178

หยั่งเชิง

หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด

หยั่งเชิง

 

“เจ้าอยู่ที่ไหน” เสียงกระจ่างใสของหนานกงหลิวอวิ๋นดังขึ้น น้ำเสียงนั้นแฝงแววร้อนรนเล็กน้อย ทว่าชายหนุ่มก็ซ่อนมันเอาไว้อย่างดีจนซูลั่วสัมผัสไม่ได้

ซูลั่วมองฉู่หรงจิ่นพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย นางใคร่ครวญอยู่ครู่ก่อนตอบเพียง “ไม่รู้”

หนานกงหลิวอวิ๋นคิดว่าซูลั่วขุ่นเคืองใจที่เขาไม่รับการติดต่อจากนางก่อนหน้านี้ จึงอธิบายอย่างอดทน “ก่อนหน้านี้เก็บตัวเลื่อนขั้นพลังยุทธ์ การสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาด ซ้ำท่านปู่ก็ยังเฝ้าไม่ห่าง เพราะเหตุนี้...”

ดังนั้นต่อให้เขาคิดจะลอบส่งข่าวออกไปก็ทำไม่ได้ ยามเผชิญหน้ากับท่านผู้เฒ่าหนานกงซึ่งแข็งแกร่งประดุจเทพเจ้า หนานกงหลิวอวิ๋นก็เรียกว่าเป็นลูกไก่ในกำมือของอีกฝ่ายก็ว่าได้

ตอนที่ติดต่อหนานกงหลิวอวิ๋นไม่ได้ แม้ซูลั่วจะรู้สึกหดหู่ใจ ทว่ามากกว่านั้นคือความเป็นห่วง ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าเขาสบายดี นางก็วางใจด้วยเช่นกัน

“เจ้าอยู่ที่ไหน” หนานกงหลิวอวิ๋นถาม

ซูลั่วเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคอมองฉู่หรงจิ่น ปากก็บอก “ข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่รู้ว่าอยู่กับใคร”

“ใคร?” คิ้วรูปดาบของคุณชายรองหนานกงเลิกขึ้นนิดๆ

“ฉู่หรงจิ่น” ซูลั่วยิ้มกริ่มยามมองฉู่หรงจิ่นพลางตอบคำถามหนานกงหลิวอวิ๋น

หยกสื่อสารออกแบบเอาไว้อย่างดีเยี่ยม ฉู่หรงจิ่นจึงไม่ได้ยินเสียงของหนานกงหลิวอวิ๋นดังลอดมาจากปลายสาย ฉู่หรงจิ่นเห็นซูลั่วมองตนด้วยสายตาประสงค์ร้าย จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวปานตีกลองศึก แววตาแบบนี้ชวนให้รู้สึกสะพรึงยิ่งนัก

หนานกงหลิวอวิ๋นเหมือนจะกลั้นลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ซูลั่วสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากหยกสื่อสาร

หนานกงหลิวอวิ๋นหัวเราะเสียงแผ่ว “ข้ารู้แล้ว” พูดจบเขาก็ปิดหยกสื่อสารทันที

ฉู่หรงจิ่นเห็นซูลั่วถูกอีกฝ่ายปิดการสื่อสารเอาดื้อๆ เขาก็อดยิ้มเย้าไม่ได้ “ใครหนอใหญ่โตถึงเพียงนี้ กล้าตัดสัญญาณหยกสื่อสารของผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิของเรา เกรงว่าคงจะเบื่อชีวิตมากแล้วกระมัง!”

ซูลั่วเงยหน้า ยิ้มบางยามมองฉู่หรงจิ่น

ติ๊ง!

หยกสื่อสารของฉู่หรงจิ่นสว่างขึ้น ทันทีที่ฉู่หรงจิ่นเห็นนามด้านบนก็ลิงโลดขึ้นมาทันที “โอ๊ะโย วันนี้ฤกษ์ดีอะไรกันหนอ คุณชายผู้นี้ถึงเป็นฝ่ายติดต่อมาหาข้าก่อนได้”

ฉู่หรงจิ่นคลี่ยิ้มกว้าง อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เขาหยิบหยกสื่อสารออกมาด้วยท่าทางลำพอง ก่อนจะได้ยินเสียงเรียบของคุณชายรองหนานกง “ฉู่ซาน[1]

กงเอ้อร์[2] ว่าอย่างไร ท่านปู่ของเจ้ายอมปล่อยตัวเจ้าออกมาแล้วหรือ ไม่น่าเชื่อ ไหนๆ เจ้าก็ว่างแล้ว คืนนี้ไปงานเลี้ยงที่สกุลมู่หรงหรือไม่ ข้าจะบอกอะไรให้ พี่ๆ น้องๆ ไม่ได้พบหน้าเจ้ามานานเต็มทีแล้ว หากเจ้ายังไม่ปรากฏตัวอีก พวกเขาคงจำเจ้าไม่ได้แล้วเป็นแน่”

หนานกงหลิวอวิ๋นยังไม่ทันได้เอ่ยสักคำ ฉู่หรงจิ่นก็เอ่ยเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก

ตื้ด...

คุณชายรองหนานกงตัดการสื่อสาร

“นี่? เฮ้? เฮ้!” ฉู่หรงจิ่นตะโกนใส่หยกสื่อสาร แต่มีเพียงความเงียบงัน

ซูลั่วยิ้มกริ่มมองฉู่หรงจิ่น ชายหนุ่มเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็ย้อนถามซูลั่วด้วยสีหน้าลำพอง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่คือผู้ใด”

ซูลั่วต้องรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่กลับแสร้งทำสีหน้างุนงงปนสงสัย “ใครกันเล่า”

“เขาก็คือกงเอ้อร์ผู้เลื่องชื่อ คุณชายรองหนานกง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน” หากคนอื่นกล้าตัดการสื่อสารกับเขาแบบนี้ ฉู่หรงจิ่นคงเดือดดาลไปนานแล้ว ทว่าหนานกงหลิวอวิ๋นต่างจากผู้อื่น

“คุณชายรองหนานกง…” ซูลั่วลูบปลายคางพลางพยักหน้า

ฉู่หรงจิ่นเอ่ยอย่างเป็นต่อ “เขาคือสหายสนิทที่เติบโตมากับข้าตั้งแต่เยาว์วัย คนผู้นี้... ปัจจุบันนี้ก็ยังทำตัวลึกลับยากจะคาดเดา แต่ตอนยังเล็กเขาหาได้เป็นเช่นนี้ไม่”

หนานกงหลิวอวิ๋นตอนยังเล็ก? ซูลั่วรู้สึกสงสัย แต่แสดงสีหน้าเรียบเฉย “หือ?”

ฉู่หรงจิ่นทอดสายตามองไกลออกไปด้วยท่าทางเหม่อลอย “หนานกงหลิวอวิ๋นตอนเล็กๆ น่ะหรือ เขาเหมือนกับม้าหนุ่ม อุปนิสัยดึงดันดื้อด้าน ยากจะกำราบ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาน่ากลัวที่สุดตรงไหน”

“ตรงไหน” ซูลั่วทำท่าอยากรู้อยากเห็น

ฉู่หรงจิ่นเอ่ยก่อนทอดถอนใจ “ม้าดื้อไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวที่สุดคือม้าดื้อที่มีสมอง สมองของเขาหาใช่มันสมองของคนสามัญธรรมดาไม่”

ถึงตอนนี้ฉู่หรงจิ่นก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ยามที่ตกอยู่ภายใต้ดวงตาสาดประกายวับวาวของหนานกงหลิวอวิ๋น เขาเติบโตขึ้นมาโดยรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งได้ระดับนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ง่ายแล้ว

“ไม่ใช่คนสามัญธรรมดาอย่างไร” ซูลั่วแสร้งทำเป็นถามไปเช่นนั้นเอง ทว่ากลับเงี่ยหูฟัง ไม่พลาดวาจาที่หลุดจากปากฉู่หรงจิ่นแม้แต่คำเดียว

ฉู่หรงจิ่นคิดไม่ถึงว่าซูลั่วจะสนใจ เขากำลังกลุ้มใจอยู่พอดีว่าจะสนทนาเรื่องใดกับนาง ตอนนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ชายหนุ่มจึงขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เรื่องหนานกงหลิวอวิ๋นตัวน้อยที่เป็นหัวโจกนำกลุ่มเด็กคนอื่นๆ ไปก่อเรื่องก่อราวใหญ่โตจนแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังพูดไม่ออก จึงถูกสาธยายออกมาจนหมดเปลือก

เป็นต้นว่าหนานกงหลิวอวิ๋นในวัยห้าขวบนำสหายไปรุมเล่นงานเด็กวัยสิบขวบ จนอีกฝ่ายร้องไห้จ้าและยอมคารวะหนานกงหลิวอวิ๋นเป็นลูกพี่

หนานกงหลิวอวิ๋นวัยหกขวบถูกผู้มียุทธ์รายหนึ่งจับตัวไป ทว่าสุดท้ายเจ้าคนผู้นั้นถึงกลับร้องครวญครางไม่หยุดปาก ยามพาตัวเด็กน้อยกลับมาส่งคืนเผ่าพันธุ์หงส์มังกร ซ้ำยังยอมเป็นองครักษ์ให้แก่สกุลหนานกงนับตั้งแต่นั้นมา

หนานกงหลิวอวิ๋นวัยเจ็ดขวบทะเลาะกับคนในสกุล แล้วหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังแห่งจักรวรรดิกลาง เด็กน้อยร่างเล็กในชุดเกราะสีแดงเพลิง สูงไม่ถึงเอวผู้ใหญ่ แต่กลับวางแผนการได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงขั้นช่วยเหลือคนในกองทัพออกมาจากสถานการณ์คับขันได้

นอกจากนี้ก็ยังมี…

จากคำบอกเล่าของฉู่หรงจิ่น หนานกงหลิวอวิ๋นในวัยเด็กฉลาดเฉียบแหลม เจ้าเล่ห์ร้ายกาจมากแผนการ ซ้ำยังดื้อรั้นยากจะสยบ ไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากตนเอง

“แต่ว่า…” ฉู่หรงจิ่นถอนหายใจแผ่ว “ตั้งแต่วันนั้นมา... ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด หลายปีมานี้กงเอ้อร์ใช้ชีวิตไม่ง่ายดายเลย”

หือ? หัวใจของซูลั่วสั่นสะท้าน ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่สมอง นางมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ฉู่หรงจิ่นกำลังจะบอกนี้ต้องสำคัญกับนางเป็นอย่างยิ่ง

พอสัมผัสได้ว่าร่างของซูลั่วแข็งเกร็งขึ้น ลมหายใจถี่หนัก ฉู่หรงจิ่นก็เงยหน้าขึ้นมองซูลั่วอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาทันทีจนเผยเห็นลักยิ้มบาง “หึ สงสัยมากใช่หรือไม่ว่าครานั้นเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น”

ซูลั่วถลึงตาใส่ฉู่หรงจิ่นพลางเอ่ยเสียงขุ่น “เรื่องของผู้อื่น เหตุใดข้าถึงต้องสงสัยใคร่รู้ด้วยเล่า” ซูลั่วรู้ว่าด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของฉู่หรงจิ่น หากนางบอกว่าสงสัย เขาต้องไม่พูดเป็นแน่

ทว่าซูลั่วประเมินฉู่หรงจิ่นต่ำเกินไป เพราะนางเห็นชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างออกมาแทน “ในเมื่อเจ้าไม่อยากรู้ เช่นนั้นข้าก็ไม่พูดให้มากความ พวกเราสนทนาเรื่องอื่นแล้วกัน เป็นต้นว่าเรื่องของสกุลมู่หรง…”

ซูลั่วลอบกำมือแน่น ฉู่หรงจิ่นคนน่าชิงชัง รู้ทั้งรู้ว่านางสงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่ยอมพูด จงใจหลอกล่อให้นางอยากรู้ ซูลั่วขึงตาขุ่นใส่ฉู่หรงจิ่น

ฉู่หรงจิ่นจงใจทำสีหน้าเรียบเฉย “วันนี้เป็นวันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านผู้เฒ่ามู่หรง ถึงอย่างไรก็ต้องไปร่วมงานเพื่อให้เกียรติอีกฝ่ายสักนิด แต่ว่าข้าไม่มีเพื่อนเดินทางไปด้วย เพราะเหตุนี้จึงเชิญเจ้ามาด้วยกันอย่างไรเล่า เจ้าคงไม่ขุ่นขึ้งหรอกกระมัง?”

ฉู่หรงจิ่นผู้นี้... ช่างยั่วโมโหเก่งนัก ซูลั่วอยากรู้เรื่องของหนานกงหลิวอวิ๋น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามออกไปเช่นไร เพราะเหตุนี้จึงได้แต่อึดอัดอยู่ในใจคนเดียว…

ฉู่หรงจิ่นเห็นซูลั่วไม่เอ่ยคำใด เขาก็พูดเองเออเองต่อไป “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความแค้นกับสกุลมู่หรง ที่พาเจ้าไปในครั้งนี้ก็เพราะอยากให้สกุลมู่หรงเห็นว่าเจ้าเป็น…”

ซูลั่วขึงตามองเขา ฉู่หรงจิ่นกลืนคำพูดที่เหลือลงคอทันทีก่อนกระแอมออกมา “เจ้าเป็นสหายของฉู่หรงจิ่น เป็นคนที่ข้าจะพิทักษ์ปกป้อง ใครกล้ารังแกเจ้าก็เท่ากับข่มเหงข้าด้วย!” ฉู่หรงจิ่นประกาศก้องพลางพาดมือลงบนไหล่ของซูลั่ว

ซูลั่วปัดมืออีกฝ่ายทิ้งอย่างขุ่นใจ “ไม่จำเป็น”

“แต่เจ้าต้องชดใช้หนี้บุญคุณข้า หรือเจ้าไม่คิดจะชดใช้?” ฉู่หรงจิ่นมองซูลั่วด้วยสายตาอย่างคนเหนือกว่า

ซูลั่วขึงตาใส่ชายหนุ่ม จากนั้นก็ตั้งท่าจะกระโดดลงจากรถ ครั้งนี้ไม่ชดใช้แล้วจะไม่มีโอกาสอีกหรือไร อย่างมากก็ผลัดไปคราวหน้าก็แล้วกัน

ฉู่หรงจิ่นเห็นว่าซูลั่วทำท่าจะผละไปจริงๆ จึงรีบรั้งนางเอาไว้ “เอาละๆ ไม่เย้าเจ้าแล้วก็ได้ แต่ว่าการเดินทางไปเยือนสกุลมู่หรงในครั้งนี้รับรองว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าแน่ เจ้านี่ช่างไม่สำเหนียกในความหวังดีของข้าเอาเสียเลย”

ซูลั่วมองค้อนชายหนุ่ม ฉู่หรงจิ่นรู้ว่าซูลั่วอยากรู้เรื่องของหนานกงหลิวอวิ๋น จึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา “เรื่องของกงเอ้อร์ข้าบอกเจ้าไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้เป็นความลับของเขา หากวันหนึ่งเขาเต็มใจจะบอกเจ้า… เอ่อ เรื่องนี้อาจจะยากเกินไปสักนิด”

ซูลั่วมองฉู่หรงจิ่นตาขวาง

สัตว์พาหนะของฉู่หรงจิ่นมุ่งหน้าไปยังสกุลมู่หรง ฉู่หรงจิ่นอารมณ์ดีมาตลอดทาง

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงจวนสกุลมู่หรง สกุลมู่หรงเป็นสกุลใหญ่อันดับสองในบรรดาแปดสกุลดังแห่งจักรวรรดิกลาง จวนสกุลมู่หรงกว้างใหญ่โอ่อ่าอย่างที่จินตนาการไม่ถึงเลยทีเดียว

ฉู่หรงจิ่นในอาภรณ์สง่าเดินนำซูลั่วซึ่งสวมเครื่องแต่งกายงดงามเข้าไปยังด้านใน

ด้านในจวนสกุลมู่หรงตกแต่งประดับประดาด้วยโคมสี แขกเหรื่อคับคั่ง บรรยากาศครึกครื้นและอึกทึกยิ่งนัก

ฉู่หรงจิ่นหาได้อวดอ้างสถานะของเขาเกินจริงไม่ เพราะตลอดทางที่เดินมา ผู้ที่เห็นเขาก็พากันหลีกทางให้ นอกจากนี้ก็ยังมีหลายคนที่พยายามจะเข้ามาทักทาย หมายจะได้สนทนากับเขาสักคำสองคำ

ฉู่หรงจิ่นเห็นซูลั่วทำสีหน้าเฉยเมยเหมือนเดิม ก็ตบไหล่นางเบาๆ อย่างขุ่นใจ “แม่นาง เงยหน้าดูเสียบ้าง คนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้างที่ไม่พยายามประจบเอาใจคุณชายสามสกุลฉู่ แต่ดูเจ้าเถิด ข้าเอาใจใส่ดูแลเจ้า เจ้ากลับทำท่าทีไม่พอใจเสียอย่างนั้น”

ซูลั่วยิ้มกริ่มยามมองชายหนุ่ม “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่”

ฉู่หรงจิ่นแค่นเสียง “หรือจะหวังให้เสือสิงห์กระทิงแรดพวกนั้นเอาใจเจ้า? อย่าฝัน!”

ตอนนี้เองบุรุษหนุ่มสองคนก็ก้าวเข้ามา ทั้งคู่แต่งกายงดงาม คิ้วรูปดาบ ดวงตากระจ่างใส บุคลิกลักษณะโดดเด่น แค่ปรายตามองก็รู้ว่าเป็นลูกหลานจากสกุลสูงศักดิ์ ทั้งสองคนยกจอกสุราขึ้นแล้วยิ้มทักทาย

“โอ๊ะ แม่นางผู้นี้มาจากสกุลใดกัน ไฉนพี่สามถึงไม่แนะนำสักนิดเล่า”

“นั่นสิ พี่สาม แนะนำเร็วเข้า”

บุรุษหนุ่มคู่นี้ดูสนิทสนมกับฉู่หรงจิ่น เหมือนเป็นลูกสมุนของเขาอย่างไรอย่างนั้น คนหนึ่งมีนามว่าชือจื่อเฉิง อีกคนคือฉีเทียนหนิง

ฉู่หรงจิ่นปรายตาขวางมองทั้งคู่ “ไปๆๆ ไปไกลๆ ข้า พวกเจ้าเหลือบมองที นางก็แปดเปื้อนที”

“คุณชายสามใจแคบนัก!”

สุดท้ายคุณชายทั้งสองก็ทำได้เพียงจ้องมองซูลั่วอีกครั้ง ก่อนจะผละไปอย่างจนปัญญา

แม่นางผู้นี้งดงามเหลือเกิน เส้นผมดำสนิทยาวจดข้อเท้าพลิ้วไหวไปมาตามแรงลม ราวกับภูตสาวที่เริงระบำในป่าลึก กระโปรงของนางซ้อนเป็นชั้นราวกับปีกผีเสื้อโผบิน ชายกระโปรงผ้าไหมลากยาวไปกับพื้น ผ้าแพรสีชมพูอ่อนคล้องเกี่ยวแขนเรียวเล็กปานหยก บุคลิกสง่างาม รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ใบหน้าพิสุทธิ์กระจ่างใสประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์

ใบหน้างดงามมีเสน่ห์นั้นจะหาคำใดมาบรรยายได้ ต่อให้เป็นคำพูดสวยหรูงดงามแค่ไหน ก็ไม่อาจบรรยายรูปลักษณ์อันงดงามไร้ที่เปรียบของอีกฝ่ายได้ พวกเขารู้เพียงว่าขณะที่มองใบหน้านาง สีสันของสรรพสิ่งรอบกายก็พลันจืดชืดลงในทันใด นางเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ ไม่อาจละสายตาไปที่อื่นได้อีก ความงามระดับนี้ทำให้พวกเขาอดไพล่นึกถึงคุณชายรองหนานกงผู้หล่อเหลาอย่างมิอาจเทียบเทียมได้

หากคุณชายรองหนานกงอยู่ที่นี่ด้วย และให้พวกเขายืนเคียงคู่กัน ภาพของชายหญิงที่มีความงามล่มบ้านจมเมืองเช่นนี้ จะชวนให้รู้สึกสะท้านสะเทือนใจเพียงไรกัน

แต่น่าเสียดาย คุณชายรองหนานกงไม่เคยปรากฏตัวในงานเลี้ยงเช่นนี้ ตั้งแต่ที่เขาหวนคืนจักรวรรดิกลางอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ปลีกวิเวก แทบไม่มีใครพบหน้าเขา

หลังจากที่ซูลั่วก้าวเข้ามาในจวนสกุลมู่หรง สายตามากมายหลายคู่ก็จับจ้องมาที่นาง

ฉู่หรงจิ่นพอใจอย่างมาก เพราะสตรีที่เป็นเป้าสายตาผู้นี้คือลั่วลั่วของเขา นับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจยิ่งนัก

ก็ต้องแน่อยู่แล้ว มาตรฐานในการมองคนของฉู่หรงจิ่นเรียกว่าชั้นยอดมาแต่ไหนแต่ไร ฉู่หรงจิ่นผู้กำลังลำพองใจหารู้ไม่ว่าใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่

คุณชายสามสกุลฉู่เดินนำซูลั่วเข้าไปในห้องรับรองโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด

ห้องรับรองแบ่งออกเป็นสองส่วน ห้องเสวียนอวิ๋นกับห้องหรานอวิ๋น ห้องเสวียนอวิ๋นมีไว้รับรองเฉพาะลูกหลานจากสี่เผ่าพันธุ์ใหญ่แปดสกุลดัง ส่วนห้องหรานอวิ๋นเป็นห้องรับรองแขกเหรื่อทั่วไป ด้วยเหตุนี้ตอนที่ฉู่หรงจิ่นเข้ามาด้านในห้องเสวียนอวิ๋น สายตาที่จับจ้องเขาจึงน้อยลง ทว่าจุดสนใจกลับพุ่งเป้าไปที่ซูลั่วซึ่งเดินตามชายหนุ่มเข้ามา

ภายในห้องเสวียนอวิ๋นมีคนมาถึงก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง ทั้งชายและหญิงไม่ต่ำกว่าสิบคน ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองฉู่หรงจิ่นและซูลั่วพร้อมกัน

“เอ... ฉู่หรงจิ่น สตรีข้างกายเจ้าผู้นี้…”

ฉู่หรงจิ่นขัดเคืองใจขึ้นมาเล็กน้อย ยามปกติเขานับเป็นจุดเด่นท่ามกลางคนหมู่มากก็ว่าได้ ในบรรดาทายาทรุ่นหลัง นอกจากหนานกงหลิวอวิ๋นแล้ว ผู้ที่เรียกความสนใจจากสายตาของทุกคนเป็นอันดับสองก็คือเขา ทว่าพอซูลั่วเดินตามหลังเขามา ชายหนุ่มถึงตระหนักได้ว่าสิ่งใดคือ ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’

ผู้ที่ทักเมื่อครู่คือคุณชายใหญ่แห่งสกุลหนิง นามว่าหนิงเฮ่าเทียน ผู้สืบทอดสกุลหนิงคนต่อไป เป็นสหายที่เติบโตมาพร้อมกับหนานกงหลิวอวิ๋นและฉู่หรงจิ่น

หนิงเฮ่าเทียนไม่ได้นั่งเพียงลำพัง ข้างกายเขายังมีชายหนุ่มอีกคน ชายหนุ่มคนนั้นผิวขาวสะอาดสะอ้าน ท่าทางราวกับคนขี้โรค แต่ดวงตาวับวาวประหนึ่งหยกสีนิล เขาก็คือหลินรั่วอวี่ คุณชายสี่สกุลหลิน

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่คือจุดศูนย์กลางของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้

เพราะตอนที่พวกเขาเบนสายตามามองซูลั่ว คุณชายและคุณหนูคนอื่นๆ ก็พากันหันมามองตามอย่างพร้อมเพรียงกัน

ขณะที่ทุกคนมองเห็นซูลั่ว ทันใดนั้นทั้งหมดก็ตกอยู่ในอาการตะลึงงัน ด้วยสถานะระดับพวกเขาย่อมเคยพบพานหญิงงามมานับไม่ถ้วน ทว่าหลังจากที่พบหน้าซูลั่ว ทุกคนถึงตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘งามไร้ที่เปรียบ’

บรรดาชายหนุ่มตะลึงตะลาน ขณะที่เหล่าสตรีซึ่งเดิมกำลังหัวร่อต่อกระซิกก็พลันเงียบเสียงลงในบัดดล มีท่าทีกระสับกระส่าย ความรู้สึกในใจของพวกนางคงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

ยามที่ตกอยู่ภายใต้สายตาของชายหนุ่มกับหญิงสาวผู้เปี่ยมพรสวรรค์และสถานะสูงส่งเหล่านี้ หากเป็นคนสามัญธรรมดาทั่วไปก็คงจะอึดอัดคับข้องใจ กระสับกระส่ายว้าวุ่น ทว่าซูลั่วกลับมีสีหน้าเป็นปกติ หนักแน่นราวกับภูเขาลูกใหญ่

ซูลั่วไม่ได้คิดที่จะสมาคมกับลูกหลานสกุลใหญ่สกุลโตเหล่านี้อยู่แล้ว นางเพียงแต่ต้องการชดใช้หนี้บุญคุณฉู่หรงจิ่นถึงได้ตกปากรับคำมางานเลี้ยงเท่านั้น

ฉู่หรงจิ่นแสร้งทำเมินคำถามของหนิงเฮ่าเทียนไม่ได้ เขาจึงเดินนำซูลั่วไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย จากนั้นก็ยกยิ้มให้สหาย “นางคือซูลั่ว”

จากนั้นเขาก็แนะนำคนที่อยู่ในห้องรับรองนี้ให้ซูลั่วรู้จัก คนที่มีสถานะสูงพอให้ฉู่หรงจิ่นแนะนำมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น หนึ่งคือหนิงเฮ่าเทียน สองคือหลินรั่วอวี่ และคนสุดท้ายก็คือมู่หรงเจ๋ออวี่ คุณชายใหญ่สกุลมู่หรง

คนอื่นๆ ได้ยินฉู่หรงจิ่นแนะนำซูลั่วด้วยชื่อ พวกเขาก็พลันเกิดความรู้สึกดูแคลนนางขึ้นมา ในแวดวงสังคมนี้ ยามแนะนำตัว ชื่อเสียงเรียงนามหาได้สำคัญไม่ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคนผู้นั้นเป็นลูกหลานของสกุลใด เพราะสิ่งนี้ใช้วัดว่าอีกฝ่ายจะได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ในสังคมหรือไม่

เวลานี้ฉู่หรงจิ่นแนะนำเพียงนาม ‘ซูลั่ว’ แต่ไม่เอ่ยถึงสกุลของนางเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นก็อธิบายได้อย่างเดียวว่าสตรีรูปโฉมงดงามผู้นี้มีสถานะสามัญธรรมดาอย่างแน่นอน

มู่หรงเจ๋ออวี่ไม่รู้จักซูลั่ว ทว่าเขาเคยได้ยินนามของนางมาก่อน จึงหรี่ตาที่ฉายรังสีอันตรายออกมายามมองนาง จังหวะนี้ฉู่หรงจิ่นก็หัวเราะเสียงแผ่ว

“คุณชายใหญ่มู่หรง ขอสนทนาด้วยสักครู่”

“ได้” คุณชายใหญ่มู่หรงก็อยากรู้เหมือนกันว่าฉู่หรงจิ่นเจตนาพาซูลั่วมาร่วมงานในวันนี้เพราะสาเหตุใด ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากัน จากนั้นก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง

หนิงเฮ่าเทียนและหลินรั่วอวี่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยกลั้วหัวเราะ “มีอะไรถึงต้องกระซิบกระซาบกันเพียงสองคนด้วยเล่า รังเกียจที่พวกเราจะร่วมรับฟังด้วยหรือไม่”

คิ้วรูปดาบของมู่หรงเจ๋ออวี่ขมวดเข้าหากันนิดๆ เขารู้ว่าหนิงเฮ่าเทียน ฉู่หรงจิ่น และหลินรั่วอวี่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก มีความสัมพันธ์สนิทสนมแนบแน่น ตอนนี้ทั้งหนิงเฮ่าเทียนและหลินรั่วอวี่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วม เห็นได้ชัดว่าหมายเล่นพรรคเล่นพวก แต่ถึงกระนั้นมู่หรงเจ๋ออวี่ก็มิได้กังวลใจอะไรนัก เพราะหนานกงหลิวอวิ๋นผู้ที่ทำให้เขารู้สึกยำเกรงได้ไม่อยู่ ณ ที่นี้ด้วย หากกงเอ้อร์เข้าฝ่ายเดียวกับฉู่หรงจิ่นอย่างชัดเจนแล้วละก็ เขาคงพูดอะไรไม่ได้อีก

“ได้ ไปด้วยกันทั้งหมด” มู่หรงเจ๋ออวี่ยิ้มออกมาตามมารยาท จากนั้นก็เดินนำไป ตอนที่เดินผ่านซูลั่ว ประกายอำมหิตก็สาดวาบขึ้นในดวงตา ซูลั่วยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มอย่างกุลสตรีผู้อ่อนหวาน สีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์

หลังจากชายหนุ่มทั้งสี่ผละไปแล้ว บุรุษคนอื่นๆ ที่เหลือในห้องก็ตั้งท่าจะเข้ามาทักทายโอภาปราศรัยกับซูลั่ว แต่พอถูกสตรีสามสี่คนพากันขึงตาดุใส่ พวกเขาเลยจำต้องยกมือขึ้นถูปลายจมูกแก้เก้อ แล้วหลบฉากไปอย่างห่อเหี่ยว

นอกจากบุรุษที่เหลือแล้วก็ยังมีสตรีอีกหกคนนั่งอยู่ในห้องรับรอง แม้ว่าสีหน้าของแต่ละคนจะเผยความรู้สึกแตกต่างกันไป ทว่าสิ่งเดียวที่พวกนางทำเหมือนกันก็คือใช้สายตาสำรวจพินิจมองซูลั่วตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ราวกับนางเป็นสินค้าที่รอการประเมินราคาอย่างไรอย่างนั้น

ซูลั่วรู้จักหนึ่งในสตรีทั้งหก คนผู้นี้ก็คือมู่หรงโม่ที่ถูกซูลั่วชิงกระบี่มู่อวิ๋นไปครองนั่นเอง

ตอนนี้เองมู่หรงโม่ก็เดินเนิบนาบมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูลั่ว แล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามนาง “ไม่เจอกันนาน ซูลั่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตรอดมาได้” มู่หรงโม่ยิ้มหยันมุมปากอย่างดูแคลน

ซูลั่วปรายตามองอีกฝ่าย สายตาราบเรียบปานผืนน้ำ

“เสี่ยวโม่ เจ้ารู้จักนางหรือ” บรรดาคุณหนูที่เหลือเห็นมู่หรงโม่เอ่ยกับซูลั่วด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย ก็พากันสงสัยและออกปากซักถาม

มู่หรงโม่ยิ้มหยันมุมปาก “ก่อนหน้านี้ที่ข้าไปรับคัดเลือกศิษย์ที่อาณาจักรล่างกับศิษย์พี่หนิงอย่างไรเล่า สหายซูลั่วผู้นี้ก็คือศิษย์ที่มาจากอาณาจักรล่าง”

มู่หรงโม่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก แค่วาจาประโยคเดียวก็ให้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ อาณาจักรล่าง? เมื่อครู่มีบางคนคะเนเอาไว้ว่า... ดูจากรูปลักษณ์และบุคลิกของซูลั่วแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะมาจากสกุลซูอันลึกลับก็เป็นได้ แต่กลับกลายเป็นว่า…

“เจ้าแน่ใจว่านางมาจากอาณาจักรล่าง?” ดรุณีที่อยู่ข้างกายมู่หรงโม่คือหลินเยว่หราน คุณหนูหกสกุลหลิน

หลินเยว่หรานแอบหลงรักฉู่หรงจิ่น วันๆ เอาแต่ไล่ตามตื๊อชายหนุ่มจนเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งอาณาจักรกลาง หากถามว่าสตรีคนใดที่ชิงชังซูลั่วมากที่สุดก็คงไม่พ้นมู่หรงโม่กับหลินเยว่หราน

มู่หรงโม่หัวเราะเสียงแผ่วด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งยโส “หากไม่เชื่อ พวกเจ้าก็ถามนางเอง ซูลั่ว เจ้าคงไม่ปฏิเสธความจริงเรื่องที่เจ้ามาจากอาณาจักรล่างอันต่ำต้อยหรอกกระมัง”

อาณาจักรล่างอันต่ำต้อย? ซูลั่วแค่นหัวเราะ แววตาเฉยชาปรายผ่านมู่หรงโม่ ตอนที่ได้ยินจากฉู่หรงจิ่นว่าทั้งคู่จะเดินทางมาสกุลมู่หรง ซูลั่วก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องได้พบหน้ามู่หรงโม่ เพราะเหตุนี้นางจึงไม่สนใจวาจาของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป นางก็มิได้คบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้อยู่แล้ว

เวลานี้สายตาของสตรีทั้งกลุ่มที่มองซูลั่วก็พลันเปลี่ยนไป เดิมทีฉู่หรงจิ่นแนะนำอีกฝ่ายอย่างคลุมเครือ ทำให้พวกนางต่างรู้สึกกริ่งเกรงอยู่ในใจ แต่คำพูดนี้ของมู่หรงโม่เท่ากับเปิดโปงสถานะจอมปลอมของซูลั่วออกมาให้ทุกคนได้รับรู้

อาณาจักรล่าง? อาณาจักรล่างหมายถึงอะไรกัน ในความคิดของชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิกลางอย่างพวกเขา อาณาจักรล่างนั้นกระจอกงอกง่อยสิ้นดี ผู้คนที่นั่นอ่อนแอถึงขนาดที่พวกนางไม่อยากจะชายตาแลด้วยซ้ำ เมื่อซูลั่วมาจากอาณาจักรล่าง นั่นก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายย่อมเป็นเหยื่อให้พวกนางเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ

“จุ๊ๆๆ ใครๆ ก็พูดกันว่าฉู่หรงจิ่นช่างเลือกสตรีนัก แต่ดูจากตอนนี้แล้วไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”

“เมื่อก่อนดีจริงอยู่ แต่ครั้งนี้... จุ๊ๆ”

“ว่ากันว่าฉู่หรงจิ่นเปลี่ยนสตรีสัปดาห์ละคน ฮ่าๆ พวกเจ้าว่าครั้งนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน”

“อยู่ได้นานแล้วอย่างไรกัน ไม่คู่ควรแม้แต่สถานะอนุของสกุลฉู่ ยังจะหวังสูงแต่งเข้าสกุลฉู่อีกหรือไร หึๆ” หลังจากที่รู้ว่าซูลั่วไร้คนหนุนหลัง บรรดาคุณหนูสกุลใหญ่ทั้งหลายก็เริ่มเหยียบย่ำนางให้จมดิน

แน่นอนว่าไม่ใช่ดรุณีทุกคนที่จะแสดงทีท่าเช่นนี้ออกมา ในบรรดาทั้งหกมีดรุณีสี่คนแสดงความไม่เป็นมิตรออกมา แต่อีกสองคนยังรักษาท่าทีเป็นกลางเอาไว้ พอเห็นซูลั่วถูกเหยียบย่ำดูแคลนเช่นนี้ พวกนางก็นิ่วหน้านิดๆ เพราะถึงอย่างไรฉู่หรงจิ่นก็เป็นคนพาสตรีผู้นี้มา การโจมตีถึงขั้นเอาเป็นเอาตายเช่นนี้หาใช่สิ่งที่กุลสตรีชั้นสูงควรทำไม่ แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในสองคนนี้คนหนึ่งมีสถานะเป็นคุณหนูห้าสกุลหนิง อีกคนคือคุณหนูสิบสองสกุลมู่หรง

คุณหนูห้าสกุลหนิงมีบุคลิกเย่อหยิ่งทะนงตนมาแต่ไหนแต่ไร นางมีท่านพี่สามเป็นตัวอย่าง จึงวางตัวสูงศักดิ์เย็นชาอยู่เสมอ มีอุปนิสัยดูแคลนผู้อื่น การที่นางไม่โจมตีซูลั่วเป็นเพราะนางไม่เห็นซูลั่วอยู่ในสายตา เพราะเหตุนี้ถึงไม่จำเป็นต้องล่วงเกินฉู่หรงจิ่นเพียงเพราะหญิงไร้ค่าในสายตาตนเอง สำหรับคุณหนูสิบสองสกุลมู่หรง เนื่องจากเป็นบุตรีในอนุ นางอ่อนแอและขี้ขลาด ระมัดระวังคำพูดกับการกระทำอยู่เสมอ ในสถานการณ์เช่นนี้หรือจะเอ่ยวาจาใดได้

ทว่ารูปโฉมของซูลั่วกลับทำให้คุณหนูห้าสกุลหนิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางปรายสายตาเย็นยะเยือกมองซูลั่วก่อนลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าสนทนากันไปก่อน” นางรู้สึกว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีแต่จะแปดเปื้อนความบริสุทธิ์สูงส่งของตนเปล่าๆ

ตอนที่คุณหนูห้าสกุลหนิงกำลังจะผละไป ทันใดนั้นเสียงสูดลมหายใจเย็นก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก เกิดอะไรขึ้น ความสนใจของทุกคนถูกเบนไปทางนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ตอนนี้เองร่างสูงโปร่งก็ก้าวผ่านประตูห้องรับรองเข้ามา คนที่อยู่ด้านในห้องเสวียนอวิ๋นพากันตะลึงงันทันทีที่เห็นอีกฝ่าย ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีน้ำหมึก คิ้วคมเข้ม ดวงตากระจ่างใส นัยน์ตาดำขลับปานหินนิลสาดประกายวับวาว ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อยตามบุคลิกอันเย็นชาอย่างผู้มีสถานะสูงศักดิ์ เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ก็ยังสาดรังสีคมปลาบแผ่ซ่านออกมา ประหนึ่งราชันผู้ได้รับการประทานพรจากสวรรค์

“หนานกงหลิวอวิ๋น!” ไม่รู้ว่าใครอุทานออกมา

ทั้งหมดตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่คุณหนูห้าสกุลหนิงที่เดิมทีตั้งท่าจะผละไป แต่พอเห็นหนานกงหลิวอวิ๋นเดินเข้ามา สีหน้าของนางก็พลันขัดเขินขึ้นมาทันที

ดวงตาเรียวดุจตาหงส์ของหนานกงหลิวอวิ๋นหรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับปานน้ำหมึกคู่นั้นปรายผ่านคนมากมาย ก่อนจะจับนิ่งที่ซูลั่ว ดวงตาลึกล้ำของเขาจับจ้องมองหญิงสาวอยู่เช่นนั้น ซูลั่วคิดว่าตนตาลาย ทว่าหลังจากกะพริบตาถี่ๆ หนานกงหลิวอวิ๋นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม นางเห็นใบหน้างดงามไร้ที่เปรียบของเขา ขณะที่รอบกายพลันเงียบสนิท

ซูลั่วยืนนิ่ง สายตามองสบกับอีกฝ่าย สองคนเว้นระยะห่างระหว่างกันราวสิบเมตร รอบข้างคือสีหน้าตระหนกของแขกเหรื่อกับความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ทว่าสายตาของทั้งคู่ก็ยังไม่ละจากกัน ราวกับโลกใบนี้เงียบสงัดลงและเวลาหยุดนิ่ง

สองคนไม่มีใครเอ่ยวาจาออกมาก่อน จังหวะนี้เองใครบางคนก็ทำลายความเงียบงันลง

“กงเอ้อร์ ท่านมาหรือ ฉู่หรงจิ่นบอกว่าท่านไม่มา” คุณหนูห้าสกุลหนิงเงยหน้ามองหนานกงหลิวอวิ๋น รอยยิ้มของนางราวกับบุปผาแย้มกลีบ

การสบตาโดยไร้เสียงถูกทำลายลง หนานกงหลิวอวิ๋นเหลือบมองคุณหนูห้าสกุลหนิงแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นการทักทาย แม้จะแค่ปรายตาผ่านๆ ทว่าก็ทำให้คุณหนูห้าสกุลหนิงรู้สึกราวกับมีกวางน้อยวิ่งย่ำอยู่ในหัวใจ ใบหน้าของนางแดงเป็นริ้ว ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ที่ใด ออกอาการทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

ตอนนี้เองชายหนุ่มที่เดิมเจรจากันอยู่ในห้องก็เดินออกมา หลังจากที่ได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านนอก

ฉู่หรงจิ่นมองหนานกงหลิวอวิ๋นแล้วชะงักไปในทันที ก่อนจะร้องลั่นออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าไม่ชอบงานเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ไฉนถึงโผล่มาได้เล่า!”

ดวงตาดำขลับปานน้ำหมึกของคุณชายรองหนานกงปรายผ่านหน้าฉู่หรงจิ่น มุมปากยกสูงขึ้นดูคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม หัวใจฉู่หรงจิ่นสั่นระรัว กงเอ้อร์ยิ้มเช่นนี้เมื่อไรก็หมายความว่าเขากำลังจะก่อเรื่องเมื่อนั้น ปกติหากเขายิ้มแบบนี้ให้ใคร คนผู้นั้นต้องถูกเล่นงานเสียจนย่ำแย่ แต่เพราะอะไรกงเอ้อร์ถึงยิ้มอย่างนี้ให้เขา เขาเผลอทำสิ่งใดล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าอย่างนั้นหรือ

ฉู่หรงจิ่นฉงน “กงเอ้อร์ เหตุใดเจ้าถึงมาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้”

หนานกงหลิวอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “มาขอบใจเจ้า”

“ขอบใจข้า? โอ๊ะโย กงเอ้อร์ เจ้าล้อเล่นอะไรกัน ช่วงที่ผ่านมาข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเสียหน่อย หรือต่อให้ช่วยอะไรเจ้าด้วยความบังเอิญ ระหว่างเราจำเป็นต้องเอ่ยวาจาขอบคุณหรือไร นี่เป็นเรื่องที่พี่น้องควรทำอยู่แล้ว” ฉู่หรงจิ่นตอบด้วยน้ำเสียงชอบใจ

หนานกงหลิวอวิ๋นตบไหล่สหายพลางพยักหน้า “ข้ายุ่งนัก ดีที่เจ้าช่วยพานางมา หญิงผู้นี้ช่างก่อเรื่อง นางไม่ได้ทำให้เจ้ายุ่งยากกระมัง”

นาง? ฉู่หรงจิ่นยังไม่ทันเข้าใจ ก็เห็นหนานกงหลิวอวิ๋นวาดแขนโอบไหล่ซูลั่ว จากนั้นเรียวแขนยาวก็รั้งร่างระหงบอบบางของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอก

ฉู่หรงจิ่นตกตะลึงพรึงเพริด ได้แต่มองหนานกงหลิวอวิ๋นด้วยสีหน้าราวกับคนโง่งม ภาพตรงหน้าว่างเปล่าไปหมด ‘ซูลั่ว... หนานกง... รู้จักกันหรือ ซ้ำยังสนิทสนมกันถึงขั้นนี้?’

เนื่องจากหนานกงหลิวอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อกับซูลั่ว เพราะเหตุนี้บรรยากาศในห้องเสวียนอวิ๋นจึงแข็งค้างไปชั่วครู่ ฉู่หรงจิ่นตะลึงงัน คุณชายใหญ่มู่หรงงุนงง คนอื่นๆ ก็มีอาการไม่ต่างกัน

หนิงเฮ่าเทียนได้สติก่อนใคร เขาหัวเราะพลางใช้หมัดต่อยเข้าที่แผงอกฉู่หรงจิ่น “เจ้านี่นะ ที่แท้ก็พาสตรีของกงเอ้อร์มานี่เอง หากเจ้าไม่พูด เราก็นึกว่านางเป็นคนของเจ้าเสียอีก”

หลินรั่วอวี่เองก็หัวเราะออกมา “พี่ฉู่ ไฉนถึงไม่บอกพวกเราเล่า”

ฉู่หรงจิ่นได้แต่หัวเราะฝืดเฝื่อน “เหอะๆ…” จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ กงเอ้อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นและทำลายแผนการของเขาจนป่นปี้

ฉู่หรงจิ่นเหลือบมองหนานกงหลิวอวิ๋น เวลานี้อีกฝ่ายใช้มือข้างหนึ่งโอบซูลั่วไว้ ใบหน้าที่ฉายความเรียบเฉยนั้นเผยรอยยิ้มเอื่อยออกมา แววตาคมกริบประหนึ่งใบมีดกรีดแทงหัวใจ ชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาจากก้นบึ้ง ซูลั่วมองซีกหน้าด้านข้างของหนานกงหลิวอวิ๋น หนานกงของนางไม่เพียงแต่หล่อเหลาถึงขั้นแผ่นดินสะท้านท้องฟ้าสะเทือน ซ้ำทุกอิริยาบถของเขายังเต็มไปด้วยอำนาจและบารมีที่ดูแล้วน่ายกย่องนับถือยิ่งนัก

คุณหนูห้าสกุลหนิงมองหนานกงหลิวอวิ๋น จากนั้นก็มองฉู่หรงจิ่น แล้วสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ซูลั่ว นัยน์ตาของนางฉายแววใคร่ครวญ หญิงสาวผู้มีประสาทสัมผัสอันเฉียบไวตระหนักได้ถึงท่าทีผิดปกติของคนทั้งสาม ทว่าเรื่องเดียวที่นางสนใจก็คือปฏิกิริยาของหนานกงหลิวอวิ๋น

คุณหนูห้าสกุลหนิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันถามออกมาจนได้ “พี่หลิวอวิ๋น ท่านเป็นอะไรกับนางหรือ”

หลายคนพากันเหงื่อตกแทนคุณหนูห้าสกุลหนิง ‘เรื่องของคุณชายรองหนานกงเป็นสิ่งที่เจ้าซักถามได้หรือไร อย่าคิดว่าเจ้าเป็นน้องสาวของคุณหนูสามสกุลหนิงแล้วจะทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็มิใช่คุณหนูสามสกุลหนิง’

ทว่าผิดไปจากที่ทุกคนคาดไว้ หนานกงหลิวอวิ๋นหันมาสบตากับคุณหนูห้าสกุลหนิงแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว “เจ้าหมายถึงซูลั่ว?”

“ถูกต้อง” คุณหนูห้าสกุลหนิงจ้องมองหนานกงหลิวอวิ๋นอย่างกระสับกระส่าย

หนานกงหลิวอวิ๋นหลุบตาลง ดวงตาลึกล้ำคู่งามจ้องมองซูลั่ว “นางหรือ เจ้าถามนางสิ พวกเราเป็นอะไรกัน”

ซูลั่วแค่นเสียงขุ่น ‘หากท่านไม่ได้สูญเสียความทรงจำ พวกเราก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แต่ว่าตอนนี้น่ะหรือ…’ 

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย”

“เหลวไหล” นิ้วเรียวปานแท่งหยกของหนานกงหลิวอวิ๋นดีดหน้าผากซูลั่วไปทีหนึ่ง “ก่อนกลับเมืองหลวง พวกเรายังนอนเรือนเดียวกันอยู่เลย”

วาจานี้ของหนานกงหลิวอวิ๋นราวกับพายุสลาตันที่พัดผ่านเข้ามา ทันใดนั้นสรรพสิ่งก็เหลือเพียงความเงียบสงัด

‘นอนเรือนเดียวกัน… นอนเรือนเดียวกัน… แบบนี้ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันถึงขั้นใด พวกเขาใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ สกุลหนานกงรู้เรื่องนี้หรือไม่’

ซูลั่วมองค้อนหนานกงหลิวอวิ๋น “แต่ว่าคนละห้อง”

หนานกงหลิวอวิ๋นยิ้มเนือยพลางเอ่ยตัดพ้อกับบรรดาแขกเหรื่อที่ยืนทื่อเป็นรูปปั้น “เฮ้อ ถึงได้บอกว่าแม่นางผู้นี้ตามตื๊อยากอย่างไรเล่า ดูทีว่าข้าคงต้องพยายามให้มากขึ้น ถึงจะได้อิงแอบแนบชิดเสียที”

บรรดาชายหนุ่มต่างมองซูลั่วด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง ขณะที่สตรีทั้งหมดต่างก็จ้องนางด้วยแววตาเคียดแค้น! คุณชายรองหนานกงตามตื๊อสตรี? ซ้ำสตรีผู้นั้นยังไม่ตอบตกลง? เรื่องนี้ไม่น่าตระหนกหรือไรกัน หากพูดออกไปใครเล่าจะเชื่อ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ คุณชายรองหนานกงเป็นคนเผยวาจานี้ออกมาเอง ซูลั่วผู้นี้… แม้ว่านางจะงดงาม บุคลิกลักษณะน่ามอง ทว่าอีกฝ่ายมีสถานะเป็นถึงคุณชายรองหนานกงเชียวนะ แต่นางกลับกล้าปฏิเสธ ปฏิเสธหนานกงหลิวอวิ๋น!

แม้แต่ฉู่หรงจิ่นก็ยังมองซูลั่วด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ “มีโชค แต่ไม่รู้จักโชค”

“…” ซูลั่วจนด้วยคำพูด

ฉู่หรงจิ่นเข้าใจแล้ว กงเอ้อร์หมายตาสตรีผู้นี้ ซ้ำยังรู้จักซูลั่วก่อนเขาด้วย ฉู่หรงจิ่นอาจจะไม่ยอมแพ้ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ทว่ากับหนานกงหลิวอวิ๋น... แย่งชิงคนของอีกฝ่ายไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือไรกัน อีกอย่าง... เขาก็เพียงแต่รู้สึกประทับใจในตัวซูลั่วเท่านั้น เพราะความลึกลับของนางทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ดังนั้นจึงอยากที่จะเย้าหยอกนางเล่นก็เท่านั้น เวลานี้นางเป็นสตรีที่กงเอ้อร์หมายตา อย่าว่าแต่เกี้ยวพาราสีเลย จะให้เข้าใกล้นางมากกว่านี้ ฉู่หรงจิ่นก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิด

ทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับรองแห่งนี้รู้สึกราวกับโลกใบนี้กลับตาลปัตรไปหมด เมื่อครู่พวกนางเพิ่งจะหัวเราะดูแคลนชาติกำเนิดอันต่ำต้อยของซูลั่ว เดียดฉันท์ว่าฉู่หรงจิ่นมีตาแต่ไร้แวว แต่บัดนี้ความจริงเปิดเผยขึ้นตรงหน้า ซูลั่วเป็นสตรีของคุณชายรองหนานกง ซ้ำคุณชายรองหนานกงยังบอกเองอีกว่าตามตื๊อนางด้วยความยากลำบาก

ซูลั่วถือเป็นศัตรูกับหมู่มวลดรุณีทุกผู้ทุกนามในใต้หล้านี้!

ศัตรูเรื่องอะไรน่ะหรือ ‘เจ้าครอบครองบุรุษที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดในใต้หล้า ไม่เป็นศัตรูกับเจ้าแล้วจะเป็นใครกับเล่า’ เพราะเหตุนี้เองที่สตรีทั้งหมดจึงมองซูลั่วด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดแจ้ง

ซูลั่วสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของสตรีเหล่านั้น นางขึงตาขุ่นใส่หนานกงหลิวอวิ๋น “ครานี้ถูกท่านวางยาแล้ว”

หนานกงหลิวอวิ๋นไม่ใส่ใจ “แค่นี้จะกระไรเชียว” นายหญิงแห่งเผ่าพันธุ์หงส์มังกรใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ ไม่ ตำแหน่งภรรยาของหนานกงหลิวอวิ๋นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากเย็นที่สุดในใต้หล้า เวลานี้ก็แค่เสียงจากความอิจฉาริษยาเท่านั้น ต่อไป… หนานกงหลิวอวิ๋นหัวเราะเสียงแผ่วแล้วหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านั้น

จู่ๆ ฉู่หรงจิ่นก็ชี้หน้ามู่หรงเจ๋ออวี่แล้วหัวเราะลั่นออกมา “คุณชายใหญ่มู่หรง เมื่อครู่เจ้าตบโต๊ะโครมไม่ไว้หน้าข้า... ฉู่หรงจิ่นคนนี้ใช่หรือไม่ ตอนนี้เจ้ากล้าตบโต๊ะต่อหน้ากงเอ้อร์หรือไม่เล่า! ฮ่าๆๆ”

เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องรับรอง ฉู่หรงจิ่นขอเจรจากับมู่หรงเจ๋ออวี่ เขาขอให้สกุลมู่หรงหยุดไล่ล่าสังหารซูลั่ว ทว่าคุณชายใหญ่มู่หรงกลับตบโต๊ะพลางชี้หน้าต่อว่าเขาว่าช่างสอดมือเรื่องของผู้อื่น

เวลานี้สายตาทุกคู่ปรายมองไปที่มู่หรงเจ๋ออวี่ ขณะที่มู่หรงเจ๋ออวี่มองหนานกงหลิวอวิ๋นซึ่งกำลังโอบซูลั่วไว้ด้วยท่าทีสนิทสนม สีหน้าของเขาเผยแววลึกลับมีเลศนัยออกมา เป็นดังที่ฉู่หรงจิ่นกล่าวไว้จริง เขาอาจไม่ไว้หน้าฉู่หรงจิ่นได้ แต่เขาจะกล้าตอกหน้าหนานกงหลิวอวิ๋น ชายหนุ่มผู้มีพลังยุทธ์โดดเด่นที่สุดในบรรดาทายาทรุ่นที่สามของเผ่าพันธุ์หงส์มังกรด้วยคำว่า ‘ไม่’ หรือ มู่หรงเจ๋ออวี่ไม่กล้า!

หนานกงหลิวอวิ๋นยกยิ้มพลางเหลือบมองฉู่หรงจิ่น “เกิดอะไรขึ้น”

ฉู่หรงจิ่นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที “กงเอ้อร์ เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูกนา เจ้าบอกว่าซูลั่วเป็นคนของเจ้ามิใช่หรือ”

หนานกงหลิวอวิ๋นพยักหน้า ฉู่หรงจิ่นหัวเราะขัน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าซูลั่วของเจ้าเกือบจะถูกคนสกุลมู่หรงสังหาร”

สายตาเย็นยะเยือกของหนานกงหลิวอวิ๋นจับนิ่งมาที่มู่หรงเจ๋ออวี่  มู่หรงเจ๋ออวี่... ทายาทผู้สืบทอดสกุลมู่หรงอันดับหนึ่ง นายน้อยที่ยามปกติมีคนนับพันนับหมื่นยกย่องเทิดทูน วางตัวกำเริบเสิบสาน ยโสโอหัง ทว่าเมื่อประจันหน้ากับหนานกงหลิวอวิ๋น เขากลับรู้สึกว่าตนต้อยต่ำโดยไม่รู้ตัวเสมอ มู่หรงเจ๋ออวี่จำต้องโต้กลับ

“เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง คุณชายรองหนานกงอย่าฟังความข้างเดียว”

“ฟังความข้างเดียว?” ฉู่หรงจิ่นกอดอกแล้วหัวเราะออกมา “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะข้าปรากฏตัวขึ้นทันท่วงที ลั่วลั่วก็คงถูกพวกเจ้าสังหารไปแล้ว เพราะเหตุนี้ลั่วลั่วถึงติดหนี้บุญคุณข้า และยอมเดินทางมาที่งานเลี้ยงสกุลมู่หรงของพวกเจ้าในคืนนี้อย่างไรเล่า”

หนานกงหลิวอวิ๋นฟังวาจาฉู่หรงจิ่นเพียงครึ่งเดียว ก็หันมาพยักหน้าให้ฉู่หรงจิ่น “หนี้บุญคุณของนาง ข้าจะชดใช้แทน”

ก็เท่ากับว่าคืนนี้ซูลั่วไม่จำเป็นทำตามคำสั่งของฉู่หรงจิ่นอีกแล้ว หญิงสาวพรูลมหายใจออกมา กลับเป็นฉู่หรงจิ่นที่อุทานลั่น

“ไอหยา กงเอ้อร์ เจ้าพูดจริงหรือ เจ้าไม่ได้หลอกข้ากระมัง!” สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าการจะทำให้หนานกงหลิวอวิ๋นติดหนี้บุญคุญได้นั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด

หนานกงหลิวอวิ๋นปรายตามองอีกฝ่าย “ไม่แลก?”

“แลก! แลกอยู่แล้ว! ต้องแลก! ตั้งแต่บัดนี้ไปลั่วลั่วเป็นของเจ้า” ฉู่หรงจิ่นรีบผละถอยห่างซูลั่วสามก้าวในทันที เพราะเมื่อครู่ตอนที่ยืนเคียงข้างนาง ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงแววตาคมปลาบของหนานกงหลิวอวิ๋นที่มองมา

หนานกงหลิวอวิ๋นแค่นเสียง “ลั่วลั่ว? เจ้าเรียกได้หรือ”

ฉู่หรงจิ่นอัดอั้นเสียจนอยากจะชกผนัง กงเอ้อร์ผู้นี้... หากไม่สนใจก็ไม่คิดจะแยแส แต่ถ้าสนใจขึ้นมาเมื่อใด เรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต แม้แต่ชื่อลั่วลั่วเขาก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่นเรียก

“เอาละๆ ซูลั่ว ต่อไปข้าจะเรียกนางว่าซูลั่ว” ฉู่หรงจิ่นรีบยกธงขาวยอมแพ้ทันที

หนานกงหลิวอวิ๋นแค่นเสียงออกมา ละเว้นสหายชั่วคราว

มู่หรงเจ๋ออวี่เห็นสองสหายสนทนากันอย่างไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา รังสีทะมึนเยือกก็แผ่ซ่านขึ้นในดวงตาของเขาเป็นเท่าทวีคูณ หนานกงหลิวอวิ๋นแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซูลั่วเช่นนี้ หากสกุลมู่หรงคิดจะสังหารซูลั่วก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูของหนานกงหลิวอวิ๋น เบื้องหลังหนานกงหลิวอวิ๋นก็คือเผ่าพันธุ์หงส์มังกรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง หลังจากชั่งน้ำหนักได้เสียแล้ว มู่หรงเจ๋ออวี่ก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา...

ทว่าจังหวะนี้เองมู่หรงโม่กลับพุ่งตัวออกมา “ไม่ได้!”

ฉู่หรงจิ่นมองดรุณีน้อยอย่างจนคำพูด ไม่ต้องรีบรนหาที่ตายถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง

ไม่รอให้ใครถาม มู่หรงโม่ก็ชี้หน้าซูลั่วแล้วแค่นหัวเราะ “จะให้ละเว้นชีวิตนางก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่นางต้องคืนกระบี่มู่อวิ๋นให้ข้า!”

ในสายตาของคนทั่วไปกระบี่มู่อวิ๋นถือเป็นสุดยอดกระบี่ล้ำค่า แม้สกุลมู่หรงจะไม่รู้ว่ามันคือหนึ่งในอาวุธเทวะสิบสองนักรบ แต่ถึงกระนั้นก็รู้ว่ามันต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

มู่หรงเจ๋ออวี่พยักหน้า “กระบี่มู่อวิ๋นเป็นของที่ท่านปู่มอบให้เสี่ยวโม่ แม่นางซูนำกระบี่มู่อวิ๋นออกมาเถิด”

ทุกคนรู้ว่ามู่หรงโม่ครอบครองกระบี่มู่อวิ๋น เพราะตอนที่นางได้มันมาใหม่ๆ เจ้าตัวสำแดงฤทธิ์เดชอวดอ้างไปทั่ว

ซูลั่วกล้าแย่งชิงกระบี่มู่อวิ๋นของมู่หรงโม่เชียวหรือ

ฉกชิงสมบัติของสกุลมู่หรง ช่างกล้าหาญชาญชัยนัก เวลานี้สายตาทุกคนที่มองซูลั่วฉายแววใคร่ครวญ

เวลานี้ซูลั่วสามารถโยนโจทย์ยากให้หนานกงหลิวอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงเขาออกหน้า ด้วยสถานะระดับเขา สุดท้ายมู่หรงเจ๋ออวี่ก็จำต้องยอมตกปากรับคำ ทว่าซูลั่วกลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะนางไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าสตรีที่หนานกงหลิวอวิ๋นหมายตาเป็นหญิงไม่เอาถ่าน ที่ทำตัวเหมือนจิ้งจอกห่มหนังเสือ มีดีแค่ทำตัวหยิ่งผยองและกำเริบเสิบสาน

หางคิ้วซูลั่วยกสูงขึ้น นางหัวเราะเสียงแผ่ว “มู่หรงโม่ เจ้าไม่ได้บอกคนในสกุลหรือว่ากระบี่มู่อวิ๋นหายไปได้อย่างไร”

พออีกฝ่ายเท้าความเรื่องนี้ นัยน์ตาของมู่หรงโม่ก็สาดประกายเยือก มู่หรงเจ๋ออวี่มองน้องสาวอย่างคลางแคลง เทียบกับมู่หรงโม่ที่ยามนี้อับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นขึ้งแล้ว ซูลั่วก็สงบนิ่งกว่ามาก ท่าทางมั่นใจในตัวเอง

มู่หรงโม่แค่นเสียงหนักในลำคอ “ชิงกระบี่มู่อวิ๋นของข้าไปแล้ว กลับมาถามข้าว่าทำหายได้อย่างไร ซูลั่ว เจ้ามียางอายบ้างหรือไม่”

ซูลั่วยิ้มบาง “แม้แต่กระบี่มู่อวิ๋นยังดูแคลนเจ้า เจ้ายังคิดจะเป็นนายของมันอีกหรือ มู่หรงโม่ เจ้ามียางอายบ้างหรือไม่”

“เจ้า!” มู่หรงโม่สะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าของซูลั่วด้วยความโมโห ทว่าฝ่ามือยังไม่ทันสัมผัสกับผิวของซูลั่ว หนานกงหลิวอวิ๋นก็ปล่อยคมวายุสายหนึ่งออกไป

พริบตานั้นข้อมือขวาของมู่หรงโม่ก็ขาดวิ่น เลือดสาดกระจาย

เวลานี้บรรยากาศเงียบสงัดปานความตายมาเยือน มีหลายคนที่คิดว่าหนานกงหลิวอวิ๋นแสร้งทำเป็นเอ็นดูซูลั่วไปเช่นนั้นเอง ทว่ามาบัดนี้...

คุณชายรองหนานกงลงมือกับมู่หรงโม่ คุณหนูสกุลมู่หรงต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีของเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว ใครกล้าแตะต้องซูลั่วก็เท่ากับเป็นศัตรูของหนานกงหลิวอวิ๋น!

พริบตานั้นทุกคนก็ถอยหลังพรวดไปด้านหลังหนึ่งก้าวทันที จากนั้นก็พากันมองมู่หรงโม่ด้วยแววตาเวทนา มู่หรงโม่ตกใจจนตะลึงพรึงเพริด น้ำตาเอ่อคลอนัยน์ตา ขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นไร

“หนานกงหลิวอวิ๋น เจ้า!” หลังจากหายตกตะลึงพรึงเพริด มู่หรงเจ๋ออวี่ก็ชี้หน้าหนานกงหลิวอวิ๋นด้วยความเดือดดาล

หนานกงหลิวอวิ๋นเมินเฉยท่าทีเป็นเดือดเป็นแค้นของอีกฝ่าย เขาหันมาถามซูลั่วด้วยแววตาแสดงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด “ตกใจหรือไม่ หือ?”

คนอื่นๆ ตะลึงงัน ก่อนจะสบถในใจ

มู่หรงโม่ยังไม่ทันได้ทำร้ายซูลั่วด้วยซ้ำ ซูลั่วจะตกใจอะไรกันเล่า แต่เอ็นข้อมือขวาของมู่หรงโม่ก็ขาดแล้วด้วย!

แม้ผู้ปรุงโอสถจะสามารถต่อเอ็นข้อมือให้กลับมาเป็นปกติได้ก็เถอะ แต่เรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้… ต่อไปนางจะมีหน้าก้าวเท้าออกจากจวนได้อย่างไรกัน แล้วดูท่านเถิด ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมู่หรงโม่ที่ร่ำไห้น้ำตานองหน้าสักแวบ ซ้ำยังไม่สนใจมู่หรงเจ๋ออวี่ที่เป็นเดือดเป็นแค้นแบบนั้น เอาแต่เป็นห่วงว่าลั่วลั่วจะตกใจหรือไม่ ไฉนถึงได้เข้าข้างลำเอียงกันถึงเพียงนี้หนอ

ทว่าหนานกงหลิวอวิ๋นเป็นคนลำเอียงเข้าข้างพวกพ้องมาแต่ไหนแต่ไร เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกแล้วคลุมทับกายซูลั่ว ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว “สวมเสื้อผ้าบางเช่นนี้ ไฉนถึงไม่ทะนุถนอมตัวเองบ้าง เจ้าอยากให้ข้าโมโหตายหรือไร”

ฉู่หรงจิ่นหลบฉากออกมาเงียบๆ อาภรณ์ชุดนี้เขาเป็นคนพาซูลั่วไปเลือกด้วยตนเอง กงเอ้อร์คงมิได้ตีวัวกระทบคราดหรอกกระมัง เป็นไปตามคาด หนานกงหลิวอวิ๋นปรายแววตาเย็นเยือกมองมาแวบหนึ่ง ฉู่หรงจิ่นแทบเสียสติเลยทีเดียว หากเขารู้ว่าซูลั่วเป็นสตรีของหนานกงหลิวอวิ๋น หากรู้ว่าหนานกงหลิวอวิ๋นใส่ใจอีกฝ่ายถึงเพียงนี้ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็จะไม่มีวันก่อเรื่องล่วงเกินซูลั่ว แบบนี้เท่ากับทารุณกรรมตนเองชัดๆ

เพื่อชดเชยความผิด ฉู่หรงจิ่นรีบก้าวออกมาแล้วแค่นเสียงใส่มู่หรงโม่ “ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี หากครั้งหน้าเจ้ายังคิดจะลงมือกับซูลั่วอีก เช่นนั้นอวัยวะต่อไปที่จะขาด บาดแผลคงใหญ่กว่าข้อมือเป็นแน่”

มู่หรงเจ๋ออวี่ลุกพรวดขึ้นแล้วถลึงตาใส่หนานกงหลิวอวิ๋น “หนานกงหลิวอวิ๋น เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

หนานกงหลิวอวิ๋นปรายตามองเนิบนาบ

มู่หรงเจ๋ออวี่หัวเราะเสียงเหี้ยม “เจ้าจะประกาศศึกกับสกุลมู่หรงของเราหรือ! เพื่อผู้หญิงพรรค์นี้น่ะหรือ!”

ฉู่หรงจิ่นไม่พอใจขึ้นมาทันที ‘ผู้หญิงพรรค์นี้’ หมายความว่าอย่างไรกัน สตรีคนนี้คือผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่ผ่านการทดสอบจากหุบเจ้าสมุนไพรเชียวนะ แต่เพราะสมาคมผู้ปรุงโอสถกลัวว่าตำหนักผู้ปรุงโอสถจะลอบประสงค์ร้าย ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังสถานะของนางเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากสถานะนี้ของซูลั่วเปิดเผยเมื่อใด อย่าว่าเดือดร้อน สกุลมู่หรงจะต้องถูกประกาศจับตายจากสมาคมผู้ปรุงโอสถด้วยซ้ำ!

มู่หรงเจ๋ออวี่จ้องหนานกงหลิวอวิ๋นแล้วบีบคั้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ใช่หรือไม่ใช่”

มู่หรงเจ๋ออวี่รู้ดีว่าเผ่าพันธุ์หงส์มังกรมิใช่เผ่าพันธุ์ของหนานกงหลิวอวิ๋นเพียงคนเดียวเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเวลานี้การเมืองในราชสำนักก็วุ่นวายซับซ้อน เผ่าพันธุ์หงส์มังกรมิได้ก้าวย่างราบรื่นเหมือนที่เห็นในฉากหน้า เพราะเหตุนี้ต่อให้หนานกงหลิวอวิ๋นคิดจะประกาศศึกเพื่อสตรีเพียงคนเดียว แต่สกุลของเขาก็ย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

หนานกงหลิวอวิ๋นยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เจ้ากำลังยั่วยุข้า?”

มู่หรงเจ๋ออวี่ถูกหนานกงหลิวอวิ๋นผู้เฉียบแหลมตีโต้ เจ้าตัวก็ชะงักไปในทันที

หนานกงหลิวอวิ๋นเอ่ยต่อ “เพราะฉะนั้น... เจ้าคิดจะสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองสกุล?”

“…” มู่หรงเจ๋ออวี่มิได้เอ่ยอะไร

‘ข้าหาได้มีเจตนาเช่นนี้ไม่!’

หนานกงหลิวอวิ๋นเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ย “นี่เป็นเจตนาของเจ้า หรือว่าเจตนาของสกุลเจ้ากันแน่?” ก่อนก้าวเข้าหาอีกฝ่ายช้าๆ

มู่หรงเจ๋ออวี่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ไม่ ไม่ใช่ เขาไม่ได้หมายความเช่นนี้!

ทว่าหนานกงหลิวอวิ๋นกลับแค่นเสียงหยัน “ลอบสังหารลั่วลั่วของข้าก็เท่ากับลอบสังหารข้า ข้าประกาศวาจาสิทธิ์เอาไว้ตรงนี้ อยากจะลองดีก็เชิญ!”

ลอบสังหารซูลั่วก็เท่ากับลอบสังหารหนานกงหลิวอวิ๋น ลอบสังหารหนานกงหลิวอวิ๋น? ใครจะอาจหาญรอรับการแก้แค้นจากคุณชายรองหนานกงกันเล่า ในอดีตสกุลใหญ่สกุลหนึ่งเคยคิดลอบสังหารหนานกงหลิวอวิ๋น ปรากฏว่าเผ่าพันธุ์หงส์มังกรยังไม่ทันลงมือ คุณชายรองหนานกงก็ใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมถอนรากถอนโคน กำจัดคนสกุลนั้นจนหมดสิ้น!

มู่หรงเจ๋ออวี่ได้แต่ชะงักอึ้ง เดิมทีเขามีเหตุผลมากพอที่จะเป็นฝ่ายเหนือกว่า ทว่าหลังจากที่ถูกหนานกงหลิวอวิ๋นรุกไล่ ไฉนเขาถึงกลายเป็นฝ่ายท้าทายไปได้เล่า ซ้ำคนอื่นๆ ก็ยังมองมาที่เขาด้วยแววตาเวทนา…

เวลานี้คุณชายใหญ่มู่หรงรู้สึกเหมือนขึ้นหลังเสือยากจะลงมาได้

ฉู่หรงจิ่นเห็นบรรยากาศขมึงเกลียว ก็ก้าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ “เหอะๆ เอาละๆ วันนี้มาร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดท่านผู้เฒ่ามู่หรงมิใช่หรือ หนึ่งหมื่นปีถึงจะจัดงานฉลองสักครั้ง ต้องสนุกให้เต็มที่ กงเอ้อร์ เจ้าว่าอย่างไร”

หนานกงหลิวอวิ๋นโอบไหล่ซูลั่วให้ไปนั่งบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง น้ำเสียงของเขาไม่เผยอารมณ์ความรู้สึก “แล้วแต่”

ฉู่หรงจิ่นมองท่าทางของหนานกงหลิวอวิ๋นแล้วลอบพรูลมหายใจออกมา ขณะเดียวกันก็ตบไหล่มู่หรงเจ๋ออวี่แล้วกระซิบเสียงต่ำ “สหาย มีทางให้เจ้าลงก็รีบลงเสีย ไม่เช่นนั้นหากพลาดไปแล้ว ถึงต่อให้อยากลงก็อย่าหวังว่าจะลงได้อีก”

มู่หรงเจ๋ออวี่เอ่ยอย่างไม่ยอมจำนน “น้องสาวของข้าเส้นเอ็นข้อมือขาด จะโทษข้าหรือไร”

ฉู่หรงจิ่นหัวเราะยามมองมู่หรงเจ๋ออวี่ “หรือจะให้โทษกงเอ้อร์เล่า”

มู่หรงเจ๋ออวี่พูดไม่ออก เขากล้าโบ้ยความผิดให้คนอื่น แต่กับหนานกงหลิวอวิ๋น… ไม่เคยมีความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวด้วยซ้ำ แม้มู่หรงเจ๋ออวี่จะขุ่นขึ้งอย่างหนัก ทว่าก็จำต้องกล้ำกลืนความเดือดดาลในครานี้ไป

ฉู่หรงจิ่นเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกสะใจนัก เมื่อครู่มู่หรงเจ๋ออวี่ยังตบโต๊ะโครมๆ ประกาศกร้าวว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเลิกแล้วต่อกันได้ เวลานี้กงเอ้อร์ตัดเอ็นข้อมือน้องสาวของเขาไปข้างหนึ่ง มู่หรงเจ๋ออวี่กลับขยาดเกรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชาติกำเนิดมิเท่าเทียม ใครเล่าจะขืนสู้ชะตาฟ้าลิขิตได้

“พวกเจ้าสนุกกันไปเถิด!” มู่หรงเจ๋ออวี่ทิ้งวาจานี้เอาไว้แล้วก้าวยาวๆ จากไปพร้อมกับความเดือดดาล

หากไม่มีหนานกงหลิวอวิ๋น มู่หรงเจ๋ออวี่ก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ทว่าพอหนานกงหลิวอวิ๋นปรากฏตัว เขาก็เหมือนกับดวงดาวเจิดจรัสที่เป็นเป้าสายตาของทุกคน เพราะเหตุนี้แม้มู่หรงเจ๋ออวี่จะจากไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นๆ สนใจอะไรนัก เวลานี้ความสนใจทั้งหมดถูกเบนมาจับที่หนานกงหลิวอวิ๋นหมดแล้ว

มู่หรงเจ๋ออวี่หวังว่าจะมีใครสักคนยับยั้งเขา อย่างน้อยก็พอจะเปิดทางให้เขาลงจากหลังเสือได้บ้าง ทว่าพอเขาประกาศออกมาว่าจะไป กลับไม่มีใครรั้งตัวเขาไว้สักคน มู่หรงเจ๋ออวี่เจ็บแค้นนัก เขาหันขวับกลับมา ดีเหลือเกิน! บุรุษและสตรีทั้งหมดพากันรุมล้อมรอบกายหนานกงหลิวอวิ๋น ราวกับดวงดาวรายล้อมดวงจันทร์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักครึกครื้น

ภายในใจมู่หรงเจ๋ออวี่ดำดิ่งวูบ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนแปลกแยกจากทุกคน ราวกับว่าเขาถูกกีดกันออกจากโลกใบนี้ เป็นตัวประหลาดที่ไม่เข้าพวก

สุดท้ายมู่หรงเจ๋ออวี่ก็ผละไปด้วยความแค้นเคือง เขาตรงไปดูอาการของมู่หรงโม่ก่อน ยังดีที่ผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์ต่อเส้นเอ็นข้อมือกลับคืนได้อีกครั้ง มู่หรงโม่จึงไม่บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด หลังจากข้อมือกลับเป็นปกติอีกครั้ง สองพี่น้องก็ได้แต่มองหน้ากัน…

“พี่ใหญ่ ต้องทวงคืนกระบี่มู่อวิ๋นมาให้ได้นะเจ้าคะ!” มู่หรงโม่กำหมัด

มู่หรงเจ๋ออวี่มองมู่หรงโม่ตาขวาง “เจ้าทวงคืนได้หรือไร”

มู่หรงโม่เอ่ยอย่างมั่นใจ “ก็มีท่านพี่ทั้งคนนี่เจ้าคะ” มู่หรงโม่ถูกนำตัวออกมารักษาอาการก่อน เพราะเหตุนี้นางจึงไม่รับรู้ถึงบทสนทนาระหว่างมู่หรงเจ๋ออวี่กับหนานกงหลิวอวิ๋น

มู่หรงเจ๋ออวี่ขึงตาใส่มู่หรงโม่อย่างขุ่นใจ “ท่านพี่ของเจ้ารับมือได้ทุกคน แต่สำหรับหนานกงหลิวอวิ๋น… เลิกแล้วกันไปเถอะ” เป็นปฏิปักษ์กับหนานกงหลิวอวิ๋นไม่เท่ากับทารุณกรรมตนเองหรือไร ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดีๆ ไม่ชอบ รนหาเรื่องทรมาทรกรรมแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน

มู่หรงโม่นิ่วหน้า “ความขุ่นเคืองในครั้งนี้ข้าไม่มีวันยอมเป็นอันขาด! อย่างไรเสีย... ให้ท่านปู่ช่วยจัดการดีหรือไม่”

สีหน้าของมู่หรงเจ๋ออวี่ทะมึนลงทันที น้ำเสียงของเขาเฉียบขาด “มู่หรงโม่! เรื่องนี้ห้ามดึงท่านปู่เข้ามาพัวพันเป็นอันขาด! ท่านปู่มีสถานะใดกัน จะให้ท่านต้องวุ่นวายไปกับพวกเราด้วยหรือ” หากท่านปู่ออกโรงเอง ต่อให้ชิงกระบี่มู่อวิ๋นกลับมาได้ก็หาใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจไม่ เช่นนี้แล้วสกุลมู่หรงมิกลายเป็นตัวตลกในแวดวงสกุลใหญ่โตหรือไร

“ท่านพี่ ท่านคงไม่ได้คิดว่าต่อให้ท่านปู่ออกหน้าเองก็ยังจนปัญญาจะทวงกระบี่มู่อวิ๋นคืนจากซูลั่วหรอกกระมัง” มู่หรงโม่ไม่อยากจะเชื่อ

“ใครกลัวซูลั่วกัน นางก็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่พลังยุทธ์ยังไม่ถึงขั้นบรรลุด้วยซ้ำไป แต่กับคุณชายรองหนานกง…” มู่หรงเจ๋ออวี่ขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่าสมองของตนต้องมีปัญหาแน่ ที่เป็นกังวลว่าท่านปู่จะพ่ายแพ้ให้แก่สติปัญญาของหนานกงหลิวอวิ๋น

สุดท้ายมู่หรงเจ๋ออวี่ก็สรุปออกมา “สรุปแล้วก็คือ... กระบี่มู่อวิ๋นเป็นของซูลั่วไปแล้ว เรื่องนี้ยุติเพียงเท่านี้ เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ต่อไปห้ามหาเรื่องซูลั่วอีก!”

“ท่านพี่!” มู่หรงโม่ยังคงไม่ยอมแพ้ แต่มู่หรงเจ๋ออวี่กลับก้าวยาวๆ ผละไปแล้ว

“ท่านพี่!” มู่หรงโม่แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง สกุลมู่หรงที่สูงศักดิ์มิอาจทวงกระบี่มู่อวิ๋นกลับคืนมาได้!

“พวกเจ้าอยู่ที่ใด ข้ากำลังจะเดินทางไปพบ!” มู่หรงโม่ติดต่อหยกสื่อสารถึงคุณหนูหกสกุลหลิน

คุณหนูหกสกุลหลินก็คือผู้ที่ต่อคำมู่หรงโม่เป็นปี่เป็นขลุ่ยนั่นเอง

“ห้องเสวียนอวิ๋น เสี่ยวโม่ มีเรื่องน่าดูชมที่นี่ หากเจ้ามาได้ จงรีบมาโดยไว รับรองว่าเจ้าต้องชอบใจอย่างแน่นอน ฮ่าๆๆ!” คุณหนูหกสกุลหลินกระซิบผ่านหยกสื่อสาร แต่ยากจะปกปิดเสียงขำขันชัดแจ้งนั้นได้

มู่หรงโม่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าซูลั่วต้องประสบเคราะห์เป็นแน่แท้ นางรีบคล้องผ้าพันแผลที่ลำคอ จากนั้นก็เผ่นแผล็วไปยังห้องรับรองทันที

เวลานี้ภายในห้องรับรองหาได้มีบรรยากาศตึงเครียดขมึงเกลียวเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ ยามนี้คนที่เหลือกำลังจะทำกิจกรรมร่วมกัน

คุณหนูห้าสกุลหนิงเป็นผู้เสนอกิจกรรมนี้ ตอนนั้นนางบอก “นั่งเฉยๆ ก็น่าเบื่อ อย่างไรเสียเรามาหาอะไรสนุกๆ ทำดีหรือไม่”

คนอื่นๆ มองหญิงสาวด้วยสายตาจนคำพูด มีคุณชายรองหนานกงอยู่ด้วยทั้งคน เจ้าเสนอให้ทำอะไรสนุกๆ ไม่เท่ากับถูกอีกฝ่ายปั่นหัวจนสนุกไปหรือไร

คุณหนูห้าสกุลหนิงหัวเราะเสียงแผ่ว “แต่กิจกรรมนี้ห้ามคุณชายรองหนานกงเข้าร่วม เพราะสมองของเขาเฉียบแหลมเกินไป หากเขาเล่นด้วย พวกเราจะรอดหรือ”

ทุกคนกระจ่างแจ้ง คุณชายรองหนานกงไม่ร่วม ถ้าเช่นนั้นเป้าหมายของคุณหนูห้าสกุลหนิงก็คือซูลั่ว?

คุณหนูห้าสกุลหนิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นการยอมรับโดยปริยาย นางไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองออกว่าตนตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับซูลั่ว ในแวดวงนี้มิใช่ใครอยากจะเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกก็ได้ และก็ใช่ว่าวาจาของหนานกงหลิวอวิ๋นเพียงประโยคเดียวจะทำให้ซูลั่วได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ

คุณหนูห้าสกุลหนิงมองซูลั่วด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แววตาของนางฉายประกายท้าทาย “เจ้ากล้าเล่นหรือไม่”

นี่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เวลานี้ความสนใจทั้งหมดพุ่งปราดมาที่ซูลั่ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมนี้เล่นอย่างไร มีกติกาเช่นไร ทว่านางก็จำเป็นต้องรับปาก เพราะนางไม่อยากให้ใครปรามาสว่าหนานกงหลิวอวิ๋นมีตาหามีแววไม่

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่วก่อนตกปากรับคำ “ได้”

หนานกงหลิวอวิ๋นยิ้มเอื่อยพลางลูบศีรษะซูลั่ว แต่ก็ไม่เอ่ยคำใด พอเห็นท่าทางแนบชิดของคนทั้งคู่ คุณหนูห้าสกุลหนิงก็ขุ่นขึ้งขึ้นมา ทว่าจำต้องสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้า แต่ถ้าพ่ายแพ้แล้วอย่าร่ำไห้น้ำตานองหน้าเล่า”

ซูลั่วหัวเราะ นางไม่สนใจอีกฝ่าย คุณหนูห้าสกุลหนิงกวาดตามองไปรอบๆ “พวกเรามาทำกิจกรรมทดสอบความจำแล้วกัน”

ฉู่หรงจิ่นมุมปากกระตุก “เจ้าความจำดีกว่าใคร โดยเฉพาะด้านการคิดคำนวณ เจ้าคงไม่คิดจะทดสอบด้านนี้จริงๆ หรอกกระมัง”

คุณหนูห้าสกุลหนิงยกยิ้ม “พี่ฉู่หรงจิ่นเข้าใจข้าที่สุด”

ฉู่หรงจิ่นแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ละอายใจสักนิดเลยหรือไร”

คุณหนูห้าสกุลหนิงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “เหตุใดต้องละอายใจด้วย หรือว่าจะให้ทดสอบพลังยุทธ์กันเล่า ถ้าเช่นนั้นแม่นางซูลั่วผู้นี้คงได้ร้องไห้กระซิกๆ เป็นแน่”

มู่หรงโม่วิ่งเข้ามา “นั่นสิ ซูลั่วเองก็เป็นศิษย์ใหม่สำนักวิชายุทธ์ นางเป็นศิษย์สำนักตงหัว ส่วนท่านพี่หนิงก็เป็นศิษย์ของสำนักจงตี้เช่นกัน!”

ฉู่หรงจิ่นปรายตามองซูลั่ว ขอเพียงซูลั่วบอกว่าจะไม่ร่วมกิจกรรม เขาก็จะช่วยยืนหยัดแทนนาง ทว่าซูลั่วกลับยิ้มบาง

“ตามใจเถิด”

ในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ฉู่หรงจิ่นก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก

กิจกรรมนี้ทุกคนเล่นด้วยกันบ่อยครั้ง หลายคนรู้กฎกติกาอยู่แล้ว มีแค่ซูลั่วเท่านั้นที่เป็นมือใหม่ ดังนั้นฉู่หรงจิ่นจึงเป็นคนอธิบายวิธีการเล่นให้ซูลั่วฟัง

ฉู่หรงจิ่นพยายามจะบรรยายอย่างกระจ่าง “กิจกรรมนี้เป็นการทายตัวเลขจากลูกเต๋า มีตัวเลขทั้งหมดหนึ่งร้อยชุด แต่ละชุดประกอบด้วยลูกเต๋าสี่ลูก”

ซูลั่วพยักหน้า ฉู่หรงจิ่นพยายามพูดให้ช้าเพื่อที่ซูลั่วจะได้เข้าใจในคราเดียว

“นำลูกเต๋าสี่ลูกหนึ่งร้อยชุดมาวางเรียงกัน แต่ละคนมีเวลาห้านาทีในการจำตัวเลขหนึ่งร้อยชุด” ฉู่หรงจิ่นมองซูลั่ว พอเห็นนางพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ เขาจึงเอ่ยต่อ “จากนั้นก็ถามโจทย์ตามลำดับที่นั่ง เป็นต้นว่าเจ้าเริ่มคนแรก เจ้าตั้งโจทย์ลำดับที่ห้าสิบ ข้าก็ต้องบอกตัวเลขสี่ตัวจากลูกเต๋าชุดที่ห้าสิบให้ได้ จากนั้นข้าก็จะเป็นคนตั้งโจทย์ ผลัดกันไปตามลำดับ”

ซูลั่วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

ฉู่หรงจิ่นเห็นว่าซูลั่วเข้าใจกติกาแจ่มแจ้งดีก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะถามคุณหนูห้าสกุลหนิง “หากตอบผิดจะลงโทษเช่นไร”

วิธีการลงโทษสำหรับผู้แพ้มีหลากหลาย ทว่าครั้งนี้คุณหนูห้าสกุลหนิงกลับยิ้มกริ่มก่อนตอบ “ก็ต้องเป็น ‘วาจาสัตย์’ หรือ ‘ลองเสี่ยง’ อยู่แล้ว”

คุณหนูห้าสกุลหนิงต้องการเล่นกิจกรรมที่นางเป็นฝ่ายได้เปรียบนี้ ก็เพราะนางหมายจะให้ซูลั่วพ่ายแพ้ เจตนาของนางชัดแจ้ง เพราะไม่ว่าจะเป็น ‘วาจาสัตย์’ หรือ ‘ลองเสี่ยง’ สรุปแล้วก็เพื่อให้ซูลั่วอับอายขายหน้า หากซูลั่วพลั้งพลาดและเป็นที่ประจักษ์ว่ามีสติปัญญาอ่อนด้อย ต่อให้คุณชายรองหนานกงยืนหยัดที่จะปกป้องนาง แต่เผ่าพันธุ์หงส์มังกรก็ต้องใคร่ครวญถึงทายาทรุ่นถัดไป และไม่ยอมรับสถานะของซูลั่วอย่างแน่นอน

คุณหนูห้าสกุลหนิงวางแผนเอาไว้เช่นนี้ ทว่านางหารู้ไม่ว่าในบรรดาคนที่อยู่ ณ ที่นี้ คนที่ความจำดีที่สุดก็คือหนานกงหลิวอวิ๋น คนที่สองก็คือสตรีที่ผสานกระดูกปัญญาเข้าสู่ร่างนั่นเอง

หลังจากอธิบายกติกาจนจบ กิจกรรมก็เริ่มต้นขึ้น

ด้านหน้าของทุกคนคือโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ด้านบนมีตัวเลขทั้งหมดหนึ่งร้อยชุดวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวเลขหนึ่งชุดประกอบด้วยลูกเต๋าสี่ลูกวางซ้อนกัน ตอนที่ทุกคนกำลังจะเริ่มจำ หนานกงหลิวอวิ๋นก็เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ น้ำเสียงของเขาเนิบนาบ ทว่าทรงอำนาจอย่างที่คนฟังมิอาจปฏิเสธได้ “เรียงลูกเต๋าใหม่ทั้งหมด”

มู่หรงโม่ขึงตาใส่หนานกงหลิวอวิ๋นอย่างขัดเคืองใจ คนอื่นๆ หน้าถอดสีเล็กน้อย จากนั้นก็เบนสายตามาจับนิ่งที่มู่หรงโม่โดยพร้อมเพรียง

มู่หรงโม่โต้ “ข้าไม่ได้โกง!”

หมายปกปิดซ่อนเร้นกลับกลายเป็นเปิดเผยโจ่งแจ้ง แม่นาง! ทุกคนมองหญิงสาวที่ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างจนคำพูด ทว่าตอนที่มองเห็นข้อมือขวาที่ยังไม่หายดีของมู่หรงโม่ พวกเขาจึงไม่ถือสาหาความเรื่องนี้อีก

หลังจากสลับตำแหน่งลูกเต๋าใหม่อีกครั้ง กิจกรรมก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

คนที่ร่วมวงเล่นประกอบด้วยซูลั่ว คุณหนูห้าสกุลหนิง มู่หรงโม่ ฉู่หรงจิ่น หนิงเฮ่าเทียน และหลินรั่วอวี่ เนื่องจากหนานกงหลิวอวิ๋นมีความจำที่น่ากริ่งเกรงเกินไป เพราะเหตุนี้เขาจึงถูกห้ามเข้าร่วมเล่นด้วย ลำดับในการนั่งของผู้เล่นครั้งนี้ได้แก่ คนแรกคือคุณหนูห้าสกุลหนิง คนถัดมาคือซูลั่ว จากนั้นคือฉู่หรงจิ่น หนิงเฮ่าเทียน หลินรั่วอวี่ และมู่หรงโม่

คุณหนูห้าสกุลหนิงยกยิ้มมุมปาก “คุณชายรองหนานกงช่วยเลือกชุดตัวเลขดีหรือไม่”

หนานกงหลิวอวิ๋นพยักหน้า “หกสิบเจ็ด”

ตำแหน่งตรงกลางเป็นชุดตัวเลขที่จำสับสนได้ง่ายที่สุด

คุณหนูห้าสกุลหนิงทำปากเบ้เล็กน้อย “3556”

หลินเยว่หรานพยักหน้า คุณหนูห้าสกุลหนิงเผยแววลำพองออกมาทางสีหน้า จากนั้นก็ถึงตานางตั้งโจทย์ถามซูลั่ว ทว่านางกลับไม่ได้ถามในทันที เจ้าตัวปรายสายตาเย็นชามองซูลั่ว “เจ้าแน่ใจว่าจำได้แล้ว?”

“น่าจะ” ซูลั่วตอบอย่างคลุมเครือ

ฉู่หรงจิ่นนิ่วหน้าทันที ซูลั่วถูกปั่นหัวง่ายเหลือเกิน เวลานี้ต้องอาศัยสมาธิ หากว่อกแว่กแล้วละก็ ตัวเลขที่อุตส่าห์จำมาเมื่อครู่ก็เท่ากับเสียแรงเปล่า

คุณหนูห้าสกุลหนิงหัวเราะเสียงแผ่ว “ซูลั่ว เจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้าตอบไม่ถูกตั้งแต่คำถามข้อแรก เจ้าจะกลายเป็นตัวตลกของวง ไม่เพียงแต่เจ้า คุณชายรองหนานกงก็จะพลอยถูกหัวเราะไปด้วย”

คุณหนูห้าสกุลหนิงตั้งใจกดดันซูลั่วเพื่อให้นางกระสับกระส่ายกระวนกระวาย

ซูลั่วยิ้มบางก่อนถาม “ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”

คุณหนูห้าสกุลหนิงแค่นเสียง “ในเมื่อเจ้าฟังคำจริงใจของข้าไม่เข้าหู ต่อให้พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ ชุดที่หกสิบห้า”

สายตาหลายคู่ปรายมองไปที่ซูลั่ว พวกเขาทำกิจกรรมชนิดนี้กันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะกติกาหรือวิธีการก็ล้วนแต่คุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ซูลั่วเพิ่งเคยเล่นเป็นครั้งแรก ซ้ำนางยังเป็นสตรีที่มาจากอาณาจักรล่าง ความจำจะทัดเทียมบุตรหลานจากสกุลใหญ่สกุลโตแห่งจักรวรรดิกลางได้อย่างไร เพราะเหตุนี้คนอื่นๆ จึงไม่ตั้งความหวังกับนางเท่าไรนัก

ซูลั่วกลับหัวเราะเสียงแผ่วก่อนเอ่ย “6535”

หลังจากเปิดที่ครอบลูกเต๋าชุดที่หกสิบห้าออกก็พบว่าตัวเลขที่หลักที่เรียงต่อกันคือ ‘6535’ ไม่ผิดเลยแม้แต่ตำแหน่งเดียว เรื่องนี้ผิดจากที่ทุกคนคะเนไปมาก รู้ไว้เถิดว่าคุณหนูห้าสกุลหนิงจงใจใช้บทสนทนาเมื่อครู่เบี่ยงเบนสมาธิของซูลั่ว แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงจดจำตัวเลขได้อย่างแม่นยำ

จากนั้นก็ถึงตาของฉู่หรงจิ่น ชายหนุ่มไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขาบอกตัวเลขได้อย่างคล่องแคล่ว จนกระทั่งถึงตามู่หรงโม่ หญิงสาวตอบผิดและถูกคัดออกจากวง ซ้ำยังต้องถูกทำโทษอีกด้วย

เนื่องจากคนที่ตั้งโจทย์คือหลินรั่วอวี่ ชายหนุ่มจึงเป็นคนลงโทษ

หลินรั่วอวี่มีท่าทางเฉยเมยขณะถาม “เลือก ’วาจาสัตย์’ หรือ ‘ลองเสี่ยง’ ”

มู่หรงโม่เอ่ย “วาจาสัตย์”

หลินรั่วอวี่พยักหน้า “เมื่อครู่เจ้าจงใจวางตำแหน่งลูกเต๋าผิดหรือไม่”

พรึ่บ...

สายตาทุกคู่ปรายมองมายังมู่หรงโม่ มู่หรงโม่ใบหน้าแดงก่ำในทันที รู้ไว้เถิดว่าสกุลมู่หรงเป็นเจ้าภาพของงานในวันนี้ ทว่าสองพี่น้องสกุลมู่หรงกลับต้องขายหน้าคนแล้วคนเล่า

ยามนี้ซูลั่วอดเหลือบมองหลินรั่วอวี่ไม่ได้ เมื่อครู่ฉู่หรงจิ่นแนะนำว่าเขา หนานกงหลิวอวิ๋น หนิงเฮ่าเทียน รวมทั้งหลินรั่วอวี่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดุจเหล็กกล้า แววตาหนิงเฮ่าเทียนลึกล้ำ อุปนิสัยเย็นชา บุคลิกใกล้เคียงหนานกงหลิวอวิ๋น สำหรับหลินรั่วอวี่... ในความคิดของซูลั่ว อีกฝ่ายรูปร่างผอมทว่าสะอาดสะอ้าน ท่าทางสุขุมนุ่มลึก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดน้อยต่อยหนักเช่นนี้ ซูลั่วรู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มไม่น้อย

ยามนี้มู่หรงโม่โกรธขึ้งอยู่ในใจ ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ทว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียวกัน

“ข้า…” มู่หรงโม่แค้นใจนักที่ตัวเองเลือกเอ่ยวาจาสัตย์ นางขบกรามแน่นยามเอ่ย “เมื่อครู่ข้าก็แค่… ล้อเล่นเท่านั้น… ก็เลย…”

หลินรั่วอวี่ไม่รอให้นางเอ่ยจบก็กล่าวขึ้น “เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว ตาต่อไป ชุดที่เจ็ดสิบห้า”

เนื่องจากเหตุการณ์แทรกที่เกิดขึ้นกับมู่หรงโม่เมื่อครู่ คุณหนูห้าสกุลหนิงที่เมื่อครู่จำชุดตัวเลขได้อย่างแม่นยำเกิดอาการสับสนขึ้นมาเล็กน้อย แต่โชคดีที่หลินรั่วอวี่ถามจำนวนที่นางจดจำได้พอดี เพราะเหตุนี้คุณหนูห้าสกุลหนิงจึงตอบอย่างง่ายดาย

“1342”

คุณหนูห้าสกุลหนิงตั้งใจนั่งในลำดับก่อนซูลั่ว ก็เพราะนางสามารถตั้งโจทย์ให้ซูลั่วได้

คิดว่าซูลั่วไม่รู้ลูกไม้นี้ของนางหรืออย่างไร หญิงสาวเฉียบแหลมถึงเพียงนั้นมีหรือที่จะไม่รู้ ทว่ายามอยู่ต่อหน้ายอดฝีมือที่แท้จริง ไม่ว่าลูกไม้เล่ห์กลใดก็เป็นสิ่งไร้ประโยชน์

คุณหนูห้าสกุลหนิงยิ้มกริ่มยามมองซูลั่ว “เจ้าจดจำตัวเลขครึ่งแรกหรือครึ่งหลังได้มากกว่ากัน”

“ได้ทั้งหมด” ซูลั่วตอบตามจริง

คุณหนูห้าสกุลหนิงแค่นหัวเราะในใจ แม้แต่นางเองยังสับสนตัวเลขหลายชุด แต่นังตัวดีที่มาจากอาณาจักรล่างกลับกล้าบอกว่าจำได้ทั้งหมด

“ถ้าเช่นนั้น…” คุณหนูห้าสกุลหนิงคิดจะพูดอีก ทว่าฉู่หรงจิ่นกลับตัดบทนางด้วยน้ำเสียงห้วนเสียก่อน

“คุณหนูห้า ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าพูดมากเสียจริง หากยังไม่ถามอีก ข้าจะลืมหมดแล้วนะ!” ฉู่หรงจิ่นเอ่ยเร่งอย่างขัดใจ

คุณหนูห้าสกุลหนิงเป็นน้องสาวหนิงเฮ่าเทียน ฉู่หรงจิ่นนับว่าไว้หน้านางมากแล้วที่ไม่ได้เปิดโปงแผนการออกมากลางวง

คุณหนูห้าสกุลหนิงปรายสายตาเยือกมองฉู่หรงจิ่น “ข้าไม่ได้พูดกับท่านเสียหน่อย ร้อนใจอะไรกัน”

แต่นางก็รู้ดีว่าหากถ่วงเวลานานเกินไปจะทำให้คนอื่นๆ ขุ่นขึ้งใจขึ้นมา เจ้าตัวจำต้องบอกชุดตัวเลขออกไป “เจ็ดสิบเก้า”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “5415”

ฝาครอบลูกเต๋าเปิดออก คำตอบคือ ‘5415’

ฉู่หรงจิ่นตะลึงพรึงเพริดพร้อมกับกระจ่างแจ้งในคราเดียวกัน ใช่แล้ว ซูลั่วเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดินี่นา! ความจำของผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจะแย่ได้หรือไร รู้ไว้เถิดว่าพอบรรลุถึงระดับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ สมุนไพรหลักและสมุนไพรเสริมมีมากกว่าร้อยชนิด สรรพคุณเปลี่ยนแปลงไปมานับพันนับหมื่น ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิต้องใคร่ครวญความเป็นไปได้ของสรรพคุณเหล่านั้นทีละชนิดอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นก็เท่ากับว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่า

หากคุณหนูห้าสกุลหนิงรู้ว่าซูลั่วเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ รู้ว่านางมีมันสมองอันล้ำเลิศในการคิดใคร่ครวญแล้วละก็ มีหวังได้ร่ำไห้น้ำตานองหน้ากระมัง

“ฉู่หรงจิ่น เจ้ายิ้มเขลาอะไรกัน” หนิงเฮ่าเทียนเห็นฉู่หรงจิ่นหัวเราะอยู่คนเดียวก็นิ่วหน้า

ฉู่หรงจิ่นมองคุณหนูห้าสกุลหนิงแล้วตอบ “ขันน้องสาวของเจ้า”

“นางทำอะไรเล่า” หนิงเฮ่าเทียนฉงน

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเข้าใจเรื่องบางอย่าง” ฉู่หรงจิ่นท่าทางเหนือกว่า “อันที่จริงแล้วพวกเราพลาดเอง พลาดมากจริงๆ ฮ่าๆๆ ยามอยู่เบื้องหน้าผู้มียุทธ์ที่แท้จริง ไม่ว่าแผนการเจ้าเล่ห์ใดก็ไร้ประโยชน์!”

หนิงเฮ่าเทียนย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “ข้าไม่เข้าใจ”

ฉู่หรงจิ่นตบไหล่สหาย “ลูกพี่หนิง ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ดูต่อไปเดี๋ยวก็รู้เอง แต่ข้ารู้แล้วว่าผู้ชนะในวันนี้คือใคร”

กิจกรรมยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

ทว่ายิ่งผ่านไปนานเท่าไร ความจำของทุกคนก็ยิ่งเลือนรางเท่านั้น หลินรั่วอวี่พ่ายแพ้เป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นหนิงเฮ่าเทียน ตามมาด้วยฉู่หรงจิ่น จนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงซูลั่วกับคุณหนูห้าสกุลหนิง

คุณหนูห้าสกุลหนิงแทบไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าของนางราวกับปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เพราะถึงบัดนี้เรื่องราวเลยเถิดจนเกินความควบคุมของนางไปแล้ว เดิมคุณหนูห้าสกุลหนิงคิดจะใช้กิจกรรมนี้ตีแผ่มันสมองอันต่ำต้อยของซูลั่วให้ทุกคนได้ประจักษ์ ต่อไปหากคนในแวดวงสังคมชั้นสูงเอ่ยถึงซูลั่วก็จะต้องพูดถึงสตรีสมองพิการ สตรีไร้เชาว์ปัญญา

ทว่าบัดนี้หนิงเฮ่าเทียน หลินรั่วอวี่ แม้กระทั่งฉู่หรงจิ่นก็ยังทยอยพ่ายแพ้ไป ตอนนี้ไม่ว่านางจะแพ้หรือชนะ ชื่อเสียงของซูลั่วก็คงเลื่องลือไปในทางดีแล้ว ทุกคนจะพูดว่า ‘เจ้าดูเถิด ซูลั่วผู้มาจากอาณาจักรล่างแข่งขันกับคุณหนูห้าสกุลหนิงอย่างแทบไม่รู้แพ้รู้ชนะ’ เช่นนี้แล้วซูลั่วผู้ต่ำต้อยก็มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบชั้นคุณหนูห้าสกุลหนิงได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณหนูห้าสกุลหนิงไม่อาจทนได้

ดูทีว่าคงต้องเพิ่มระดับความยากถึงจะเขี่ยซูลั่วออกไปให้พ้นๆ ได้

คุณหนูห้าสกุลหนิงเหลือบมองลูกเต๋าบนโต๊ะแล้วพ่นเสียงทางจมูก “เล่นต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรสนุก ถ้าอย่างไรเสียลองเปลี่ยนวิธีเล่นดีหรือไม่”

ซูลั่วเอ่ยเพียง “อ้อ”

“จัดเรียงลูกเต๋าทั้งหนึ่งร้อยชุดใหม่ มองด้วยตา จำให้ได้ แล้วจดลงกระดาษ ใครเร็วกว่า ตอบถูกมากกว่าเป็นผู้ชนะ”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “แล้วแต่เจ้า”

คุณหนูห้าสกุลหนิงมองแววตาเรียบเฉยของซูลั่วแล้วยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน เสแสร้งต่อไปเถิด แม้แต่ข้าเองก็ยังจำตัวเลขสับสนหลายชุด เจ้าจะเก่งกาจไปกว่าข้าหรือไร

ไม่นานตัวเลขหนึ่งร้อยชุดก็ปรากฏเรียงรายขึ้นอีกครั้ง คุณหนูห้าสกุลหนิงและซูลั่วรับกระดาษมาคนละแผ่น

ฉู่หรงจิ่นชอบเรื่องครึกครื้น ดังนั้นเขาจึงอาสาเป็นกรรมการตัดสินให้ด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“พร้อมแล้วหรือไม่” แววตาของฉู่หรงจิ่นปรายผ่านใบหน้าซูลั่วและคุณหนูห้าสกุลหนิง ก่อนที่สุดท้ายจะจับนิ่งอยู่ที่คุณหนูห้าสกุลหนิง

คุณหนูห้าสกุลหนิงเห็นฉู่หรงจิ่นยิ้มมีเลศนัยก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ ไฉนฉู่หรงจิ่นถึงได้ทำสีหน้าว่านางต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ น่าชิงชังที่สุด!

ยิ่งฉู่หรงจิ่นทำเช่นนี้ คุณหนูห้าสกุลหนิงก็ยิ่งอยากเหยียบซูลั่วให้จมมิด เพื่อให้ทุกคนรู้ถึงความร้ายกาจของนาง

“พร้อม” คุณหนูห้าสกุลหนิงมองซูลั่วด้วยแววตาท้าทาย

“พร้อม” ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว จากนั้นก็อิงศีรษะซบไหล่อุ่นของหนานกงหลิวอวิ๋น

คุณชายรองหนานกงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมาเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากซูลั่ว มองนางด้วยสายตาอ่อนโยนประหนึ่งมองสมบัติล้ำค่า แววตาหลงใหลเคลิบเคลิ้มเช่นนี้มีหรือที่คุณหนูห้าสกุลหนิงจะทนไหว ยามนี้นางเดือดพล่านไปหมดทั้งกาย ฝ่ามือข้างลำตัวกำแน่น

ก่อนหน้านี้คุณหนูห้าสกุลหนิงจงใจก่อกวนสมาธิของซูลั่ว มีหรือที่ซูลั่วจะมองเจตนาไม่ออก ตอนนี้นางก็แค่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งเท่านั้น ลูกไม้ของคุณหนูห้าสกุลหนิงไม่ส่งผลใดกับนางเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าวิธีการยั่วยุของซูลั่วกลับทำให้อีกฝ่ายแทบขาดสติ

ซูลั่วยิ้มหวาน “ไฉนคุณหนูห้าถึงสั่นไปทั้งกายแบบนี้ หนาวหรือ”

หนิงเฮ่าเทียนมองน้องสาวของตนด้วยสีหน้าจนใจ เด็กคนนี้ทั้งผยองทั้งชอบเอาชนะ ดื้อดึง หัวแข็ง และอวดฉลาด แต่กลับไม่รู้สักนิดเลยว่าถูกคนอื่นปั่นหัว

หนิงเฮ่าเทียนทอดสายตาล้ำลึกมองซูลั่ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “ฉู่หรงจิ่น เริ่มได้แล้ว”

ฉู่หรงจิ่นมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ เขาลอบยินดีอยู่ในใจที่ตนถอนตัวออกมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นเวลานี้คนที่จะโชคร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นเขา

“เอาละ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!” ฉู่หรงจิ่นโบกมือ

ซูลั่วและคุณหนูห้าสกุลหนิงก็เริ่มตอบคำถาม

พู่กันในมือคุณหนูห้าสกุลหนิงจดลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว เทียบกันแล้วความเร็วของซูลั่วดูจะเป็นรองกว่ามาก

หลังจากผ่านไปครู่ ความเร็วของคุณหนูห้าสกุลหนิงก็ค่อยๆ ช้าลง เพราะมีตัวเลขสองชุดที่นางไม่แน่ใจเท่าไรนัก ทว่าซูลั่วกลับจดพู่กันด้วยความเร็วคงที่ นางเขียนตัวเลขลงบนกระดาษด้วยท่าทางสบายๆ

สุดท้ายคุณหนูห้าสกุลหนิงก็หยุดชะงักที่ตัวเลขสองชุดนั้น ชุดที่หกสิบสามกับแปดสิบเก้า นางไม่แน่ใจว่าเลขตัวสุดท้ายของชุดที่หกสิบสามคือสองหรือสาม ไม่แน่ใจว่าเลขตัวที่สองของชุดที่แปดสิบเก้าคือสองหรือสาม

คุณหนูห้าสกุลหนิงร้อนรนใจ พลางเหลือบมองไปทางซูลั่วโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเห็นซูลั่วสงบนิ่งดั่งภูเขาไท่ซาน เขียนคำตอบด้วยอาการสุขุม ท่าทางมั่นอกมั่นใจในตัวเองของอีกฝ่ายทำให้คุณหนูห้าสกุลหนิงรู้สึกสะท้านใจ ซ้ำคุณหนูห้าสกุลหนิงยังเห็นว่าซูลั่วเขียนคำตอบสุดท้ายเสร็จแล้ว

“เจ้าจะลอกคำตอบข้าหรือ” ซูลั่วเหลือบตาขึ้นแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว

คุณหนูห้าสกุลหนิงเดือดดาลขึ้นมาทันที นางแค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”

นางเหลือบมองคำตอบของซูลั่วจริงๆ อันที่จริงสัญชาตญาณของนางสั่งให้เขียนตัวเลขที่เหมือนกับซูลั่วลงไปในกระดาษคำตอบของตน ตำแหน่งนั้นซูลั่วตอบเลขสองทั้งคู่ ความจริงคุณหนูห้าสกุลหนิงเองก็หมายใจว่าจะเขียนเลขสองอยู่แล้ว ทว่าพอซูลั่วเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา หากนางเขียนคำตอบเป็นเลขสอง แบบนี้ไม่เท่ากับว่านางลอกคำตอบซูลั่วจริงๆ หรือ

คุณหนูห้าสกุลหนิงไม่ยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแน่ นางจึงตัดสินใจเขียนเลขสามลงไปแทน คุณหนูห้าสกุลหนิงเติมคำตอบลงในกระดาษ จากนั้นก็รีบชิงส่งให้ฉู่หรงจิ่น ขณะที่ซูลั่วช้ากว่าเพียงครู่เดียว

มู่หรงโม่ปรายตามองซูลั่วด้วยสีหน้าลำพอง “ท่านพี่หนิงเขียนเร็วกว่า หากสองคนตอบถูกเหมือนกัน ท่านพี่หนิงก็ต้องชนะใช่หรือไม่”

ขณะที่ฉู่หรงจิ่นมองซูลั่วอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย เขาเชื่อว่าซูลั่วตอบถูกอย่างแน่นอน ทว่าความเร็วของนางเป็นรอง หากคุณหนูห้าสกุลหนิงชนะในตานี้ ไม่ว่าจะเป็นบทลงโทษด้วย ‘วาจาสัตย์’ หรือ ‘ลองเสี่ยง’ ก็ต้องเป็นคำถามที่ทำให้ซูลั่วกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือสั่งให้ทำภารกิจยากเย็นอย่างแน่นอน

ทว่าตอนที่สายตาของฉู่หรงจิ่นปรายมองไปที่ซูลั่วและหนานกงหลิวอวิ๋น เขาก็เห็นว่าทั้งสองคนมีท่าทีผ่อนคลาย สงบนิ่ง สายตาราบเรียบดุจผิวน้ำ ฮ่องเต้ไม่ร้อนพระทัย ขันทีร้อนใจแท้ๆ ฉู่หรงจิ่นมองค้อนคนทั้งคู่ จากนั้นก็เริ่มเฉลยคำตอบ

ชุดที่หนึ่ง ซูลั่วและคุณหนูห้าสกุลหนิงตอบถูกทั้งคู่

ชุดที่สอง ซูลั่วและคุณหนูห้าสกุลหนิงตอบถูกทั้งคู่

พอถึงชุดที่หกสิบสาม… คำตอบของซูลั่วและคุณหนูห้าสกุลหนิงแตกต่างกัน

คำตอบของซูลั่วคือ 3552 คำตอบของคุณหนูห้าสกุลหนิงคือ 3553

“มา มาดูคำตอบของชุดที่หกสิบสามกัน คำตอบที่ถูกต้องคือ 3552 ซูลั่วตอบถูก” แววพึงพอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของฉู่หรงจิ่น หนานกงหลิวอวิ๋นเป็นสหายของเขา ซูลั่วเองก็เป็นผู้ปรุงโอสถที่เขายกย่อง ชายหนุ่มจึงนับว่าซูลั่วเป็นพวกเดียวกับเขาอย่างรวดเร็ว ต่างกับคุณหนูห้าสกุลหนิงที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากฉู่หรงจิ่น

ด้วยเหตุนี้ฉู่หรงจิ่นจึงลำเอียงเข้าข้างซูลั่วอย่างไม่ต้องสงสัย

ซูลั่วมองคำตอบ สีหน้ายังเรียบเฉย ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกดังเดิม ทว่าคุณหนูห้าสกุลหนิงกลับกำหมัดแน่นแล้วถลึงตาดุใส่ซูลั่ว หากตอนนั้นซูลั่วไม่พูด “เจ้าจะลอกคำตอบข้าหรือ” นางคิดว่าตนต้องตอบหมายเลขสองแน่นอน!

ฉู่หรงจิ่นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ซูลั่วเขียนช้า ส่วนคุณหนูห้าสกุลหนิงก็ผิดไปหนึ่งข้อ เวลานี้สองฝ่ายยังเสมอกันอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูคำตอบหลังจากนี้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยไปได้ในที่สุด เอาละ เปิดลูกเต๋าชุดที่แปดสิบเก้า”

ตัวเลขของลูกเต๋าชุดที่แปดสิบเก้าคือ 4235

ฉู่หรงจิ่นยกกระดาษของซูลั่วขึ้นมา ดีมาก 4235

เวลานี้สีหน้าของคุณหนูห้าสกุลหนิงทะมึนลงอย่างเห็นได้ชัด แทบไม่อาจจะเชื่อได้ ตอนที่กำลังมึนงงอยู่นั้น ฉู่หรงจิ่นก็ยิ้มกริ่ม “ต่อไปมาดูคำตอบบนกระดาษของคุณหนูห้า ถ้าเป็น 4235 ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าตานี้เสมอกัน”

ทว่าคำตอบบนกระดาษของคุณหนูห้าสกุลหนิงคือ 4335

คุณหนูห้าสกุลหนิงตอบผิด! ซ้ำยังผิดติดต่อกันถึงสองครั้ง! หากบอกว่าพลั้งพลาดเพราะความรีบร้อน… เช่นนั้นก็ไม่ควรจะพลาดติดกันถึงสองครั้งสองครา เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงความสามารถที่แท้จริง ซูลั่วก็เหนือกว่าคุณหนูห้าสกุลหนิง เวลานี้สายตาของทุกคนจับมองไปที่คุณหนูห้าสกุลหนิง

คุณหนูห้าสกุลหนิงตะลึงงัน สมองว่างเปล่า เลือดลมทั้งร่างพุ่งขึ้นไปที่สมอง นางนั่งทื่ออยู่ที่เดิมราวกับรูปปั้น น่าขายหน้าเหลือเกิน ในหัวของนางมีแต่คำว่า ‘อับอาย’ อยู่เต็มไปหมด แพ้ให้นังตัวดีที่มาจากอาณาจักรล่าง น่าอับอายเป็นที่สุด ต่อไปนางจะอยู่ในแวดวงสังคมได้อย่างไร!

“เจ้าขี้โกง!” คุณหนูห้าสกุลหนิงชี้หน้าซูลั่ว ใบหน้าบิดเบ้ “เจ้าต้องโกงแน่ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร!”

ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้พากันมองคุณหนูห้าสกุลหนิงด้วยแววตาเวทนา

ฉู่หรงจิ่นเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง “แพ้ไม่น่ากลัว น่ากลัวคือแพ้ไม่เป็น”

หนิงเฮ่าเทียนนิ่วหน้า

คุณหนูห้าสกุลหนิงหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมรับ “นอกจากนางจะพิสูจน์ได้ว่านางไม่ได้โกง ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ยอมแพ้!”

ฉู่หรงจิ่นแค่นหัวเราะแล้วปรายตามองหนิงเฮ่าเทียน “สกุลหนิงของพวกเจ้าแพ้ไม่เป็นหรือไร”

หนิงเฮ่าเทียนขึงตาใส่คุณหนูห้าสกุลหนิง “พอได้แล้ว! แพ้ก็คือแพ้ อย่าทำให้เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้ากว่านี้!”

คุณหนูห้าสกุลหนิงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “แต่นางโกงชัดๆ! ไฉนพวกท่านถึงไม่เชื่อ ข้าไม่ยอมแพ้!”

ทว่าตอนนี้เองน้ำเสียงเย็นชาของหนานกงหลิวอวิ๋นก็ดังเนิบนาบขึ้น “ทำเช่นไรถึงจะยอม”

ก่อนหน้านี้หนานกงหลิวอวิ๋นแสดงท่าทีเอาอกเอาใจซูลั่วถึงเพียงนั้น แต่ยามนี้เขากลับไม่ลงมือกับนาง ซ้ำยังดูเหมือนจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสียอีก ปฏิกิริยาแรกของคุณหนูห้าสกุลหนิงก็คือร่ำไห้น้ำเสียงเจือสะอื้น

“ง่ายมาก! ขอเพียงนางท่องชุดเลขที่ข้าเขียนได้หมดไม่มีตกหล่น ข้าก็จะยอมเชื่อ!”

หนานกงหลิวอวิ๋นพยักหน้า “ได้”

ชายหนุ่มไม่ถามด้วยซ้ำว่าซูลั่วเต็มใจจะพิสูจน์หรือไม่ ก็ตอบตกลงเองโดยพลการเช่นนี้ หนิงเฮ่าเทียนและหลินรั่วอวี่ฉงน ตกลงกงเอ้อร์เข้าข้างแม่นางซูลั่วจริงๆ หรือไม่กันแน่ แต่ฉู่หรงจิ่นกลับไม่คิดว่าโจทย์นี้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรนัก ก็แค่เลขพันตัวเท่านั้น ลั่วลั่วของเราจำคุณสมบัตินับพันของโอสถสมุนไพรได้ มีหรือจะต้องกังวลกับตัวเลขพวกนี้

คราวนี้คุณหนูห้าสกุลหนิงสู้ยิบตา นางหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนตัวเลขลงบนกระดาษยิกๆ เลขหนึ่งถึงเก้าเรียงกันแบบสุ่มโดยไร้กฎเกณฑ์ 351957826… ตัวเลขทั้งหมดหนึ่งพันตัวถ้วน!

พอคุณหนูห้าสกุลหนิงเขียนเสร็จก็แค่นหัวเราะ จากนั้นก็ยกให้ซูลั่วดู “ทั้งหมดนี้คือตัวเลขพันตัว ให้เวลาเจ้าห้านาที ท่องเสีย!”

ซูลั่วรู้ว่าเพราะเหตุใดหนานกงหลิวอวิ๋นถึงตอบตกลง เหมือนกับที่นางคิดใคร่ครวญเพื่อเขาเสมอ อีกฝ่ายก็คิดแทนนางอยู่เนืองๆ เช่นกัน ในเมื่อมีความสามารถแล้วไฉนต้องยอมรับคำป้ายสีว่าใช้กลโกงด้วยเล่า หากคุณหนูห้าสกุลหนิงอยากเปิดโลกทัศน์ เช่นนั้นก็พิสูจน์ให้นางดูเสียหน่อย ข่มความยโสโอหังของอีกฝ่ายเสียให้สิ้น ซูลั่วพอใจยิ่งนักที่หนานกงหลิวอวิ๋นเข้าใจนาง

สายตาของซูลั่วกวาดมองตัวเลขไร้ระบบนับพันตัวบนกระดาษ แม้นางจะมีความทรงจำเป็นเลิศ แค่ปรายตาก็จดจำมิรู้ลืม ทว่าความสามารถนี้ก็ใช้ได้กับเรื่องที่มีกฎเกณฑ์เท่านั้น เป็นต้นกว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของโอสถ แต่ตัวเลขเหล่านี้เขียนด้วยวิธีการสุ่ม หนทางเดียวที่จะจำได้ก็คือท่องจำ

คุณหนูห้าสกุลหนิงเห็นซูลั่วนิ่วหน้าก็ยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน ตอนนั้นเองซูลั่วก็โพล่งถามขึ้น

“ตัวเลขหนึ่งพันตัวนี้ ให้เวลาห้านาที เจ้าทำได้หรือไม่เล่า”

คุณหนูห้าสกุลหนิงคิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ใช้ความจำอยู่นี้ ซูลั่วยังจะมีเวลาถามคำถามนี้กับนาง เจ้าตัวชะงักไปก่อนแค่นเสียงใส่ “ข้าทำไม่ได้ หากเจ้าทำได้ ข้าก็จะยอมรับว่าความจำของเจ้าดีกว่าข้า”

ซูลั่วพยักหน้า จากนั้นก็กวาดตามองตัวเลขทั้งสิบบรรทัดต่อไป

อันที่จริงจะบอกว่าซูลั่วใช้กลโกงก็ว่าได้ เพราะนางมีสมบัติวิเศษอย่างผลึกความทรงจำ หากคนอื่นใช้ผลึกความทรงจำจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน ทว่าผลึกความทรงจำของซูลั่วเก็บรักษาไว้ในมิติติดตามกาย ใครก็สัมผัสไม่ถึง ขอเพียงใช้ผลึกความทรงจำบันทึกเอาไว้ ถึงเวลาตอบคำถามก็แค่ถอดจิตเข้าไปดูในมิติติดตามกายเท่านั้นก็พอ

พอครบห้านาที คุณหนูห้าสกุลหนิงก็พลิกกระดาษแผ่นนั้นลงกับโต๊ะทันที นางยิ้มกริ่มยามมองซูลั่ว “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ายังดูไม่จบเลยด้วยซ้ำ”

ฉู่หรงจิ่นค้อนควักใส่คุณหนูห้าสกุลหนิง “พูดมากเสียจริง รีบเริ่มเร็วเข้า พล่ามมากกว่านี้นางก็ลืมหมดพอดี”

คุณหนูห้าสกุลหนิงถลึงตาใส่ฉู่หรงจิ่น จากนั้นก็ปรายตามองซูลั่ว “เอาละ ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน”

ฉู่หรงจิ่นวิ่งมาหยุดอยู่ข้างคุณหนูห้าสกุลหนิง “ข้าจะดูพร้อมเจ้าด้วย”

คุณหนูห้าสกุลหนิงทนไม่ไหว “นางมิใช่คนในสกุลท่านเสียหน่อย ไฉนถึงต้องกระตือรือร้นถึงเพียงนี้”

ฉู่หรงจิ่นตอบ “นางเป็นคนของสหาย อีกอย่าง... หากนางพูดถูก แต่เจ้าบอกว่านางผิด จงใจขัดจังหวะความคิดนาง แบบนี้ไม่เสียเรื่องหรือไร”

คุณหนูห้าสกุลหนิงรู้สึกเหมือนถูกกระบี่คมปลาบแทงเข้าที่ขั้วหัวใจ เดิมนางมีความคิดเช่นนี้ ฉู่หรงจิ่นช่าง…

“ที่แท้มิตรภาพที่ท่านมีกับพี่ใหญ่ของข้าหลายปีก็ยังเทียบซูลั่วที่เพิ่งรู้จักไม่ได้ แล้วยังจะเอ่ยอ้างคำว่า ‘คุณธรรมน้ำมิตร’ ที่แท้ก็สู้สตรีสักคนไม่ได้ด้วยซ้ำ” คุณหนูห้าสกุลหนิงหัวเราะเสียงเยือก

ฉู่หรงจิ่นเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหยัน “เหลวไหลเพ้อเจ้อ ข้ามีมิตรภาพกับพี่ชายของเจ้า หาใช่เจ้าเสียเมื่อไร คุณหนูห้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”

สองคนยิ่งเถียงยิ่งบานปลาย ไม่มีใครไว้หน้าใคร เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต หนิงเฮ่าเทียนถอนหายใจยาว “ตกลงจะทดสอบหรือไม่”

ฉู่หรงจิ่นมองซูลั่วด้วยสายตาขอโทษขอโพย “เริ่มได้ๆ”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว ฉู่หรงจิ่นผู้นี้น่าคบหาเป็นสหายด้วย

ในเมื่อบอกให้เริ่ม ซูลั่วก็เริ่มท่องในทันที หากจะต้องท่องจำนวนนับพันที่ไร้กฎเกณฑ์เหล่านี้ให้ได้ทั้งหมดก็นับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าท่องตำราเล่มหนาเสียอีก แต่สีหน้าของซูลั่วกลับราบเรียบสงบนิ่ง ศีรษะของนางพิงซบไหล่หนานกงหลิวอวิ๋น ปากก็เอ่ยออกมาอย่างมีจังหวะจะโคน ซ้ำยังคล่องแคล่วรวดเร็วจนคนฟังรู้สึกราวกับได้ยินท่วงทำนองดนตรี

จู่ๆ ทุกคนก็พลันตระหนักว่าซูลั่วหาได้ท่องตัวเลขเจื้อยแจ้วไม่ แต่นางใช้วิธีขับขาน หญิงสาวแทนตัวเลขหนึ่งถึงเก้าด้วยโทนเสียงและจังหวะที่แตกต่างกันไป

จำนวนตัวเลขที่เรียงกันอย่างไร้กฎเกณฑ์ บัดนี้กลับออกมาจากปากซูลั่วด้วยท่วงทำนองอันอัศจรรย์ประหนึ่งเสียงเพลงบรรเลง ประกอบด้วยเสียงสูงต่ำ มีจังหวะจะโคน แรกๆ ทุกคนรู้สึกเพียงว่าเสียงขับขานนี้ไพเราะน่าฟัง

คุณหนูห้าสกุลหนิงและฉู่หรงจิ่นเองก็ยังจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขบนกระดาษเพราะกลัวว่าซูลั่วจะจำผิด แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งคู่ก็พบว่าตนเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะนั้นอย่างแทบไม่อาจจะเชื่อได้ รู้ไว้เถิดว่าซูลั่วบรรลุ เสียงแห่งมรรคา ขั้นสิบ ในประวัติศาสตร์ของสำนักวิชายุทธ์ที่ผ่านมา มีแค่หนานกงหลิวอวิ๋นและซูลั่วเท่านั้นที่บรรลุเคล็ดวิชานี้ในระดับสูงสุด

ยามนี้แม้แต่ซูลั่วเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าหนานกงหลิวอวิ๋นกำลังหันมามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน สายตาคู่นั้นปลาบปลื้มและหลงใหล

ตอนที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งทำนองเสนาะหู และรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนกำลังจะสัมผัสถึงแก่นแท้แห่งท่วงทำนอง ทันใดนั้นเสียงขับขานก็พลันหยุดลง

ฉู่หรงจิ่นได้สติเป็นคนแรก มองซูลั่วด้วยความร้อนใจ “หยุดทำไมเล่า!”

หนิงเฮ่าเทียนและหลินรั่วอวี่มองซูลั่ว นัยน์ตาเผยแววประหลาดใจออกมา ภวังคจิตของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดกัน ทว่าท่วงทำนองเสนาะหูเมื่อครู่กลับทำให้พวกเขาลืมเลือนตัวตนไปได้ หากยืดเวลานานกว่านี้อีกสักนิดก็อาจจะส่งผลดีต่อการหยั่งรู้พลังยุทธ์ของพวกเขา น่าเสียดายเหลือเกิน...

ทว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจในตัวซูลั่วมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

สายตาของคุณหนูห้าสกุลหนิงจับนิ่งมาที่ซูลั่ว แววตาคู่นั้นเลื่อนลอย นางทำอะไรไม่ถูก เหมือนอ้างว้างเดียวดายอยู่ท่ามกลางโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล โกรธขึ้งหรือ ยามเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง ความโกรธขึ้งจะมีประโยชน์อันใด ยามนี้นางได้แต่มองซูลั่วด้วยสีหน้าสับสน พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

อันที่จริงผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากท่วงทำนองขับขานนี้ก็คือซูลั่ว เพราะเมื่อครู่ระหว่างที่นางเอื้อนเอ่ยตัวเลขเหล่านั้นออกมา หญิงสาวก็จมอยู่ในภวังค์เฉกเช่นคนที่กำลังจะเลื่อนขั้นพลังยุทธ์

หวึ่ง...

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ประกายแสงสว่างเข้าโอบล้อมรอบกายซูลั่ว จากนั้นก็ชำแรกเข้าสู่ร่างกายนาง ซูลั่วหลับตาลงแล้วกำหนดสมาธิในทันที เพราะยามนี้นางกำลังไต่ไปสู่ชั้นเทพฤทธิ์แปดดาวแล้ว

ฉู่หรงจิ่นตะลึงพรึงเพริด “ให้ตายเถิด! เช่นนี้ก็ได้หรือ!”

คนอื่นๆ มุมปากกระตุก พูดอะไรไม่ออก พวกเขาเคยเห็นคนเลื่อนชั้นพลังยุทธ์มามากมาย ทว่ากลับไม่เคยเห็นใครมีพลังยุทธ์กระเตื้องขึ้นหลังจากที่ขับขานตัวเลขเป็นทำนองมาก่อน 

หนานกงหลิวอวิ๋นประหลาดใจเช่นกัน แต่เพียงชั่วครู่ก็ยิ้มออกมา ไม่ว่าเรื่องปาฏิหาริย์ใดจะเกิดขึ้นกับซูลั่วก็หาได้น่าอัศจรรย์ใจไม่ เพราะสตรีผู้นี้คือผู้สร้างตำนานอันน่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว

หนานกงหลิวอวิ๋นทอดสายตามองซูลั่วไม่วางตา ในระยะสามเมตรรอบกายชายหนุ่มปกคลุมด้วยผนึกปิดตาย หากใครล่วงล้ำเข้ามาจะถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงทันที

คุณหนูห้าสกุลหนิงมองซูลั่วราวกับคนเขลา เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจนางที่สุด มู่หรงโม่เองก็ตกตะลึงพรึงเพริดไม่ต่างกัน นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและเคียดแค้น ไฉนนังตัวดีซูลั่วถึงต้องมาเลื่อนขั้นพลังยุทธ์ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ด้วย ก็แค่ชั้นเทพฤทธิ์แปดดาวไม่ใช่หรือ พลังยุทธ์อ่อนด้อยระดับนี้มีอะไรให้อวดอ้างกัน

ซูลั่วกำลังเข้าสู่ภวังค์การเลื่อนขั้นสู่ชั้นเทพฤทธิ์แปดดาว นางหลับตานิ่งไม่ติงไหว บรรดาคนที่อยู่รอบกายนางในยามนี้พากันประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนเงียบงันไปเนื่องจากกำลังทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่ประสบในคืนนี้

หนึ่งเค่อให้หลัง ซูลั่วก็เปิดเปลือกตาช้าๆ ในความคิดของนาง ระยะเวลาหนึ่งเค่อนี้ราวกับหยุดนิ่งลง เพราะหญิงสาวพบว่าคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในอาการเดิมเหมือนก่อนหน้าที่นางจะเข้าภวังค์เลื่อนขั้นพลังยุทธ์ไม่มีผิด

“พลังยุทธ์คงที่แล้วหรือ” นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นของหนานกงหลิวอวิ๋นทอดมองซูลั่ว ซูลั่วพยักหน้ารับ

จังหวะนี้เองหยกสื่อสารของหนานกงหลิวอวิ๋นก็ดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหยกสื่อสารของฉู่หรงจิ่นและสหาย หนานกงหลิวอวิ๋นนิ่วหน้า ฉู่หรงจิ่นมองหนานกงหลิวอวิ๋น ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ซูลั่วยิ้มแล้วบอกอีกฝ่าย “หากมีธุระท่านก็ไปเถิด ข้าอยู่ที่นี่ได้ ไม่เป็นอะไร วางใจได้”

ฉู่หรงจิ่นเสริม “ผู้อาวุโสในสกุลเรียกพบด่วน…”

หนานกงหลิวอวิ๋นขยี้ผมซูลั่วอย่างอ่อนโยน “อย่าซุกซน ห้ามไปที่ใด”

“อือ” ซูลั่วยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างว่าง่าย

หนานกงหลิวอวิ๋นลูบศีรษะของซูลั่วอีกครั้ง หลังจากมองนางอยู่ครู่ถึงได้หมุนตัวผละไป ฉู่หรงจิ่นเองก็พยักหน้าให้ซูลั่ว ก่อนจะก้าวตามหนานกงหลิวอวิ๋นไป

หลังจากที่หนานกงหลิวอวิ๋นและสหายจากไปแล้ว ที่นี่ก็เหลือซูลั่วเพียงลำพัง มู่หรงโม่มองซูลั่วที่หัวเดียวกระเทียมลีบแล้วก็ยิ้มเยือกตรงมุมปาก นางเดินมาหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามซูลั่ว จากนั้นก็มองตรงมาด้วยสายตาเหนือกว่า

“ซูลั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงต้องไป”

ซูลั่วส่ายหน้า มู่หรงโม่หัวเราะเสียงเยือก

“เพราะว่า… เหอะๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

ซูลั่วยักไหล่ “ข้าก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไรนัก”

“แต่เจ้าต้องยอมรับว่าต่อให้คุณชายรองหนานกงจะแสดงออกว่าเอาอกเอาใจเจ้าเพียงใด แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญขึ้นมา เขาก็ยังเลือกที่จะทิ้งเจ้าไว้ ซ้ำยังไม่บอกแม้กระทั่งต้นสายปลายเหตุให้เจ้าได้รู้ รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร” มู่หรงโม่จ้องซูลั่วนิ่ง

ซูลั่วไม่สนใจจะสนทนากับอีกฝ่าย

“นั่นก็เพราะว่าในสังคมของพวกเรา สตรีที่หน้าตางดงามเฉลียวฉลาด ทว่ามีสถานะต่ำต้อยเยี่ยงเจ้าจะถูกกำหนดสถานะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” มู่หรงโม่หัวเราะเสียงเยือกยามมองซูลั่ว “นั่นก็คืออนุ! อย่างมากเจ้าก็เป็นได้แค่อนุของคุณชายรองหนานกง เผ่าพันธุ์หงส์มังกรไม่มีวันยอมรับเจ้าแน่!”

ซูลั่วคลี่ยิ้มให้มู่หรงโม่ ไม่สะทกสะท้านเพราะวาจาอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว มู่หรงโม่คิดไม่ถึงว่าซูลั่วจะต่อกรด้วยยากถึงเพียงนี้ นางพูดชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

“ไฉนเจ้าถึงได้หน้าหนานัก ข้าเอ่ยวาจาชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับไม่รู้สึกรู้สา?” มู่หรงโม่แทบจะโมโหตายเพราะซูลั่ว

ซูลั่วทอดสายตาราบเรียบมองอีกฝ่าย ซ้ำยังเอ่ยแนะนำ “ก็หมายความว่าวาจาที่เจ้าเอ่ยมาไม่น่าตระหนกตกใจสักเท่าไรนัก”

มู่หรงโม่เดือดดาลจนแทบบ้า นางตั้งใจยั่วโมโหซูลั่ว ปรากฏว่าตนกลับเป็นฝ่ายถูกยั่วอารมณ์เสียเอง

มู่หรงโม่มองคุณหนูห้าสกุลหนิงที่ตกอยู่ในภวังค์ความหดหู่สุดกู่แล้วถอนหายใจออกมา คุณหนูห้าสกุลหนิงเผชิญหน้ากับความร้ายกาจของซูลั่วจนไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นนางต้องเป็นผู้นำในศึกครั้งนี้ มู่หรงโม่ประคองข้อมือที่แผลยังไม่สมานกันดีด้วยมืออีกข้าง ก่อนจะหัวเราะหยันออกมา “อยากฟังเรื่องน่าตระหนกตกใจ? เกรงว่าหากพูดออกไปแล้ว เจ้าจะรับไม่ไหวก็เท่านั้น!”

ซูลั่วร้อง “อา...” ออกมาแล้วเอ่ยเนิบนาบ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูด”

“…ข้าจะพูด!”

ซูลั่วพยักหน้าตามใจ “อ้อ”

มู่หรงโม่อยากจะคว้าคอซูลั่วมาเขย่าแรงๆ ‘เจ้าสนทนาเป็นหรือไม่!’ นางสูดลมหายใจลึก หลังจากมั่นใจว่าตนจะไม่ขุ่นขึ้งจนตายเพราะซูลั่วไปเสียก่อน นางถึงได้หัวเราะเสียงเยือกออกมา “เจ้าอย่าคิดว่าตอนนี้คุณชายรองหนานกงทำดีกับเจ้า อันที่จริงคนที่เขารักหาใช่เจ้าไม่!”

“อ้อ?” ซูลั่วยิ้มบางยามมองตอบ

“คนที่เขาชอบคือพี่สาวของคุณหนูห้าสกุลหนิง คุณหนูสามสกุลหนิง... หนิงจิ้งอี๋ ท่านพี่หนิงจิ้งอี๋ถึงจะเป็นรักแท้ของคุณชายรองหนานกง ซูลั่ว เจ้ามันตัวอะไรกัน!” นัยน์ตาของมู่หรงโม่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูแคลน

สายตาของซูลั่วยังราบเรียบเช่นเดิม นางแค่ร้องออกมาคำเดียว “อ้อ”

มู่หรงโม่ยังเล่นงานซูลั่วต่อไป “เจ้าคิดว่าข้าแกล้งแต่งเรื่องหลอกเจ้าใช่หรือไม่”

ซูลั่วยิ้มบางไม่เปลี่ยน แววตากระจ่างใสทอดมองมู่หรงโม่

“สตรีโง่เขลาที่หลอกตัวเอง จุ๊ๆ” มู่หรงโม่หัวเราะเสียงเยือก “ท่านพี่หนิงจิ้งอี๋เป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่ผู้คนยกย่องสรรเสริญ เจ้าเทียบนางได้หรือ”

“พลังยุทธ์ของท่านพี่หนิงจิ้งอี๋เหนือกว่าคุณชายใหญ่ด้วยซ้ำไป เจ้าคิดว่าพลังยุทธ์ของตนเทียบชั้นคุณชายหนิงเฮ่าเทียนได้หรือ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรคุณชายรองหนานกงถึงชอบดอกกุหลาบสีม่วง นั่นก็เป็นเพราะว่าท่านพี่หนิงจิ้งอี๋ชอบอย่างไรเล่า”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “อ้อ ข้าไม่รู้”

มู่หรงโม่นิ่วหน้า นางพูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่อีกฝ่ายกลับตอบง่ายๆ เพียง ‘ไม่รู้’ ซ้ำสีหน้ายังเฉยเมย ไร้ความรู้สึก นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่มู่หรงโม่คาดหวังเอาไว้

“ตกลงว่าเจ้าชอบคุณชายรองหนานกงหรือไม่!” มู่หรงโม่ถลึงตาดุใส่ซูลั่ว

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ซูลั่วเผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“หากเจ้าชอบเขา หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้วไม่มีทางนิ่งเฉยได้แน่ เพราะฉะนั้น…” มู่หรงโม่กระจ่างแจ้ง “ข้ารู้แล้ว!”

ซูลั่วมองมู่หรงโม่ที่จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาเองอย่างจนคำพูด

มู่หรงโม่มองซูลั่วด้วยแววตาดูแคลน “ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ชอบคุณชายรองหนานกง เจ้าเข้าใกล้เขาก็เพราะหมายปองในอำนาจของเขา! เจ้าเป็นสตรีจอมปลอม!”

ซูลั่วพูดไม่ออก มู่หรงโม่พูดเองเออเอง ซ้ำยังเชื่อเป็นตุเป็นตะเสียด้วย นางคิดว่าหากยังสนทนากับอีกฝ่ายต่อไป ตนต้องกลายเป็นคนสมองพิการอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะออกไปข้างนอก

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” มู่หรงโม่ชี้หน้าซูลั่ว “หากเจ้ากล้าก็ลองออกจากไปห้องนี้ดู!”

ซูลั่วก้าวยาวๆ ผละไปโดยไม่สนใจอีกฝ่าย

“เจ้า!” มู่หรงโม่อยากจะตรงเข้าไปสะบัดฝ่ามือใส่ซูลั่วสักที ทว่ามู่หรงเจ๋ออวี่กลับปราดเข้ามากระชากตัวนางไว้ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล

“เจ้าอยากเป็นศัตรูกับหนานกงหลิวอวิ๋นหรือไร” มู่หรงเจ๋ออวี่ขึงตาใส่มู่หรงโม่

มู่หรงโม่ทำปากเบ้อย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่ามู่หรงเจ๋ออวี่กลับจ้องหน้านาง “หาเรื่องให้สกุลมู่หรงน้อยลงกว่านี้บ้างเถิด!”

“แต่นางเป็นแค่นังตัวดีไร้สถานะที่มาจากอาณาจักรล่างเท่านั้น!” มู่หรงโม่ไม่ยอมจำนน

“ขอเพียงหนานกงหลิวอวิ๋นหมายตานาง นางจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น! วาจานี้เจ้าจงจำไว้ให้ขึ้นสมอง ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้น อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้า!” มู่หรงเจ๋ออวี่เคาะศีรษะน้องสาว

มู่หรงโม่สะอึกสะอื้น นัยน์ตามีน้ำเอ่อคลอ ท่าทางอัดอั้นตันใจที่สุด มู่หรงเจ๋ออวี่ไม่คิดจะปลอบอีกฝ่าย เขาเอ่ยเพียง “ล่วงเกินนางด้วยวาจายังไม่เท่าไร แต่ถ้าทำอย่างอื่นแล้วละก็ คอยดูเถิด!” มู่หรงเจ๋ออวี่เลือกที่จะรอ เขาจะรอวันที่หนานกงหลิวอวิ๋นทอดทิ้งซูลั่ว หากวันนั้นมาเมื่อใด ก็เป็นโอกาสที่สกุลมู่หรงจะลงมือชิงกระบี่มู่อวิ๋นกลับมา

ซูลั่วเสียเวลาสนทนากับมู่หรงโม่ไปพักใหญ่ นางเดินออกมาจากห้องรับรอง ด้านหน้าเป็นลานหญ้าโล่งกว้าง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม บรรยากาศครึ้มสลัว เดิมซูลั่วตั้งใจออกมาสูดอากาศอยู่แล้ว นางจึงเดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ สูดกลิ่นสดชื่นในอากาศจนผ่อนคลายและสำราญใจขึ้นมา

เดินมาได้ไม่นาน หญิงสาวก็เห็นร่างในอาภรณ์สีขาวเบื้องหน้า อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเปลตาข่ายเตี้ยๆ เพียงลำพัง แผ่นหลังของอีกฝ่ายดูเดียวดาย ในมือถือขลุ่ยเลาหนึ่ง ท่วงทำนองวิเวกอ้างว้างถูกบรรเลง

แผ่นหลังของคนผู้นี้... ซูลั่วรู้สึกคุ้นตา ทว่านางไม่ได้เข้าไปรบกวนอีกฝ่าย เพียงแต่ยืนมองอยู่เงียบๆ รอให้เพลงยุติลง ทำนองเสียงขลุ่ยฟังดูราวกับเสียงสะอื้นไห้ ชวนให้รู้สึกเศร้าโศก

ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เสียงบรรเลงเพลงก็หยุดลง

แปะๆๆ ซูลั่วปรบมือรัว ตั้งแต่ที่นางบรรลุ เสียงแห่งมรรคา หญิงสาวก็เข้าถึงแก่นแท้ของทุกท่วงทำนอง แม้ว่าจะไม่เคยเรียนเป่าขลุ่ยมาก่อน แต่อาศัยสัญชาตญาณ ซูลั่วก็จำแนกออกว่าเสียงขลุ่ยชั้นดีและเลวแตกต่างกันอย่างไร เสียงเพลงบรรเลงของชายหนุ่มผู้นี้ฟังแล้วให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย ราวกับสะท้อนความปวดร้าวภายในใจออกมา ชวนให้ผู้ฟังสะเทือนใจโดยไม่รู้ตัว

วาจาของมู่หรงโม่ไม่ทำให้ซูลั่วสะทกสะท้านสักนิดจริงๆ น่ะหรือ หาใช่ไม่ อันที่จริงหลังจากที่ได้ยินว่าหนานกงชอบดอกกุหลาบสีม่วงก็เพราะดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้ที่คุณหนูสามสกุลหนิงโปรดปราน หัวใจของซูลั่วก็พลันราวกับถูกบีบรัดแน่น

มู่หรงโม่ไม่รู้ แต่ซูลั่วเคยไปเยือนคฤหาสน์ของหนานกงหลิวอวิ๋นซึ่งดูแลโดยพ่อบ้านเซี่ย ซูลั่วมั่นใจว่านางเคยเห็นดอกกุหลาบสีม่วง ยามทอดสายตามองออกไปก็จะเห็นเป็นช่อสีม่วงสุดลูกหูลูกตา

เดิมทีซูลั่วก็รู้สึกว่าน่ามองเช่นกัน แต่พอคิดว่าสีม่วงสะดุดตานั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูสามสกุลหนิง นางก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา อยากจะวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงหลิวอวิ๋นและซักถามเขาเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าสติสัมปชัญญะบอกนางว่าทำเช่นนั้นไม่ได้

ดังนั้นซูลั่วจึงทำได้เพียงปั้นสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ความเป็นจริงนางไม่อาจทนฟังมู่หรงโม่ได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นนางคงเกิดความรู้สึกด้านลบอย่างที่มู่หรงโม่คาดหวังเอาไว้ และก็คงแสดงท่าทีกับหนานกงหลิวอวิ๋นอย่างไร้สติ จนเป็นเหตุให้เข้าใจผิดกันได้

เสียงท่วงทำนองเมื่อครู่ทำให้ซูลั่วรู้สึกประหนึ่งพบพานสหายรู้ใจ

ชายหนุ่มสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวหมุนตัวกลับมา จากนั้นก็สบสายตากับซูลั่วทันที ตอนที่เขาเห็นนาง ร่างกายก็แข็งค้างอยู่กับที่!

“ศิษย์พี่หนิง ไม่พบกันนานนะเจ้าคะ” ซูลั่วยิ้มกว้างยามมองหนิงจิงอวี่ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเศร้าโศกเพียงใด ทว่าซูลั่วก็เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้เป็นอย่างดี ยิ่งเจ็บปวดเท่าไร รอยยิ้มก็ยิ่งคลี่กว้างขึ้นเท่านั้น

หนิงจิงอวี่มองซูลั่ว ดวงตาคู่งามของเขาจ้องนางไม่วางตา ความตื่นเต้นยินดีทะลักทลายออกมาทางสายตาคู่นั้น

“เจ้า!” ในหัวของหนิงจิงอวี่มีแต่ภาพรอยยิ้มเจิดจ้าของซูลั่ว ชายหนุ่มกางแขนออกแล้วรวบซูลั่วเข้ามาไว้ในอ้อมอก โดยไม่ทันได้คิดอะไรทั้งสิ้น

ซูลั่วในตอนนี้หารู้ไม่ว่าหลังจากที่นางผละออกมาจากห้องโถง ก็มีใครบางคนสะกดรอยตามมา คนคนนั้นก็คือมู่หรงโม่ผู้หวังก่อเหตุเพื่อหวังผลบางประการ

มู่หรงโม่เห็นหนิงจิงอวี่โอบกอดซูลั่วแน่นด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง ท่าทีเช่นนี้เผยถึงความในใจที่แท้จริงของชายหนุ่ม พลันนั้นมู่หรงโม่ก็ขอบตาแดงก่ำ เพลิงโทสะปะทุ ศิษย์พี่หนิงเป็นของนาง! ซูลั่วผู้นี้ยั่วยวนคุณชายรองหนานกงไม่พอ ยังจะหลอกลวงศิษย์พี่หนิงอีกคนอย่างนั้นหรือ เจ้าเล่ห์กลอกกลิ้ง หลอกลวงปั่นหัวผู้อื่น มู่หรงโม่อยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าซูลั่วหลายๆ ฉาด ทว่าสติสัมปชัญญะบอกกับนางว่า นางมิใช่คู่ต่อกรของศิษย์พี่หนิง

‘ซูลั่ว เจ้าคอยดูเถิด!’

มู่หรงโม่รีบส่งข้อความผ่านหยกสื่อสารไปถึงคุณหนูห้าสกุลหนิงทันที ให้อีกฝ่ายรีบหาวิธีการตามตัวคุณชายรองหนานกงมาที่นี่โดยด่วน นางบอกว่าเวลานี้ซูลั่วลักลอบนัดพบบุรุษคนหนึ่ง และบุรุษคนที่ว่าก็ไม่ใช่คุณชายรองหนานกง ท่านเข้าใจหรือไม่!

คุณหนูห้าสกุลหนิงต้องเข้าใจอยู่แล้ว จึงรีบวางแผนการในทันที

 

พอซูลั่วถูกหนิงจิงอวี่กอดรัดแน่น หญิงสาวก็ตะลึงงันไปครู่ จากนั้นก็ดันร่างหนิงจิงอวี่ให้ห่างกาย ทว่าพลังยุทธ์ของหนิงจิงอวี่แข็งแกร่งกว่านางมาก ไม่ว่าจะผลักหรือดันอย่างไรก็ไม่ขยับ ซูลั่วจำต้องออกปากเตือนอีกฝ่าย “ท่านปล่อยข้าก่อนเถิด”

หนิงจิงอวี่จึงตระหนักได้ถึงการกระทำของตนเอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังผละออกอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ดวงตาสว่างวับวาวปานดวงดาวของเขาจับจ้องมองซูลั่วตลอดเวลา นัยน์ตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์มากมาย

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่? ช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่ เดินทางมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด ได้เข้าสำนักวิชายุทธ์แล้วหรือไม่ เจ้ามาที่สกุลมู่หรงได้อย่างไร” หนิงจิงอวี่ยังคงควบคุมอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เขาตั้งคำถามใส่ซูลั่วชุดใหญ่

“ท่านไม่รู้หรือว่าข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่มีใครบอกท่านหรือ” ซูลั่วรู้สึกแปลกใจ

“ไม่มีใครบอกข้า!” หนิงจิงอวี่ขบกรามแน่น

อันที่จริงเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ไม่มีใครตั้งใจให้เกิด ครานั้นไม่มีศิษย์ใหม่ในสำนักคนใดที่มีคุณสมบัติดีพอจะเพิ่มนามลงในหยกสื่อสารของหนิงจิงอวี่ เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงจนปัญญาจะแจ้งข่าวให้ชายหนุ่มรับรู้ว่าซูลั่วกลับมาแล้ว

ส่วนบรรดาท่านอาจารย์... อาจารย์สวี่คิดว่าอาจารย์ฉือบอกหนิงจิงอวี่ อาจารย์ฉือคิดว่าอาจารย์โจวบอกเขา… เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงเข้าใจไปว่าหนิงจิงอวี่รู้ข่าวของซูลั่วแล้ว ไม่มีใครตระหนักเลยว่าชายหนุ่มเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เลย

ซูลั่วมองเปลตาข่ายแล้วทำสัญญาณให้หนิงจิงอวี่นั่งลงสนทนากัน คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ซ้ำยังโชคดีได้พบหน้าศิษย์พี่หนิงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาก่อน ดังนั้นนางจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พลัดจากเรือเชิงหลงเฮ่าให้อีกฝ่ายฟัง

สองคนพูดคุยกันด้วยความสำราญใจ เสียงหัวเราะดังลอยมาต่อเนื่อง

มู่หรงโม่กลัวว่าจะถูกจับได้ จึงถอยฉากออกมาอีกนิด เพราะเหตุนี้นางเลยจับใจความไม่ได้ว่าทั้งสองคนสนทนาเรื่องใดบ้าง ได้ยินเพียงเสียงหัวร่อต่อกระซิกของพวกเขา มู่หรงโม่ลอบกำหมัดแน่น ความชิงชังซูลั่วที่มีอยู่ในใจเพิ่มจากเจ็ดส่วนเป็นสิบส่วน กระบี่มู่อวิ๋นนางยอมยกให้ได้ แต่สำหรับศิษย์พี่หนิง... ไม่มีวันเด็ดขาด!

ตอนนี้เองหยกสื่อสารของซูลั่วก็สว่างวาบขึ้น พอหญิงสาวเห็นชื่อหนานกงหลิวอวิ๋น นางก็ตอบกลับทันที น้ำเสียงกระจ่างใสของหนานกงหลิวอวิ๋นถามคำถามตรงไปตรงมา “เจ้าอยู่ที่ใด”

ซูลั่วเองก็ไม่รู้เช่นกัน จึงหันไปถามหนิงจิงอวี่ “ที่นี่ที่ใดหรือ”

หนิงจิงอวี่ไม่รู้ว่าซูลั่วสนทนาอยู่กับใคร แต่มั่นใจว่าคนผู้นั้นต้องอยู่ในจวนสกุลมู่หรงเวลานี้ด้วยเป็นแน่ และก็อาจจะเป็นคนที่พาซูลั่วมาถึงที่นี่

หนิงจิงอวี่ตอบสั้นๆ เพียงประโยคเดียว

ซูลั่วพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยกับหนานกงหลิวอวิ๋นผ่านหยกสื่อสาร “ศาลาโยวหรานในสวนดอกไม้หลังจวนสกุลมู่หรง”

“รออยู่ที่นั่น ห้ามไปไหน เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงของหนานกงหลิวอวิ๋นเย็นยะเยือก

ซูลั่วนึกถึงคำสั่งของหนานกงหลิวอวิ๋นก่อนหน้านี้ ที่ไม่ให้นางเพ่นพ่านไปที่ใด แต่ปรากฏว่านางกลับแอบแวบออกมาข้างนอกเสียได้

ซูลั่วพยักหน้า “ได้”

“คนที่พาเจ้ามาจวนสกุลมู่หรง?” หนิงจิงอวี่แสร้งถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

ซูลั่วพยักหน้า “ถูกต้อง”

“บุรุษ?” หนิงจิงอวี่กำหมัดแน่น มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเวลานี้ตนกระสับกระส่ายเพียงใด

ซูลั่วพยักหน้า “อือ”

ผู้ที่มาเยือนจวนสกุลมู่หรงและก้าวย่างไปทุกที่ได้อย่างอิสระเช่นนี้ ต้องเป็นคนสกุลใหญ่โตอย่างแน่นอน ในใจของหนิงจิงอวี่สับสนอย่างหนัก หากยังลังเลอยู่เช่นนี้จะสายไปหรือไม่ ทว่าเผยความในใจกะทันหันก็ดูจะบุ่มบ่ามไปสักหน่อย ยามนี้คุณชายหนิงจิงอวี่ร้อนรนและกระสับกระส่ายยิ่งนัก แม้ว่าภายนอกจะดูสงบนิ่งก็ตาม

ระหว่างที่มู่หรงโม่กำลังเดือดดาลอยู่นั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้น มู่หรงโม่เหลือบตามอง ก่อนจะเห็นร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ หากไม่ใช่คุณชายรองหนานกงแล้วจะมีใครได้อีกเล่า

หนานกงหลิวอวิ๋นเดินผ่านมู่หรงโม่ไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะทักทายนาง มู่หรงโม่คิดจะตามตัวคุณหนูห้าสกุลหนิง แต่ไม่รู้ว่าเวลานี้อีกฝ่ายไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว เหตุใดถึงไม่มาดูละครสนุกฉากใหญ่ด้วยกัน

ซูลั่วและหนิงจิงอวี่ไม่รู้ตัวเลยว่าหนานกงหลิวอวิ๋นมาถึงแล้ว ยามนี้หนิงจิงอวี่กำลังใคร่ครวญบทสารภาพความในใจอยู่เงียบๆ เพราะคนที่ชักชวนซูลั่วมายังจวนสกุลมู่หรงแห่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย

“ซูลั่ว… ข้า…” หนิงจิงอวี่ทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดไป

ซูลั่วชมจันทร์ไปพลางเอ่ยถามอย่างใจลอยไปพลาง “หือ?”

“พวก… พวกเรา…” หนิงจิงอวี่รู้สึกว่าลำคอถูกฝ่ามือใหญ่ยักษ์บีบแน่น ทำให้เขาจนปัญญาจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

“พวกเราทำไมหรือ” ซูลั่วเอียงคอ ดวงตาวับวาวคู่งามกระจ่างใสประดุจน้ำพุมองหนิงจิงอวี่อย่างฉงน

“เรา… เรายังไม่ได้เพิ่มนามกันและกันในหยกสื่อสาร!” หนิงจิงอวี่เกิดความคิดขึ้นมาอย่างว่องไว ศิษย์พี่หนิง... บุรุษซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีมากมายในสำนักวิชายุทธ์เวลานี้ตื่นเต้นราวกับคนเขลา สิ่งที่เรียกว่าความรักนี้หนอ…

“จริงด้วย” ซูลั่วพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็แตะหยกสื่อสารกัน”

ซูลั่วหยิบหยกสื่อสารขึ้นมาสัมผัสกับหยกสื่อสารของหนิงจิงอวี่ เสียงสะท้อนดังขึ้นแผ่วเบา จากนั้นก็เป็นอันเรียบร้อย

“ซูลั่ว… ข้า…” หนิงจิงอวี่สูดลมหายใจเข้าลึก ตอนที่กำลังจะสารภาพรักออกมา...

เสียงเย็นชาแทรกขัดจังหวะความกล้าที่ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะรวบรวมขึ้นมาได้ของเขา

“ไม่อยู่ในโถงรับรอง มาเพ่นพ่านทำอะไรแถวนี้” ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของหนานกงหลิวอวิ๋นยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตากระจ่างใส เขาเอ่ยกับซูลั่วด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย จากนั้นก็เดินเนิบนาบมาหยุดข้างกายหญิงสาว แล้วใช้วงแขนเรียวยาวข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อ

“ข้างในชวนอึดอัดนัก ข้าออกมาสูดอากาศ” ซูลั่วถอนหายใจ นางปรับตัวให้เข้ากับสังคมของลูกหลานสกุลสูงศักดิ์เหล่านี้ไม่ได้เลย

ปลายนิ้วเรียวดุจแท่งหยกของหนานกงหลิวอวิ๋นเคาะปลายจมูกซูลั่วเบาๆ “ครั้งหน้าห้ามไปไหนเรื่อยเปื่อยอีก เข้าใจหรือไม่”

“อือ” ซูลั่วคลี่ยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม

สองคนแนบชิดเป็นกันเอง แทบไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา หนิงจิงอวี่ที่ถูกละเลยอยู่ข้างๆ ยืนอย่างเดียวดายเพียงลำพัง

ดูเหมือนหนานกงหลิวอวิ๋นเพิ่งตระหนักได้ว่าหนิงจิงอวี่อยู่ตรงนี้ด้วย มุมปากข้างหนึ่งยกสูงขึ้นนิดๆ “หนิงจิงอวี่?”


 


[1] คำเรียกขาน ‘คุณชายสามสกุลฉู่’

[2] คำเรียกขาน ‘คุณชายรองสกุลหนานกง’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น