10

ตอนที่ 10


   

๑๐

 

ธารธารามองประตูที่ปิดอยู่อย่างลังเล วีรกรรมที่เธอก่อไว้เมื่อเช้าทำให้ไม่สะดวกใจที่จะพบหน้าเขาสักเท่าไร ทว่าเธอก็มีความจำเป็นที่จะต้องเอาของมาคืน ซึ่งก็คือของใช้ส่วนตัวของดาร์ลิง ลูกสาวสุดที่รักของเขานั่นเอง

            ‘วางไว้หน้าบ้านดีไหม เดี๋ยวเปิดประตูมาก็คงเห็นเอง’ หญิงสาวปรึกษาตัวเองในใจ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือไม่ดี การทำเช่นนั้นเป็นการทำแบบคนขี้ขลาด เพราะเธอทำผิดจริง ดังนั้นก็ควรจะกล้าหาญรับสารภาพ

            เป็นยังไงเป็นกัน! ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้า ยกมือขึ้นแล้วเคาะประตู

            ไม่นานนักประตูก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงในชุดบิน การเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ก่อให้เกิดความเงียบขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ธารธาราจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นก่อน

            “ฉัน...เอ่อ...อยากจะขอโทษคุณเรื่องเมื่อเช้า” พอพูดออกไปเธอก็รับรู้ถึงอาการร้อนซู่บนใบหน้า ทั้งที่อยากลืมเรื่องนั้นไปให้หมด แต่สุดท้ายเธอก็เป็นคนรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก

            “เรื่องอะไรนะ บังเอิญผมจำไม่ได้แล้วสิ” น้ำเสียงของเขาไม่เคร่งขรึม ตรงกันข้าม กลับฟังดูสบายๆ คล้ายจะขบขันเสียด้วยซ้ำ

            “ก็เรื่องที่ฉันแอบเข้าไปใช้ห้องน้ำคุณ” เธอโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้แต่ก้มหน้างุด ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำเรื่องน่าอายต่อหน้าเขาอยู่เรื่อย

            “โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร ขอโทษทำไม ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษเลย”

            “แต่ฉันทำตัวเหมือนหัวขโมย” นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึก ธารธาราเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และเธอก็เห็นว่าบัดนี้ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

            “น้ำ ฟังนะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย และคุณก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้นด้วย ใช่ไหมล่ะ”

            ใช่ เธอมีเหตุจำเป็น

            เธอพยักหน้ารับแทนคำตอบ และในตอนนั้นเอง ปราณนต์ก็คว้าหมับเข้าที่มือของเธอแล้วหย่อนอะไรบางอย่างลงมากลางฝ่ามือ ความตกใจนั้นทำให้เธอชักมือหนี ของที่เขาให้จึงนอนนิ่งอยู่ในมือของเธอเป็นที่เรียบร้อย

            พวงกุญแจรูปเครื่องบินกริพเพน?

            “อะไร” เธอถามออกมาด้วยความงุนงง

            “กุญแจไง”

            ธารธาราเหลือบมองเขาอย่างเคืองๆ เธอไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกหรอกว่ามันคืออะไร แต่โง่ตรงที่เขาเอามันให้เธอทำไมต่างหาก และเมื่อสงสัย คนอย่างเธอก็เลือกที่จะถามไปตรงๆ “แล้วทำไมถึงเอามาให้ฉัน”

            “เผื่อคุณจำเป็นต้องมาใช้ห้องน้ำอีก”

            พยาบาลสาวมองกุญแจในมืออีกครั้งด้วยอาการตกใจและแปลกใจปะปนกัน เขาใจดีจัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดว่าไม่ควรจะรับเอาไว้ เพราะเป็นการรบกวนเขาเกินไป จึงส่งกุญแจคืน แล้วบอกวิธีการที่คิดว่าจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

            “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะตื่นให้เร็วขึ้น มันคงไม่เกิดปัญหาแล้วละ”

            แต่ปราณนต์ไม่รับคืน ดันมือเธอกลับ “คุณเก็บเอาไว้เถอะ พวงนี้ผมตั้งใจปั๊มมาให้คุณ ถือว่าผมฝากไว้ก็แล้วกัน เผื่อวันไหนผมลืมกุญแจบ้าน จะได้ไปเอาจากคุณ แล้วนี่คุณเอาข้าวของดาร์ลิงมาส่งใช่ไหม” ชายหนุ่มหันไปสนใจส้วมแมวที่วางอยู่ข้างๆ ตัวเธอแทน เหมือนต้องการตัดบท

            ธารธาราไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเขาหิ้วของหนีเข้าไปในบ้านแล้ว สุดท้ายจึงต้องหย่อนลูกกุญแจใส่ลงในกระเป๋า เก็บเอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน

            “เดี๋ยวฉันช่วย” เธอกล่าวอาสา

            “งั้นก็เข้ามาก่อนสิ”

            ชายหนุ่มเปิดประตูกว้าง ธารธาราจึงฉวยเอาตะกร้าอาหารเดินตามเข้าไป

“ความจริงเรียกผมไปขนก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากขนมาเองเลย”

            “ไม่ลำบากอะไรหรอก ว่าแต่ มันอยู่ไหนแล้วละ” พยาบาลสาวมองหาเจ้าตัวดี ซึ่งเธอเห็นมันอยู่กับปราณนต์ตั้งแต่เธอกลับมาถึงบ้าน ตอนนั้นเธอยังไม่กล้าสู้หน้าเขา จึงขี่รถวนหนีไปทางอื่นก่อน เมื่อกลับมาอีกทีก็พบว่าปราณนต์พาดาร์ลิงเข้าบ้านมาแล้ว เธอจึงรีบไปเอาของในห้องนอนมาส่งคืน

            “โน่นไง นอนเป็นก้อนกลมๆ อยู่ตรงโน้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังโซฟาหนังสีน้ำตาล ซึ่งตอนนี้มีก้อนกลมๆ ซุกอยู่กับหมอนอิง

            ดูท่ามันจะอ้วนไปหน่อยแล้ว เห็นทีต้องจับมันลดน้ำหนัก ก่อนที่จะป่วย

            “ดาร์ลิง” ธารธาราเรียกมันด้วยความคิดถึง การอยู่ด้วยกันถึงหนึ่งสัปดาห์ก่อให้เกิดความผูกพันมากเหมือนกัน

            พอถูกเรียก แมวน้อยก็เพียงแต่ผงกหัวขึ้นมามอง แล้วเอนตัวนอนลงไปกับโซฟาเหมือนเดิม และแน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของทาสแมวที่เป็นฝ่ายเข้าไปหามัน หญิงสาวช้อนร่างกลมป้อมมาวางบนตักแล้วอดสัพยอกมันไม่ได้

            “เจอพ่อแล้วลืมกันเลยน้า...”

            “คุณก็เหมือนกัน เจอแมวแล้วก็ลืมผม”

            เสียงดุๆ ของ ‘พ่อ’ ทำให้ธารธาราเหลือบตาขึ้นมอง แล้วเธอก็พบว่าตัวเองเผลอวางตะกร้าไว้ตรงทางเดินนั่นเอง

            “เอ้า ตายจริง เดี๋ยวฉันไปเก็บเอง”

            เธอทำท่าจะลุก แต่คนขายาวกว่าเดินไปถึงตะกร้าแล้วถือมันไว้

            “ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง เล่นกับมันไปเถอะ”

            เมื่อปราณนต์เอาตะกร้าไปเก็บไว้หลังบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมานั่งฝั่งตรงกันข้าม “วันเสาร์นี้ว่างไหม” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น

            ธารธาราเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงงๆ และพยายามนึกถึงตารางเวรของตัวเอง โชคดีหน่อยที่ตอนนี้ส่วนใหญ่เวรของเธอเป็นช่วงเช้า เพราะกลางคืนจะใช้นายทหารพยาบาลเป็นหลัก จึงจำตารางเวรได้ค่อนข้างง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่ต้องเอาสมุดตารางเวรออกมากางดู ซึ่งเธอว่างในเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์นั้นต้องอยู่เวร

            “คิดว่าว่างนะ ทำไมเหรอ”

            “จะชวนไปห้างสักหน่อย”

            “ชวนไปห้าง?”

            เธอทวนคำชวนของเขาด้วยเสียงอันดัง และนั่นก็ทำให้เจ้าดาร์ลิงที่นอนอยู่บนตักเธอตื่นขึ้นมามองด้วยสายตาตำหนิ แต่เมื่อไม่มีมนุษย์คนไหนสนใจมัน เพราะต่างมัวแต่สนใจกันและกัน จึงฟุบหน้าลงไปนอนต่อ

            ปราณนต์มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันทีที่เห็นเธอดูตกใจขนาดนั้น

คำชวนของเขาทำให้เธออึ้ง เขาอาจจะเห็นว่าเธอบึกบึน ก็เลยชวนไปหิ้วของหรือเปล่า...แต่สำหรับเธอ ขอมโนว่านี่คือการเดต

            กรี๊ด...ตอบตกลงไปดีไหม หรือว่าเล่นตัวไปก่อน เธอจะปรึกษาใครดี เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จะได้ไปเดินห้างกับผู้ชาย

            “ว่าไง” เขาถามซ้ำ เมื่อเธอยังเงียบ

            “ไปค่ะ” ธารธาราตอบรับในทันที ไม่ต้องปรึกษาใครแล้ว เพราะหากชักช้าแล้วเขาเปลี่ยนใจ เธอคงเสียดายไปตลอดชีวิต “ว่าแต่ เราจะไปที่ห้างทำไมเหรอคะ”

            ‘ก็ไปกินข้าว ดูหนัง ตามประสาคนที่กำลังคบหาดูใจกัน’ แต่หากตอบไปอย่างนั้น เธออาจจะตกใจ ซึ่งเขาอยากให้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงหาข้ออ้างที่พอจะสมเหตุสมผล “พอดีเจ้าดาร์ลิงมันไปข่วนพรมเช็ดเท้าของลูกศรขาดน่ะ ลูกศรเลยโวยวายใหญ่ ผมก็เลยคิดว่าจะไปหาซื้อมาใช้คืนเขา แล้วคุณก็น่าจะเคยเห็นพรมนั่นว่ามันเป็นแบบไหน ก็เลยชวนคุณไป”

            “อ๋อ...” ธารธาราลากเสียงยาว เมื่อเข้าใจเหตุผลของเขา แต่แล้วตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น เมื่อจับประเด็นได้ทั้งหมด “ว่าไงนะ ดาร์ลิงไปข่วนพรมเช็ดเท้าของลูกศรขาดเหรอ!”

            “ใช่ ผมก็ไม่เห็นพรมนั่นเหมือนกันว่าเสียหายขนาดไหน แต่ดูลูกศรไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่” เสียงของปราณนต์แข็งขึ้นเล็กน้อย และอดระแวงไม่ได้ว่าหากเขามาเห็นช้ากว่าไปนั้น แมวน้อยที่เขาอุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูตอนนี้จะเป็นอย่างไร

            คำยืนยันนั้นทำให้ธารธาราตกใจยิ่งกว่าที่ปราณนต์ชวนไปห้าง เมื่อเช้าเธอจำได้ว่าล็อกห้องไว้แล้ว ทำไมดาร์ลิงถึงยังออกมาได้อีก หรืออาจเพราะเธอสติแตกจนลืมว่าล็อกทั้งที่ยังไม่ล็อกก็เป็นไปได้...พยาบาลสาวก้มลงมองแมวน้อย และเริ่มสำรวจตรวจตรา เธอรู้ว่ามนิสรณ์ไม่ได้เมตตาดาร์ลิงเท่าไรนัก และมันก็ทำให้เธอกังวล

            “แล้วลูกศรทำอะไรดาร์ลิงหรือเปล่าคะ”

            “ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นตอนมันวิ่งออกมาก่อนน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวปด เพราะกลัวว่าหากเล่าในสิ่งที่เขาเห็นแล้วจะทำให้เธอไม่สบายใจ เพราะเรื่องมันก็แล้วไปแล้ว คงต้องปล่อยให้แล้วกันไป หลังจากนี้คงต้องคอยระวังไม่ให้แมวของเธอกับเขาไปก่อความเดือดร้อนให้ใครอีก

            ธารธาราหน้าเศร้า รู้สึกผิดทั้งกับเจ้าตัวเล็กในตัก และต่อเจ้าของของมัน “ฉันผิดเองที่ดูแลมันไม่ดี ปล่อยให้มันออกมาเพ่นพ่าน ขอโทษด้วยนะคะ”

            “คุณจะขอโทษไปทำไมกัน มันก็เป็นธรรมดา เดี๋ยวเราไปซื้อมาใช้คืนก็คงจบ แล้วดูมันก็ไม่ได้เป็นอะไร ยังคงร่าเริง แล้วก็กินเก่งเหมือนเดิม”

            ธารธารารู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาปลอบใจ ซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น จึงยิ้มออกมาได้

            แล้วจู่ๆ เจ้าเหมียวน้อยก็ลุกขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่ธารธาราขยับตัวเพื่อให้ตัวเองนั่งสบายขึ้น เป็นผลให้ตักเธอเอียงไปด้านหน้า ดาร์ลิงจึงเสียหลักกลิ้งลงไป ปราณนต์ที่สังเกตเห็นก่อนจึงพุ่งตัวเข้ามารับมัน กลายเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุ ทั้งสองคนจึงชนกันเข้าอย่างจัง

            การชนกันครั้งนี้ไม่มีใครบาดเจ็บ และแทนที่ปราณนต์จะคว้าดาร์ลิงเอาไว้ได้ เขากลับได้ธารธารามาอยู่ในอ้อมกอดแทน ความใกล้ชิดชนิดที่แทบจะใช้ลมหายใจร่วมกันทำให้ใจของหนุ่มสาวเต้นแรง แก้มสีน้ำผึ้งของเธอกลายเป็นสีพีชนวลลออน่ามอง ส่วนชายหนุ่มยามเมื่อได้กลิ่นแชมพูจากกลุ่มผมนุ่ม ก็ทำให้เขาเกือบจะก้มลงเอาจมูกไปสัมผัส แต่โชคดีที่ธารธาราได้สติก่อน รีบขยับออกจากวงแขนของเขา

แม้จะแสนเสียดาย แต่ปราณนต์ก็ยอมถอยห่างอย่างรวดเร็ว เพราะอย่างไรเขาก็คิดว่าเกียรติของเธอคิดสิ่งที่สำคัญ “ขอโทษ เจ็บไหม” เขาเอ่ยถาม หลังจากขยับมาพิงขาโซฟา แสร้งทำท่าปกติ ทั้งที่ตอนนี้ความรู้สึกแปลกประหลาดกำลังเข้ามาคุกคามในจิตใจ

            เธอส่ายหน้า ก่อนจะบอกออกมาเสียงเบา “ฉันว่า ใกล้จะมืดแล้ว ฉันกลับก่อนดีกว่า”

            “อืม เดี๋ยวผมไปส่ง”

            “ไม่เป็นไร” ธารธาราปฏิเสธเร็วจี๋ แล้วรีบลุกขึ้น จากนั้นก็ซอยเท้าเร็วๆ เดินหนีไป

            ปราณนต์ยิ้มออกมากับท่าทางกระต่ายตื่นตูมของเธอ ก่อนที่จะหันไปคว้าเจ้าแมวตัวดีมากอด พลางขอบคุณ ที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดเธอขึ้นมาอีกนิด

            เมี้ยว!

            ดาร์ลิงร้องออกมา มองตามธารธาราตาปรอย สื่อความหมายคล้ายว่าอยากจะเดินตามเธอออกไป ปราณนต์จึงรั้งไว้แล้วลูบหัวมันด้วยความรัก ก่อนจะกล่าวปลอบ “ตามแม่เขาไปไม่ได้หรอกลูก บ้านนั้นมีคนใจร้าย”

            แมวน้อยซุกมือเขาเหมือนว่าฟังกันรู้เรื่อง และนั่นก็ทำให้เขากล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “เอางี้สิ ดาร์ลิงก็ไปบอกแม่นะว่าให้มาอยู่บ้านเรา เราจะได้อยู่ด้วยกันไง”

            เสียงที่ตอบรับกลับมาก็คือ...เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว

            ปราณนต์ขยี้หัวเจ้าดาร์ลิงอย่างเอ็นดู นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหากวันหนึ่งเขามีเพื่อนร่วมบ้านชื่อธารธารา ความรู้สึกจะเป็นอย่างไร

           

ตอนดึกปราณนต์ก็ได้มีโอกาสรับแขกอีกครั้ง แต่แขกคนนั้นไม่ใช่คนที่เขาประสงค์เจอเท่าไรนัก ซึ่งเมื่อเปิดประตูออกไปแล้ว จะขับไล่ไสส่งก็ใช่ที่ จึงต้องเอ่ยปากทักทาย

            “อ้าว ลูกศร”

            มนิสรณ์ปรากฏตัวในสภาพที่ดูไม่ค่อยโอเคนัก เนื้อตัวของหญิงสาวบางส่วนเปียกปอนจากน้ำฝน ใบหน้าค่อนข้างเศร้าหมอง หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างเว้าวอน “ลูกศรขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ”

            แน่นอนว่าท่าทางเช่นนั้นทำให้ผู้ชายหลายคนใจอ่อน และต้องเปิดประตูให้เธอในทันที แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ชายที่ค่อนข้างระวังในการวางตัวอย่างปราณนต์ ที่ถูกฝึกฝนเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังวัยรุ่น เขาถูกสอนมาให้วางตัวชัดเจน และเป็นสุภาพบุรุษในการคบหาเพศตรงข้าม

            “พี่ว่ามันดึกแล้ว ใครมาเห็นคงไม่ดี ลูกศรมีธุระอะไรกับพี่หรือครับ” ปราณนต์กล่าวปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมที่สุด และยกเหตุผลอันน่าเชื่อถือมาอ้าง

            “คือ...ลูกศรรู้สึกผิดกับแมวตัวนั้น ก็เลยอยากมาดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้างน่ะค่ะ”

            “มันไม่เป็นอะไรหรอก แล้วตอนนี้มันก็หลับอยู่บนห้องนอนของพี่”

            มนิสรณ์ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นข้ออ้างของปราณนต์หรือว่าเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่ผู้หญิงสวยและรู้จักผู้ชายมามากอย่างเธอรู้ในตอนนี้คือ ผู้ชายคนนี้ไม่ง่าย

            ไม่ง่ายก็ดี...ยิ่งท้าทาย และเธอก็รู้อีกว่าวันนี้ควรรุกเขาแค่นี้พอ “งั้นพี่นนท์ช่วยรับนี่เอาไว้หน่อยได้ไหมคะ” กล่าวจบเธอก็ยื่นถุงพลาสติกใบใหญ่ให้

            ปราณนต์มองมา แต่ยังไม่ยอมรับไป “อะไรเหรอครับ”

            “อาหารแมวค่ะ ลูกศรขับรถไปซื้อในเมือง หวังจะเอามาไถ่โทษมัน” เธอแสร้งทำเสียงเศร้าที่สุดเพื่อให้สมบทบาทของคนที่กำลังสำนึกผิด

            ปราณนต์อดจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ แม้เขาจะไม่ได้คล้อยตาม แต่ก็คิดว่าควรจะรับไว้ อย่างน้อยมันจะได้จบเรื่องไป ไม่อย่างนั้นหากใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจะดูไม่ดีที่เห็นว่าเขากับเธออยู่กันตามลำพังยามดึก

            “คราวหลังไม่ต้องก็ได้นะครับ” นักบินหนุ่มกล่าว หลังจากรับถุงไปถือไว้

            “ไม่เป็นไรค่ะ นี่ยังน้อยไปสำหรับสิ่งที่ลูกศรทำ ลูกศรไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ พี่นนท์ช่วยยกโทษให้ลูกศรด้วยนะ”

            “พี่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร” ชายหนุ่มกล่าวออกมาตามจริง แม้เขาจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเคือง เพราะแมวของเขาก็ไปทำความเดือดร้อนให้อีกฝ่ายจริงๆ “พี่เองก็ผิด เรื่องพรมเช็ดเท้า พี่จะหาซื้อมาคืนให้นะ”

            “เรื่องนั้น ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

            “ไม่ได้หรอกครับ ยังไงพี่ก็ต้องรับผิดชอบ”

            “งั้นพี่นนท์คงต้องไปซื้อถึงที่ออสเตรเลียแล้วละค่ะ เมืองไทยคงไม่มีขาย ว่างๆ เราไปเที่ยวที่นั่นกันเลยดีไหมคะ บรรยากาศดีมากเลยนะ ลูกศรชอบ”

            ปราณนต์ถึงกับอึ้งไปกับคำชวน และนั่นก็ทำให้มนิสรณ์หัวเราะออกมาเบาๆ

            “แหม พี่นนท์ก็...ลูกศรล้อเล่นน่ะค่ะ แค่พรมเช็ดเท้าผืนเดียว คงไม่ต้องไปถึงออสเตรเลียหรอกค่ะ เลี้ยงข้าวลูกศรสักมื้อก็พอ ได้ไหมคะ”

            “เอาอย่างงั้นก็ได้ครับ” ในที่สุดปราณนต์ก็ตกลง เพราะเขาคิดว่าการหาพรมเช็ดเท้าที่เหมือนของเดิมจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย

            มนิสรณ์ยิ้มอย่างแจ่มใสในทันที แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็หายไป เมื่อชายหนุ่มกล่าวประโยคต่อมา

            “มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ พอดีพี่มีงานทำค้างไว้อยู่”

            “ไม่...ไม่แล้วค่ะ” เมื่อสุดจะรั้ง มนิสรณ์ก็ต้องยอมปล่อย และปลอบใจตัวเองว่า โอกาสยังมีอีกหลายหน

            ชายหนุ่มยิ้มให้ตามมารยาท ก่อนจะกล่าวลา “งั้นพี่ขอตัวนะครับ”

            “ค่ะ” มนิสรณ์กล่าวเสียงเบา เดินกลับบ้านโดยที่ในใจยังขุ่นเคือง

 

ในที่สุดวันนัดหมายก็มาถึง ธารธาราไม่อยากสารภาพเลยว่าเมื่อคืนเธอนอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้น คนอย่างเธอไม่เคยออกไปไหนกับผู้ชายสองต่อสอง โดยเฉพาะกับหนุ่มฮอตปรอทแตกแบบเขา แม้ว่าจะเป็นการออกไปซื้อของกันธรรมดาก็เถอะ

            และเมื่อทนฝืนนอนต่อไปไม่ไหว ธารธาราก็ลุกขึ้น สิ่งแรกที่ทำในวันนี้ไม่ใช่การออกกำลังกาย แต่เป็นการส่องตู้เสื้อผ้า ซึ่งก็มีเสื้อผ้าอัดอยู่เต็มตู้ แต่นั่นละ สำหรับผู้หญิง ในวันสำคัญแบบนี้มักจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่สวมแล้วมั่นใจ

            ธารธาราหยิบเสื้อผ้าออกมาสามถึงสี่ชุด ซึ่งทั้งหมดเป็นชุดตัวเก่ง แต่เธอก็ยังไม่คิดว่ามีชุดไหนเหมาะสมสำหรับสวมในวันนี้ เธอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนใจ อดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้หญิงที่อยู่ห้องตรงห้องไม่ได้ หากเป็นมนิสรณ์ คงไม่ต้องมาลำบากเรื่องนี้ แต่พอคิดอีกที หากเธอต้องอาบน้ำแต่งตัวครั้งละเกือบครึ่งชั่วโมงก็คงไม่ไหว เอาเวลาพวกนั้นไปหาอะไรกินน่าจะมีความสุขกว่า

            สุดท้ายธารธาราก็เลือกหยิบเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน กับเสื้อแขนยาวลายตัววีสีส้มดำที่ตัดจากผ้าโพลีเอสเตอร์มาเทียบกันว่าสองตัวนี้ หากสวมกับยีนเดนิมแล้ว ตัวไหนจะเข้ามากกว่ากัน

            แต่ระหว่างที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของเธอก็ส่งเสียงดังขึ้น สงสัยเหลือเกินว่าใครโทร. มาหาแต่เช้า และเมื่อเห็นชื่อที่โชว์ขึ้นหน้าจอ เธอก็รีบรับสายในทันที

            “ฮัลโหลก้อย” หลังเธอกรอกเสียงลงไป ปลายสายก็เงียบ จนธารธาราไม่แน่ใจว่าฝั่งเธอมีปัญหาเรื่องสัญญาณหรือเปล่า เพราะกองบินแห่งนี้มีปัญหาเรื่องนี้เป็นประจำ จึงเรียกเพื่อนสนิทอีกครั้ง “ก้อย ยังอยู่หรือเปล่า”

            คราวนี้เสียงตอบรับเป็นเสียงสะอื้นไห้ปิ่มจะขาดใจกลับมา “น้ำ...ฮือ...ฮือ...”

            เสียงร้องไห้นั้นทำเอาธารธารารู้สึกเย็นวาบไปตลอดแนวสันหลัง อนามิการ้องไห้ขนาดนี้ ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ จึงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นก้อย!”

            “พี่วัฒน์...พี่วัฒน์มีคนอื่น พี่วัฒน์นอกใจก้อย”

ธารธาราแทบจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่ใช่เพราะชอบเห็นเพื่อนเสียใจ แต่หากเทียบกันแล้ว ข่าวร้ายนี้ยังมีข่าวดีซ่อนอยู่ ในที่สุดอนามิกาก็หูตาสว่างสักที เพราะหากรอให้เธอรวบรวมความกล้าบอกความจริงด้วยภาพถ่ายในเรื่องนี้ บางทีทุกอย่างอาจจะสายเกินไป

            “ก้อย ทำใจดีๆ ไว้นะ” พยาบาลสาวปลอบเพื่อน แม้จะรู้ว่ามันยากมากก็ตาม อนามิกากับอนุวัฒน์คบกันมานาน จึงต้องมีความรักความผูกพันต่อกันมากเป็นธรรมดา อีกทั้งการคบหากันของทั้งคู่ ก็มีคนรู้กันทั้งจังหวัด จะว่าไปมันก็เหมือนเป็นการผนวกธุรกิจของสองครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน เมื่อทั้งสองมีเรื่องแตกร้าว ก็น่าจะส่งผลถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายด้วย

            “ก้อย...ก้อยไม่รู้จะทำยังไงดี ก้อยไม่รู้จะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ยังไง คุณแม่เพิ่งไปดูฤกษ์แต่งงานมาด้วยเมื่อวาน” อนามิกาพูดไปก็สะอื้นไปอย่างน่าสงสาร

            ธารธาราถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เรื่องนั้นเธอไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอย่างไร แต่สิ่งที่เธอรู้ในเวลานี้ คือเธอควรไปอยู่เคียงข้างเพื่อน อย่างน้อยอนามิกาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป “ตอนนี้ก้อยอยู่ไหน”

            “อยู่ที่บ้าน”

            “งั้นรอน้ำที่บ้านนะ เดี๋ยวน้ำไปหา” ธารธาราตัดสินใจในทันที ก่อนจะวิ่งปรู๊ดลงไปด้านล่างเพื่ออาบน้ำ จากนั้นก็หยิบเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนตัวโปรดสวมอย่างรวดเร็ว คว้ากระเป๋าถือแล้ววิ่งออกจากบ้านไป โดยเดินทางไปรอรถสวัสดิการของทางกองบินเพื่อเข้าเมือง

 

ธารธาราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง รถสวัสดิการกองบินที่เธอโดยสารก็มาจอดอยู่หน้าโรงเรียนชื่อดังของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนสตรีล้วน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสหศึกษา แต่คนส่วนใหญ่ยังชินในการเรียกที่นี่ว่า ‘โรงเรียนสตรี’ ที่เธอเลือกมาลงรถที่นี่เพราะสามารถหารถต่อไปยังบ้านอนามิกาได้ง่ายกว่าจุดอื่น

            และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอยืนอยู่ริมฟุตพาท ก็มีรถสองแถวขนาดเล็ก หรือว่ารถตุ๊กตุ๊กมาจอดเทียบ

“จะไปไหน” คนขับตะโกนถาม

            “ไปแถวเกาะลำพูค่ะอา” ธารธาราบอกถึงจุดหมายปลายทาง

            “แถวนั้น ต้องเหมาไปนะ”

            ความจริงเกาะลำพูไม่ได้ไกลจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ห่างจากศาลหลักเมืองไปเพียงสองถึงสามกิโลเมตรเท่านั้น แต่ต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำตาปีไป และยังเป็นบริเวณที่ยังไม่มีหมู่บ้านจัดสรรมากนัก คนจึงน้อย ดังนั้นเมื่อรถโดยสารไปส่งคนแล้วตีรถเปล่ากลับมาจึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า คนขับรถเลยต้องเผื่อตรงนี้เอาไว้ด้วย ซึ่งธารธาราไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้ เธอจึงตอบตกลง

            “อ๋อ ได้ค่ะ”

            “งั้นก็ขึ้นมาเลย”

            ธารธาราขึ้นรถในทันที ตอนนี้ใจเธออยู่ที่บ้านของอนามิกาแล้ว รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนจับใจ อยากไปให้ถึงในนาทีนี้เลย

โชคดีที่แม้สุราษฎร์ธานีจะเป็นเมืองใหญ่พอตัว แต่การจราจรยังถือว่าคล่องตัวอยู่มาก เพียงแค่สิบนาที ธารธาราก็มาถึงบริเวณหน้าบ้านของอนามิกา ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น บนพื้นที่กว่าสองไร่ ด้านหน้ามีรั้วรอบขอบชิด ป้องกันสายตาจากคนภายนอก ส่วนด้านหลังนั้นติดกับแม่น้ำตาปี ซึ่งแน่นอนว่าทั้งบ้านและที่ดิน รวมราคาแล้วมีมูลค่ามากพอดู

ธารธาราเดินลงจากรถแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าโดยสาร ระหว่างที่กำลังหาแบงก์ย่อย ก็ได้ยินเสียงคนขับตุ๊กตุ๊กถามขึ้นเหมือนจะชวนคุย

            “บ้านนี้เหรอ”

            “ค่ะ”

            “เป็นอะไรกับเจ้าของบ้านนี้ล่ะ”

            สำหรับธารธารา ไม่ถือว่าเป็นการละลาบละล้วง เธอเคยชินกับนิสัยของคนต่างจังหวัด ที่อยากรู้อะไรก็มักจะถามตรงๆ ผิดกับคนเมืองที่อมพะนำไว้ แล้วไปถามเอากับคนอื่น ซึ่งข้อมูลที่ได้ มักจริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป “เป็นเพื่อนลูกสาวเขาค่ะ”

            “อ๋อ ลูกสาวที่จะแต่งงานกับลูกชายของเสี่ยโอฬารน่ะเหรอ”

            คำกล่าวนั้นทำเอาธารธาราอึ้งไปชั่วอึดใจ ดูท่าอนามิกาจะลำบากแล้วหากเลิกกับอนุวัฒน์จริงๆ เพราะแม้แต่คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ยังรู้เรื่องนี้

            “เอ่อ...ค่ะ” เธอตอบรับไปแบบแกนๆ เพราะบ้านนี้มีลูกสาวคนเดียว “หนูไม่มีเศษเลยค่ะลุง ให้ลุงร้อยหนึ่งไปเลย ไม่ต้องทอนนะ” ธารธาราตัดบท ก่อนที่อีกฝ่ายจะเซ้าซี้ไปมากกว่านี้ จากนั้นเธอก็เดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน รออยู่ชั่วอึดใจ คนทำงานบ้านก็วิ่งมาเปิดประตูให้ แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงตัวบ้าน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นเคย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กดรับ ถ้าเป็นพวกบัตรเครดิต หรือบริษัทประกันชีวิต เธอค่อยบอกปัดไป “สวัสดีค่ะ”

            “น้ำ ผมนนท์นะ”

            เสียงทุ้มที่ตอบกลับมาทำให้หัวใจเธอแทบจะหยุดเต้น แย่แล้ว เธอลืมโทร. บอกเขาว่ามีธุระด่วน จริงๆ ก็ไม่ได้ลืมหรอก แต่เธอยังไม่มีเบอร์เขา กะว่ามาหาอนามิกาก่อน แล้วค่อยโทร. ไปขอจากต้นตระการ แต่เขากลับโทร. มาหาเสียก่อน

            “ค่ะ” เสียงที่ตอบกลับไปเบากว่าปกติ กำลังคิดว่าจะขอโทษเขาอย่างไรดี หรือบางทีเขาอาจจะโทร. มาเพื่อขอยกเลิกนัดก็เป็นได้ เพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมงครึ่งเท่านั้น ยังไม่ถึงเวลานัดสักหน่อย เธอจึงรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร

            “คุณเสร็จหรือยัง ผมเสร็จแล้ว กำลังรอคุณอยู่ในบ้าน”

            ‘รวดเร็วสมเป็นนักบินจริงๆ เลยพ่อคุณ’ และนั่นก็ยิ่งทำให้ธารธารารู้สึกผิด จึงบอกเขาไปเสียงอ่อย “ฉัน...ฉันขอโทษ พอดีมีธุระด่วน เลยเข้าเมืองมาก่อน”

            เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงอันรื่นเริงเหมือนเดิม “อีกนานไหม กว่าคุณจะเสร็จธุระ”

            “ไม่รู้เหมือนกัน คงอีกพักใหญ่ๆ เราเลื่อนนัดได้ไหม” ธารธารากลั้นใจพูด เธอไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่เมื่อต้องเลือก เธอก็พบว่าตอนนี้เพื่อนสนิทต้องการเธอยิ่งกว่าใคร

            “ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ต้องไปซื้อของที่ห้างนั่นอยู่แล้ว เอางี้ เดี๋ยวผมไปรอที่ห้าง ถ้าคุณเสร็จธุระ คุณก็ตามมาแล้วกัน”

            “เอ่อ...ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเสร็จธุระเมื่อไหร่ อย่ารอเลยค่ะ” เธอกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

            “ไม่เป็นไร ผมดื่มกาแฟนาน ถ้าเสร็จธุระแล้วก็ค่อยตามมานะ”

            และก่อนที่เธอจะพูดอะไร ปราณนต์ก็ตัดสายไปเสียก่อน ธารธาราจึงได้แต่มองโทรศัพท์มือถือด้วยความรู้สึกผิด และคิดว่าเธอได้พลาดโอกาสเที่ยวห้างกับหนุ่มฮอตไปเรียบร้อยแล้ว
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น