9

ตอนที่ 9


         

 

หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ถึงเวลาไปทำงาน มนิสรณ์ออกจากบ้านด้วยความค้างคาใจเกี่ยวกับตัวเพื่อนร่วมบ้าน ธารธาราไปอาบน้ำที่ไหน และกลิ่นที่โชยมาจากตัวของหญิงสาว ทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นนัก เหมือนเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

            แต่แล้วความสงสัยนั้นก็ถูกปัดทิ้งไปชั่วขณะ เมื่อเธอเห็นว่าตรงล้อรถของเธอนั้นมีสิ่งมีชีวิตบางตัวกำลังทำบางอย่างอยู่

            หญิงสาวแทบจะร้องกรี๊ด เธอเพิ่งเอารถไปขัดสีฉวีวรรณมาเมื่อวาน ตอนนี้ล้อรถทั้งสี่ข้างกลับมีคราบเหลืองๆ ติดอยู่

            “ไป๊! ไอ้หมาบ้า ไปฉี่ที่อื่น” มนิสรณ์เอ่ยปากไล่ แต่เจ้าสุนัขหน้าตาขะมุกขะมอมยังทำเฉยเหมือนไม่ได้ยินที่เธอไล่ หนำซ้ำยังยกขาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจะปล่อยของเสียใส่รถเธอต่อ

            สุดจะทน หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอาวุธ แล้วเธอก็เจอไม้กวาด จึงหยิบขึ้นมาหมายจะฟาดให้เต็มรัก จะได้เข็ดหลาบ ไม่กล้ามาฉี่ใส่ล้อรถเธออีก แต่ระหว่างที่เงื้อไม้กวาดขึ้น ประตูบ้านข้างๆ ก็เปิดออก มือเล็กจึงชะงักค้างกลางอากาศทันทีที่ได้สบสายตาคมกริบของหนุ่มที่หมายปอง

            หัวใจของมนิสรณ์เต้นระรัว เธอรีบลดไม้กวาดในมือลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขว้างทิ้งไปอีกทาง โชคดีที่รถของเธอบังอยู่ ปราณนต์จึงไม่เห็นว่าเธอกำลังทำอะไร

            “สวัสดีค่ะพี่นนท์” มนิสรณ์ทักทายเสียงใส พร้อมกับโปรยยิ้มอันทรงเสน่ห์ ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องชื่นชม

            “สวัสดีครับ ยังไม่ไปทำงานเหรอ”

            คำถามนั้นทำให้สาวสวยอึกอัก เพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะแปดโมงครึ่งอยู่แล้ว เพราะกว่าจะออกจากห้องน้ำ ก็เจ็ดโมงสี่สิบห้า กว่าจะแต่งหน้า เขียนคิ้ว กรีดอายไลเนอร์ ก็ปาไปเป็นครึ่งชั่วโมง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงยังอยู่หน้าบ้าน

            “อ๋อ...พอดีลูกศรเห็นเจ้าหมาตัวนี้ท่าทางมันจะหิวน่ะค่ะ เลยว่าจะให้อาหารมันก่อน” กล่าวพลางก็หยิบแซนด์วิชที่ซื้อมาจากในเมืองเมื่อวานออกจากถุงหิ้ว แม้จะเสียดายแทบขาดใจ แต่ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการสร้างภาพเป็นคนรักสัตว์ไปก่อน “มามะ มากินเร้ว”

            เมื่อได้กลิ่นอาหาร สุนัขสีน้ำตาลก็กระดิกหางเดินมาหาเธอทันที มนิสรณ์บิครึ่งหนึ่งแล้วยื่นให้มัน หวังว่าจะยังเหลืออีกครึ่ง ซึ่งคงเพียงพอสำหรับกินแกล้มกาแฟในเช้านี้

            “อ้ะ...เอาไป” เมื่อเห็นว่าปราณนต์ยังอยู่ มนิสรณ์ก็ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า เริ่มโฆษณาตัวเองทันที “ลูกศรรักสัตว์ค่ะ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ตอนเรียนอยู่วิทยาลัยลูกศรเคยเป็นประธานชมรมหาบ้านให้น้องด้วยนะคะ ทั้งหมาแล้วก็แมว บางตัวหายังไงก็หาไม่ได้ ลูกศรก็เลยรับเลี้ยงไว้เอง ตอนนี้ที่บ้านมีเป็นสิบตัวเลยค่ะ”

            “ฟังดูเป็นกิจกรรมที่ดีนะครับ”

            “ค่ะ ดีมากๆ ลูกศรจำได้ว่าตัวเองมีความสุขมากๆ เลยค่ะ เมื่อเห็นน้องๆ ที่ไร้บ้านพวกนั้นมีบ้านอยู่กัน ส่วนเจ้าตัวนี้ ลูกศรก็คิดว่าอาจจะเลี้ยงไว้” มนิสรณ์พูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจคิด และเมื่อแสร้งช้อนตามองมันอย่างปรานี ก็เห็นว่าสายตาของมันจับจ้องไปยังแซนด์วิชที่เหลือ

‘ตะกละ’ เธอด่ามันในใจ แต่สุดท้าย เพื่อให้ทุกอย่างดูสมจริงเธอจำต้องยกแซนด์วิชอีกครึ่งที่เหลือให้มันไป

            “คงไม่ต้องไปเลี้ยงมันหรอกครับ เพราะหมาตัวนี้มีเจ้าของ”

            “อ้าว เหรอคะ” เมื่อรู้อย่างนั้น มนิสรณ์ก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้มัน มีเจ้าของแล้วยังมากินของเธออีก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองปราณนต์ เธอก็รีบปรับเปลี่ยนแววตาแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ไม่ทราบว่าเป็นของใครเหรอคะพี่นนท์”

            “ของจ่าชดน่ะ อยู่ล็อกโน้น” นักบินหนุ่มชี้ไปยังบ้านที่อยู่ล็อกข้างๆ กัน

            “อ้อ...” มนิสรณ์มองตาม และก็แอบจำไว้ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าหากมันมาฉี่ใส่ล้อรถเธออีก เธอจะไปเอาเรื่องกับใคร จึงยิ้มออกมาแล้วพึมพำเบาๆ “งั้นก็โล่งอกไปที”

            “พี่คงต้องขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

            “เอ่อ...ค่ะ ลูกศรก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” หญิงสาวทำทีเป็นรีบรุด เพื่อให้ดูสมจริงในความกระตือรือร้นที่อยากจะทำงาน แต่ก็เกิดเสียจังหวะ เพราะถูกเจ้าสุนัขที่เธอเพิ่งให้อาหารมันวิ่งไปวิ่งมาดักหน้าดักหลัง ร่างบอบบางของเธอจึงเซถลาไปซบกับกำแพง แรงกระแทกเสียดสีนั้นเล่นเอาแขนชาไปทั้งแถบ

            “โอ๊ย” เธอร้องออกมาด้วยเสียงที่ดังจนเกินจริง เมื่อเห็นว่าหนุ่มนักบินยังยืนอยู่

            ปราณนต์ก้าวเข้ามาหาอย่างที่เธอคาดเอาไว้ พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

            “เอ่อ...เจ็บค่ะ เจ็บมาก” เธอยกแขนส่วนที่เสียดสีกับกำแพงให้เขาดู

            “ไหนลองขยับดูสิครับ”

            มนิสรณ์ทำตามในทันที ซึ่งก็พบว่าขยับได้ดี ไม่มีอะไรติดขัด และเมื่อมองด้วยตาเปล่าก็ไม่พบบาดแผลหรืออาการผิดปกติอะไร ปราณนต์จึงถอยห่างออกมา

            “พี่ว่าน่าจะโอเคแล้วนะครับ ไม่น่าเป็นอะไรมาก” กล่าวจบปราณนต์ก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “สงสัยพี่ต้องไปก่อนแล้ว ถ้าเจ็บมากยังไง ก็อย่าลืมไปหาหมอนะครับ”

            มนิสรณ์ขมวดคิ้ว นี่เขาไม่รู้หรอกหรือว่าเธอกำลังทอดสะพานให้ ถึงได้เดินจ้ำหนีไปขึ้นรถอย่างนั้น ท่าทีของปราณนต์ทำให้มนิสรณ์ชาไปตลอดทั้งหน้า เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกผู้ชายเมินใส่ แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ตอนเขาเข้ามาประคองเธอได้กลิ่นบางอย่าง กลิ่นเหมือนกับกลิ่นกายของธารธาราตอนที่เดินแซงเธอขึ้นบันไดไป...หรือว่า?

            ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้ ธารธาราไปอาบน้ำที่บ้านปราณนต์อย่างนั้นหรือ? หรือสองคนนี้จะเป็นแฟนกัน? ไม่มีทาง! เธอไม่ยอม...สาวสวยกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งในใจ

 

“ว่าไงนะน้ำ เขาแอบดูตอนอาบน้ำเหรอ!”

            เสียงของอนามิกาที่ตะโกนออกมาอย่างตกใจนั้นทำให้คนทั้งร้านกาแฟหันมามองที่โต๊ะของสองสาวเป็นตาเดียว ก่อนที่ธารธาราจะรีบเอามือมาปิดปากเพื่อนแล้วรีบแก้ต่างความเข้าใจผิดนั้น

            “เปล่า ไม่ใช่สักหน่อย แค่ไปขโมยใช้ห้องน้ำเขา แล้วเขาก็จับได้คาหนังคาเขาเท่านั้นเอง” ธารธารากล่าวเสียงเบาหวิวเพราะอับอาย ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยอยากมุดหน้าลงดินแล้วหนีหายไปดาวอังคารเหมือนเมื่อเช้านี้มาก่อนเลย

            “แล้วเขาเห็นอะไรหรือเปล่า”

            “จะเหลือเหรอ”

            “เห็นอะไร อย่าบอกนะว่า...”

            พอถูกถามอย่างนี้ ธารธาราแทบจะร้องไห้ออกมา จะสภาพไหนล่ะ ก็สภาพนุ่งกระโจมอก แล้วก็มีผ้าขนหนูพาดไหล่ทั้งสองข้างราวกับชุดว่ายน้ำแบบโบราณ ประมาณรุ่นคุณยายตีโป่งอยู่ในคลอง ไร้ซึ่งความเซ็กซี่ เชยแหลกแบบที่ไม่มีสาวๆ คนไหนเขาทำกันแล้ว เพราะผู้หญิงยุคนี้นิยมนุ่งผ้าขนหนูเดินไปเดินมา อย่างมนิสรณ์เป็นต้น

            “ก็อย่างที่ก้อยเคยเห็นนั่นแหละ” ธารธาราอธิบายไป เพราะตอนเรียนที่กรุงเทพฯ เสาร์อาทิตย์เธอไม่รู้จะไปไหน จึงไปนอนที่คอนโดฯ ของอนามิกา ผู้เป็นเพื่อนสนิทจึงรู้ว่าเธอยังนุ่งผ้าถุงอาบน้ำ

            “กระโจมอกอะนะ”

            “ใช่ ป่านนี้เขาคงหาว่าฉันเป็นคุณป้าหงำเหงือก โบราณเป็นเต่าล้านปีไปแล้วมั้ง” พอพูดมาถึงตรงนี้ ธารธาราก็ซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น

            “นี่ที่ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย คือเพราะเขาเห็นน้ำใส่ผ้าถุง? น้ำก็เลยกลัวว่าเขาจะมองว่าเป็นสาวแก่ ไร้รสนิยมงั้นเหรอ งั้นเย็นนี้เอาใหม่ ไปซื้อทูพีซมาแล้วใส่เข้าห้องน้ำเขาเลย”

            “บ้าเหรอ ใครจะไปกล้า ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้นะ คราวนี้เจอหน้าจะทำยังไง”

            ธารธารายังคงคร่ำครวญอย่างไร้สติ แต่อนามิกากลับเห็นต่าง

            “ก้อยว่าคนที่น้ำต้องกังวล ไม่ใช่นักบินคนนั้นหรอก แต่เป็นคนที่อยู่บ้านเดียวกับน้ำมากกว่า”

            สิ่งที่อนามิกาพูด ทำให้ธารธาราต้องถอนหายใจออกมา บอกตามตรงเลย ตั้งแต่มัธยมต้นเธอเป็นเด็กหอ และอยู่ร่วมกับคนอื่นมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว ยกเว้นครั้งนี้ การกระทำหลายๆ อย่างของมนิสรณ์ ทำเธออึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

            “บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปของเพื่อนร่วมบ้านสินะ” อนามิกาลงความเห็น หลังจากที่ได้รับรู้วีรกรรมของมนิสรณ์

            “คงอย่างนั้น” คราวนี้พยาบาลสาวยอมรับอย่างง่ายดายว่ามนิสรณ์คือเจ้ากรรมนายเวร และเมื่ออารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ธารธาราก็กลับเข้าสู่เรื่องงานต่อ งานที่ทำให้อนามิกาต้องมาหาเธอในวันนี้ “ว่าแต่โรงเรียนของก้อย จะให้ทุนเด็กที่นี่จริงๆ ใช่ไหม”

            หลายวันก่อน เธอได้คุยโทรศัพท์กับอนามิกาเรื่องเด็กโรงเรียนอนุบาลกองบิน ที่บางคนเรียนดีแต่ยากไร้ ทำให้เสียโอกาสทางการศึกษา เพราะพ่อแม่ไม่อาจส่งเสียเข้าโรงเรียนดีๆ ในเมืองได้ เมื่ออนามิการู้จึงเสนอให้ทุนเรียนฟรีสำหรับเด็กเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และอีกส่วนก็เพื่อให้เด็กเหล่านั้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติต่อไป ในการเดินทางไปโรงเรียนนั้น จะมีรถสวัสดิการของกองบินบริการฟรีอยู่แล้ว จึงไม่มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

            “ใช่ ถ้าใครมีคุณสมบัติครบ ก้อยพร้อมจะสนับสนุน”

            “ขอบใจแทนเด็กๆ ด้อยโอกาสด้วยนะก้อย”

            อนามิกาจับมือเพื่อน แล้วส่ายหน้าเบาๆ “น้ำจะมาขอบใจก้อยทำไม ก้อยต่างหาก ที่ต้องขอบใจน้ำ น้ำทำให้ก้อยได้บุญมหาศาลเลย รู้ตัวหรือเปล่า”

            “ทำไมถึงน่ารักอย่างนี้น้า ดีใจจังที่มีก้อยเป็นเพื่อน งั้นเดี๋ยวตอนบ่าย เราไปพบครูใหญ่กัน”

            “ได้สิ”

            อนามิกาตอบตกลงด้วยรอยยิ้มกระจ่าง แต่รอยยิ้มนั้นกลับกระแทกเข้าไปในหัวใจของธารธาราอย่างจัง เพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ได้ยินจากปากของต้นตระการ...หากสิ่งที่เธอจะทำต่อไป อาจทำให้รอยยิ้มนี้หายไป เธอจะทำอย่างไร เป็นสิ่งที่เธอลำบากใจเหลือเกิน

            “มีอะไรหรือเปล่าน้ำ”

            เสียงของอนามิกาฉุดรั้งให้ธารธาราออกจากภวังค์ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าใจลอย และกำลังจะเผยพิรุธเรื่องสำคัญ จึงรีบปรับสีหน้ากลบเกลื่อน “ปละ...เปล่านี่ ไม่มีอะไร ทำไมเหรอ”

            “เห็นน้ำหน้าเครียดๆ”

            “อาจจะอารมณ์ค้างจากลูกศรแหละ” ธารธาราเฉไฉ ทั้งที่ความจริงพอได้ระบายออกไป ใจเธอก็โล่งขึ้น จนแทบจะลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อเช้าไปจนหมดสิ้น แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เมื่อนึกถึงอนุวัฒน์ขึ้นมาเธอก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้ “แล้วช่วงนี้พี่วัฒน์เป็นไงบ้าง”

            “ก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก โทร. ไปทีไร ก็บอกแต่ว่างานยุ่ง”

            “เขาทำอะไรเหรอ ถึงได้ยุ่ง” ธารธาราหยั่งเชิง อยากรู้ว่าเพื่อนรักรู้เรื่องเกี่ยวกับคนรักของตัวเองมากแค่ไหน

            “ก็ผับที่เปิดใหม่นั่นแหละ เห็นว่าลูกค้าเยอะมาก”

            “แล้วก้อยได้แวะไปที่ผับบ้างไหม”

            “ไม่เลย ก้อยไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า เคยไปแค่ครั้งเดียวตอนวันเปิด”

เป็นอย่างที่คิด มิน่าฝ่ายชายถึงได้กล้าเริงร่าโดยไม่กลัวเกรงว่าอนามิกาจะมาเห็น มือของธารธารากำแน่นโดยไม่รู้ตัว กล้าดีอย่างไร มาสวมเขาให้เพื่อนเธอ

            “ว่าแต่ ที่น้ำถามมา มีอะไรเหรอ”

            ธารธาราอยากบอกในสิ่งที่รู้มา แต่เธอคิดว่าหากบอกไปตอนนี้โดยที่ไม่มีหลักฐาน ก็จะกลายเป็นการปรักปรำและแหวกหญ้าให้งูตื่น ซึ่งนั่นอาจจะทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอนามิกาขาดสะบั้นลงก็เป็นได้ พยาบาลสาวขอโทษขอโพยเพื่อนรักในใจ แล้วหาเรื่องเฉไฉ “เปล่า ไม่มีอะไร วันไหนว่างๆ เราลองไปเที่ยวที่นั่นกันไหม”

            คำชักชวนนั้นทำให้อนามิกามองกลับมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะถามซ้ำ “นี่ก้อยได้ยินผิดไปหรือเปล่า น้ำเนี่ยนะ จะเที่ยวกลางคืน”

            ใช่ แม้เธอเองจะไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืน แต่ก็ต้องหาข้ออ้างให้สมเหตุสมผล

            “ก็อยากลองเปิดหูเปิดตาดูบ้าง เผื่อมีคณะมา ถ้าร้านพี่วัฒน์เขาดี เราจะได้พาพวกเขาไปเลี้ยงแล้วถือโอกาสขอส่วนลดไปด้วยเลย ก้อยก็รู้นี่ว่าทหารน่ะรายได้ไม่มาก แต่ก็ต้องคอยเข้าสังคม” ธารธาราเอาความเป็นจริงของทหารมาอ้าง แม้เธอจะเป็นทหารหญิง การเลี้ยงต้อนรับผู้มาดูงานจะไม่หนักเท่าทหารชาย แต่ก็มีมาบ้างประปรายเหมือนกัน

            “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ไปสิ เดี๋ยวจะขอให้พี่วัฒน์ลดให้เป็นพิเศษ” อนามิกาตอบรับโดยไม่สงสัยอะไรอีก

            “ขอบใจจ้ะ เอ...นี่ก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้วนะ ไปหาครูใหญ่กันดีกว่า”

            “ก็ดี บ่ายนี้ก้อยว่าจะเข้าไปเซ็นเอกสารที่โรงเรียนสักหน่อย ถ้าคุยไม่นาน คงกลับเข้าไปทัน”

            กล่าวจบธารธาราก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีด้วยการจ่ายค่ากาแฟให้เพื่อน ก่อนที่จะก้าวออกจากร้านเข้าไปทำธุระในกองบินต่อ

 

มนิสรณ์กลับมายังบ้านพักหลังเลิกงานด้วยอารมณ์อันหงุดหงิดถึงขีดสุด เธอถูกหัวหน้าต่อว่าเรื่องไปทำงานสายตั้งแต่วันแรกต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีความเกรงใจต่อนามสกุลอันยิ่งใหญ่ของเธอเลย

            หญิงสาวขว้างกระเป๋าใบหรูลงบนโซฟาเพื่อระบายความอัดอั้น โกรธที่ทหารอากาศยศนาวาอากาศตรีหญิงคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คอยดูเถอะ สักวันหนึ่งถึงทีเธอบ้าง เธอจะฟันไม่เลี้ยงเลยคอยดู!

            ร่างบางกระแทกตัวลงบนโซฟานุ่มอย่างเต็มแรง ในขณะที่พยายามระงับอารมณ์โกรธอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังแทรกความเงียบเข้ามา

            เมี้ยว...เมี้ยว

            ‘แมวชั้นต่ำ เสียงของมันช่างน่ารำคาญเหลือเกิน’ แต่แล้วหญิงสาวก็ชะงัก เพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ ทำไมเธอไม่ใช้โอกาสนี้กำจัดธารธาราออกไปจากบ้านเลยเสียล่ะ

            แผนการร้ายผุดขึ้นในใจทันที แต่เพื่อความแน่ใจ มนิสรณ์จึงเดินไปดูชั้นวางรองเท้า เมื่อเห็นว่าไม่มีรองเท้าสีขาวของเพื่อนร่วมบ้าน รอยยิ้มก็ผุดพรายเกิดขึ้นมาบนใบหน้า

            ร่างโปร่งระหงเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ก่อนที่จะขยับลูกบิดห้องของอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่เธอต้องการอยู่ในนั้น...ทว่าห้องล็อก

            นึกว่าจะรอดเหรอ แค่นี้ไม่พ้นมือเธอง่ายๆ หรอก

            มือเล็กถอดกิ๊บสีดำออกจากกลุ่มผม ก่อนที่จะง้างมันออกแล้วสอดเข้าไปในรูลูกบิด จากนั้นก็หมุนสองสามครั้ง จนก่อให้เกิดเสียงดังคลิกขึ้น เมื่อขยับลูกบิดอีกครั้ง จึงพบว่าตัวล็อกคลายออกแล้ว...ไม่เสียแรงที่ขอให้พ่อสอน ไม่คิดเลยว่าจะได้เอามาใช้ประโยชน์

            พอเปิดประตูได้ มนิสรณ์ก็แทรกตัวเข้าไป สิ่งที่เห็นทำให้มนิสรณ์อดทำหน้าเบ้เหยียดหยามผู้เป็นเจ้าของห้องนี้ไม่ได้ ทุกอย่างในห้องล้วนแต่เป็นข้าวของธรรมดา จะดูดีหน่อยก็ครีมบำรุง ซึ่งเป็นแบรนด์ขึ้นห้าง แต่ราคาก็แค่หลักพัน ไม่ใช่หลักหมื่นอย่างที่เธอใช้อยู่

            พอสำรวจจนหนำใจแล้ว มนิสรณ์ก็มองหาสิ่งที่ทำให้เธอเข้ามาอยู่ในห้องนี้ แล้วก็พบว่ามันกำลังนอนมองเธอตาใสอยู่บนที่นอน

            “มานี่มา”

            มันยังคงนิ่ง ทำเป็นหูทวนลมเหมือนเจ้าสุนัขโสโครกเมื่อเช้า สัตว์หน้าขนบ้านนี้เมืองนี้เป็นอะไรกันไปหมด ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเลยสักตัว

            “บอกให้มาไง!” มนิสรณ์เสียงดังขึ้น

            แมวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเกียจคร้าน ก่อนที่จะฟุบหน้าลงไปนอนต่ออย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีของเจ้าแมวขนปุยเพิ่มระดับอารมณ์โกรธให้มนิสรณ์อีกหลายเท่า แม้แต่แมวยังมาทำอวดดีใส่ เห็นทีจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว

            “จองหองนักเหรอ รู้ไว้ซะ ว่าฉันเป็นเจ้าของบ้าน ฉันบอกให้แกมาก็ต้องมา”

            มนิสรณ์เอื้อมมือไปจับแมวของเพื่อนร่วมบ้าน เมื่อถูกคว้าเข้าที่คอ ดาร์ลิงก็ร้องออกมาเสียงดังเพราะตกใจ แต่มนิสรณ์ไม่สนใจเสียงร้องนั่น ภารกิจของเธอคือเอาเล็บแหลมๆ ของมันไปข่วนข้าวของสักชิ้นเพื่อให้เสียหาย แล้วนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อกรรมการบ้านพัก ธารธาราจะได้ถูกย้ายออกไปไกลๆ จากเธอ

            พอออกมาจากห้อง เธอก็มองหาข้าวของที่ว่า ข้างล่างคือโซฟาหลุยส์ราคาเหยียบแสน หากชำรุดหรือมีตำหนิ ก็ต้องซ่อมกันเป็นหลักหมื่น

            แต่แม้ว่ามันจะไม่ได้เสียหายรุนแรงมาก เพียงแค่รอยขีดข่วน เธอก็ยังตัดใจไม่ได้ที่ของรักของหวงอย่างโซฟานั้นจะมีรอยตำหนิ

            “งั้นพรมเช็ดเท้าขนแกะแล้วกัน” มนิสรณ์กล่าวอย่างตัดใจ เพราะแม้จะเป็นแค่พรมเช็ดเท้า แต่มันก็ทอมาจากขนแกะออสเตรเลีย สนธิราคาแล้วก็ตกเป็นพัน ซึ่งหากเอาตามแผนการที่คิดไว้ คือบอกคนอื่นไปว่า ดีนะที่เธอมาเห็นก่อน ไม่งั้นทรัพย์สินชิ้นต่อไปที่มันจะข่วนอาจเป็นโซฟาด้านล่าง...

            คิดแผนเสร็จสรรพ เธอก็จับขาเล็กๆ ของมันยื่นออกไปเพื่อข่วนพรม ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าดาร์ลิงก็ดิ้นอย่างสุดแรง และในที่สุดมันก็หลุดออกจากมือของเธอ หญิงสาวพยายามคว้ามันกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคืออาการเจ็บแปลบตรงฝ่ามือ มนิสรณ์ยกมือขึ้นมามอง แล้วตาทั้งคู่ก็แทบจะถลนออกนอกเบ้า เมื่อเห็นว่ากลางฝ่ามือมีเลือดสีแดงไหลซิบๆ ออกมาจากรอยข่วน

            “ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม ไอ้แมวบ้า” เธอแผดเสียงลั่นบ้าน สงบสติอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป

            หญิงสาวมองสัตว์หน้าขนที่ตัวเองเกลียดชังด้วยความแค้น แล้วย่างสามขุมเข้าไปหามัน แต่ดูเหมือนมันจะรู้ตัว รีบวิ่งหนีลงไปด้านล่างในทันที

            “นึกว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ” มนิสรณ์ตะโกนไล่หลัง พร้อมกับวิ่งตามมันไป แต่มันก็ไวทายาด ตัวเล็กๆ ขาสั้นๆ แต่ก็สามารถกระโจนพรวดออกมานอกบ้านได้ในที่สุด แต่เพราะมันคือลูกแมวที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมในระบบปิด สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงน้อยกว่าแมวปกติ ดาร์ลิงจึงวิ่งเข้าไปจนมุมอยู่ที่ซอกของโรงจอดรถ และมันก็ตัวเล็กเกินกว่าที่จะกระโจนหนีขึ้นไปบนกำแพง

            “เสร็จฉันละ ไอ้แมวบ้า เตรียมตัวตายได้เลย” ประสบการณ์การถูกข่วนทำให้มนิสรณ์รู้ว่าควรต้องระวังอะไร หญิงสาวเอื้อมมือไปหามัน แล้วคว้าหมับเข้าที่คอ เป็นผลให้มันสิ้นฤทธิ์ทันที แรงแค้นทำให้หญิงสาวออกแรงที่ปลายนิ้ว หวังจะบีบคอมันให้ตายคามือ

            แม้ว!...แม้ว!...แม้ว!

            แม้สัตว์ตัวน้อยจะร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่มนิสรณ์กลับไม่รู้สึกถึงความน่าสงสาร เธอออกแรงมากขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกแรงจนสุดกำลัง ก็มีเสียงดังมาจากข้างหลังเสียก่อน

            “ทำอะไรน่ะลูกศร!”

            เสียงนั้นทำให้มนิสรณ์สะดุ้ง มือที่บีบคอแมวอยู่คลายออกในทันที เป็นผลให้ดาร์ลิงร่วงลงสู่พื้น และเมื่อมันตั้งหลักได้ก็วิ่งหนีไปอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้หญิงสาวก็ไม่คิดจะติดตามมันไปอีก

            มนิสรณ์หันไปตามเสียงอย่างช้าๆ ด้วยความหวาดหวั่น เมื่อกี้เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบจากการที่เธอโมโหทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ เมื่อถูกกระตุ้น อารมณ์จึงระเบิดออกไปง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีใครมาเห็นเธอในสภาพนี้...ผู้หญิงใจยักษ์ ทำร้ายได้แม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ

            แล้วเธอก็ต้องใจหายซ้ำสอง เมื่อพบว่าคนที่ร้องถามเธอคือคนที่เธอไม่อยากให้เขาเห็นข้อเสียของเธอมากที่สุด!

            เธอยิ้มให้เขาอย่างจืดเจื่อน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะไม่ทันเห็นในสิ่งที่เธอทำก็เป็นได้ “พี่นนท์ กลับมาแล้วเหรอคะ” มนิสรณ์ทักทายด้วยเสียงสดใส โปรยยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างหวังมัดใจ

            ทว่าปราณนต์กลับไม่ยิ้มตอบ แม้หน้าจะไม่บึ้งตึง แต่แววตาเหมือนกำลังไม่พอใจ และถามเธอกลับด้วยเสียงที่ค่อนข้างห้วนอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

            “เมื่อกี้ลูกศรทำอะไร”

            เขาคงเห็นแล้ว จะแก้ตัวไปก็ใช่ที่ ดังนั้นเธอจึงต้องทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นความผิดของเจ้าของแมวตัวนี้เองต่างหาก

            “ลูกศรอยากจะสั่งสอนแมวตัวนี้น่ะค่ะ มันข่วนพรมเช็ดเท้าหน้าห้องลูกศรจนขาด แถมยังข่วนลูกศรด้วย นี่ไง ดูสิคะ” มนิสรณ์โชว์บาดแผลให้ชายหนุ่มดู

            “ดาร์ลิง ทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่าลูก”

            มนิสรณ์เพิ่งเห็นว่าตอนนี้แมวตัวร้ายถูกปราณนต์อุ้มอยู่ และมันกำลังมองปราณนต์ตาแป๋ว คล้ายกับจะฟ้องเรื่องทั้งหมด

            ‘มารยา’ เธอด่ามันในใจ และรีบใส่ไฟทันที “นี่พี่นนท์รู้จักชื่อมันด้วยเหรอคะ หรือว่ามันเคยไปป่วนบ้านพี่นนท์เหมือนกัน อย่างนี้เอาไว้ไม่ได้แล้วนะคะ เดี๋ยวลูกศรคงต้องฟ้องทางกรรมการบ้านพักว่าสัตว์เลี้ยงของพี่น้ำรบกวนคนอื่น จะได้ไล่ไปทั้งคนทั้งแมว”

            “ไล่ไปทั้งคนทั้งแมวเลยเหรอ” ชายหนุ่มถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าเดิม

            แม้จะจับสังเกตได้บ้างว่าปราณนต์มีท่าทางไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรเรื่องนี้ เธอจะไม่ยอมปล่อยผ่าน เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เธอจะกำจัดธารธารา “ลูกศรดูออกค่ะว่าพี่นนท์ชอบแมว แต่ถ้าคนเป็นเจ้าของดูแลมันไม่ได้ ก็ต้องได้รับบทลงโทษ”

            “แล้วถ้าลูกศรจะให้พี่ออกจากบ้านพักของฝูง พี่ควรจะไปอยู่ที่ไหนดี”

            มนิสรณ์ตามคำพูดของปราณนต์ไม่ทัน จึงได้แต่ขมวดคิ้ว “พี่นนท์กำลังพูดถึงอะไรคะ”

            “แมวตัวนี้เป็นของพี่ ไม่ใช่ของน้ำ พี่ฝากน้ำเลี้ยงให้ ตอนที่พี่ไปฝึก”

            มนิสรณ์แทบจะตัวแข็งเป็นหินไปทันทีเมื่อรู้ความจริง แมวตัวนี้เป็นของปราณนต์ แล้วเมื่อกี้ที่เธอทำลงไปแล้วเขาเห็น โอย! ไม่น่าเลย

            แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยแก้ตัวอะไร ปราณนต์ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าเก่า

            “เรื่องพรมเช็ดเท้า พี่จะชดใช้ให้นะ แล้วพี่จะไม่ให้เจ้าดาร์ลิงไปรบกวนลูกศรอีก ขอโทษด้วยจริงๆ และถ้าลูกศรจะไปฟ้องกรรมการบ้านพัก พี่ก็ยอมรับผิด”

            สิ่งที่ได้ยินทำให้มนิสรณ์ตะลึงงันพร้อมกับครางในใจ ‘พลาดแล้ว’ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องแก้ไขสถานการณ์ “เอ่อ...ความจริงก็...ไม่เป็นไรเลยค่ะ เมื่อกี้ลูกศรแค่โกรธไปหน่อย” มนิสรณ์รีบแก้ตัวเร็วจี๋

            แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ปราณนต์ไม่ฟังเธอพูดสักนิด หมุนตัวเข้าบ้านไปพร้อมกับแมวน้อย ปล่อยให้เธอมองตามอย่างตื่นตะลึง แล้วกรีดเสียงถามตัวเองในใจ
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น