1

คลุมถุงชน

ระพีถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณหญิงรำพึงผู้เป็นมารดา นี่เป็นครั้งที่ยี่สิบแล้วที่เขาพูดว่าจะไม่แต่งงานกับนพเก้าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณชิดชนก รุ่นน้องคนสนิทของมารดา นี่สมัยไหนแล้ว ยังมีการแต่งงานคลุมถุงชนเหมือนในละครอยู่อีกได้อย่างไร

เธอชื่อว่า ‘นพเก้า’ พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก เธออายุน้อยกว่าเขาสองปี เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติ ตอนยังเด็กเขาไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้เพราะนึกว่ามารดาแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่เมื่อโตขึ้นเรื่องล้อเล่นดันกลายมาเป็นเรื่องจริงจังขั้นสุด ชนิดที่ว่ามารดาของเขาต้องร้องห่มร้องไห้อดข้าวอดน้ำหากเขาไม่ยอมแต่งงานกับนพเก้า

“ผมมีแฟนแล้วนะครับ ทำแบบนี้แฟนของผมจะคิดยังไง” ระพีพยายามจะอธิบาย แต่มารดาของเขาก็ยังไม่ยอมพูดด้วย ป่านนี้คนทั้งโรงพยาบาลคงเอาเขาไปนินทาว่าเป็นลูกทรพีหมดแล้ว เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็จะเฉยหรือไม่ก็ร้องไห้

เป็นอย่างนี้มาร่วมเดือนแล้วจนต้องมานอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล ระพีกุมขมับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้ด้วยซ้ำ ตอนที่เขาไม่ได้บอกเรื่องที่คบกับรุ้งลดา ก็ไม่เห็นว่ามารดาจะมีท่าทีสนใจเรื่องการแต่งงานของเขา จนตนเองลืมไปแล้วด้วยซ้ำที่มารดาเคยพูดว่าจะให้แต่งงานกับนพเก้า

“ก็ได้ครับคุณแม่ ผมแต่งงานกับน้องก็ได้” ในที่สุดเขาก็ต้องยอมจำนน

แต่ก็เพราะให้มารดาสบายใจยอมกินข้าวเท่านั้น อย่างไรหากเขาไปลองคุยกับนพเก้าดูอาจจะได้ทางออกดีๆ แม้จะไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไร แต่ระพีก็คิดว่าหญิงสาวคงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก น่าจะยังเป็นกุลสตรีที่พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงเหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะชวนกินอะไรหรือเล่นอะไร นพเก้าไม่เคยขัดใจแม้แต่ครั้งเดียว ก็แค่คนหัวอ่อนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่มากจนไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกเรื่องที่เขายังเป็นห่วง

ก็สายตาระยิบระยับยามที่หญิงสาวมองมาที่เขาน่ะสิ ชัดเจนขนาดที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายปลาบปลื้มในตัวเขาขนาดไหน บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องคลุมถุงชนเสียทีเดียว อาจจะเป็นเขาคนเดียวที่โดนคลุมถุงมากกว่า 

“พีพูดจริงๆ เหรอลูก จะแต่งงานกับน้องจริงๆ ใช่ไหม” คุณหญิงรำพึงพลิกกายหันมาทางบุตรชายทันที 

“ครับ แต่คุณแม่แน่ใจหรือเปล่าว่าน้องเกดเขาจะยอมแต่งงานกับผม”

“แต่งสิ ตอนแม่ไปพูดเรื่องนี้กับยายนกก็ไม่เห็นน้องจะขัดอะไร ยายนกพูดอะไรลูกเกดก็เชื่อฟังหมดแหละ เห็นไหมล่ะ น้องดีขนาดนี้ลูกยังจะหาข้อติอะไรได้อีก” 

พอผู้เป็นมารดาพูดจบแล้วระพีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาสงสัยตรรกะของมารดาในการตัดสินใจเลือกลูกสะใภ้เหลือเกิน อย่างนพเก้าน่ะเรียกว่าแทบไม่ใช้สมองคิดอะไรเลยต่างหาก ผู้หญิงที่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้อย่างนั้นได้เป็นภรรยาก็ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว เพราะไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอีกฝ่ายก็จะเออออตามเขาหมด

“เอาเป็นว่าคุณแม่กินข้าว กินยา รักษาตัวเองก่อน ถ้าคุณแม่หายดีเมื่อไหร่ผมจะไปที่บ้านน้านกกับคุณแม่” เขาว่าพลางถอนหายใจ เห็นมารดาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นหยิบผลไม้ที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมากินอย่างดีอกดีใจ ก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจ อาจจะเป็นตัวเขาเองที่ต่อไปนี้จะกินอะไรไม่ลง

สองวันต่อมาหลังจากที่คุณหญิงรำพึงออกจากโรงพยาบาลก็รบเร้าให้เขาไปหาคุณชิดชนกที่บ้าน ระพียังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลยก็ถูกมารดาลากขึ้นรถไปทันที

“เชื่อแม่นะลูก น้องเกดเนี่ยเหมาะสมที่จะเป็นภรรยาที่สุดแล้ว ทั้งเย็บปักถักร้อย ทำอาหารคาวหวาน หน้าตาก็สะสวยเรียบร้อยน่ารัก” คุณหญิงรำพึงพูดไปก็ยิ้มไปอย่างปลาบปลื้ม ชิดชนกเป็นรุ่นน้องคนสนิท พอมีลูกสาวก็กลายเป็นหลานสาวที่รัก อาจจะรักมากกว่าบรรดาญาติๆ เสียอีก

ระพีไม่แปลกใจกับอาการของมารดา คงจะคิดอยากได้นพเก้าเป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่รู้ว่าเด็กในท้องของชิดชนกเป็นผู้หญิงแล้ว ดูเอาเถอะ ต่อให้นพเก้าโตมาเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่หรือทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง มารดาของเขาก็คงคิดบังคับให้เขาแต่งงานด้วยอยู่ดี ไม่รู้จะถูกใจครอบครัวนี้อะไรนักหนา

บ้านของคุณชิดชนกแม้ไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่มาก แต่ก็ใหญ่กว่าบ้านของคนธรรมดาทั่วไป เธอเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อน ตอนนี้เป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง เจ้าตัวเองก็รับบรรยายและเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ส่วนสามีคือคุณวัลลภ เป็นเจ้าของฟาร์มชื่อดังหลายแห่งในภาคเหนือ ปัจจุบันเกษียณแล้วให้ลูกชายคนโต ‘นพชัย’ ดูแลกิจการแทน แล้วย้ายมาอยู่กับภรรยาที่กรุงเทพ

อ่อ...ยังมีอีกเรื่อง นอกจากมารดาของเขากับมารดาของนพเก้าจะสนิทกันแน่นแฟ้นแล้ว พี่ชายคนรองของเธอ ‘นพคุณ’ กับพี่ชายของเขา ‘ตรีเทพ’ ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ประถม มัธยม ขนาดไปต่างประเทศยังเรียนอยู่เมืองเดียวกัน เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายที่ต่างคนต่างมีภรรยาแล้ว ความหวังทั้งหมดก็เลยตกมาอยู่ที่เขาแบบนี้

เหมือนคุณหญิงรำพึงจะรู้สึกผิดเล็กน้อยยามเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดของลูกชาย แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ระพีคงไม่มีวันมองนพเก้า สิ่งที่เธอทำผิดพลาดที่สุดคือการเปรยเรื่องนี้หลายครั้งตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก พอรับฟังมากๆ เข้าก็กลายเป็นต่อต้าน ยิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นระพียิ่งไม่ยอมเข้าใกล้นพเก้า แล้วแบบนี้จะให้ยอมรับได้อย่างไร ในเมื่อลูกชายของเธอไม่เคยมองว่าที่ภรรยาคนนี้อย่างจริงจังเลย

“พีเชื่อแม่นะลูก สักครั้งนะ” 

เห็นสายตาอ้อนวอนของมารดาแล้วระพีก็ใจอ่อนยวบ ถึงเขาจะมีคนรักที่คบหากันอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานกับรุ้งลดามาก่อน ด้วยเวลาแค่ครึ่งปีที่คบกับแฟนสาวมา เขาไม่สามารถเอาคำว่าชอบพอที่ยังไม่รู้ว่าใช่ความรักหรือเปล่ามาต่อกรกับมารดาได้ 

“ผมจะลองดู” ในเมื่อเอ่ยคำสัญญาไปแล้วเขาก็ต้องทำตามนั้น หากคุยกับนพเก้าแล้วเรื่องต่อไปที่เขาต้องจัดการคือไปขอโทษรุ้งลดา หากเขาต้องแต่งงาน ไม่ว่าจะแต่งหลอกหรือจริงเขาก็คงไม่กล้าเห็นแก่ตัวบอกแฟนสาวให้รอ ใครจะรู้ว่าระหว่างนั้นอีกฝ่ายอาจจะพลาดโอกาสในการเจอคนดีๆ ไปตั้งเท่าไร

“ขอบใจมากนะพี แม่ขอบใจจริงๆ” 

เห็นสีหน้าดีอกดีใจของมารดาแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ต่อให้ใจแข็งเป็นหินแค่ไหน เขาก็คงทนเห็นอีกฝ่ายต้องทนทุกข์ต่อไปไม่ได้ ตอนที่เขายังเด็กบิดาก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคหัวใจ ถึงจะทิ้งธุรกิจโรงแรมใหญ่โตเอาไว้ก็เป็นธุรกิจที่มีแต่หนี้สินพะรุงพะรัง หากไม่ใช่เพราะคุณหญิงรำพึงผู้เป็นมารดาที่ทนผ่านสภาวะนั้นมาได้ และประคับประคองธุรกิจเอาไว้จนกระทั่งฟื้นตัวได้อีกครั้ง ตอนนี้เขาอาจจะไม่ใช่ ‘คุณระพี’ ประธานกรรมการบริหารของโรงแรมใหญ่โตแบบนี้ก็ได้

 

บรรยากาศที่บ้านของคุณชิดชนกยังร่มรื่นน่าเดินเล่นเหมือนเดิม ภาพที่เขาเคยเห็นเป็นประจำตอนมาที่นี่ก็คือ สองสามีภรรยาเจ้าของบ้านมักจะมาปูเสื่อนั่งเล่นที่ศาลาไม้ในสวน มีลูกสาวตัวน้อยอย่างนพเก้านั่งอยู่ข้างๆ คอยหยิบยื่นดอกไม้สวยๆ ให้มารดาของเธอปักมันลงในแจกัน

“ยังเหมือนเดิมเลยนะครับ” ระพีว่า

“ใช่จ้ะ พีมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่จำได้ไหมลูก” 

ระพีส่ายหน้า

“น่าจะห้าปีได้แล้วมั้ง มาล่าสุดก็เอาของมาเยี่ยมน้านกตอนเราเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกน่ะ” 

พอมารดาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็จำได้ทันที ตอนนั้นเขาเจอกับนพเก้า เธอสวมชุดนักศึกษากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลาไม้ พอเห็นเขาหญิงสาวก็ยกมือไหว้อย่างสวยงามอ่อนช้อยจนเขารู้สึกเกร็ง แบบนี้แต่งงานกันไปเธอจะต้องไหว้เขาเช้าเย็นเหมือนภรรยาสมัยโบราณหรือเปล่านะ...

ชิดชนกเดินออกมาต้อนรับเขากับมารดา รุ่นน้องคนสนิทของคุณหญิงรำพึงคนนี้แม้จะมีอายุไม่น้อยแล้วก็ยังเห็นเค้าความสวยสมัยสาวๆ อยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นพคุณและนพเก้าจะมีหน้าตาที่ถอดแบบมารดาไปแบบนี้ และอาจจะเพราะสาเหตุที่ทั้งสองพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันนั่นแหละ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่สามารถคิดอะไรกับนพเก้าได้เกินพี่น้อง มองหน้าเธอทีไรก็นึกถึงญาติผู้ใหญ่กับเพื่อนของพี่ชายทุกที

“น้องพีหล่อขึ้นเยอะเลยนะลูก สูงขึ้นด้วย” แค่ประโยคทักทายของชิดชนกก็ทำให้ระพีหลับตาแล้วถอนหายใจได้แล้ว เขาอายุตั้งเท่าไรแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเรียกเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆ 

“สวัสดีครับน้านก” ระพียกมือไหว้

“ไหว้พระเถอะจ้ะ นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวน้าจะไปเรียกยายเกดในครัว” ชิดชนกว่าก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ดูเหมือนว่าเพื่อนรุ่นน้องของมารดาจะรู้ว่าเขามาทำอะไรในวันนี้ แต่เพราะเขาเองก็รู้จักอีกฝ่ายมาตั้งแต่เล็ก จึงไม่คิดว่าเธอจะตั้งใจเอาลูกสาวใส่พานแล้วมาเสนอให้เขา คงจะมีความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ มารดาของเขาคงจะไปพูดอะไรให้เกิดการเข้าใจผิด

“ตาพียิ้มหน่อยนะเวลาเจอน้อง” คุณหญิงรำพึงหันมาบอกกับลูกชาย

“ครับ ผมจะพยายาม” ระพีว่า

“พยายามอะไรกัน ยิ้มจากใจจริงสิลูก”

“งั้นผมจะพยายามยิ้มจากใจจริงแล้วกันครับ” พูดจบชายหนุ่มก็ฉีกยิ้มแบบฝืนๆ ให้มารดาดู ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้มาก่อน หากต้องแต่งงานกับนพเก้าจริงเขาคงต้องทำแบบนี้ไปตลอดแน่ แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว

ชิดชนกเดินเข้าไปในครัวไม่นานก็เดินออกมาพร้อมกับนพเก้า ไม่ว่าจะนานเท่าไรหญิงสาวก็ยังคงเหมือนเดิมคือ สวมใส่เสื้อผ้าสีเรียบและรวบผมเป็นหางม้าเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าจืดชืดไร้การแต่งแต้มปรายตามาทางเขาเพียงครู่เดียวก็หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบหันกลับไปทันที

“วันนี้พี่จะมาพูดเรื่องสำคัญที่วันก่อนเกริ่นเอาไว้” มารดาของเขาเริ่มเข้าเรื่องทันที

“อันที่จริงน้องอยากให้เด็กๆ คุยกันเอง แต่เห็นคุณพี่บอกว่าตาพีใจร้อน ก็เลยคิดว่าคุยพร้อมกันไปเลยดีกว่า” สีหน้าของชิดชนกนั้นเหมือนคนที่เชื่อจริงๆ ว่านี่คือสิ่งที่ระพีต้องการทั้งที่หลายปีที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ไม่ค่อยได้คุยกับรุ่นน้องของมารดาสักเท่าไร เจอกันก็แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยถามถึงนพเก้าสักคำ

“โอ้ยไม่ได้หรอกยายนก ตาพีพูดกับฉันทุกวันเรื่องลูกเกด รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้วละ” ฟังมารดาพูดแล้วระพีก็อดที่จะหันไปมองด้วยความทึ่งไม่ได้ นี่คงเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของคุณหญิงรำพึง ถ้าตั้งใจพูดบางอย่างออกมาแล้วไม่มีใครเชื่อแน่ว่าเป็นเรื่องโกหก “ตาพีบอกไปสิว่าลูกอยากแต่งงานกับน้องให้เร็วที่สุด”

ระพีเบิกตากว้าง!

“ผมขอคุยกับลูกเกดก่อนได้ไหมครับ” เขาว่า

“หนุ่มสาวก็แบบนี้ละนะ ตามสบายเลยจ้า” ชิดชนกหัวเราะเบาๆ หากไม่ใช่ระพี คนหวงลูกสาวอย่างเธอก็ไม่มีทางยอมยกสิ่งที่มีค่าขนาดนี้ให้ผู้ชายที่ไหนง่ายๆ แน่ นพเก้าเติบโตมาเป็นกุลสตรีที่มารดาอย่างเธอภาคภูมิใจ ไม่มีประวัติเสียหายด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว ดีจนกระทั่งไม่มีผู้ชายที่ไหนกล้าเข้าใกล้

 

นพเก้าเดินตามระพีออกไปที่สวนหลังบ้านบริเวณศาลาไม้ที่เธอชอบมานั่งเป็นประจำ ไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว ครั้งล่าสุดน่าจะตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศแล้วมาเยี่ยมมารดาของเธอ แต่ไหนแต่ไรมาหญิงสาวมองระพีเหมือนเป็นดวงดาวที่เธอไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ แต่ขอแค่ได้มองก็มีความสุขแล้ว ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะได้แต่งงานกับเขา

“เกดรู้ใช่ไหมว่าคุณแม่ของพี่ชอบเรามาก”

“ค่ะ” นพเก้าพยักหน้าโดยไม่มองอีกฝ่าย จะให้สบตาเขาตรงๆ ได้อย่างไรในเมื่อใบหน้าของเธอแดงไปหมดแล้ว

“แต่พี่ไม่ได้คิดกับเราแบบนั้น แล้วก็จะไม่มีวันคิดด้วย”

คำพูดที่แสนจะใจร้ายนั้นทำให้นพเก้าสะอึก ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ ท่าทางของเขาที่ผ่านมาก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่พอได้ยินจากปากมารดาของเขาว่าชายหนุ่มจะมาคุยเรื่องแต่งงาน เธอก็มีความหวังอีกครั้ง...แต่แล้วมันก็เป็นแบบนี้

เฮ่อ! เซ็ง

“แต่พี่ต้องตามใจคุณแม่ แม้จะรู้ว่าเป็นการเอาเปรียบเราก็ตาม” เห็นสีหน้าหดหู่ของหญิงสาวแล้วระพีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย เห็นได้ชัดว่านพเก้าเศร้าใจขนาดไหนกับคำพูดของเขา แต่มันเป็นความจริงที่เธอต้องรู้

“แล้วพี่พีจะทำยังไงคะ ให้เกดไปบอกคุณป้าให้ไหมคะ” 

“พี่จะแต่งงานกับเกด แต่พี่จะไม่เอาเปรียบเกด เกดอยากได้อะไรหรือต้องการทำอะไรพี่จะตามใจทุกอย่าง แต่เราจะไม่เป็นสามีภรรยากันจริงๆ พี่ยังให้เกียรติเกดอยู่ หากว่าคุณแม่ของพี่ยอมรับได้แล้วว่าเรื่องการคลุมถุงชนเนี่ยมันไม่เวิร์ก เราก็หย่ากัน พี่จะให้ทุกอย่างที่เกดควรจะได้ด้วยหลังหย่า” เขาหมายถึงพวกทรัพย์สินของตนเอง ถึงเธอจะไม่ได้เป็นภรรยาของเขาจริงๆ แต่ต้องมากลายเป็นแม่ม่ายนั้นดูจะไม่ยุติธรรมกับเธอเลย 

“เกดจะได้เงินเหรอคะ” คำถามของหญิงสาวนั้นทำเอาเขารู้สึกเก้อเขิน เขารู้ว่าที่บ้านของเธอก็มีฐานะอยู่แล้ว คงจะไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับเงินที่เขาจะให้ แต่นอกจากเงินแล้วเขาก็นึกไม่ออกว่ามีอะไรที่พอจะตอบแทนนพเก้าได้บ้าง หากเธอยอมช่วยเขา

“พี่ไม่ได้อวดรวยนะ แต่ว่า...”

“เท่าไหร่คะ”

“หืม?”

“เกดจะได้เงินเท่าไรตอนที่เราแต่งงานกันอยู่ แล้วตอนที่หย่าแล้วจะได้อะไรบ้าง” ได้ยินนพเก้าถามแบบนี้ก็ทำเอาระพีคิดคำตอบแทบไม่ทัน เขาไม่คิดว่าเธอจะถามเรื่องจำนวนเงิน ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนเองมีทรัพย์สินอยู่เท่าไร แต่รู้ว่าเยอะมากพอที่จะทำให้นพเก้าเป็นเศรษฐีนีได้เลยหากหย่ากันจริงๆ

“พี่ต้องใช้เวลาคิดหน่อย ถ้าเกดโอเค พี่จะให้เลขาฯ ส่งรายการทรัพย์สินและสิ่งที่เกดจะได้มาให้ เราจะได้ทำสัญญากันก่อน”

“พี่พีไม่เสียดายเหรอคะ”

“ถือว่าพี่ให้น้องสาวก็แล้วกัน” ระพียิ้มให้ในขณะที่นพเก้าหน้าชาไปหมด ขนาดเขาพูดจาร้ายกาจขนาดนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน 

พี่ชายเหรอ น้องสาวเหรอ เป็นสถานะที่ดี ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้เธอก็จะทำตาม ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

“ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เที่ยงส่งเอกสารมาให้เกดอ่านก่อนนะคะ” ท่าทางใจเย็นของนพเก้าทำให้ระพีคลายกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วไปฟ้องมารดาเสียอีก ตกลงกันง่ายๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

หลังจากนั้นระพีบอกกับมารดาว่าตนเองจะแต่งงานกับนพเก้า เรื่องการจัดงานเขาอ้างว่างานยุ่งจึงให้ผู้ใหญ่จัดการไปตามสมควร เขาไม่ได้สนใจรายละเอียดที่ทุกคนคุยกันต่อจากนั้น เห็นนพเก้าเดินหายเข้าไปในครัวไม่นานก็นำขนมไทยหน้าตาดูดีชุดหนึ่งมาวางบนโต๊ะด้วยท่าทางที่ไม่ผิดแปลกอะไร ตอนเขากินขนมนั่นเข้าไปเธอยังถามเขาด้วยรอยยิ้มว่ารสชาติดีไหม

พอคุณหญิงรำพึงได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็สบายใจ รีบกลับไปที่บ้านเพื่อนวางแผนเตรียมงานแต่งงานของลูกชายคนเล็ก ส่วนเจ้าของเรื่องนั้นก็รีบออกไปหาแฟนสาวอย่างรุ้งลดาทันทีหลังจากส่งมารดาที่บ้านแล้ว

เขากับรุ้งลดาเจอกันเมื่อครึ่งปีก่อน หญิงสาวเป็นดีไซเนอร์ของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาคบหากับนางแบบที่เคยเป็นแบบให้รุ้งลดา พอได้เจอกันบ่อยๆ ก็เกิดถูกชะตา คุยกันถูกคอเขาก็เลยเลิกกับนางแบบคนนั้นมาคบกับหญิงสาวแทน แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่ก็ถือว่าเธอเป็นคนที่เขาคิดจะคบด้วยอย่างจริงจัง

“พีบอกว่าพีจะแต่งงานเหรอคะ” รุ้งลดาทวนคำที่เพิ่งจะได้ยิน

“ผมต้องขอโทษรุ้งด้วยจริงๆ รุ้งจะด่าจะว่าผมยังไงก็ได้”

“รุ้งเข้าใจค่ะ เราโตๆ กันแล้ว อีกอย่างรุ้งดีใจนะคะที่พีเห็นคุณแม่สำคัญที่สุด แต่น้องที่พีต้องแต่งงานด้วยเขาว่ายังไงคะ คนไม่เคยคบกันเขาจะยอมแต่งงานเหรอ” ท่าทางของรุ้งลดาไม่เหมือนที่เขาคิดเอาไว้สักนิด เธอไม่ฟูมฟายร้องไห้เสียใจ ไม่โมโห แต่กลับพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงปกติเจือปนความเป็นห่วงด้วยซ้ำ

“รายนั้นเป็นเด็กหัวอ่อนครับ พ่อแม่บอกให้ทำอะไรก็ทำ ผมเองก็สงสารน้อง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คงต้องให้คุณแม่เห็นเองว่ามันไม่โอเคที่จะจับใครแต่งงานกันโดยที่ไม่ได้รัก” เขาว่า

“เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่พีบอกรุ้งนะคะ รุ้งจะรอ”

“อย่ารอเลยครับ ถ้าเจอคนดีๆ รุ้งก็ควรคบกับเขา ผมไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ไม่อยากรับปากรุ้งพล่อยๆ” ระพีว่า อาจจะเป็นเพราะทั้งสองคนยังคบกันไม่นาน เขาจึงพูดให้อีกฝ่ายทำใจแบบนี้ได้ จะว่าเขาไม่เสียดายหญิงสาวเลยก็คงไม่ใช่ เธอตรงสเปคเขาทุกอย่าง หากเขาปล่อยมือเธอไปแล้วคงยากที่จะได้เจอกับคนแบบนี้อีก

แต่อย่างว่า อย่างไรมารดาก็สำคัญที่สุด ขณะที่รุ้งลดามีแววตาเศร้าสร้อยนั้นชายหนุ่มข้างกายกลับนึกถึงเรื่องเงินที่เขาจะต้องให้กับนพเก้า

ตัวแค่นั้นจะกินใช้สักเท่าไรเชียว...

 

“น้องเกดไม่ไปห้องสมุดเหรอคะวันนี้” นพคุณเอ่ยถามน้องสาวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่อมองฟ้าอยู่บริเวณศาลาไม้ ดูเหมือนว่าวันนี้คุณหญิงรำพึงกับลูกชายจะมาคุยเรื่องแต่งงานกันที่บ้าน เห็นว่าการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น ผิดกับที่เขาและตรีเทพคิดเอาไว้ว่าอย่างไรแผนวิวาห์คลุมถุงชนของคุณหญิงรำพึงต้องล่มแน่นอน เพราะระพีดูเหมือนจะมีคนรักอยู่แล้ว

“ไม่ไปค่ะ เบื่อ” เป็นครั้งแรกที่นพเก้าพูดว่าเบื่อห้องสมุด หลังเรียนจบมาหญิงสาวก็เป็นครูสอนประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่มารดามีหุ้นส่วนอยู่ด้วย ชีวิตที่อยู่ในกรอบของเธอก็วนเวียนอยู่แค่บ้าน โรงเรียน แล้วก็ห้องสมุด หญิงสาวเติบโตมาแบบนี้

“แล้วคุณแม่ว่ายังไงบ้างคะเรื่องแต่งงาน” นพคุณนั่งลงข้างๆ น้องสาว

“ไม่ว่ายังไงค่ะ กำลังหาฤกษ์กันอยู่”

“ทำไมน้องเกดเหมือนไม่ดีใจเลยล่ะ ได้แต่งงานกับคนที่ชอบน่าจะดีใจนะ”

“เขาไม่ได้ชอบเกดนี่คะ”

“น้องเกดก็ทำให้เขาชอบสิคะ” คำพูดง่ายๆ ของนพคุณจุดประกายบางอย่างในหัวของนพเก้า จากที่คิดว่าจะไม่ไปห้องสมุดก็คิดว่าคงจะต้องแวะไปหน่อย

“พี่คุณคะ เกดขอตัวก่อนนะคะ ไปห้องสมุดดีกว่า” 

หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในบ้านทันที เธอใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัวแล้วนั่งรถไปห้องสมุดใหญ่แห่งหนึ่งที่มาเป็นประจำ ระหว่างที่เธออยู่ในห้องสมุดคนขับรถจะรออยู่แถวนั้น พอถึงตอนเย็นหรือถึงเวลาที่หญิงสาวจะกลับบ้านถึงได้ขับรถมารอข้างหน้า

“เดี๋ยวเกดเสร็จแล้วจะโทร. หานะ ลุงไปหาอะไรกินก่อนนะคะ” นพเก้าว่าก่อนจะเดินหายเข้าไป เมื่อเข้ามาข้างในแล้วร่างบางก็เดินตรงไปในห้องน้ำ จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาชุดเก่ายัดลงในกระเป๋า สวมหมวกแล้วเดินออกทางประตูด้านหลัง พอพ้นประตูหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึก กลิ่นของอิสรภาพมันสดชื่นแบบนี้เสมอ

หลังจากออกมาแล้วหญิงสาวก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างจากห้องสมุดพอสมควร บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สองชั้นที่ไม่ได้มีบริเวณมากนัก บนระเบียงมีผ้าขนหนูเน่าๆ ตากอยู่สองสามผืน ส่วนด้านล่างมีเศษเหล็กเก่าๆ วางระเกะระกะจนนพเก้าต้องใช้เท้าเขี่ยออกเพื่อที่จะเดินเข้าไปด้านใน

“ไอ้แพท อยู่ไหม เปิดประตู!” หญิงสาวตะโกนเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบจึงพยายามดึงประตูแรงๆ สองสามที แต่ก่อนที่ประตูไม้เก่าๆ จะหลุดติดมือมา เธอก็ได้ยินเสียงคนวิ่งลงมาจากบันได

“พอโว้ยอย่าดึง เดี๋ยวประตูพัง” หลังจากคนในบ้านตะโกนตอบกลับไม่นานก็เปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน 

‘แพท’ หรือ ‘พศธน’ มองใบหน้าสวยหวานตรงหน้าด้วยความสุดจะทน เขายังนอนเคลิ้มอยู่เลยแท้ๆ ต้องรีบวิ่งตาเหลือกลงมาเปิดประตูแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาจะบีบคอเธอ

“มีเรื่องใหญ่จะปรึกษา” นพเก้าว่าก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านจะอนุญาตหรือไม่ พอเข้ามาด้านในร่างบางก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าที่เครียดกว่าปกติ

“ฉันไม่ได้อยากจะด่านะ แต่แกจะไม่ถามเลยเหรอว่าสภาพฉันตอนนี้อยากให้แกมาปรึกษาอะไรไหม” พศธนชี้ไปที่ใบหน้าอิดโรยของตนเอง เขาเล่นเกมมาทั้งคืนเพิ่งได้นอนเมื่อตอนเช้านี่เอง พอกลางวันก็ถูกรบกวนโดยคนตรงหน้า เขาต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้กัน 

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้”

“เฮ้ย! ไม่ฟังฉันเลยนะ!!”

“อะ จะพูดอะไร พูดมาสิ”

“ไม่พูดแล้ว จะเล่าอะไรก็เล่ามา ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงนะฉันจะฆ่าหมกส้วม” 

ความจริงนพเก้าแทบจะไม่ได้ฟังเพื่อนเลย เธอแค่อยากจะมาเล่าเรื่องของตัวเองเท่านั้น

“ฉันกำลังจะแต่งงานกับพี่พี” หญิงสาวว่า

“พี่พี?”

“เออ พี่พี”

“ใครวะ” 

เครื่องหมายคำถามผุดอยู่บนหน้าของพศธน แต่พอนึกได้ว่าชื่อคล้ายๆ ผู้ชายที่นพเก้าชอบพล่ามให้ฟังอยู่บ่อยๆ ก็เบิกตากว้าง ถึงเขาจะไม่เคยเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ได้ยินมาว่าโพรไฟล์ดีชนิดที่เพื่อนของเขาคนนี้หลงใหลได้ปลื้มมาตั้งแต่เด็ก คงจะไม่ธรรมดาแน่ ขนาดคนหล่อๆ อย่างเขาเคยลองหยอกเย้า ยั่วยวนอีกฝ่ายอยู่หลายเดือนก็ไม่เห็นว่านพเก้าจะสนใจอะไรสักนิด รักปักใจอยู่แต่กับพี่ชายลูกของเพื่อนแม่มาตั้งหลายปี

“สมองฝ่อหรือไง ที่เคยเล่าตอนนั้นอะ”

“อ๋อ จำได้แล้ว แล้วแกไปทำยังไงถึงได้แต่งงาน หรือแกแบบเอาตัวเข้าแลก? แต่ไม่ดิ ทำแบบนั้นนี่โอกาสหลุดมือสูงมาก” พศธนทำสีหน้าครุ่นคิด

“คุณป้า...แม่ของพี่เขาอยากได้ฉันเป็นสะใภ้” 

เห็นใบหน้าเขินอายของนพเก้าเวลาตอบแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกอยากอาเจียน เขาไม่เคยไปที่บ้านของเธอ ไม่เคยเห็นชีวิตอีกด้านหนึ่งของนพเก้าก็จริง แต่พอจะเดาได้ว่าคงเป็นประเภทดอกฟ้าหรือไม่ก็นกน้อยในกรงทองนี่แหละ เพราะแบบนี้ถึงได้ชอบทำตัวเถื่อนยามที่อยู่นอกบ้าน

ว่าแต่...เขารู้จักนพเก้าได้อย่างไรน่ะเหรอ

เขาเจอกับหญิงสาวเมื่อประมาณแปดปีก่อนในสถานที่ที่คงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าคนตรงหน้าจะไปอยู่ในนั้นได้ ไม่ใช่ฝาท่อหรือในคลองประปา แต่เป็นเกมออนไลน์ประเภทเอฟพีเอสเกมหนึ่ง เจอกันบ่อยครั้งจนกลายเป็นเพื่อนที่พิมพ์ข้อความโต้ตอบคุยกันเรื่องเกมเป็นประจำ ตอนนั้นเขามั่นใจมากว่าเพื่อนคนนี้ต้องเป็นผู้ชายแน่นอน ทั้งชื่อและอวตารไม่มีตรงไหนเลยที่ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง

‘GunslingerGod’ รูปประจำตัวคือยักษ์อัปลักษณ์ถือปืน

ตอนนั้นเขาถึงกับคุยเรื่องลับๆ ของผู้ชายให้อีกฝ่ายฟังเพราะคิดว่านพเก้าคือเพื่อนผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกัน จะให้เขาเชื่อได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาว่า ‘แกอาจจะไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้นก็ได้ ถ้าแกไม่แข็งอะ’

ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนพูดแบบนี้กับเพื่อนผู้ชายที่เจอกันในเกมกันล่ะ!!

“ทำไงดีวะ ฉันอยากได้เขา แต่ไม่อยากแบบว่าให้เขาฝืนใจแต่งงานกับฉันอะ” 

คิ้วของนพเก้าผูกกันเป็นปม แต่เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเครียดเท่าไรสำหรับพศธน ผู้ชายมันจะอะไรนักหนาล่ะ มีผู้หญิงสวยหุ่นดีแบบนี้อยู่ใกล้ๆ สองต่อสอง บรรยากาศดีๆ หน่อยก็เผลอไผลทุกคน 

แต่ก็อย่างว่า...ได้แค่ตัว แต่ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้ใจ

“แล้วเขาไม่มีแบบสนใจแกสักนิดเลยเหรอ” พศธนถาม

“ย้ำทุกคำว่าน้องสาว ใครแม่งจะแต่งงานกับน้องสาววะ”

“นั่นดิ แล้วที่คุยนี่พูดอะไรกันมั่ง”

“พูดเรื่องนี้แล้วน่าโมโห ไม่ได้เจอกันตั้งสี่ห้าปี พอมาคุยเรื่องแต่งงานเขาบอกฉันว่าอะไรรู้ไหม แต่งงานกันไปแล้วเขาจะให้ฉันทำทุกอย่างที่อยากทำ เหมือนจะแต่งงานเพื่อเลี้ยงฉันเหมือนน้องสาว ให้เงิน ให้ของ ทรัพย์สมบัติอะไรของเขา แล้วถ้าหย่ากันเขาจะให้อีก” นพเก้าเม้มปากแน่น ถึงตอนนั้นเธอจะโมโหสุดๆ แต่เพราะภาพลักษณ์กุลสตรีทำให้เธอไม่สามารถตบศีรษะของเขาได้ ไม่ว่าจะอยากทำแค่ไหน

พศธนเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด

“อย่างนี้แกก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เล่นเกมแล้วดิ”

ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับที่หญิงสาวกลุ้มใจสักเท่าไร แต่พอนึกถึงข้อดีอีกเรื่องก็คือ นพเก้าจะมีอิสระอย่างเต็มที่ เมื่อเธอแต่งงานออกจากบ้านไปแล้วก็จะไม่มีบิดามารดาที่ต้องคอยเกรงใจ ไม่ต้องเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ไม่ต้องร้อยมาลัยทุกวันพระ

“เออว่ะ ไอ้แพททำไมแกฉลาด ความฝันของฉัน คือการสร้างห้องเล่นเกมแบบครบวงจร ทุกอย่างที่ฉันไม่มีฉันเอาเงินพี่พีมาซื้อได้” พูดถึงเรื่องเงินแล้วเธอก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แม้ว่าที่บ้านของเธอจะมีฐานะ แต่สำหรับเรื่องไร้สาระอย่างการเล่นเกมนั้น ไม่มีทางที่มารดาจะรับได้แน่นอน

“ส่วนเรื่องแกกับเขาน่ะ ยากอยู่ เราต้องประชุมกันหน่อย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น