12

ตอนที่ 12


            

๑๒

หลังจากกินอาหารเย็นด้วยกันเสร็จ ปราณนต์ก็พาธารธาราไปยังร้านเพชรชื่อดัง ‘มาร์วิน เจมส์’ ความวูบวาบที่ทอประกายออกมาจากตู้กระจกทำให้หญิงสาวรู้สึกตาพร่าและเกร็งในเวลาเดียวกัน เพราะอย่าว่าแต่เพชร แม้แต่ทองที่คนต่างจังหวัดนิยมสวมกันเธอยังไม่มีความรู้ หากเขาให้เธอช่วยเลือกคงเลือกไม่ถูกเป็นแน่

“สวัสดีค่ะ” พนักงานในร้านยกมือไหว้อย่างนอบน้อม มองเธอกับเขาอย่างสื่อความหมาย

แม้ใจเธอจะอยากให้สิ่งที่พนักงานเข้าใจผิดเป็นเรื่องจริง แต่ใจหนึ่งก็ละอาย ครั้นจะออกตัวว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังเข้าใจผิด ก็ดูจะเป็นการร้อนตัวเกินไป จึงยิ้มให้อย่างจืดเจื่อนแทน

“วันนี้จะให้ลิลลี่รับใช้อะไรดีคะ”

‘นอกจากจะสวยแล้ว ยังอัธยาศัยดี นี่สินะ ถึงจะสมเป็นพนักงานขายมืออาชีพ’

“สวัสดีครับ ผมอยากได้แหวนเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณแม่ครับ” ปราณนต์บอกจุดประสงค์ของตัวเองออกไป ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำให้พนักงานสาวผิดหวังไปเล็กน้อย

แต่สำหรับธารธารากลับรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เพราะเธอจะได้ไม่ต้องถูกมองด้วยสายตาแบบมีเลศนัยอย่างนั้นอีก

“อ๋อ ค่ะ แล้วมีแบบในใจหรือยังคะ”

“ผมอยากได้แบบเรียบๆ น่ะครับ คุณแม่ไม่ชอบอะไรรุงรัง” ชายหนุ่มกวาดตามองไปยังตู้ที่มีแหวนเพชรหลายสิบวงเรียงรายอยู่ ก่อนจะหันมาหาเธอ “คุณว่าแบบไหนดี”

“แบบ Solitaire หรือว่าแบบ Side Stones น่าจะตรงตามที่ลูกค้าต้องการนะคะ”

‘อะไรคือ Solitaire และอะไรคือ Side Stones’ ธารธาราได้แต่อึ้ง เพราะสิ่งที่ได้ยินไม่คุ้นหูสักนิด แล้วเธอจะตอบไปว่าอย่างไร

ทว่าโชคดีที่พนักงานในร้านมือไว หยิบแหวนทั้งสองแบบมาให้เลือกก่อนที่เธอจะตอบออกไป ซึ่งธารธาราก็เพิ่งรู้ว่า Solitaire คือแหวนเพชรเม็ดเดี่ยว ส่วน Side Stones คือแหวนเพชรที่มีเพชรเม็ดใหญ่ตรงกลาง และมีเพชรเม็ดเล็กๆ สองเม็ดขนาบข้าง

“คุณว่าแบบไหนสวย” เขาหันมาถามเธออีกครั้ง

ธารธาราไม่รู้จักแม่ของปราณนต์เลย แม้แต่รูปภาพ ก็ยังไม่เคยเห็น ดังนั้นจึงเป็นการยากเหลือเกินที่จะรู้ว่าแม่ของเขาชอบแบบไหน แต่เมื่อเขาให้เธอเลือก เธอก็เลือกตามความคิดตัวเอง “ฉันชอบวงนี้ค่ะ ดูดี หรู แล้วก็สง่า” เธอชี้ไปทางกล่องแหวนเพชรที่เป็นแบบ Solitaire ซึ่งเธอมองว่ามันสามารถสวมได้ในทุกโอกาส

พอเธอเลือก เขาก็หยิบกล่องนั้นขึ้นมาแล้วเอียงซ้ายเอียงขวามอง ก่อนจะกล่าวอย่างเห็นด้วย

“สวยจริงๆ ด้วย งั้นยืมมือคุณหน่อยได้ไหม”

“ยืมมือฉันทำไม...” ธารธาราถามอย่างสงสัย จะมาซื้อแหวนให้แม่ แล้วมายืมมือเธอทำไมกัน

“วัดขนาดแหวนไง ผมว่ามือคุณน่าจะเท่าๆ กับนิ้วมือแม่ผม”

แม้คำตอบจะฟังดูมีเหตุผล แต่ธารธาราก็แย้ง “คุณควรจะโทร. ไปถามแม่คุณดีกว่าถ้าคุณไม่แน่ใจ ฉันกลัวว่าถ้าซื้อไปแล้วผิดขนาด จะต้องกลับมาเปลี่ยนกันอีก”

ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า แล้วอธิบาย “โทร. ไปถามแม่ ก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ นะ...ขอยืมมือหน่อย”

อีกแล้ว เขาใช้น้ำเสียงอย่างนี้กับเธออีกแล้ว ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร เขาแค่ซื้อแหวนให้แม่ แต่ไม่รู้ทำไม ตอนที่เธอยื่นมือไปให้เขา เธอรู้สึกว่ามือเธอสั่น โดยที่เธอไม่อาจควบคุมมันได้เลย

แล้วแหวนเพชรราคาเกือบครึ่งแสนก็สวมเข้ามาตรงนิ้วนางข้างซ้าย สัมผัสนั้นทำให้ธารธาราถึงกับนิ่งค้าง และยิ่งได้สบตาเขาที่มองมา ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง

“เหมือนจะพอดีเลยครับ” ชายหนุ่มหันไปบอกพนักงานขาย

“แหม...เหมาะกับคุณผู้หญิงมากเลยนะคะ เลือกวงใหม่ให้คุณแม่ดีกว่าไหมคะนี่”

“ผมว่านิ้วของเธอเหมาะกับแหวนวงอื่นมากกว่าครับ ว่าแต่วงนี้ ถ้าจ่ายเงินสด มีส่วนลดให้ด้วยหรือเปล่าครับ”

“ลดให้ค่ะ ลดให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”

“งั้นรบกวน ช่วยห่อเป็นของขวัญให้หน่อยนะครับ เดี๋ยวผมขอออกไปกดเงินก่อน”

“ได้ค่ะ”

“คุณรออยู่ที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวผมมา ฝากเป็นตัวประกันไว้ก่อนนะครับ” ประโยคหลังชายหนุ่มหันไปพูดกับพนักงานของร้านด้วยน้ำเสียงขี้เล่น จนได้รอยยิ้มสวยๆ ของผู้ขายกลับมา

“ด้วยความยินดีค่ะ”

            แม้แหวนจะถูกถอดคืนไปแล้ว แต่แปลก ที่หัวใจของเธอยังไม่กลับมาเต้นเป็นปกติ ความอุ่นวาบยามที่เขาสอดแหวนเข้าไปในนิ้วนางข้างซ้ายนั้นทำใจเธอหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่บอกตัวเองแล้วว่า เธอเป็นแค่หุ่นลองแหวนให้แม่เขาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย

ชายหนุ่มกลับเข้ามาในร้านด้วยเงินสดปึกใหญ่ เขายื่นมันให้พนักงานแล้วรับถุงมา

“ขอบคุณนะ ที่มาช่วยเลือก” เขากล่าวกับเธอขณะที่เดินออกจากร้าน

ธารธาราจึงยิ้ม และส่ายหน้าให้เขาเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เธอยินดี

“คุณรีบกลับหรือเปล่า” เขาถามมาอีกคำถามหนึ่ง

“ก็ไม่นะ”

“งั้นไปช่วยผมเลือกของอีกอย่างได้ไหม พี่กลดเพิ่งโทร. มาบอกว่าให้ช่วยซื้อของขวัญไปเป็นรางวัลให้เด็กที่โรงเรียนวันจันทร์หน่อย”

“ได้สิ” เธอตอบรับ

“คุณว่าควรซื้ออะไรดี” เขาหันมาปรึกษาด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“หมายถึง ที่กองบินจะไปทำกิจกรรมน่ะเหรอคะ” เธอหมายถึงงานออกหน่วยมิตรประชาของกองบินที่จะไปทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับชาวบ้าน อย่างเช่น การไปช่วยสร้างฝายชะลอน้ำ การสร้างห้องน้ำวัด และครั้งนี้ทางกองบินมีแผนจะไปทำกิจกรรมที่โรงเรียน คือไปช่วยทำสนามเด็กเล่น สนามฟุตบอล และนำพวกอุปกรณ์กีฬาไปแจก

“ใช่ ใช้เป็นรางวัลช่วงกิจกรรมเล่นเกมจากฝูง

“ถ้าจากฝูง ก็น่าจะต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องบิน” ธารธาราให้ไอเดีย

ปราณนต์เกาคางอย่างครุ่นคิด พยายามนึกให้ออกว่าตอนเด็กๆ นั้นตัวเองชอบอะไร “พวกตัวต่อเลโก้เป็นไง ฝึกทักษะ ฝึกสมาธิ แล้วก็เล่นได้หลายคนด้วย”

“ฉันว่าก็ดีนะคะ” ธารธาราเห็นด้วย เพราะเท่าที่รู้ข้อมูลมา เด็กซึ่งเรียนที่นั่นล้วนแต่มีฐานะยากจน ยากเหลือเกินที่จะมีของเล่นดีๆ แบบนี้

“แล้วคุณต้องไปด้วยหรือเปล่า”

            “เหมือนว่าต้องไปนะ ไปฉีดวัคซีนให้เด็ก ป. ๑ กับเด็ก ป. ๖ น่ะ งานนี้เด็กๆ คงคิดว่าฉันเป็นนางมารอีกแล้ว” ธารธาราบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก เธอเคยไปทำกิจกรรมอย่างนี้ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยติดเรืออากาศตรีใหม่ๆ จำได้ว่าพอเด็กเห็นหน้าก็พากันร้องไห้จ้าละหวั่น แถมยังเรียกเธอว่านางมารอีกต่างหาก

            “จริง ตอนเด็กๆ ผมโคตรกลัวเลย หนีไปซ่อนตัวทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกจับมาฉีดยาได้ทุกที” เขาเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เธอฟัง

            ธารธารานึกภาพตามแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

            “มันไม่ขำนะคุณ เจ็บจะตาย คิดแล้วยังขนลุกอยู่เลยนี่”

            เขายื่นแขนออกมาให้ดู ธารธาราพบว่าขนอ่อนเขาลุกชันจริงอย่างที่บอก

            “อย่าบอกนะว่าตอนนี้คุณยังกลัวเข็มฉีดยา”

            “ผมเป็นทหารนะคุณ จะกลัวโน่นกลัวนี่พร่ำเพรื่อได้ยังไง ตอนนี้เลิกกลัวแล้ว แต่เวลาโดนเข็มเจาะ ก็สะดุ้งทุกที” เขาสารภาพเสียงอ่อย

            “แล้วถ้าฉันเจอเด็กทโมนอย่างคุณ จะทำยังไงนี่” ธารธารากล่าวอย่างกังวล ความกลัวของเด็กๆ ห้ามกันไม่ได้ และเธอเชื่อว่าพรุ่งนี้จะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แน่นอนหากถูกครูบังคับมา เด็กก็จะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการฉีดยา ซึ่งจะส่งผลต่อการรักษาในอนาคต

            “งั้นคุณก็หาอะไรไปล่อเขาสิ เช่นให้เป็นเด็กดีแล้วจะได้รับรางวัล อะไรแบบนี้” นักบินหนุ่มเสนอ

ธารธาราเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้ม เป็นความคิดที่ดีทีเดียว “จริงด้วย เด็กๆ คงดีใจ ถ้าเจ็บตัวแล้วได้รางวัล ว่าแต่...จะให้อะไรดี”

            “คุณซื้อดินสอ เดี๋ยวผมซื้อยางลบ เอาสองอย่างไปเลย จะได้ดูมีน้ำหนักในการล่อหน่อย”

            “ไม่เป็นไร ฉันซื้อคนเดียวได้” เธอบอก ของสองอย่าง จำนวนร้อยก็กว่าชุด น่าจะตกอยู่ที่ราคาไม่กี่ร้อยบาท

            “แต่ผมก็อยากช่วยด้วยนี่นา นะ...ให้ผมหารด้วยนะ”

            น้ำเสียงเว้าวอนของเขาทำให้เธอใจแกว่ง ตอนนี้เธอชักสงสัยแล้วว่าเจ้าตัวติดนิสัยแมวมา หรือแมวติดนิสัยเจ้าของกันแน่ ถึงได้ถอดแบบมาเหมือนกันนัก และมันก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ออก จึงตอบรับไปเบาๆ

            “งั้นก็ได้”

 

ปราณนต์พาธารธารากลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ความจริงเขาอยากชวนเธอดูภาพยนตร์ด้วย แต่ต้องอดใจไว้ก่อน เพราะเกรงว่าหากรุกเร็วเกินไปเธอจะระแวงสงสัย เพราะแค่นี้ก็ดีมากแล้ว สำหรับความสัมพันธ์ เขาอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดูให้แน่ และเมื่อคิดว่าใช่ จะได้ลงหลักปักฐานเสียที

            เมื่อเห็นธารธาราเข้าบ้านและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปเคาะบ้านเพื่อนซึ่งฝากเจ้าเหมียวจอมซนเอาไว้ กิตติส่งคืนให้เขา และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงพาดาร์ลิงกลับเข้าบ้านแล้วเอาขึ้นเตียง โดยที่หยิบแหวนซึ่งเพิ่งซื้อมาติดมือไปด้วย

            ชายหนุ่มเปิดกล่องแหวนออกดู นึกถึงตอนที่เขายืมนิ้วเธอมาสวมแหวนวงนี้แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ มือเธอสั่นและดูประหม่า แม้จะเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่แสดงออกมาทางสีหน้าช่างตรึงตาตรึงใจ และเขาอยากก็เห็นแบบนั้นอีกครั้ง ในวันที่เขาสวมแหวนช่อชัยพฤกษ์ตรงนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

            ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วต่อสายไปยังใครบางคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับ ซึ่งเป็นเสียงบ่นระคนยินดี

            “โทร. มาทำไมดึกดื่นป่านนี้ฮึ หลานรักของยาย”

            “คิดถึงคุณยายครับ”

            “ไม่ต้องมาปากหวาน มีอะไรให้ช่วยก็รีบพูดมา”

            ปราณนต์ยิ้มกว้างกับโทรศัพท์ นอกจากแม่บังเกิดเกล้า ก็มีแต่ยาย หรือว่าคุณประหยัดนี่ละ ที่รู้ใจเขาทุกเรื่อง และเมื่อเห็นว่าดึกแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่อารัมภบทให้มากความอีก “พอดีผมซื้อแหวนให้แม่เป็นของขวัญวันเกิดน่ะครับ แต่มันเล็กไป เดี๋ยวผมจะฝากแหวนไปกับไอ้ติ ให้คุณยายช่วยขยายเป็นไซซ์ ๕๒ หน่อยนะครับ”

            “เอ้า แล้วทำไมไม่ซื้อให้ไซซ์มันพอดีล่ะลูก ก็รู้อยู่นี่ว่าแม่เขาใส่แหวนเบอร์อะไร” เสียงของผู้สูงวัยแสดงถึงความแปลกใจ

            เขารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนคำถามนี้ และเขาก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับยายอยู่แล้ว จึงตอบไปตามความจริง “รู้ไซซ์นิ้วของแม่ แต่ไม่รู้ไซซ์นิ้วของแม่คุณนี่ครับ ก็เลยต้องหลอกพาไปซื้อด้วยกัน”

            ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะมีเสียงตะโกนกลับมาอย่างตื่นเต้น “ฮะ ว่าไงนะลูก แม่คุณอะไรกัน อย่าบอกนะว่า...”

เขารู้ว่ายายดีใจ เพราะสองสามปีที่ผ่านมาท่านก็พยายามให้เขาหาแฟนสักที เพราะกลัวว่าจะอยู่ไม่ทันได้อุ้มเหลน แต่ครั้นจะบอกง่ายๆ ก็ไม่ใช่สไตล์เขา จึงโยกโย้พอเป็นพิธี

            “อย่าบอกนะว่าอะไรครับ”

            “นี่ อย่ามาเล่นลิ้นกับยายนะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไปหลงเสน่ห์ใครเขาเข้า” คราวนี้ยายเขาถามกลับเสียงเข้ม แต่มีหรือที่หลานชายสุดที่รักจะกลัวเกรง

            “คุณยายต้องมาดูเองครับ แต่ผมเอาหัวเป็นประกันว่าคุณยายต้องชอบเธอแน่ๆ”

            “ขนาดนั้นเชียว”

            “ชัวร์ครับ แต่อย่าเพิ่งบอกคุณพ่อกับคุณแม่นะครับ เป็นความลับของเราสองคน” ปราณนต์ยังไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้ รอให้ทุกอย่างชัดเจน แล้วเขาจะเป็นคนบอกท่านเอง เพราะเกรงว่าหากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด ท่านอาจจะผิดหวัง

            “เอ้อ...มีอย่างงี้ด้วย” ปลายสายบ่นออกมาเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก

            “แล้วก็...รบกวนคุณยายสั่งร้านทองทำแหวนญาติให้หน่อยนะครับ เอาเบอร์เท่าแหวนที่ผมส่งไป”

            แหวนญาติของปราณนต์ ก็คือแหวนช่อชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นแหวนที่สั่งคู่กับแหวนรุ่นของนักเรียนนายเรืออากาศ เพื่อมอบให้หญิงสาวคนรัก หรือญาติสนิทที่เป็นผู้หญิง ซึ่งจะมีอยู่สามระดับ นั่นก็คือแหวนช่อชัยพฤกษ์ที่ทำจากเงิน เป็นแหวนสำหรับคนรักที่เพิ่งคบกัน ต่อมาคือแหวนช่อชัยพฤกษ์ ที่ทำจากทองคำ เป็นแหวนสำหรับคู่รักที่คบกันมานาน หรือเป็นคนที่ฝ่ายชายมั่นใจว่าจะแต่งงานด้วย สุดท้ายแหวนช่อชัยพฤกษ์ล้อมเพชร เป็นแหวนสำหรับใช้ในพิธีแต่งงาน สำหรับคู่ชีวิตที่จะครองรักกันตราบนานเท่านาน

            “แหวนช่อชัยพฤกษ์ทองเลยรึ”

            เสียงที่ตอบกลับมาดังยิ่งกว่าตอนที่เขาบอกว่าหลงเสน่ห์ใครบางคนเข้าเสียอีก ซึ่งก็ทำให้ปราณนต์ยิ้มออกมา

            “ครับ ถ้ามีโอกาสจะได้รีบจองไว้ เดี๋ยวใครตัดหน้าไปก่อน”

            “งั้นก็ให้ยายเตรียมแหวนช่อชัยพฤกษ์ล้อมเพชรให้ไว้เลยไหม”

            “ผมยังไม่ได้ขอเธอเป็นแฟนเลยครับ ถ้าเธอเซย์เยสเมื่อไหร่ คงได้รบกวนคุณยายอีกรอบ” ปราณนต์ตอบไปด้วยน้ำเสียงขัดเขิน

            “ให้ไวเลยลูก ยายอยากอุ้มเหลนเต็มแก่แล้ว”

            เสียงของผู้สูงวัยตอบกลับอย่างรื่นเริง ซึ่งก็ทำให้ปราณนต์ยิ้มออกมา

            “กำลังใจดีอย่างนี้ ผมสู้สุดใจเลยครับ”

            หลังจากวางสายโทรศัพท์จากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก ปราณนต์ก็เอาแมวเหมียวมานอนบนอก แล้วคิดถึงเรื่องราวความรักของตัวเองที่ผ่านมา แน่นอนว่าธารธาราไม่ใช่รักแรก แต่เขาอยากให้เธอเป็นรักสุดท้าย เขาอยากจะหยุดที่ใครสักคน และเธอคือคนที่เขาหมายตาจะมอบหัวใจให้

            ด้วยโพรไฟล์อันครบถ้วน ทำให้ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมาและเจอผู้หญิงมานับไม่ถ้วน เขามีแฟนคนแรกตั้งแต่อายุสิบสี่ แต่ก็ต้องเลิกรากันหลังจากที่เขาเข้าเตรียมทหาร เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล และไม่มีเวลาให้กัน แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ฝ่ายนั้นก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

            สำหรับแฟนคนล่าสุดที่เลิกกันไปเมื่อสี่ปีก่อน และเป็นที่ฮือฮาก็คือดาราระดับนางเอกสังกัดช่องใหญ่ ซึ่งตอนนี้เธอมีคนมาเยียวยาหัวใจเรียบร้อยแล้ว สาเหตุแห่งการเลิกรากัน นอกจากเรื่องเวลาแล้ว ทั้งเขาและเธอต่างรู้สึกว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน ทุกอย่างระหว่างเธอกับเขาล้วนต่างกันราวเส้นขนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิต ที่เขาชอบความเรียบง่ายและติดดิน วันหยุดอยู่บ้านทำอาหารกินด้วยกันง่ายๆ หรือไม่ก็นอนดูหนังที่บ้าน แต่สำหรับเธอ ทุกอย่างต้องหรูหราและดูดีเสมอ เพื่อให้สมภาพลักษณ์นางเอก 

            และไม่ว่าจะไปที่ไหนกับเธอก็ล้วนแต่มีสายตาจับจ้องมายังเธอและเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัด และเธอเองก็รู้ว่าสุดท้ายน่าจะไปกันไม่รอด จึงตัดหน้าบอกเลิกเขาก่อน แปลก...ที่ความรักครั้งนั้นจบลงโดยที่เขาไม่เสียใจเลยสักนิด

            ส่วนความรู้สึกดีๆ ที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจครั้งนี้ สำหรับคนอื่นอาจมองเห็นว่าเร็ว แต่ความจริงแล้วมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ็ดปีก่อน ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเกิดความรักได้เลย ธารธาราอยู่ในใจเขามาตั้งแต่วันนั้น โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด และตลอดเวลาที่ผ่าน เขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักเธออย่างจริงจัง ด้วยอุปสรรคหลายอย่าง จนกระทั่งได้มาอยู่บ้านใกล้กันนี่แหละ เขาจึงไม่อยากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

            “เอาใจช่วยพ่อด้วยนะลูก เราจะได้อยู่ด้วยกันไง” ปราณนต์เอ่ยกับเจ้าแมวน้อย ส่วนการสารภาพรักกับเธอนั้น เขาคงต้องรออีกสักหน่อย ให้อะไรต่อมิอะไรมันชัดเจนขึ้น เพราะหากบุ่มบ่าม เขากลัวว่ามันจะจบลงไม่สวย และเธอกับเขาคงมองหน้ากันไม่ติดตลอดไป

           

เพราะตื่นเช้าจนเป็นกิจวัตร ปราณนต์จึงลุกจากที่นอนตั้งแต่หกโมงครึ่ง เขาไปวิ่งออกกำลังกาย และพบว่าวันนี้เพื่อนบ้านที่เขาหมายตาเอาไว้นั้นออกเวรไปแล้ว แผนที่จะล่อเธอออกไปข้างนอกด้วยกันจึงต้องยุติ จึงกลับมาทำความสะอาดบ้าน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ของเจ้าดาร์ลิงแทน

            กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็เกือบเที่ยง สำหรับเขา การทำงานบ้านด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เพราะถูกฝึกมาตั้งแต่อยู่ที่บ้าน และด้วยความที่มีพ่อเป็นทหาร ท่านจึงไม่ปล่อยให้เขาสบายมากนัก และยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกเมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเขาก็เชื่อว่าการจัดเก็บที่นอน กวาดพื้น ถูพื้น ขัดห้องน้ำ ล้วนแต่เป็นงานที่เหล่านักเรียนเตรียมทหารนั้นมีทักษะที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับถือปืนไปรบ

            พอทุกอย่างเสร็จ เขาก็มานั่งทำความสะอาดตัวเจ้าดาร์ลิง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก แค่แปรงขนมันเบาๆ เนื่องจากขนของมันสั้น จึงไม่ต้องดูแลให้วุ่นวายเหมือนแมวขนยาว พอแปรงขนเสร็จ ก็มาถึงคิวของเล็บเท้าและมือของมัน เขาใช้กรรไกรตัดเล็บแมวค่อยๆ เล็มตัด ซึ่งมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ดิ้น ไม่โวยวาย นอนนิ่งๆ ให้เขาปรนนิบัติอย่างน่าเอ็นดู

            แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจึงต้องวางที่ตัดเล็บ แล้วเดินไปเปิดประตู

            คนที่อยู่หลังประตูคือคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอเธอในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ เนื่องจากปกติไม่ค่อยเห็นเธออยู่ที่บ้าน

            “สวัสดีค่ะพี่นนท์ จำได้ไหมคะว่าสัญญาอะไรกับลูกศรไว้” หญิงสาวรุกทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา

            คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน พยายามนึกทบทวนว่าสัญญาอะไรไว้กับเธอ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายเลยต้องถาม “พี่ต้องขอโทษด้วย พี่จำไม่ได้”

            รอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าแทบจะหายไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับเสียงหวานเจื้อยแจ้ว “จำไม่ได้จริงเหรอคะ ก็ที่พี่นนท์จะเลี้ยงข้าวลูกศรไงคะ”

            “อ๋อ” เขาตอบรับและจำได้ทันที เป็นการชดใช้เรื่องพรมเช็ดเท้านั่นเอง

            “ลูกศรขอเป็นมื้อเที่ยงนี้เลยแล้วกันนะคะ ลูกศรฮิ้วหิว”

            หญิงสาวกล่าว พร้อมกับช้อนตามองเขา ซึ่งสายตาแบบนั้นทำให้เขารู้สึกกลัว ไอ้ฮิ้วหิวนี่ ดูเหมือนจะไม่ใช่หิวอาหาร...ปราณนต์ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ จะไปตามคำชวนของเธอ หรือว่าบอกปัดไปก่อนดี

            ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป! หากปฏิเสธหญิงสาวตรงหน้า เจ้าตัวคงมีข้อต่อรองมาอีกเรื่อยๆ เขาจึงตอบตกลง “งั้นรอสักครู่นะครับ”

            “ค่ะ”

            ชายหนุ่มหายเข้าไปในบ้าน ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็กลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถ แต่ยังไม่ทันปิดประตูบ้าน เสียงสาวเจ้าที่มาชวนเขาไปกินอาหารกลางวันก็ทักท้วงขึ้น

            “พี่นนท์จะไปชุดนี้เหรอคะ”

            ปราณนต์ก้มมองชุดตัวเอง ตอนนี้เขาสวมกางเกงวอร์มขายาว กับเสื้อยืดสีขาวคอวี มีตรากองทัพและรองเท้าแตะสีดำแบบสวม ซึ่งสำหรับเขา มันเป็นชุดปกติที่สวมสบายเวลาอยู่บ้าน จึงตอบรับไป “ครับ ทำไมเหรอ”

            มนิสรณ์มีสีหน้าประหลาดใจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว “เปล่าค่ะ ชุดนี้พี่นนท์ก็ดูดี”

            ปราณนต์นึกขำกับคำชมที่เธอบอกว่าเขาดูดี ซึ่งเขาเจตนาให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้เอง จึงกล่าวตัดบท “งั้นก็ไปกันเถอะครับ”

 

มนิสรณ์รู้สึกอึดอัดขัดใจกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเหลือเกิน เธอไม่คิดเลยว่าลูกนายพลอย่างเขาจะรสนิยมต่ำเตี่ยเรี่ยดินขนาดนี้ เธออุตส่าห์งัดชุดสวยที่สุดออกมาจากตู้ ซึ่งเป็นชุดแบรนด์ดังคอลเล็กชันล่าสุด เพื่อแต่งออกมากินข้าวเที่ยงกับเขาสองต่อสอง วาดหวังว่าจะไปกินที่ร้านหรู บรรยากาศดีๆ ในเมือง แต่กลับกลายเป็นว่า เขาพาเธอมากินที่ร้านส้มตำไก่ย่าง ซึ่งเป็นร้านของภรรยาข้าราชการกองบิน ด้วยข้ออ้างว่าต้องรีบกลับไปเตรียมงานสำหรับวันพรุ่งนี้

            งานที่ว่าไม่ใช่งานอะไร กิจกรรมไม่น่าพิสมัยสำหรับเธอที่กองบินจัดขึ้นเพื่อตอบแทนชุมชน ด้วยทางกองบินเห็นว่า บางครั้งได้ไปรบกวนการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน อย่างเช่นเวลาเครื่องบินขึ้นบิน ได้ก่อให้เกิดเสียงดัง จึงมีนโยบายดูแลประชาชนในพื้นที่ และให้การอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อทหารและประชาชน ประหนึ่ง น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

            ความจริงพรุ่งนี้เธอก็ได้รับมอบหมายหน้าที่เหมือนกัน และก็เป็นในส่วนงานหลักของแผนกกิจการพลเรือนด้วย ซึ่งเธอก็จัดการให้ลูกน้องเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นของแจก หมายกำหนดการ หรือแม้กระทั่งสคริปต์ของการเป็นพิธีกร งานง่ายๆ พวกนี้ ไม่เห็นต้องลงมือทำเองเลย

            อาหารจานแรกมาเสิร์ฟในเวลาอันรวดเร็ว มันคือส้มตำปูปลาร้า มนิสรณ์ถึงกับทำหน้าเบ้เมื่อเห็นปลาร้าดิบๆ อยู่ข้างๆ มะละกอ

            “พี่ลืมถาม ลูกศรกินปลาร้าได้หรือเปล่าครับ”

            “ไม่...ไม่เคยกินค่ะ” มนิสรณ์ยังคงเก็บอาการ ทั้งที่ตอนนี้ในใจเดือดจนแทบคลั่ง

            ปราณนต์ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตักปลาร้าในจานค้างไว้แล้วเชิญชวน “อ๋อ...ไม่ลองดูล่ะครับ อร่อยดีนะ”

            “ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาจะไปทำงานไม่ได้” มนิสรณ์หาข้ออ้าง ทั้งที่ความจริงอยากจะลุกออกจากโต๊ะไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะหมายปองหนุ่มตรงหน้า จึงบอกตัวเองว่าให้ทนต่อไป

            จานที่สองคือส้มตำไทย และเมื่อแม่ค้าวางลงบนโต๊ะ ปราณนต์ก็ตักใส่จานให้เธอทันที มาถึงขนาดนี้แล้ว มนิสรณ์คิดว่าตัวเองคงปฏิเสธไม่ได้ เธอจึงค่อยๆ ตักมากินด้วยท่าทางกล้ำกลืน

            “ไม่อร่อยเหรอครับ”

            “ปละ...เปล่าค่ะ อร่อยดี” เธอกล่าวปด ทั้งที่สีหน้าฟ้องออกมาว่าโกหก

            ปราณนต์ไม่สน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเขาจงใจ และแน่นอนว่ามันยังไม่จบ เขายังมีไม้ตายที่จะทำให้สาวตรงหน้าไม่กล้าชวนเขามากินอาหารด้วยอีกเลย

            “จานสุดท้ายนี่เด็ดสุดเลย ไม่มีร้านไหนทำซกเล็กได้อร่อยเท่าร้านนี้อีกแล้ว”

            เป็นอย่างที่คิด พอเขาพูดถึงอาหารอีสานแท้ๆ ตาของมนิสรณ์ก็เบิกกว้างจนเกือบเท่าไข่ห่าน และร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

            “พี่นนท์กินซกเล็กด้วยเหรอคะ!”

            “เมื่อก่อนก็ไม่กินนะ แต่พอเข้าเรืออากาศ มีเพื่อนเป็นเด็กอีสานก็เลยลองชิมดู พอลองชิม มันก็อร่อยดีนะ นี่ไงมาแล้ว ลองไหม”

            อาหารจานที่สามถูกนำมาวางทันทีที่ปราณนต์พูดจบ เนื้อสดๆ เครื่องในสดๆ และเลือดสดๆ ถูกนำมาคลุกเคล้ากับพริก ข้าวคั่ว ผักชีฝรั่ง ต้นหอมซอย และใบสะระแหน่ กลิ่นของมะนาวกับน้ำปลาลอยขึ้นมากลบกลิ่นคาว แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินก็ชวนให้พะอืดพะอมอยู่ดี

            “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” มนิสรณ์ปฏิเสธ พร้อมกับยกผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลลายตัวแอลกับตัววีซ้อนกันขึ้นมาปิดจมูก

            ปราณนต์ยังไม่หยุด เขาตักซกเล็กใส่ช้อนแล้วยื่นไปตรงหน้า “เอาหน่อยนะ ตอนแรกพี่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้แหละ แต่พอได้กินแล้วติดใจไม่เลิก”

            “ไม่ค่ะ ไม่เอา”

            หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง และเริ่มตาขวาง ทำให้ปราณนต์คิดว่าตัวเองควรจะหยุดได้แล้ว

            “ดูท่าลูกศรคงจะไม่ชอบจริงๆ งั้นพี่กินคนเดียวก็ได้”

            “ค่ะ”

            ปราณนต์ตักโน่นตักนี่กินอย่างเอร็ดอร่อย ความจริงของพวกนี้ก็ไม่ใช่ของโปรดของเขาหรอก และเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยกินอย่างที่บอกมนิสรณ์ไป ทว่าเมื่อเข้ามาเป็นทหาร ต้องฝึกกินให้ได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อถึงเวลาฉุกเฉิน อาจไม่มีอะไรให้เลือกกินมากนัก

            ใช้เวลาไม่นาน ปราณนต์ก็จัดการทุกอย่างจนเรียบวุธ ส่วนมนิสรณ์ได้แต่นั่งมองและทำหน้าขยะแขยง ตั้งแต่ซกเล็กถูกนำมาวางที่โต๊ะ

            “งั้นเรากลับกันเลยนะ พี่จะได้ไปทำงานต่อ”

“ค่ะ!” คราวนี้มนิสรณ์พยักหน้าแทบจะในทันที หญิงสาวแทบจะวิ่งออกจากร้าน

กิริยาอย่างนั้นทำให้ปราณนต์อดจะยิ้มขำออกมาไม่ได้ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ร้าย แต่อยากชัดเจน และนี่ก็คือวิธีปฏิเสธเธออย่างละมุนละม่อม ซึ่งเขารู้ว่าผู้หญิงฉลาดอย่างมนิสรณ์ย่อมต้องตีความหมายออก

 

เพราะเป็นวันอาทิตย์ โรงพยาบาลจึงค่อนข้างสงบ คนไข้ที่มาส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้ฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งวันนี้ตั้งแต่เช้ามามีมาแค่สองราย เป็นพลทหารทั้งคู่ คนหนึ่งมาด้วยอาการอาหารเป็นพิษ และอีกคนมาด้วยอาการมีไข้สูง เมื่อแพทย์ตรวจแล้วก็รับไว้ดูอาการต่อ

            หลังจากให้การรักษาพยาบาลคนไข้ทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธารธาราก็กลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบยางลบกับดินสอที่ซื้อเมื่อวานออกมา เธอตั้งใจจะแพ็กมันไว้ด้วยกัน เวลาหยิบแจกจ่ายนักเรียนจะได้สะดวก

            เมื่อมองของทั้งสองอย่าง ความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจก็เกิดขึ้น และรอยยิ้มที่หาเหตุผลไม่ได้ก็เกิดขึ้นมาบนใบหน้ากระจ่างใส อาการหัวใจพองโตอย่างนี้มันคืออะไรกัน...ระหว่างที่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นั้น เสียงใครบางคนก็เรียกเธอมาจากด้านหลัง

            “น้ำ”

            ธารธาราสะดุ้ง รีบหุบยิ้มทันที ก่อนจะหันไปหาคนถาม ซึ่งก็คือปาริชาตที่แต่งชุดไปรเวตเข้ามา ดูสวยแปลกตากว่าทุกวัน “อ้าว พี่ปา มาทำอะไรคะนี่” ที่ถามเพราะวันนี้เป็นวันหยุด และปาริชาตไม่ได้เข้าเวร จึงเป็นเรื่องแปลกที่เธอได้เจอกับอีกฝ่ายที่นี่

            “เข้ามาเอานมเปรี้ยวให้เด็กๆ น่ะ ซื้อไว้ตั้งแต่วันศุกร์ แช่ตู้เย็นห้องอาหารเอาไว้” ปาริชาตตอบ ขณะเดียวกันก็กวาดตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารุ่นน้อง เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรก็เกิดความสงสัย “แล้วนั่นน้ำทำอะไรอยู่”

            “อ๋อ แพ็กของไปแจกเด็กๆ วันพรุ่งนี้ค่ะ”

            “ออกเงินเองเหรอ”

            “ค่ะ ออกกับเพื่อนคนละครึ่ง” ธารธาราตอบแบบเลี่ยงๆ และภาวนาให้ปาริชาตไม่สงสัยว่าเพื่อนที่ว่านั้นคือใคร

            ดูเหมือนคำภาวนาจะได้ผล เพราะปาริชาตไม่ถาม แต่หยิบของขึ้นมาดูแทน

            “อุ๊ย น่ารักจริง แพ็กยางลบกับดินสอคู่กัน กระจุ๋มกระจิ๋มอย่างกะของชำร่วยงานแต่ง”

            คำกล่าวนั้นทำเอาธารธารารู้สึกร้อนผ่าวบริเวณผิวแก้มขึ้นมาทันที ทั้งที่พยายามควบคุมอาการตัวเองไว้แล้ว จนตอนนี้เธอเริ่มขัดใจตัวเองหน่อยๆ ที่อ่อนไหวไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และอาการผิดปกตินั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของรุ่นพี่ไปได้

            “เอ๊ะ ทักนิดทักหน่อย ทำไมต้องหน้าแดง หรือว่ามีซัมธิงอะไรกับเพื่อนที่ช่วยหารค่าของแจก”

            “เปล่านี่คะ พี่ปาหาเรื่องน้ำแล้ว จะไปมีได้ยังไงกันคะ”

            “เฮ้อ จิตใจทำด้วยอะไรกันน้องคนนี้ ดูสิ อุตส่าห์ให้พี่กลดหาบ้านข้างๆ หนุ่มโสดให้แล้ว แต่ทำไมไม่หวั่นไหวไปกับเขาบ้าง ดูซิ ยายลูกศรมาอยู่ไม่กี่วัน ดันคาบน้องนนท์ไปกินได้แล้ว”

            สิ่งที่ได้ยินทำให้ธารธาราอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะหลุดปากถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว “พี่ปา ว่าอะไรนะคะเมื่อกี้”

            “พี่บอกว่า ลูกศรน่าจะกิ๊กกับน้องนนท์ เห็นนั่งกินข้าวกันกะหนุงกะหนิงที่ร้านไก่ย่างส้มตำ สงสัยคราวนี้สาวๆ คงอกหักกันทั้งกองบินแหงๆ ว่าไหมน้ำ”

            “เอ่อ...ก็คงจริงค่ะ” ธารธาราเออออไปเสียงเบาหวิว และอดรู้สึกไม่ได้ว่าหนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่ปาริชาตกล่าวถึง คือตัวเธอเอง

            ‘ไม่ใช่สักหน่อย’ เสียงในหัวใจตะโกนบอก ทว่าเธอกลับรู้สึกว่ามันไม่หนักแน่นเอาเสียเลย

            “เดี๋ยวพี่ไปหยิบนมก่อนนะ เด็กๆ รออยู่”

            “ค่ะพี่”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น