11

ตอนที่ 11


     

๑๑

 

บ้านของอนามิกาหรูหราสมฐานะ เป็นบ้านริมน้ำสไตล์โมเดิร์น แม้จะสร้างมาเกือบยี่สิบปีแต่ก็ยังดูทันสมัยด้วยห้องกระจกสี่เหลี่ยมด้านหน้า ทาด้วยสีขาวตัดกับสีน้ำตาลเข้ม อันเป็นสีคลาสสิกที่ดูดีตลอดกาล ส่วนด้านข้างเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว มุมสระด้านหนึ่งปลูกต้นลีลาวดีเอาไว้ ให้บรรยากาศคล้ายๆ รีสอร์ต

ถึงแม้ที่นี่จะใหญ่โตหรูหรา แตกต่างจากบ้านสวนของเธออย่างสิ้นเชิง แต่ธารธาราก็รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ก้าวเข้ามา เพราะอุราวรรณแม่ของอนามิกานั้นให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี ตอนเด็กๆ เมื่อท่านรู้ว่าเธออยู่หอ ก็เคยชวนให้เธอมาพักอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ แต่เธอปฏิเสธไป เพราะดูจะเป็นการรบกวนมากเกิน จึงแวะเวียนมาค้างแค่ช่วงทำงานกลุ่ม หรือติวหนังสือเท่านั้น

แม่บ้านพาเธอเดินล่วงเข้าสู่ประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งเป็นโซนห้องรับแขกของบ้าน แม้เธอจะไม่ได้มาที่นี่นานกว่าห้าปี แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม

            “สวัสดีค่ะคุณแม่” เธอยกมือไหว้อุราวรรณทันทีที่เจอหน้า วันนี้แม่ของเพื่อนอยู่ในชุดเดรสสีดำ ดูภูมิฐานแม้ว่าวัยจะมากขึ้น แต่ธารธารากลับรู้สึกว่าอุราวรรณไม่ได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ในทางกลับกัน ภรรยาอดีต ส.ส. ผู้นี้ กลับดูสง่ามีราศีจับอย่างหาตัวได้ยาก

            “อ้าวน้ำ มายังไงล่ะลูก” อุราวรรณทักเธอกลับ สายตายังเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูเหมือนวันวาน

            “มารถตุ๊กตุ๊กค่ะแม่ แล้วก้อยล่ะคะ” เธอถามหาเพื่อนสนิททันทีเมื่อไม่เห็นเจ้าตัว

            “อยู่ข้างบนแน่ะ เช้านี้ยังไม่ลงมาเลย แม่เคาะเรียกก็ไม่ยอมตอบ มีเรื่องอะไรกันเหรอลูก” อุราวรรณถามด้วยความสงสัย เพราะตนเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ปกติแม้จะเป็นวันหยุด อนามิกาก็ไม่เคยออกจากห้องหลังเวลาแปดโมงครึ่ง แต่นี่เป็นเวลาเก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว เมื่อเธอไปเคาะ เจ้าตัวก็บอกว่าขอนอนต่อ ถามว่าไม่สบายหรือเปล่า ก็ไม่ตอบ การที่ธารธารามาปรากฏตัวในเช้านี้จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าลูกสาวจะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สบายใจอย่างรุนแรง

            ธารธาราลังเล แต่เธออยากให้อนามิกาเป็นคนบอกเรื่องนี้เอง จึงตอบเลี่ยงไป “รอให้ก้อยเล่าให้ฟังเองดีกว่าค่ะ”

            “เรื่องร้ายเหรอจ๊ะ!?” น้ำเสียงของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยความตกใจและกังวล พลางมองขึ้นไปยังชั้นสองที่ลูกสาวเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง

            “ก็ไม่เชิงค่ะคุณแม่ แต่สำหรับน้ำ น้ำว่าการที่ก้อยได้รู้เรื่องนี้ มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับก้อยค่ะ” เพราะค่อนข้างสนิทสนมกับแม่เพื่อน ธารธาราจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดและเสแสร้งใดๆ เธอตอบไปตามความรู้สึกอันแท้จริง และคิดว่าหากอุราวรรณทราบเรื่อง ก็น่าจะเห็นด้วยกับเธอ

            “เรื่องวัฒน์เหรอลูก”

            กลายเป็นธารธาราที่เป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คุณแม่รู้แล้วเหรอคะ”

            อุราวรรณพยักหน้า “ก็พอรู้มาบ้าง แต่ยังไม่ละเอียดเท่าไหร่ ว่าจะรอคุณพ่อกลับมาแล้วค่อยปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ ควรบอกหรือไม่ควรบอกก้อยดี แต่ตอนนี้ก้อยคงรู้แล้วสินะ”

            “น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะคุณแม่”

            “งั้นก็ขึ้นไปเถอะ แม่ฝากก้อยด้วยนะลูก แม่จะไปคุยเองก็คงไม่เข้าใจกันเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน”

            ธารธารายิ้ม เธอชอบอุราวรรณมากกว่าแม่ของเพื่อนคนอื่นๆ ตรงนี้ ตั้งแต่เด็กมา อุราวรรณเป็นแม่ที่เข้าใจลูกเสมอ คอยดูแลในทุกเรื่อง แต่ก็ให้อิสระทางความคิด รวมถึงการคบเพื่อน ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ซึ่งก็ทำให้อนามิกาเติบโตมาเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม ทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิด ไม่ติดอยู่ในกรอบอย่างลูกคุณหนูทั่วไป

            “คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ น้ำจะดูแลก้อยเอง” ธารธารารับปาก ก่อนจะก้าวขึ้นไปยังชั้นสอง และตรงไปยังห้องนอนของอนามิกาโดยไม่ต้องมีใครบอกทาง

            ธารธารามาหยุดยืนตรงประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ พยายามเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวภายใน แต่ก็พบว่าห้องยังคงเงียบ จึงยกมือขึ้นมาแล้วเคาะเบาๆ ก่อนที่จะบอกให้คนข้างในรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว

            “ก้อย น้ำเอง” พอเธอบอกไปอย่างนั้น ก็ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูมาจากด้านใน แต่เจ้าของห้องยังไม่ยอมออกมา ธารธาราจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วสิ่งที่เธอเห็นก็ทำให้ตกใจ และสงสารปะปนกันจนไม่อาจหาคำไหนมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้

            อนามิกา ผู้หญิงที่มีรอยยิ้มสดใสเสมอ ในวันนี้กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ผมยาวที่ปกติจะถูกจัดทรงอย่างดียุ่งเหยิง และที่สำคัญ เพื่อนรักยังอยู่ในชุดนอน เหมือนกับว่าหลังจากตื่นนอนมาก็เอาแต่ร้องไห้โดยไม่ทำอย่างอื่นเลย

            ทันทีที่เห็นหน้าเธอ อนามิกาก็โผเข้าหา ซบหน้าลงกับบ่าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ

            แม้ธารธาราจะไม่เคยรู้ว่าอาการอกหักเป็นอย่างไร แต่จากอาการที่อนามิกาแสดงออกมา ก็ทำให้เธอรู้ว่า ตอนนี้เพื่อนกำลังเจ็บปวดอย่างสาหัส ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้คือโอบกอดเพื่อนไว้ด้วยความรัก เพื่อจะบอกว่าเธอพร้อมที่จะเคียงข้าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

            หญิงสาวกอดจนอนามิกาเลิกร้องไห้ และสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว พยาบาลสาวพาอีกฝ่ายไปนั่งที่เตียง และเริ่มซักถามเรื่องราวความเป็นมา “เกิดอะไรขึ้นก้อย”

            อนามิการ้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังรุ่นล่าสุดของตนเองมายื่นให้เธอแทน “มี...มี...คน...ส่งนี่มา” อนามิกากล่าวพร้อมกับสะอื้น

            และมันก็ทำให้ธารธาราสงสัยว่า ‘นี่’ ของอนามิกาคืออะไร

            เมื่อธารธาราก้มลงมองโทรศัพท์ แล้วก็ต้องหลับตาปี๋ มันเป็นคลิปวิดีโอที่เรียกว่าอนาจารขั้นสุดยอด ไม่ต่างจากหนังเอกซ์ที่ขายเกลื่อนในตลาดมืด และที่สำคัญกว่านั้น อนุวัฒน์คือพระเอกของเรื่อง

            “ใครส่งมาให้ก้อย” ธารธาราถามเสียงเบาหวิว ใจเธอหวาดระแวงว่าจะเป็นต้นตระการ เพราะฝ่ายนั้นดูกระตือรือร้น อยากจะให้อนามิการู้ความจริงในข้อนี้มาก ถ้าหากใช่ เธอจะโทร. ไปด่าเดี๋ยวนี้ เพราะการทำอย่างนี้ทำร้ายจิตใจอนามิกามากจนเกินไป

            “ผู้หญิงของพี่วัฒน์”

            ไอ้ต้นรอด...แต่คำตอบของอนามิกาก็ทำให้ธารธาราประหลาดใจ

            “หือ? ผู้หญิงของพี่วัฒน์เหรอ เฮ้ย ไม่กลัวก้อยเอาไปลงในโซเชียลหรือไง นี่ถ้าเอาลงนะ ดังแน่”

            “เขาคงรู้ว่าก้อยไม่ทำ” อนามิกากล่าวเสียงเบา

            ธารธาราพยักหน้า อย่าว่าแต่ผู้หญิงที่ดีแสนดีอย่างอนามิกาเลย หากเธอมาเจอแบบนี้ ก็คงไม่กล้าเอาลงโซเชียลหรอก เพราะเห็นแก่เด็กๆ หากต้องมาเห็นความเสื่อมทรามแบบนี้ในโลกออนไลน์

            “แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนี้” ธารธาราอดสงสัยไม่ได้ เพราะเท่าที่เธอรู้จากต้นตระการ อนุวัฒน์คบกับผู้หญิงคนนี้มาเป็นปี ดังนั้นหากอยากได้อนุวัฒน์ไปเป็นของตัวเอง ก็ควรทำมาตั้งนานแล้ว

            “อาจเป็นเพราะรู้ว่าก้อยกับพี่วัฒน์ได้ฤกษ์แต่งงานมาแล้ว”

            ใช่ เมื่อเช้าอนามิกาบอกเธอหนหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นมัวตกใจอยู่ก็เลยจำไม่ได้ พอตอนนี้ได้ยินอีกครั้ง จึงหันไปมองเพื่อนอย่างสงสาร “แล้วก้อยจะทำยังไงต่อ”

            “ก้อยจะเลิก”

            แม้เสียงนั้นจะเบา แต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง ซึ่งธารธารารู้ว่าอนามิกาเอาจริง

            “คิดดีแล้วเหรอ” เธอถามย้ำ แม้จะชิงชังผู้ชายเจ้าชู้อย่างอนุวัฒน์ แต่ก็ยังเสียดายวันเวลาและความสัมพันธ์ระหว่างอนุวัฒน์กับอนามิกาในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่อยากให้เพื่อนตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ อยากให้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำอะไรลงไป

            พอเธอถามไปอย่างนั้น อนามิกาก็คร่ำครวญออกมาอีกครั้ง “ก้อยทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆ นะน้ำ แต่ก็ติดที่คุณพ่อกับคุณแม่ของทั้งทางก้อยและพี่วัฒน์ ก้อยจะทำยังไงดี มันมืดไปหมด”

            ธารธาราเอื้อมไปกอดเพื่อนอีกครั้ง ตบไหล่เบาๆ เพื่อปลอบประโลม “ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดนะ”

            “ฮือ...ฮือ ทำไมต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับก้อยด้วย”

            ธารธาราไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากกอดเพื่อนแน่นขึ้น เพราะเชื่อว่าในวันที่เราอ่อนแอที่สุด หากมีสักหนึ่งกำลังใจก็จะช่วยให้เราก้าวผ่านไปได้ ซึ่งเธอจะเป็นกำลังใจนั้นให้เพื่อนเอง

 

ธารธาราอยู่กับอนามิกาตลอดทั้งวัน พอตกเย็นอาการของอนามิกาก็เริ่มดีขึ้น แม้จะไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้เห็น อีกอย่างหนึ่งที่ธารธาราสบายใจคืออนามิกามีแรงสนับสนุนค่อนข้างดี หญิงสาวโตมาในครอบครัวอบอุ่น สภาพแวดล้อมดี มีคนรักมากมาย ดังนั้นเมื่อผิดหวัง ก็ยังมีความสุขด้านอื่นๆ มาชดเชยให้ จึงไม่น่าจะนำไปสู่การคิดสั้น หรือทำร้ายตัวเอง

เพราะวันพรุ่งนี้ต้องอยู่เวรและไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วย ธารธาราจึงคิดว่าตัวเองน่าจะกลับบ้าน หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอุไรวรรณคอยปลอบลูกสาว ไม่ว่าอย่างไร เธอก็เชื่อว่าครอบครัวคือสถาบันที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้มนุษย์ได้มากที่สุด

“น้ำ กินข้าวก่อนกลับเถอะ” อนามิกาเอ่ยชวน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว

“ไม่ ก้อยไม่กินแล้วน้ำจะกินได้ยังไง”

“ท้องไม่ได้ติดกันสักหน่อย” ผู้เป็นบุตรเจ้าของบ้านบ่นอุบอิบ

ธารธารามองเพื่อนอย่างเป็นห่วง เธอเข้าใจดีว่าตอนนี้อนามิกาอยู่ในอารมณ์เศร้า แต่เธอก็คิดว่าอนามิกาไม่ควรทรมานตัวเองด้วยการไม่กินอะไรเลย เพราะจะทำให้ร่างกายทรุดลงไปด้วย เธอจึงใช้ตัวเองเพื่อต่อรอง “ไม่รู้แหละ เพื่อนไม่กิน น้ำก็กินไม่ลง”

อนามิกาหันมามองด้วยแววตาซาบซึ้ง ในที่สุดก็พยักหน้าให้ “โอเค งั้นก้อยจะกินด้วย”

“ดีมาก” ธารธาราร้องออกมาอย่างยินดี ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “งั้นเดี๋ยวน้ำไปบอกเด็กนะ ไปกินที่ระเบียงก็แล้วกัน บรรยากาศดีๆ จะได้ช่วยให้เจริญอาหาร”

“อื้ม”

หลังจากอนามิกาตอบตกลง ธารธาราก็ลงไปบอกเด็กด้านล่าง ไม่นานอาหารง่ายๆ แต่หน้าตาน่ากินด้วยฝีมือของอุราวรรณก็ถูกนำมาเสิร์ฟถึงเตียงลูกสาว

อนามิกากินได้สี่ถึงห้าคำก็วางช้อนลง ซึ่งสำหรับธารธาราก็พบว่าดีมากแล้ว เธอจึงไม่คะยั้นคะยอให้เพื่อนกินต่อ ส่วนตัวเธอเองก็วางช้อนลงเช่นกัน เพราะท่าทางของเพื่อนทำให้เธอตื้อขึ้นมาที่อกจนกินอะไรไม่ลง

ในที่สุดถาดอาหารก็ถูกยกลงไปด้านล่าง และเมื่ออาการเศร้าโศกของเพื่อนผ่อนคลายลง ธารธาราก็เอนตัวลงนอนบนเตียงเหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กมัธยม

“ห้องก้อยไม่เปลี่ยนเลยเนอะ ตอน ม. ปลายเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น”

“ไม่รู้สิ ก้อยคิดว่าช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่ก้อยมีความสุขที่สุดแล้ว”

“ก็จริง” ธารธารายอมรับ เพราะความความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นในช่วงนั้นเหมือนกัน แล้วสายตาของเธอก็ไปพบอะไรบางอย่างจึงทักขึ้นมา “เอ๊ะ นั่นอะไร คุ้นจัง” ธารธาราชี้ไปยังขวดโหลตรงโต๊ะทำงานของอนามิกา เธอคุ้นๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน แต่ก็จำไม่ได้

“ขวดโหลนี่น่ะเหรอ ของนายกระต่ายไง”

นายกระต่าย เป็นฉายาของหนุ่มลึกลับที่หลงรักอนามิกามาตั้งแต่ ม.๑ ฝ่ายนั้นมักจะทำอะไรต่อมิอะไรให้อนามิกาเสมอ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัว จนเธอทั้งคู่คิดว่านายกระต่ายน่าจะเป็นโรคจิต หรือไม่ก็เป็นผู้ชายหน้าตาอัปลักษณ์ ซึ่งก็ทำให้อนามิการู้สึกกลัว จึงทิ้งของทุกชิ้นที่นายกระต่ายให้ แต่ไหงกลับมีขวดโหลใบนี้ที่นี่ได้

“นึกว่าทิ้งไปแล้ว”

“ตอนแรกคิดจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ทิ้งไม่ลง ดาวหนึ่งพันดวงนี่คงไม่ได้พับแค่วันสองวันแน่”

“นั่นสิ ผู้ชายอะไร มีความพยายามจัง” เมื่อนึกย้อนกลับไป ธารธาราก็อดทึ่งนายกระต่ายไม่ได้ ท่าทางจะชอบเพื่อนสนิทของเธอจริงจัง “ก้อยอยากรู้ไหมว่า นายกระต่ายเป็นใคร”

“ไม่อยากรู้ แต่ก้อยอยากขอบคุณเขา”

“ขอบคุณ?” ธารธาราทวนคำ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่อนามิกาพูด

“ใช่ ขอบคุณ ไม่รู้สิน้ำ ทุกครั้งที่ก้อยมองขวดโหลดาวพับใบนี้ มันทำให้ก้อยยิ้มได้ อย่างน้อยก็มีใครก็ไม่รู้มาหลงชอบเรา ชอบแบบที่ไม่หวังอะไรตอบแทน”

“ก้อยรู้ได้ไงว่าเขาไม่หวังอะไรตอบแทน” เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมอนามิกาถึงคิดแบบนั้น ธารธาราจึงถามออกไป

“ถ้าเขาหวังอะไร เขาคงมาปรากฏตัว หรือบอกให้ก้อยรู้แล้วแหละว่าเขาเป็นใคร”

“อืม มันก็จริงนะ” ธารธาราคล้อยตาม เริ่มชอบนายกระต่ายผู้ลึกลับขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่อคติมานานหลายปี เพราะอีกฝ่ายทำตัวเป็นโรคจิต เป็นดั่งเงาคอยแอบมองเพื่อน

“เอาเถอะ ถ้ามีวาสนาเราคงได้พบกัน และก็คงได้รู้ว่าเขาเป็นใคร” อนามิกากล่าวอย่างปลงๆ แล้วปัดเรื่องบุรุษลึกลับในวัยเด็กทิ้งไป ก่อนจะหันมาพูดกับธารธาราอีกครั้ง “เดี๋ยวก้อยให้ลุงชินไปส่งที่กองบินนะ”

ลุงชินที่ว่า คือคนขับรถบ้านอนามิกา อยู่มาตั้งแต่อนามิกายังเด็ก ธารธาราจึงรู้จักดี พยาบาลสาวรีบปฏิเสธน้ำใจของเพื่อนทันที แม้กองบินจะห่างจากที่นี่แค่สามสิบกิโลเมตร แต่หากขับย้อนไปย้อนมาก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน

“ไปส่งหน้าโรงเรียนเก่าของเราก็พอ เดี๋ยวน้ำจะกลับรถสวัสดิการ ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเอง”

“ไม่เอา ก้อยเป็นห่วง ให้ลุงชินไปส่งแหละ หรือจะให้ก้อยขับไปส่งเอง”

แม้จะรู้ว่าเป็นคำขู่ แต่มันก็ได้ผล เพราะเธอรู้ว่าหากตัวเองดื้อ อนามิกาคงต้องขับรถไปส่งเธอที่กองบินอย่างแน่นอน “โอเคๆ ให้ลุงชินไปส่งก็ได้ ว่าแต่ ก้อยอยู่คนเดียวได้แน่นะ”

“แน่สิ พรุ่งนี้น้ำมีเวรนี่นา”

“น้ำจะแลกออก ก้อยก็ไม่ยอม”

“อย่ามาเสียงานเพราะก้อยเลย ก้อยไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ทำใจได้แล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่เรื่องผู้ใหญ่ละ”

นี่สิ เรื่องน่าหนักใจของจริง แต่ธารธาราก็เชื่อว่าเพื่อนรักจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ “เออ..ก้อย คุณแม่รู้เรื่องก้อยกับพี่วัฒน์แล้วนะ” ธารธาราตัดสินใจบอก อย่างน้อยเพื่อนจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า เมื่อต้องคุยเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ในบ้าน

“น้ำบอกเหรอ” ในน้ำเสียงไม่มีร่องรอยของความขุ่นเคือง แต่เป็นเพราะสงสัยมากกว่า

“เปล่า คุณแม่รู้มาก่อนแล้ว ก้อยควรลงไปคุยกับคุณแม่นะ”

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น อนามิกาก็พยักหน้า แล้วตอบรับด้วยรอยยิ้มขื่น “จ้ะ เดี๋ยวก้อยจะคุย”

“งั้นน้ำกลับก่อนนะ มีอะไร โทร. หาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องเกรงใจ” กล่าวจบธารธาราก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋ามาสะพาย แต่เธอก็ถูกอนามิกาคว้าตัวไปกอดอีกครั้ง

“ขอบใจน้ำมาก วันนี้ถ้าก้อยไม่ได้น้ำ ก้อยคงแย่แน่ๆ”

เธอกอดเพื่อนตอบและตบหลังเพื่อนเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ไม่เป็นไร เราเพื่อนกันนี่นา เพื่อนก็ต้องอยู่เคียงข้างเพื่อนอยู่แล้ว”

ธารธาราออกจากบ้านอนามิกาในเวลาห้าโมงเศษๆ ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวออกจากรั้ว ธารธาราก็นึกถึงคำพูดของปราณนต์ขึ้นมา เขาบอกว่าหากเธอเสร็จธุระ ให้ไปหาเขาที่ห้าง แต่นั่นเป็นการพูดคุยกันตั้งแต่ตอนเก้าโมงครึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้ผ่านมาเกือบแปดชั่วโมง ป่านนี้เขาคงไม่รอแล้ว

ทว่าบางสิ่งบางอย่างกลับรบกวนจิตใจเธอเหลือเกิน จิตใจสองฝั่งตีกันในทันที ใจหนึ่งบอกว่าเธอควรไปตามนัด แต่อีกใจหนึ่งก็ร้องว่าเปล่าประโยชน์ ไม่มีผู้ชายบ้าคนไหนมานั่งรอผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเป็นครึ่งค่อนวันหรอก

หรือเธอจะโทร. ไปถามว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเขากลับไปแล้วล่ะ เขาจะคิดว่าเธออ่อยหรือเปล่า ทำไมนะ...ทำไมถึงได้ตัดสินใจยากอย่างนี้ ซึ่งหากเป็นคนอื่น เธอจะไม่คิดอะไรแบบนี้เลย อยากรู้ก็แค่โทร. ไปถามเท่านั้น

สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ควรจะรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง “ลุงชินคะ”

“ครับ คุณน้ำ”

“รบกวนกลับรถไปส่งน้ำที่ห้างในตัวเมืองหน่อยได้ไหมคะ” ธารธารบอกชื่อห้างดังซึ่งเป็นที่รู้จักของคนที่นี่แก่คนขับรถของอนามิกา ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะไปตามนัด แม้จะแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าปราณนต์คงกลับไปแล้วก็ตาม

“คุณน้ำจะซื้อของเหรอครับ”

“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ

“งั้นเดี๋ยวลุงจอดรถรอ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวน้ำกลับเอง” ธารธารารีบปฏิเสธ

“จะกลับยังไงครับ นี่ก็ใกล้มืดแล้ว รถของกองบินยังมีอยู่เหรอครับ” ผู้สูงวัยถามอย่างห่วงใย

ธารธาราเหลือบมองนาฬิกา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงสิบห้า รถเที่ยวสุดท้ายเท่าที่จำได้คือหกโมงเย็น ซึ่งเธอคงใช้เวลาแวะเข้าไปในห้างไม่นาน แค่อยากไปให้เห็นกับตาว่าเขาไม่อยู่แล้วจริงๆ แต่บอกอย่างนี้แก่ลุงชินไป รับรองได้ว่าแกคงจะจอดรถรอ เธอจึงต้องพูดปด และแอบขอโทษขอโพยในใจ “น้ำนัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอครับ งั้นเดี๋ยวลุงกลับรถไปส่งที่ห้างให้เลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

            เมื่อลงจากรถเก๋งคันงามของบ้านอนามิกาแล้ว ธารธาราก็รีบตรงดิ่งเข้าไปในห้าง และร้านกาแฟชื่อดังคือสถานที่ที่เขานัดเธอเอาไว้ แต่เมื่อเดินเข้าไปก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่นี่มีแต่คนที่เธอไม่รู้จัก เขาคงกลับไปแล้ว

บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ผิดหวังก็ไม่เชิง เพราะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็อดจะหน่วงๆ ข้างในไม่ได้อยู่ดี

ธารธารากระชับกระเป๋าสะพายไหล่ เหลืออีกไม่กี่นาที รถเที่ยวสุดท้ายก็จะหมด ดังนั้นเธอควรไปรอ ก่อนที่จะต้องกลับไปนอนค้างบ้านอนามิกาแล้วต้องตอบคำถามอีกฝ่ายว่า ทำไมถึงยังไม่กลับกองบิน

แต่ก่อนที่เธอจะก้าวขาเดินออกไป ข้อมือก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ก่อน และเมื่อเธอหันไปมอง ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

“คุณนนท์!” เธอครางชื่อเขาออกมา แทบจะไม่เชื่อสายตาว่าเขาจะยังอยู่ ตอนแรกที่เธอมองไม่เห็นเขาคงเป็นเพราะเขานั่งหลบมุมอยู่นั่นเอง

ชายหนุ่มยิ้มกระจ่าง แต่น้ำเสียงที่ทักกลับมามีแววตัดพ้อนิดๆ “คุณมาช้าจัง ผมดื่มกาแฟไปสี่แก้วแล้ว”

“ฮะ?” สิ่งที่เขาพูดทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าการที่เขายังรอเธออยู่ และเมื่อมองไปที่โต๊ะ เธอก็พบแก้วกาแฟสี่แก้ววางไว้จริงๆ

“ถ้าผมตาค้างคืนนี้ คุณต้องรับผิดชอบด้วย”

เขาพูดทีเล่นทีจริง และเมื่อพูดจบก็ลุกขึ้น จากนั้นก็เอื้อมมาจับมือเธอเอาไว้แล้วพาเธอเดินออกจากร้านกาแฟ โดยที่เธอไม่มีโอกาสขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

ธารธาราอดไม่ได้ที่จะมองมือตัวเองที่ถูกมือใหญ่กว่ากุมเอาไว้ ตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงจัง และแปลกเหลือเกิน ที่เธอไม่กล้าสะบัดมือออก ยังคงปล่อยให้เขาจับมือไว้อย่างนั้น

            เมื่อออกจากร้านกาแฟ ปราณนต์ก็พาธารธารามายังร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนของห้าง เพราะตอนนี้เป็นช่วงค่ำแล้ว คนจึงไม่มากนัก เมื่อถึงร้านจึงมีโต๊ะว่างให้เข้าไปนั่งได้เลย

            เธอกับเขาเลือกนั่งโต๊ะริมสุด เมื่อบริกรนำเมนูมาให้ก็สั่งอาหารกันคนละอย่าง จนกระทั่งบริกรจากไป ปราณนต์จึงเริ่มบทสนทนา

            “คุณไปไหนมา”

            ธารธาราเงยหน้าขึ้นมองเขา และเมื่อได้สบตาเธอก็คิดว่าเขาคงอยากรู้จริงๆ จึงตอบไปตามตรง “ฉันไปบ้านเพื่อนมาค่ะ”

            “เลื่อนนัดผม เพราะไปบ้านเพื่อนเหรอ”

            แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ธารธาราก็รู้สึกว่าดวงตาเขามีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่ เหมือนกำลังน้อยใจ แต่วูบหนึ่งมันก็หายไป ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สบายใจ จึงรีบอธิบาย “ค่ะ ฉันไปบ้านเพื่อนมา แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นว่านัดของเราไม่สำคัญหรอกนะ เพียงแต่ว่า เพื่อนฉันต้องการฉันมากกว่า”

            “บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ว่าเพื่อนคนนั้นต้องการคุณมากกว่าผม”

            ธารธาราแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่เพราะคำพูดของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็พบว่าปราณนต์มองกลับมาเช่นกัน

            “ทำไมเหรอ ผมพูดอะไรผิด”

            ผิด ผิดทุกอย่าง เพราะคำพูดอย่างนี้ควรใช้กับคนที่เป็นแฟนกัน หรือคนที่มีความสำคัญต่อกันมากๆ แต่เธอกับเขาแค่มาซื้อพรมไปใช้คืนมนิสรณ์ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียงกับสายตาแบบนี้กับเธอเลยด้วย มันทำให้เธอคิดไปไกล

            ธารธาราพยายามสกัดกลั้นความฟุ้งซ่านในหัวใจ เสหลบตาเขาไปทางอื่น ก่อนจะอธิบายว่าทำไมถึงคิดว่าอนามิกาต้องการเธอมากกว่าเขา “ยังไงดีล่ะ...คือ...เพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุด ถูกคนที่กำลังจะแต่งงานด้วยนอกใจ เธอเสียใจมาก ฉันก็เลยต้องไปหา แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนเธอ”

            พอเธอพูดจบ รอยยิ้มกระจ่างใสก็ปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มทันที “อ๋อ..อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว แต่ผมดีใจนะที่คุณมา”

            อีกแล้ว อาการหายใจสะดุดมันเกิดกับเธออีกแล้วเมื่อเจอรอยยิ้มแบบนี้ ธารธาราบอกตัวเองให้เก็บอาการ แล้วหาทางเบี่ยงความสนใจจากรอยยิ้มพิฆาตนารีของเขา “ว่าแต่ คุณรอฉันตั้งแต่กี่โมง”

            “ก็ราวสิบโมงเช้า มาถึงนี่ห้างก็เปิดพอดี”

            เธออ้าปากค้าง นั่นมันตั้งแปดชั่วโมงเชียวนะ ซึ่งก็ทำให้เธอสงสัย และอดถามกลับไปไม่ได้ “ทำไมถึงยอมรอนานขนาดนั้น”

            “เพราะผมคิดว่าคุณต้องมา”

            คำตอบของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ แม้เธอจะได้บอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องรอก็ตาม “ฉันขอโทษนะ ที่ทำให้ต้องรอนานเป็นครึ่งค่อนวัน”

            ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ และยังคงเผยรอยยิ้มสดใส “คุณมีเหตุผล ผมเข้าใจ ถ้าอยากไถ่โทษ ก็ไปซื้อของกับผมซะดีๆ”

            “ได้สิ พรมของลูกศรใช่ไหม ฉันถ่ายรูปมาแล้ว” ธารธารากำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมายื่นให้เขา แต่เธอก็ชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

            “ลูกศรบอกผมว่าพรมนั่นมาจากออสเตรเลีย ไม่มีขายในเมืองไทย ผมเลยฝากเพื่อนที่เป็นกัปตันสายการบินพาณิชย์ซื้อให้แล้ว”

            คำกล่าวนั้นทำให้ธารธารางุนงง แล้วที่เขารอเธอตั้งหลายชั่วโมงนี่เพื่ออะไรกัน

            งั้นที่คุณรอฉันนี่...” เธอส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้เขา

            “กินให้เสร็จก่อนสิ เดี๋ยวบอก”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น