ที่กำลังยืนอยู่หน้าระเบียงบ้านต้องหันซ้ายแลขวา ทว่ากลับไม่พบใคร

“อยู่ตรงนี้”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอจับทิศทางเสียงได้จึงชะโงกหน้ามองจากระเบียงไปยังด้านล่าง เห็นเด็กหญิงและเด็กชายน่าจะอายุราวๆ แปดถึงสิบขวบยืนเท้าเอวอยู่หน้าบ้าน

“มีอะไรเหรอ” เธอถามออกไป เด็กสองคนแหงนหน้าจนคอตั้งบ่ามองมาที่เธอ

“ก็แค่อยากจะมาแนะนำตัวกับคนมาอยู่ใหม่ ผมชื่อมะเดี่ยว อายุเก้าขวบ ส่วนนี่น้องสาวผม ชื่อมะยม อายุเจ็ดขวบ”

‘แนะนำตัว?’ วันฟ้าใหม่ทบทวนคำนั้นในใจอีกรอบ ก่อนจะเดินลงไปหาแขกทั้งสอง เห็นเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเธอจึงยิ้มเอ็นดู

“แนะนำตัวทำไมจ๊ะ”

“พวกเราเป็นเจ้าถิ่น คนมาอยู่ใหม่ก็ต้องรู้จักกันไว้ จะได้ทำตัวถูก อยู่ที่นี่ถ้ามีปัญหาพวกเราช่วยพี่ได้นะ แต่ขอเก็บค่าคุ้มครองนิดๆ หน่อยๆ รับรองว่าปลอดภัย” คนเป็นพี่บอกเสียงเจื้อยแจ้ว

คราวนี้วันฟ้าใหม่ถึงกับนิ่งไป เธอไม่อยู่ที่นี่แค่สี่ปี ไร่ตะวันฉายมีมาเฟียแล้วหรือนี่ โธ่เอ๊ย! มาเฟียอะไรตัวเล็กกะเปี๊ยก อย่างมากก็แค่เด็กแก่แดดดูละครมากไปเท่านั้นกระมัง อันที่จริงเธอไม่อยากสนใจ แต่เรื่องรบรากับเด็กนี่ถือเป็นงานของเธอเลย ใครจะไปยอมง่ายๆ

“เป็นเจ้าถิ่นเหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”

“รู้จิ” คราวนี้เด็กผู้หญิงผมสั้นแค่ติ่งหูพูด เธอเท้าเอวทำปากยื่นปากยาว “พี่ก็คือคนที่จะมาทำให้นายอาทิตย์ต้องปวดหัว แล้วนายอาทิตย์ก็เกลียดพี่มากๆ ด้วย”

วันฟ้าใหม่เบิกตากว้าง เจ็บจี๊ดในใจ แม้แต่เด็กก็เกลียดขี้หน้าเธอด้วยเหตุนี้อย่างนั้นหรือ อยากรู้จริงๆ ว่าวัวว่าม้าของที่นี่จะเกลียดเธอด้วยหรือเปล่า

“เป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กไปเหอะ ฉันจะไปทำงาน” พอเห็นว่าเป็นเรื่องนี้วันฟ้าใหม่จึงไม่อยากพูดด้วยให้เสียเวลา

“ค่าคุ้มครองล่ะ” เด็กชายมะเดี่ยวร้องถาม

วันฟ้าใหม่จึงหันไปถามเนือยๆ ว่า “เท่าไหร่”

“ห้าบาท”

“แค่นี้ใช่มั้ย” หญิงสาวควักเงินในกระเป๋าออกมาสองเหรียญแล้วส่งให้สองพี่น้องคนละเหรียญเพื่อตัดปัญหา “ฉันให้คนละสิบบาทเลย ไปได้ยัง”

“เชิญขอรับ”

มะเดี๋ยวบอกด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส แต่เด็กอีกคนกลับทำท่าเหมือนจะแบะปาก

‘ยายเด็กนี่คิดอะไรเกินเด็กไปหรือเปล่าเนี่ย’

เอาละ ในไร่นี้เธอมีคนเกลียดเพิ่มอีกสอง เป็นเด็กประถมตัวกะเปี๊ยก และสาเหตุที่ทำให้เด็กสองคนนั้นเกลียดเธอจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกผู้ใหญ่คอยเสี้ยม

บันเทิงจริงจริ๊ง

ครองประทีปให้คนเอารถจักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่มาให้เพื่อที่จะเดินทางภายในไร่ได้สะดวก ซึ่งนั่นก็เป็นการดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะระยะห่างจากบ้านพักของเธอไปยังที่ต่างๆ ก็ไกลจนเดินเท้าไม่ไหว แต่จะให้ขับโฟล์กไปมาก็ใช่ที่ พอคว้ารถจักรยานยนต์ได้ก็ต้องงงอยู่พักหนึ่งกับทิศทางว่าจะต้องไปทางไหน

‘เรือนเพาะชำกล้วยไม้อยู่ที่ท้ายไร่ ใกล้กับแปลงเมลอน’

วันฟ้าใหม่นึกถึงคำของครองประทีป นึกตำหนิตัวเองที่ไม่รอบคอบในเรื่องนี้ จะทำเรือนกล้วยไม้แต่ไม่เคยไปดูสถานที่จริง คนที่ไหนเขาทำกัน

ช่างเถอะ ไปดูมันวันนี้ก็ยังไม่สาย เรือนเพาะชำสร้างใกล้กับแปลงเมลอน ถามๆ เอาก็ไม่ยาก

เธอขี่รถไปตามทางลาดยางมะตอยแคบๆ ผ่านไร่องุ่นขนาดใหญ่ที่ปลูกทั้งแบบมีหลังคาและไม่มีหลังคา ส่วนที่มีหลังคานั้นเป็นองุ่นตระกูลที่ปลูกไว้รับประทาน ทำหลังคาไว้กันฝนตกลงมาถูกลูกองุ่น จะทำให้องุ่นช้ำเสียหาย เธอเพิ่งมาทราบตอนเรียนเพราะตอนที่อาศัยอยู่ในไร่แห่งนี้เธอไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องของอาทิตย์เลย ส่วนแปลงองุ่นที่ไม่ได้ทำหลังคาคลุมไว้นั้นเป็นองุ่นสำหรับทำไวน์ ที่นี่มีโรงงานไวน์ที่ใหญ่มากเช่นกัน

ไร่ตะวันฉายยังมีพืชผักผลไม้อีกหลายชนิด ทั้งมัลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี แก้วมังกร ทุเรียน และผักสวนครัว เธอคิดว่าสภาพอากาศและดินของที่นี่เหมาะแก่การเพาะปลูกมากทีเดียว ทั้งยังมีแหล่งน้ำทางธรรมชาติค่อนข้างอุดมสมบูรณ์

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเธอก็ขี่รถมาถึงท้ายไร่แล้ว บริเวณนี้ถูกสร้างเป็นฟาร์มโคเนื้อและโคนมขนาด....(1) ตอนเรียนเธอก็ได้เรียนวิชาปศุสัตว์เช่นกัน ถึงขนาดเคยทำคลอดวัวมาแล้ว แต่ถ้าเลือกได้เธอชอบคลุกคลีกับพืชมากกว่า เพราะไม่ค่อยถูกโรคกับพวกมันสักเท่าไร อย่างน้อยพวกต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่เคยวิ่งไล่กวดเธอ

หญิงสาวจอดรถแล้วเดินเข้าไปหาคนงาน ถามถึงเจ้านายของพวกเขาและไม่นานก็ได้คำตอบ เธอเดินผ่านคอกสัตว์ไปตามคำแนะนำของคนงาน แต่ยิ่งเดินเข้าไปเธอก็พบว่าลานโล่งกว้างกลายเป็นป่าทึบขึ้นเพราะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นติดๆ กันจนแสงแดดส่องมาไม่ถึงพื้น

อยู่ที่ไร่นี้มาหลายปี วันฟ้าใหม่ไม่เคยเข้ามาถึงตรงนี้เลย รู้แค่ว่าท้ายไร่มีน้ำตกสายเล็กๆ ที่สวยงามมาก ครองประทีปเคยชวนเธอให้มาพักใจที่นี่บ่อยๆ เพราะอาจจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยย่างเท้ามาถึงที่นี่สักครั้ง ตอนนั้นเธอรู้แค่ว่าสิ่งที่ตนต้องเผชิญไม่มีอะไรเยียวยาได้

ผ่านมาจึงได้รู้ ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักเพียงใด สุดท้ายมันจะหายเพราะทุกคนมียาที่ดีที่สุดเหมือนกัน ยานั้นเรียกว่า ‘เวลา’

“มีใครอยู่มั้ยคะ” วันฟ้าใหม่ร้องเรียกเพราะเธอเดินห่างจากผู้คนมาไกลมากจนเริ่มไม่เห็นใคร อาณาบริเวณเงียบสนิทจนได้ยินเสียงน้ำไหล

วันฟ้าใหม่คิดพลางลูบแขนตัวเองเมื่ออยู่ๆ อากาศฤดูร้อนกลับเย็นยะเยือกขึ้นมา บรรยากาศเหมือนหนังฆาตกรรมสยองขวัญ เธอก้าวถอยหลังช้าๆ ตั้งท่าจะหมุนตัวกลับ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

“กรี๊ด!”

อะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ทันทีที่มันเห็นเธอก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว วันฟ้าใหม่ก้าวขาไม่ออก ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นจนเจ้าตัวดังกล่าวชนกับร่างของเธอเข้าอย่างจัง ร่างบอบบางในชุดเอี๊ยมหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ขาดหายไปหลังจากก้นกระแทกพื้นดินดังพลั่ก!

“วันฟ้าใหม่”

เสียงทุ้มคุ้นหูดังแว่วอยู่ไม่ไกล แต่วันฟ้าใหม่ไม่มีแก่ใจจะหันไปมอง เพราะตาจ้องอยู่กับเจ้าหมูป่าที่ตั้งท่าจะขวิดเธออีกรอบ

“ไอ้แสบ จับมัน!” อาทิตย์ตะโกนบอกลูกน้อง

แสบที่ตามเจ้านายมาติดๆ วิ่งไปคว้าผ้าผืนใหญ่มาโยนใส่เจ้าหมูป่าก่อนตะครุบไว้พลางตะโกนร้องเรียกคนให้มาช่วย คนงานสองคนวิ่งมาจากไหนไม่ทราบมาช่วยล็อกตัวมันไว้อีกแรง ราวห้านาทีมันก็เริ่มสิ้นฤทธิ์จนยอมให้ถูกลากออกไปง่ายๆ

“เธอมาที่นี่ทำไม” เสียงเข้มดังขึ้น

วันฟ้าใหม่เงยหน้าขึ้นมองคนพูดทั้งที่ยังนั่งอยู่กับพื้น เจ็บสะโพกจนลุกไม่ขึ้น คิ้วบางขมวดมุ่น อดเคืองไม่ได้ แทนที่จะถามว่าเธอเป็นอย่างไร เจ็บตรงไหนบ้าง กลับถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม ถ้ารู้ก็คงไม่มาให้โง่ ทั้งหมูทั้งคน...ดุเหมือนกันเลย

“แป้งจะไปเรือนกล้วยไม้ค่ะ คุณลุงบอกว่าอยู่หลังไร่ ใกล้กับแปลงเมลอน”

“ไม่ใช่ว่า...คิดจะมาทำอะไรไม่ดีหรอกหรือ”

วันฟ้าใหม่หรี่ตาลงอย่างเซ็งๆ เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเธอไม่มีความหมายกับคนอย่างอาทิตย์ เขาพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่อยากเชื่อ แต่จะไม่ยอมเชื่อทุกอย่างที่ออกมาจากปากเธอ

ประเด็นก็คือ...เขาจะเสียเวลามาถามเธอให้เมื่อยทำไม

“แป้งหลงทางจริงๆ ค่ะ ถ้าพี่อาทิตย์สะดวกก็บอกทางแป้งหน่อยเถอะว่าเรือนกล้วยไม้อยู่ตรงไหน” วันฟ้าใหม่ยันตัวลุกขึ้น แม้จะเจ็บแต่ก็ยังยืนด้วยสองขาของตัวเองได้

“โกหก”

“พี่อาทิตย์” วันฟ้าใหม่ต้องฝืนตัวเองแทบตายที่จะไม่กลอกตาให้เสียมารยาท

“ถ้าจะให้ฉันเดา เธอคงคิดจะมาให้ท่าฉันอีกล่ะสิ”

“หลงตัวเองไปหรือเปล่าคะ” เธอพูดไม่เต็มเสียง แต่ก็ดังพอให้คนฟังได้ยินชัดทุกคำ

“จำไม่ได้เหรอว่าเมื่อก่อนเธออยากได้ฉันเป็นผัวมากแค่ไหน”

วันฟ้าใหม่ถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าอาทิตย์จะพูดออกมาตรงๆ เธอไม่โทษเขาที่โกรธเธอฝังใจขนาดนี้ แต่สิ่งที่อยากขอก็เพียงแค่ต่างคนต่างอยู่ เขาจะเกลียดเธอจนไม่อยากมองหน้าเลยก็ย่อมได้ แต่การต้องมาคอยทะเลาะกันอยู่แบบนี้มันไม่ดีเลย

“แป้งจะไม่เข้ามาตรงนี้อีกก็แล้วกันค่ะ”

“ออกไปจากไร่นี้เลยสิ ฉันถึงจะพอใจ”

“แป้งไปแน่ค่ะ แต่แป้งต้องสร้างเรือนกล้วยไม้เสร็จก่อน” วันฟ้าใหม่ยืนยัน เธอตั้งใจแล้วก็อยากจะทำให้ได้อย่างที่ตั้งใจสักครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเรือนกล้วยไม้ ชีวิตเธอก็ไร้เป้าหมาย

“ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเธอยอมที่จะอยู่ที่นี่อย่างไม่เป็นสุข”

วันฟ้าใหม่ช้อนตาขึ้นมองคนที่สูงกว่าตนเองราวยี่สิบเซนติเมตร รู้สึกเหมือนมีเงามัจจุราชทาบทับบนลำตัวหนาของเขาอย่างไรอย่างนั้น ครั้นหันมองรอบกายเธอก็พบว่ามีชายฉกรรจ์ออกมายืนล้อมรอบอยู่ห่างๆ ราวห้าหกคน

วันฟ้าใหม่ตระหนก ทุกคนจ้องมาที่เธอเหมือนว่ามีเป้าหมายเดียวกัน เธอไม่อยากจินตนาการสีหน้าตัวเองเลยว่าแสดงความประหวั่นพรั่นพรึงออกไปเพียงใด

“แป้งกลับก่อนนะคะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ขยับตัวเตรียมวิ่ง ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทรงพลังอำนาจดังขึ้น

“หยุด!”

วันฟ้าใหม่ไม่ใช่แค่หยุดตามคำสั่ง แต่ร่างกายเธอแข็งทื่อไปหมด กระทั่งสติแทบหลุดเมื่ออาทิตย์เอ่ยประโยคต่อมา

“ทุกคนจำเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้เป็นตัวอันตราย เจอเธอเมื่อไหร่...” ดวงตาคมเข้มจ้องเขม็งมาที่เธอ “...ฆ่าได้ก็ฆ่าเลย”

‘กรี๊ด!’ เธอกรีดร้องในใจดังลั่น ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่สุด จะตายเมื่อไรก็ตายได้...แต่ไม่ใช่ตอนนี้ คิดได้เธอก็รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายวิ่งหนีสุดชีวิต

อาทิตย์มองร่างบางในชุดเอี๊ยมยีนวิ่งหายไปด้านหลังคอกวัว ใบหน้าคล้ามคมยังปรากฏรอยยิ้มที่คนมองยากจะคาดเดาความรู้สึก

แสบเดินเข้ามาหาผู้เป็นนาย ขณะที่ตายังมองไปทิศทางเดียวกัน สีหน้าของลูกน้องหนุ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก

“ฆ่าเลยเหรอนาย แล้วแบบนี้จะมีปัญหาตอนซ่อนศพไหมครับ”

“ไอ้แสบ”

“ครับ”

“ใครบอกว่าให้ฆ่าจริงวะ ไปทำงาน”

แสบทำหน้าเหย คนงานคนอื่นก็พลอยโล่งอกที่คำพูดของเจ้านายเป็นเพียงแค่การข่มขู่ เหล่าสมุนพากันกลับไปทำงาน เหลือเพียงหัวหน้าแก๊งที่ยืนมองคอกของเจ้ามู่ทู่

ไม่ต้องถึงมือเขา แค่เจอหมูป่าตัวเดียวก็แทบตายอยู่แล้ว อ่อนแอชะมัด

 

อาการสติแตกค่อยๆ จางหายไปเมื่อวันฟ้าใหม่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากบริเวณนั้น เมื่อไกลจากอาทิตย์พอสมควรจึงจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ ถอดหมวกกันน็อกเพื่อเปิดทางให้ออกซิเจนได้เข้าปอดง่ายขึ้น เหงื่อที่ข้างขมับค่อยๆ แห้งไปเมื่อลมพัดผ่าน

“พี่อาทิตย์ อำมหิตผิดมนุษย์ ลองกล้าทำอย่างที่พูดดูสิ จะเป็นผีมาหลอกให้ไม่เป็นผู้เป็นคนเลย”

เธอบ่นออกมาพลางกระพือเสื้อเพื่อให้ลมเย็นๆ ได้สัมผัสผิวเนื้อ ไล่อาการร้อนระอุ เพิ่งคิดได้ว่าอาการกลัวของตัวเองเมื่อครู่น่าตลกสิ้นดี รู้ทั้งรู้ว่าอาทิตย์ขู่ แต่สัญชาตญาณก็พาให้เท้าเธอขยับเผ่นแน่บ อุตส่าห์หลบหน้ามาเป็นครึ่งเดือน ชะตาก็ทำให้เธอขี่รถหลงไปเจอเขาจนได้ ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้

“อ้าว! คุณแป้ง มาทำอะไรตรงนี้ครับ”

วันฟ้าใหม่เงยหน้ามองคนเรียกซึ่งบัดนี้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถกระบะตอนเดียว สภาพภายนอกเก่ามากพอดู แต่ก็เหมาะกับการใช้งานภายในไร่ สีหน้าชายวัยกลางคนดูฉงนสนเท่ห์

“คุณกิตติ”

วันฟ้าใหม่ยิ้มทั้งปากทั้งตา เขาเปรียบเสมือนเทวดามาโปรดเลย

...

กิตติขับรถนำวันฟ้าใหม่มาจนถึงสถานที่สร้างเรือนกล้วยไม้ ซึ่งพบว่าอยู่ห่างจากบ้านริมน้ำของอาทิตย์ไม่เท่าไร แต่กระนั้นเธอก็พยายามทำใจแล้วว่าอาทิตย์คงไม่คิดทำอะไรอย่างที่พูด อย่างน้อยหากว่าเธอไม่ยุ่งกับเขา เขาก็คงไม่อยากยุ่งกับเธอ

วันฟ้าใหม่มองลานโล่งกว้างตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย สิ่งที่คิดเป็นอันดับแรกเลยก็คืองานของเธอไม่ใช่งานเล็กๆ เลย หากไม่มีคนช่วยเรือนกล้วยไม้คงสำเร็จไม่ง่าย แต่หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเธอจะไปหาใครมาช่วยได้ อย่างที่บอกว่าครองประทีปเป็นคนเดียวที่ดีกับเธอ แต่เขาคงทำได้ดีที่สุดแค่การแนะนำ อีกอย่างเธอไม่อยากทำให้ครองประทีปผิดหวังที่ส่งเธอไปเรียนตั้งหลายปีแต่ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งช่วยเธอทำอยู่ดี แบบนี้จ้างคนอื่นมาทำยังจะดีเสียกว่า

เธอใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพ เก็บข้อมูลสำหรับใช้ในการเขียนแบบแปลนโรงเรือน

วันฟ้าใหม่พ่นลมหายใจออกมา ชักจะเปลี่ยนใจ ถึงจะมีความมุ่งมั่นสูงสักเพียงใด เธอก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากครองประทีปในบางเรื่อง

 

ตะวันใกล้ตกดิน แสงจ้าของพระอาทิตย์ค่อยๆ อ่อนลง วันฟ้าใหม่จึงคว้ารถจักรยานยนต์ขี่กลับบ้านพัก แต่พอถึงบ้าน เธอก็แทบกรีดร้องออกมาเมื่อพบว่าตัวเองทำโทรศัพท์หล่นหาย เธอค้นในกระเป๋าสะพายใบเล็ก ในกระเป๋ากางเกง สลับไปค้นในกระเป๋าสะพายข้าง และกลับมาค้นกระเป๋ากางเกงตัวเองหลายต่อหลายรอบก็ยังไม่พบสิ่งที่กำลังหา หญิงสาวถอนใจดังเฮือกก่อนจะตัดสินใจขี่รถวกกลับไปยังทิศทางเดิม

หนทางเริ่มมืดลงเรื่อยๆ มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถที่ส่องให้พอเห็นทาง เธอขี่ไปก่นด่าตัวเองไปที่ไม่ตรวจข้าวของให้ดีก่อนออกมา ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าหล่นอยู่ที่ลานสร้างเรือนกล้วยไม้หรือหล่นหายระหว่างทาง ต้องโทษที่ไร่ตะวันฉายกว้างใหญ่เกินไป ระยะทางจากบ้านพักถึงที่หมายจึงไกลจนเหมือนว่าจะไปไม่ถึง

ทว่าสุดท้ายเธอก็ขี่รถมาถึงจนได้ หญิงสาวติดเครื่องรถไว้เพื่ออาศัยไฟส่องทาง เดินทางทุกตารางเมตร แต่ก็ยังไม่เห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ขณะที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแสงจากไฟหน้ารถยนต์ก็สาดเข้ามายังหน้าเธอ วันฟ้าใหม่หยีตาเพื่อสู้กับแสงไฟจึงได้เห็นว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถคันเดียวกับที่กิตติขับ วันฟ้าใหม่ฉีกยิ้มกว้าง กิตติโผล่มาในเวลาที่เธอลำบากภายในวันเดียวกัน อย่างน้อยเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้อคติกับเธอตั้งแต่แรก เธอสบายใจที่จะขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้ หนนี้ก็เช่นกัน

“น้ากิตคะ น้ากิต”

เธอตะโกนเรียกด้วยความดีใจ รถกระบะเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้า วันฟ้าใหม่วิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างข้างคนขับ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นกลับจางหายไปเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถไม่ใช่คนที่เธอคาดคิด

หญิงสาวหายใจสะดุด ก่อนตามมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อมือหยาบกร้านของชายตรงหน้าตะปบลงที่ข้อมือของเธอ

“พี่อาทิตย์”

ใบหน้าคมคายค่อยๆ ชะโงกออกมาจากตัวรถ แสงจากพระจันทร์ข้างแรมไม่สว่างมากนัก แต่ก็พอให้เธอได้เห็นดวงตาวาววับของเขา มันสื่อถึงความประสงค์ร้ายอย่างไม่ต้องคาดเดา

“มีอะไรให้ช่วยหรือครับคุณผู้หญิง”

เสียงเย็นทำให้วันฟ้าใหม่นึกถึงหนังสยองขวัญอย่างเฟรดดี คูเกอร์ แต่เป็นเฟรดดีเวอร์ชันหล่อเหลา ถึงใบหน้าคล้ามคมจะชวนให้เคลิบเคลิ้มเพียงใด มันก็ไม่ได้ทำให้เธอหายกลัวสักนิดเลย

“มะ...มะ...ไม่มี ไม่มีค่ะ” ขณะที่บอกก็พยายามบิดข้อมือออกจากพันธนาการของเขา แต่มันไร้ประโยชน์เมื่อมือแข็งอย่างคีมเหล็กรัดแน่นจนคาดว่าเลือดเธอไม่เดินแล้วแน่ๆ

“เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ” อาทิตย์ถามเสียงเย็น มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างคนที่มีความสุขจากความกลัวของอีกฝ่าย

เธอกลัวเป็นด้วยหรือ บางเรื่องที่ควรจะกลัวเธอยังกล้า เช่นการแก้ผ้าอยู่บนเตียงของเขานั่นอย่างไร

“ฉันคิดว่าเป็นน้ากิต”

“น้ากิตเหรอ” อาทิตย์มีสีหน้าครุ่นคิดขณะที่ยังล็อกข้อมือเล็กไว้แน่น “อ้อ! คุณกิตติ นี่มาไม่กี่วันก็ตีซี้นับญาติกับคนของฉันได้แล้วเหรอ แต่จะบอกอะไรไว้อย่างนะ คนที่นี่ทุกคนคือคนของฉัน ของที่นี่ รถคันนี้ หรือแม้แต่ดินที่เธอเหยียบก็คือของของฉัน”

วันฟ้าใหม่เม้มปากแน่น ความกลัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหมั่นไส้ ขู่ได้ขู่ดี ขี้หวงเหมือนเด็ก ทำเหมือนกับว่าเธอจะมาแย่งของเล่นอย่างไรอย่างนั้น

“ทราบแล้วค่ะ”

“ทราบ!” มือแข็งแรงกระชับข้อมือเล็กแน่นขึ้นอีกจนอีกฝ่ายหน้าเหย “แต่ทำไมถึงยังคิดจะขอความช่วยเหลือจากคนของฉันอีกฮะ”

“พี่อาทิตย์ อย่าพาลได้ไหมคะ แป้งก็แค่อยากให้น้ากิตช่วยหาโทรศัพท์มือถือ”

“อันนี้เหรอ” อาทิตย์ใช้มือข้างที่ยังว่างชูโทรศัพท์พกพาขึ้น ดวงตาในความมืดยามราตรีสุกใสราวกับมีความสุขเสียเต็มประดา ขณะที่วันฟ้าใหม่มีสีหน้าประหลาดใจ

“ของแป้งค่ะ ขอคืนนะคะ”

“เรื่องอะไร” นายน้อยแห่งไร่ตะวันฉายปล่อยมือเล็กแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่เก๊ะทันที

วันฟ้าใหม่งุนงงที่อาทิตย์ไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้ เธอจึงยืนจ้องเขาอยู่แบบนั้นเพื่อรอฟังเจตนาของเขา

“อยากได้คืนพรุ่งนี้ก็ไปตามเอาเองแล้วกัน วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร”

“พี่อาทิตย์ แป้งต้องใช้ทำงานนะคะ”

“บอกแล้วไง...ว่าถ้าเธอจะอยู่ที่นี่ ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างมีความสุข”

พูดจบชายหนุ่มก็เคลื่อนรถจากไปทันที โดยไม่สนใจว่าวันฟ้าใหม่จะพูดอะไร เธอถดกายถอยด้วยกลัวว่าจะถูกเฉี่ยวชนเข้า หญิงสาวมองท้ายรถกระบะเคลื่อนห่างออกไปโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พรุ่งนี้! เธอจะไปตามเอาโทรศัพท์คืนจากเขา...หรือทิ้งๆ ไปเพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก

ถ้าถามเธอตอนนี้...เธอยอมเสียเงินซื้อเครื่องใหม่ดีกว่า

 

บรรยากาศในร้านอาหารกึ่งผับกลางเมืองโคราชยังเป็นร้านประจำของคู่ซี้อย่างอาทิตย์และกรกฎ ต่างจากเดิมก็ตรงที่หลังๆ มานี้อาทิตย์ไม่ได้ดื่มหนักอย่างเช่นแต่ก่อน หายนะจากแอลกอฮอล์ทำให้เขาเข็ดขยาด เกือบต้องแต่งงานกับเด็กอายุสิบเจ็ด รอดมาได้หวุดหวิดก็ยังพารถไปคว่ำเกือบตาย

หนนี้ก็เช่นกัน กรกฎดื่มไปหลายแก้วแล้ว แต่แก้วตรงหน้าอาทิตย์ยังไม่พร่องสักเท่าไร ไม่ใช่เพราะว่าอาทิตย์ไม่อยากดื่มอย่างเดียว แต่ชายหนุ่มเอาเวลาไปจับจ้องโทรศัพท์ในมือจนไม่เป็นอันสนใจอะไร

ดวงตาสีนิลกลมโตของวันฟ้าใหม่ก็ยังแจ่มชัดในความคิดของเขา มันไร้ร่องรอยของเด็กผู้หญิงร้ายกาจคนเก่า ไม่มีความอยากเอาชนะ และก็ไม่มีความปรารถนาในตัวเขาเช่นเคย ถ้าจะมี...ก็มีแต่ความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว แต่เขาไม่หลงกลง่ายๆ

ทำตาใสไร้เดียงสา คิดหรือว่าเขาไม่รู้ เรื่องที่หญิงสาวกลับมาเพื่อทำสวนกล้วยไม้ให้บิดาเขามันไม่เมกเซนส์

“ไอ้ยักษ์ โทรศัพท์นี่ซื้อมาจ้องเหรอ” กรกฎมองเพื่อนอยู่พักใหญ่แล้ว อดสงสัยไม่ได้ที่เพื่อนเอาแต่ดูโทรศัพท์ทั้งๆ ที่จอดำสนิท ทำราวกับว่าจะหาร่องรอยตำหนิบนตัวเครื่องก็มิปาน

“แล้วแกข้องใจอะไรวะ ไอ้กระต่ายฤดูผสมพันธุ์” อาทิตย์ตอบคำถามด้วยคำถาม และเรียกฉายาเพื่อนบ้างเมื่อเพื่อนเรียกฉายาเขาก่อน

ชื่อยักษ์คือฉายาที่ถูกตั้งให้ตั้งแต่มัธยมต้น เขาไม่มีชื่อเล่น เพื่อนจึงเรียกยักษ์เพราะขนาดตัวที่สูงกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันตอนนั้นร่วมสิบเซนติเมตร ส่วนฉายาของกรกฎนั้นเพิ่งได้มาไม่นาน เป็นฉายาที่มาจากพฤติกรรมส่วนตัวล้วนๆ

“กระต่ายบ้าบออะไรวะ พูดไปเรื่อย” กรกฎเลิกสนใจโทรศัพท์ในมือของเพื่อน พลันครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยากรู้มาตลอดก่อนเดินทางมาพบกับอาทิตย์ “ได้ข่าวว่าน้องแป้งเรียนจบกลับมาแล้วเหรอวะ”

อาทิตย์ทำหน้ายุ่งทันที บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ซึ่งนั่นไม่ผิดจากสิ่งที่กรกฎคิดไว้มากนัก

“แล้วพ่อแกก็ยังให้กลับมาเหรอวะ ทั้งที่สร้างเรื่องโกหกใหญ่โตขนาดนั้น ทำเอาแกเกือบตายเลยนะโว้ย!”

“อาวุธของยายเด็กนั่นคือความน่าสงสาร พ่อฉันคงถูกยายนั่นร่ายมนตร์”

“แล้วเขาน่าสงสารจริงไหม” กรกฎถามขณะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ เขาเคยพบวันฟ้าใหม่อยู่สองสามครั้ง ภาพในหัวคือเด็กสาวผิวขาวปากแดง แต่ดวงตาไร้แวว ดูแปลกทว่าโดดเด่นจนจำได้ติดตา

“ก็คงงั้นแหละมั้ง พ่อแม่ตายพร้อมกัน ชีวิตไม่เหลือใคร” อาทิตย์ยกแก้วของตัวเองดื่มบ้าง แต่เพราะไม่ได้ดื่มมานานรสชาติของมันจึงทำให้เขาแทบกลืนไม่ลง สุดท้ายจึงต้องวางแก้วลงแล้วผลักออกไปให้พ้นตัว

“แล้วยังไงวะ พ่อแกให้กลับมาอยู่เฉยๆ หรือว่าคิดจะจับคู่ให้แกอีก”

“ฉันไม่ใช่พ่อพระที่จะยอมถวายตัวให้ผู้หญิงน่าสงสาร แล้วก็ไม่ใจดีพอที่จะให้อภัยง่ายๆ ถ้าพ่อคิดจะทำแบบนั้นอีก ไม่ฉันก็ยายเด็กนั่นคงต้องตายกันไปข้าง”

กรกฎนึกสงสารเพื่อนเหมือนกัน หากเขาต้องถูกผู้หญิงวางแผนจับด้วยวิธีแบบที่เพื่อนโดนก็คงเป็นโรคประสาทไปเหมือนกัน นี่ผ่านไปตั้งหลายปี คิดว่าจะหมดเวรหมดกรรม ไม่นึกเลยว่ากรรมของอาทิตย์จะหนักหนาจนชดใช้เท่าไรก็ไม่หมด

“ฉันไม่ได้เจอน้องแป้งมาสี่ห้าปีแล้วนะว่าไป โตขึ้นคงสวยน่าดู”

“เฮอะ สวยเหรอ อะไรทำให้แกคิดแบบนั้นวะ” อาทิตย์กล่าวเสียงเยาะ นึกถึงใบหน้ากระจ่างใส คิ้วบางได้รูปรับกับดวงตากลมโต ผิวขาวเนียนละเอียด แก้มป่อง เขายอมรับว่าวันฟ้าใหม่ไม่ใช่แค่สวย แต่ยังน่ารักมาก ทว่านิสัยเสียของเธอก็กลบความงามจนมิดเลยทีเดียว

“ก็น้องแป้งทั้งขาวทั้งเนียน ฉันก็อดจินตนาการถึงตอนโตไม่ได้”

“หยุดความคิดลามกของแกไปเลยไอ้กฎ”

“พูดเหมือนหวง”

“หวงบ้าอะไร ฉันไม่อยากให้แกไปยุ่งกับผู้หญิงประเภทนั้น กลัวว่าความหัวงูของแกจะทำให้หน้ามืดตามัวจนพลาดท่าเสียทีให้เธอเข้า” อาทิตย์บอกอย่างหงุดหงิด คนอย่างเขาน่ะหรือจะหวงยายเด็กวันฟ้าใหม่ ใครอยากเอาก็รีบมาเอาไปตอนนี้เลย

“ก็ไม่ดีหรือไง แกจะได้เลิกกังวลว่าเด็กคนนั้นจะจับแก ฉันจะสั่งสอนเด็กนั่นเอง”

ครานั้นอารมณ์ฉุนเฉียวที่มีอยู่เป็นทุนเดิมของอาทิตย์พุ่งทะยานขึ้นอย่างไร้สาเหตุ “ถ้าแกพูดถึงยายนั่นในทำนองว่าจะข้องเกี่ยวกับเธอ ฉันจะกลับ”

อาทิตย์ลุกขึ้นตั้งท่าจะกลับจริงๆ แต่กรกฎรีบรั้งไว้ก่อน

‘บรรยากาศก็ดี เพลงก็เพราะ ไม่น่าเอามือไปแหย่รังแตน’

“เออๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง เท่าที่ฟังวีรกรรมมา ฉันก็รับมือไม่ไหวหรอกว่ะ แกล้งพูดไปงั้นเอง” พอเขาบอกเช่นนั้นอาทิตย์ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี “แล้วแกคิดว่าน้องแป้งมีแผนอะไรจะจับแกอีกหรือไง”

“ไม่รู้ แต่ก็ต้องกลัวไว้ก่อน อีกอย่าง...ต่อให้เขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันแล้ว ฉันก็ยังเกลียดมากจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วยอยู่ดี ไม่อยากเห็นหน้า”

“โอ้โห ไอ้ยักษ์ ตั้งแต่ฉันรู้จักแกมาเกือบยี่สิบปี ไม่เคยเห็นแกเกลียดใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย นับว่าเป็นความซวยของเด็กนั่นจริงๆ” กรกฎครุ่นคิด เขากับอาทิตย์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม ไม่ใช่แค่รู้จักดี แต่รู้ใจ รู้แม้กระทั่งกำลังคิดอะไรอยู่

“คราวซวยของฉันมากกว่า”

กรกฎมองหน้ายับยุ่งของเพื่อนแล้วได้แต่ถอนหายใจ

“เอาไว้ฉันจะหาเวลาไปที่ไร่แกสักวัน อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ยักษ์โมโห”

“ไม่ต้องดูให้เสียสายตาหรอก เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ดีกว่า ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งแล้วไม่ใช่หรือไง”

กรกฎเป็นทายาทนักการเมืองท้องถิ่น ครอบครัววางอนาคตให้ลูกชายเจริญรอยตามซึ่งก็โชคดีที่ชายหนุ่มชอบทางนี้ เขาเป็นคนเก่งหัวก้าวหน้า เป็นที่ชื่นชอบของคนในพื้นที่ เชื่อว่าเสียงส่วนมากน่าจะเทไปทางเขาในการเลือกตั้งสมัยหน้า แต่ก็ยังประมาทไม่ได้จึงต้องเดินสายออกงานสังคมให้ประชาชนเห็นหน้าบ่อยๆ ช่วงนี้จึงแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง

“ฉันยุ่งยังไงก็ต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดพ่อแกอยู่ดี ไว้วันนั้นก็จะรู้เองว่าจะได้เสียสายตาหรือเปล่า”

“เออ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ทายาทไร่ตะวันฉายทำหน้าบอกบุญไม่รับ อยู่ๆ ดวงตาอ่อนแสงของผู้หญิงที่เขาแสนเกลียดก็ปรากฏขึ้นในหัว ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่เขาเคยรู้จักวันฟ้าใหม่ดี แต่เธอกลับมาครั้งนี้กลับเหมือนเป็นอีกคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อนเลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น