1

บทที่ 1


“พ่อจ๋า แม่จ๋า น้ำกลับมาแล้ว” ธารธาราตะโกนขึ้น หลังจากที่เท้าของเธอสัมผัสผืนดินบ้านเกิด การเดินทางด้วยรถกระบะของน้องชายเป็นเวลาถึงแปดชั่วโมงเต็มทำให้เธอเมื่อยล้าไปทั้งตัว ซึ่งเมื่อลงจากรถ ก็อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นอายธรรมชาตินี้เข้าปอด พร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ เหมือนเด็กเล็กๆ

            เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงเหลือเกิน และหวังว่าจะได้กลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไป

หญิงสาวกวาดตามองไปทั่ว ตอนนี้บ้านของเธอเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ใบไม้จึงเขียวขจี ในแอ่งดินยังมีน้ำขัง ต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวออกดอกสีบานเย็นผลิบานเต็มต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เห็นมานานหลายปี เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านในช่วงนี้

บ้านเธอไม่เปลี่ยนไปเลย ธารธารามองบ้านสองชั้นแบบกะทัดรัดที่ตัวเองอยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกด้วยความคิดถึง พ่อคงยังชอบปลูกกล้วยไม้เพราะเธอมองเห็นกระถางกล้วยไม้วางไว้แทบจะทุกมุมของบ้าน ส่วนแม่ก็น่าจะยังคงชอบทำงานฝีมือ เพราะเธอเห็นผ้าม่านลายใหม่ที่กำลังฮิตอยู่ในนิตยสารการฝีมือแขวนอยู่แทนผืนเก่า ที่ตอนนี้น่าจะถูกเก็บเอาไว้ในตู้เพื่อสับเปลี่ยนมาใช้งานในโอกาสต่อไป

อันที่จริง เธออยากย้ายกลับมาอยู่ใกล้บ้านตั้งนานแล้ว และทำเรื่องขอย้ายทุกปี แต่ไม่มีตำแหน่งว่าง จนกระทั่งปีนี้ ที่โรงพยาบาลกองบินมีรุ่นพี่คนหนึ่งต้องการย้ายตามสามีซึ่งเป็นนักบินเข้าไปในกรุงเทพฯ จึงเกิดการแลกเปลี่ยนตัวกัน เธอจึงได้ย้ายกลับบ้านสมใจ

เสียงของเธอทำให้หญิงวัยห้าสิบที่นุ่งผ้าปาเต๊ะกับเสื้อยืด และสวมทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนสีชมพูอ่อน เดินออกมาจากบ้าน และทันทีที่เห็นหน้าเธอ ท่านก็เผยรอยยิ้มแจ่มใส

“กลับมาแล้วเหรอลูก แม่กำลังจะโทร. ตามอยู่เชียว”

“ก็หินขับรถช้า” เธอโบ้ยความผิดให้น้องชายทันที ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปสวมกอดแม่ด้วยความคิดถึง

น้องชายร่างยักษ์ลงจากรถ หากใครไม่รู้จักจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ เพราะหินหรือภูผา ตัวโตกว่าเธอมาก อีกทั้งฝ่ายนั้นขลุกอยู่แต่สวนแต่ไร่ ทำให้ผิวค่อนข้างคล้ำ จึงดูแก่กว่าวัยไปสักหน่อย ผิดกับเธอที่ทำงานอยู่ในที่ร่ม ผิวจึงขาวใสกว่ากันมาก

“ก็ให้ขับมาคนเดียวตั้งหกเจ็ดร้อยกิโล เป็นพี่ประสาอะไร ขึ้นรถก็เอาแต่หลับ ไม่ตื่นมาเป็นเพื่อนกันมั่งเลย”

“พูดมาก” ธารธาราย่นจมูกใส่น้องชายตัวดี ซึ่งปกติไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ใส่เขาเพราะโครงหน้าดุคมของอีกฝ่ายนั้นทำให้คนกริ่งเกรงได้ไม่ยาก

“เข้าบ้านกันก่อนเถอะ ป่านนี้หิวกันแย่แล้ว” แม่เป็นคนตัดบทอีกเช่นเคย เมื่อเห็นว่าพี่น้องเริ่มจะทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ ทั้งที่ฝ่ายพี่นั้น อีกสองปีก็สามสิบ ส่วนน้องก็เลยวัยเบญจเพสมาแล้ว

            ธารธาราเดินกลับไปที่รถเพื่อจะหยิบกระเป๋าใบโตเข้าบ้านไปด้วย แต่น้องชายกลับเดินเข้ามาขวางเสียก่อน

            “เข้าบ้านไป เดี๋ยวขนให้เอง”

            “น่ารักจัง ขอบคุณนะ” กล่าวจบธารธารก็โอบเอวมารดาเดินเข้าบ้าน กลิ่นแกงส้มที่ลอยมาจากครัวทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม เธอจะใช้ชีวิตที่บ้านเกิดให้มีความสุขที่สุด จบแล้ว ชีวิตวุ่นวายในเมืองกรุง

 

ในการย้ายตำแหน่งแต่ละครั้ง ทางราชการจะให้เวลาเตรียมตัวราวสิบห้าวันเพื่อขนย้ายสิ่งของ สำหรับธารธารา เธอได้ว่าจ้างรถบรรทุกให้ขนมาก่อนหน้านี้แล้ว การกลับบ้านครั้งนี้ เธอจึงกลับมาแต่ตัวพร้อมกับกระเป๋าและของใช้เล็กๆ น้อยๆ จึงใช้เวลาจัดเก็บของลอตนี้อยู่ไม่นาน

            เพราะนอนในรถมาเพียงพอแล้ว หญิงสาวจึงหาอะไรทำ ซึ่งในตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่านอนอ่านหนังสือ และฟังเพลงโปรด ซึ่งกิจกรรมนี้ห่างหายจากชีวิตเธอไปนาน ครั้งสุดท้ายที่มีอารมณ์ชิลชิลอย่างนี้ ก็คงเป็นช่วงที่เธอเรียนจบใหม่ๆ และกำลังหาตำแหน่งลงนั่นเอง

            แต่ยังไม่ทันที่จะล้มตัวลงนอนตรงชานบ้าน ก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่เข้ามา พร้อมกับเสียงตะโกน

            “มีใครอยู่บ้างจ๊ะ”

            ธารธาราชะโงกหน้าออกไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นป้าอรทัย เพื่อนของมารดา ซึ่งการที่ไม่ได้พบกันมาหลายปีทำให้เธอเห็นว่าฝ่ายนั้นดูแก่ลงไปมาก อาจจะเป็นเพราะเครียดเรื่องสามีที่ไปมีเมียน้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ จึงตอบกลับไปอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะป้าอร”

            ฝ่ายนั้นเขม้นมองมาทางเธอแล้วทักกลับ “อ้าว น้ำเองเหรอ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “เมื่อเช้านี้เองจ้ะ”

            “ใครมาเหรอน้ำ”

            เสียงแม่เธอถามมาจากในบ้าน ก่อนจะโผล่หน้าออกมา ธารธาราจึงรายงานทันที

            “ป้าอรน่ะแม่”

            “อ้าว พี่อร เข้ามานั่งก่อนสิ”

            เมื่อถูกเชื้อเชิญ ผู้เป็นแขกก็เดินขึ้นมานั่งตรงชานบ้าน พร้อมกับล้วงหยิบซองสีชมพูในกระเป๋าออกมาแล้วส่งให้น้ำทิพย์ “ลูกสาวคนเล็กของพี่จะแต่งงาน”

            “คนเล็ก? อิ้งนะเหรอ” น้ำทิพย์ถามด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่จำได้ อิ้งเพิ่งจะอายุยี่สิบเท่านั้น น่าจะยังไม่จบปริญญาตรีดีด้วยซ้ำ

            “ก็ใช่น่ะสิ ตกใจอะไรกัน”

            เสียงของอรทัยแข็งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ธารธารารู้สึกแปลกใจ ป้าอรทัยกับแม่เธอเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก และฝ่ายนั้นก็ชอบชิงดีชิงเด่นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรที่จะสู้ได้ เพราะส่วนใหญ่จะแพ้ภัยตัวเองเสียก่อน อย่างเรื่องของสามีที่มีเมียน้อย ก่อนหน้าก็อวดอ้างใครต่อใครว่า ลุงชิตนั้นดีนักดีหนา พอมาออกลายตอนแก่ ป้าอรทัยก็ด่าจนเสียคน หนำซ้ำยังมายุยงว่าให้ระวังพ่อของเธอจะแอบไปมีอีหนูบ้าง เป็นผลให้พ่อของเธอนั้นเคืองป้าอรทัยอยู่พักใหญ่

            “อิ้งเพิ่งจะยี่สิบ เรียนจบแล้วเหรอ”

            “โอ๊ย จะเรียนไปทำไมเยอะแยะ ลูกผู้หญิง สุดท้ายก็ต้องออกมาเลี้ยงลูกดูแลผัวอยู่ดี”

            ธารธาราถึงกับมองหน้าแม่เมื่อได้ยินประโยคนี้ เพราะก่อนหน้าตอนที่อรทัยรู้ว่าเธอสอบเข้าวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศได้ ก็ประกาศกร้าวว่าลูกสาวของตนทั้งคู่จะต้องได้เรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ จนจบปริญญาเอก แล้วไหงวันนี้ กลับบอกว่าการศึกษาไม่สำคัญ

            หากให้เดา เดี๋ยวก็คงเข้าตัวเธออีก จึงหาทางเลี่ยง “เดี๋ยวน้ำไปหาน้ำมาให้นะคะ”

            “ไม่ต้อง ป้าดื่มมาแล้ว แล้วน้ำล่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว”

            นั่นไง ว่าแล้วไม่มีผิด แต่เพราะถูกสั่งสอนมาตลอดว่า ให้เคารพผู้ใหญ่ธารธาราจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ “ยี่สิบแปดปีจ้ะป้า”

            “เฮ้ย ยี่สิบแปดปีแล้ว อีกสองปีก็จะสามสิบปีสินะ”

            “อ่า...ค่ะ”

            “มีแฟนแล้วหรือยัง ยังสินะ” อรทัยถามเองตอบเอง ในเนื้อเสียงนั้นมีความเย้ยหยันอยู่ในที

            ธารธาราได้แต่เงียบ เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เมื่ออรทัยคือผู้รอบรู้เรื่องของผู้อื่นอย่างแจ่มแจ้งในหมู่บ้านแห่งนี้

            “แล้วทำไมยังไม่มีแฟน อยู่กองทหาร ผู้ชายก็มาก นี่ไม่มีใครมองเราเลยหรือ? เฮ้อ...ไม่ได้เรื่อง นี่แม่ทิพย์จะปล่อยให้ลูกสาวเป็นสาวทึนทึกคาบ้านจริงๆ เหรอ”

            ‘สาวทึนทึก’ ช่างเป็นถ้อยคำที่ฟังดูรุนแรง แต่สำหรับธารธารา เธอไม่เคยเดือดร้อน แม้จะเหงาบ้าง แต่เธอก็ยังมีครอบครัวที่คอยดูแลห่วงใย ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกว่า การไม่มีแฟนเป็นเรื่องเสียหายอะไร

            “เรื่องแบบนี้มันก็ต้องแล้วแต่วาสนา ถึงเวลามันก็มาเองแหละ” น้ำทิพย์แก้ต่างให้ลูกสาว เมื่อเห็นว่าธารธาราคงไม่ตอบโต้อะไรแน่

            “อ๋อ ฉันก็สงสัยอยู่เชียวว่า หลานฉันทำไมมันไปอยู่ในดงผู้ชาย แต่ไม่มีแฟน เป็นเพราะแม่มันนี่เอง ที่คอยสอนแบบนี้”

            “แล้วไอ้ที่ท้องแล้วต้องรีบแต่งนี่ เพราะแม่สอนใช่ไหม”

            จู่ๆ ก็มีเสียงปริศนาแทรกการสนทนาดังขึ้น เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นภูผาหน้าดุ น้องชายของธารธารานั่นเอง

            “ไอ้หิน แกว่าใคร” อรทัยแหวเสียงแหลม มองภูผาแววตาวาววาม

            คนอย่างภูผาหรือจะสะท้าน เขาสบตากับอรทัยแล้วพูดใส่หน้า “ก็ทั่วๆ ไป ไม่ได้เจาะจง ถ้าป้าอยากรับก็รับ หรือว่าอิ้งก็ท้องก่อนแต่ง?”

            “ไอ้ปากหมา”

            “อ๊ะๆ...ตั๊บแก”

            ภูผาทำเสียงล้อเลียน และทำหน้ากวนประสาท ซึ่งมันก็ได้ผล ผู้เป็นแขกถึงกับโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ก่อนที่จะพรวดพราดลุกขึ้นแล้วเดินกระทืบเท้าจากไป

            น้ำทิพย์หันมามองตัวต้นเรื่องด้วยความอ่อนใจ แต่ก่อนที่จะได้ตักเตือน ภูผาก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน

            “แม่ไม่ต้องมาว่าผมเลยนะ เพื่อนแม่นั่นแหละ นิสัยไม่ดี จู่ๆ ก็เอาปากมาแกว่งหาเสี้ยน”

            พอถูกดักคอเช่นนั้น น้ำทิพย์ก็ได้แต่ถอนหายใจ ที่ลูกชายพูดมันก็ถูก อรทัยล้ำเส้นมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงปล่อยผ่าน แล้วหันมาหาลูกสาวแทน “น้ำอย่าคิดมากนะลูก สังคมบ้านเรามันก็อย่างนี้แหละ”

            “น้ำไม่คิดอะไรหรอก ว่าแต่แม่ คิดหรือเปล่า” ธารธาราอดถามไม่ได้ เพราะดูเหมือนการที่มีลูกสาวขึ้นคาน ก็น่าจะเป็นปัญหากวนใจอย่างหนึ่งของคนแถวนี้เหมือนกัน

            “จริงๆ แม่ก็คิดอยู่นะว่า ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว น้ำจะอยู่กับใคร แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเนื้อคู่ของน้ำยังไม่เกิด”

            น้ำทิพย์พูดเจือยิ้มเย้า ซึ่งก็ทำให้ธารธาราตวัดค้อนมารดาเบาๆ อย่างไม่จริงจัง

            “แม่อ้ะ...”

            “เอาน่า...แม่เลี้ยงได้ เลี้ยงกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย”

            “รักแม่ที่สุดเลย” ธารธาราโผเข้ากอดเอวมารดา สำหรับเธอ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่เห็นต้องมีแฟนให้เสียเวลา

 

หลังจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้ว ปราณนต์ก็กลับมายังกองบิน ๗ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสถานที่ทำงาน สำหรับนักบินของกองทัพอากาศนั้นไม่อาจเลือกพื้นที่ลงได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องเลือกลงตามชนิดเครื่องบินที่ประจำการอยู่ตามกองบินนั้นๆ ซึ่งแต่ละกองบินจะมีเครื่องประจำการแตกต่างกันออกไป

            สำหรับปราณนต์ เขาตั้งเป้าที่จะเลือกบินเครื่องบินจู่โจมและขับไล่ ซึ่งแน่นอนว่าศิษย์การบินอีกหลายคนก็มีเป้าหมายอย่างเดียวกับเขา เมื่อได้เข้าไปเป็นศิษย์การบินที่โรงเรียนการบิน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เขาก็พยายามอย่างหนัก ทุ่มเทแรงกายแรงใจ จนกระทั่งเมื่อจบการบินขั้นปลาย ซึ่งเป็นการขึ้นบินจริงด้วยเครื่อง PC 9 จึงมีการประเมินคุณลักษณะแล้วจัดลำดับคะแนนสำหรับศิษย์การบิน เพื่อคัดเลือกไปบินเครื่องบินประเภทต่างๆ อันได้แก่ เครื่องบินรบ เครื่องบินลำเลียง และเฮลิคอปเตอร์

            ผลการประเมินของเขานั้นอยู่ในหมวดแรก ประกอบกับใจรัก จึงไม่ลังเลที่จะเลือกเครื่องบินรบ ซึ่งก็ต้องมาคัดกันอีกครั้งว่า จะได้บินเครื่องบินรบรุ่นไหน เพราะกองทัพอากาศมีเครื่องบินรบหลายรุ่น อันได้แก่ รุ่น L 39 รุ่น F 5 และ F 16 ซึ่งประจำอยู่ตามกองบินต่างๆ ทั่วประเทศ

            เขาถูกส่งตัวไปยังฝูงบิน ๔๐๑ กองบิน ๔ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อทำการคัดเลือก แต่ละรุ่นจะมีศิษย์การบินได้มาฝึกที่นี่ราวสิบคน ฝูงบินนี้เป็นหน่วยที่สอนเกี่ยวกับการใช้เครื่องบินรบทางยุทธวิธีเบื้องต้น หลังจากใช้เวลาเรียนอยู่ประมาณหนึ่งปีครึ่ง ก็เรียนจบและได้รับการคัดให้บินเครื่องบิน F 16 อย่างที่ฝัน และนั่นทำให้เขาได้ย้ายที่ทำงานอีกครั้ง มายังกองบิน ๑ จังหวัดนครราชสีมา เป็นนักบินประจำหมวดในฝูงบิน ๑๐๓

            แต่หลังจากบินเครื่องบิน F16 ได้ประมาณเกือบสี่ปี ทางกองทัพอากาศก็เพิ่มศักยภาพด้วยเครื่องจู่โจมขับไล่รุ่นใหม่ล่าสุด ที่สั่งตรงมาจากประเทศสวีเดน นั่นคือเครื่องบินกริพเพน 39C/D และเปิดโควตาให้นักบินเครื่องบินรบได้เปลี่ยนแบบ เขาสนใจและสมัครใจที่จะเปลี่ยนที่ทำงานอีกครั้งจึงได้ย้ายมาประจำยังกองบิน ๗ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่เดียวที่มีเครื่องบินรุ่นนี้ประจำการอยู่

            ร่างสูงในชุดบินเดินเข้าไปยังฝูง คนแรกที่ได้พบคือรุ่นพี่นักบินที่อายุห่างกันหลายปี และตอนนี้ทำหน้าที่เป็นรองผู้บังคับการฝูงบิน ฝูง ๗๐๑ แห่งกองบิน ๗ ทันทีที่ฝ่ายนั้นเห็นเขา ก็อดมาดูสิ่งแปลกประหลาดที่ติดอยู่บนหัวไม่ได้

            “เฮ้ย ไปโดนอะไรมาวะ”

            “โหม่งเสาโกลครับ เย็บไปเจ็ดเข็ม” ปราณนต์ตอบเสียงอ่อย เพราะหลายวันมานี้ถูกถามด้วยคำถามนี้จนนับครั้งไม่ถ้วน

            เมื่อได้คำตอบ รุ่นพี่ก็หัวเราะเสียงดัง เพราะผ้าก๊อซบนหัวนั้นช่างขัดกับความหล่อเหลาของรุ่นน้องอย่างสิ้นเชิง

            ปราณนต์ทำหน้าง้ำ ก่อนจะกล่าวอย่างเคืองๆ “พี่กลดอย่าหัวเราะสิครับ ผมยิ่งไม่ค่อยมีความมั่นใจอยู่”

“ก็มันตลก แล้วอย่าบอกนะว่า เอ็งจะไปเป็นพิธีกรงานคอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยในสภาพอย่างนี้” รุ่นพี่ถามถึงภารกิจที่ปราณนต์ได้รับมอบหมายก่อนหน้า พิธีกรงานระดับประเทศที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ซึ่งปราณนต์ถูกเลือกให้เป็นหน้าเป็นตาของกองทัพไปแสดงความสามารถด้านการดำเนินรายการ คู่กับนางเอกสาวชื่อดังบนเวที

“จะไปได้ยังไงล่ะครับ ขายหน้าเขาตาย ต้องเปลี่ยนให้คนอื่นไปแทน” นักบินหนุ่มตอบ ก่อนที่จะหันไปทางตู้กระจก ที่ถึงแม้จะเป็นกระจกใส แต่ก็ยังเห็นเงาสะท้อน “มีผ้าก๊อซแปะยังดูโอเคนะ แต่เดี๋ยวพอตัดไหม มันก็จะแหว่งเป็นหย่อม คราวนี้คงต้องใส่หมวกออกจากบ้านตลอด จนกว่าผมจะขึ้นมาเท่ากัน”

“ก็โกนเลยสิ” รุ่นพี่ยุ ซึ่งก็ทำให้คนที่ถูกยุหันมาค้อน

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นมั้งครับ แค่รองทรงสูงก็น่าจะโอเค” นี่คือข้อดีของอาชีพทหาร ที่ทุกคนต้องตัดผมให้สั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ดูแปลกตาเท่าไรนัก

“แล้ววันนี้ขึ้นบินไหวไหม”

“ไหวสิครับ ไกลหัวใจตั้งเยอะ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เพราะสำหรับเขา นอกจากฟุตบอล ก็การขึ้นบินนี่แหละที่เป็นสิ่งที่เขารักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ก็ดี” ทรงกลดจบเรื่องงาน แล้วก็นึกออกมาว่า มีเรื่องจะถามรุ่นน้อง “ทางกรรมการบ้านพักถามมาว่า บ้านหลังข้างๆ เอ็ง ว่างอยู่ใช่ไหม”

“ครับ ตอนนี้ว่างอยู่ จะมีคนเข้าพักเหรอครับ”

“ใช่ จากกรมแพทย์น่ะ มาอยู่ชั่วคราว เพราะบ้านซอยหกของเจ้าตัวถูกซ่อมอยู่ พอซ่อมเสร็จ ก็คงกลับไปอยู่ที่เก่าของเขา”

ปราณนต์พยักหน้ารับ ตอนนี้กองบินกำลังดำเนินการซ่อมบ้านกันขนานใหญ่เนื่องจากปลูกสร้างมานาน บางหลังมีอายุพอๆ กับการเริ่มมีกองบิน และเมื่อก่อน วัสดุหลักที่ใช้สร้างก็เป็นไม้ ไม่ใช่ปูน ปลวกจึงยกโขยงกันมาแทะโครงสร้าง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย จึงต้องดำเนินการซ่อมแซม ทำให้คนที่เคยอยู่ต้องอพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว พอบ้านเสร็จ ก็ย้ายกลับที่เดิม

“แล้วเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ถามทำไม”

“ก็แค่ จะได้ทำตัวถูก”

“ผู้หญิง นี่ไง คำสั่งย้าย” รุ่นพี่ส่งกระดาษสีขาวซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับคำสั่งย้ายภายในกองทัพอากาศมาให้ดู และในการย้ายครั้งนี้ของกรมแพทย์ก็มีเพียงคนเดียวนั่นคือ

‘เรืออากาศเอกหญิง ธารธารา วงศ์เกิด’

คิ้วของนักบินหนุ่มขมวดเข้าหากันในตอนแรก แล้วก็คลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนั้น

ทรงกลดเห็นรุ่นน้องทำหน้าประหลาดใจ จึงถามขึ้นทันที “ทำไม รู้จักเหรอ”

“ก็คงจะได้ทำความรู้จักกันจริงๆ จังๆ เร็วๆ นี้แหละครับ” ปราณนต์กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างมากกว่าเดิม หากนี่ไม่เรียกว่าพรหมลิขิต แล้วจะเรียกว่าอะไร

 

เนื่องจากมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งสัปดาห์ตามระเบียบของทางราชการ วันนี้เธอจึงให้น้องชายพามาดูลาดเลาที่ทำงานใหม่ บอกตามตรง เธออดจะตื่นเต้นไม่ได้ แม้ว่าเธอจะเคยพบปะกับผู้ร่วมงานใหม่มาบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่าต้องปรับตัวยกใหญ่

            โรงพยาบาลกองบินอยู่ลึกจากประตูใหญ่ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ตัวอาคารเป็นตึกปูนยกพื้นสูง และมีเพียงชั้นเดียว ด้านหน้าเป็นลานจอดรถกว้างขวาง รอบข้างรายล้อมด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ ไม่ใช่ตึกสูงใหญ่บดบังทุกอย่างเหมือนกับโรงพยาบาลเดิมที่เธอทำงานอยู่

            ฝนเพิ่งตกลงมา จึงได้กลิ่นไอดิน ธารธาราสูดอากาศเข้าปอด ที่นี่ช่างสงบ สดชื่น บรรยากาศอันเงียบสงบอย่างนี้ละ คือสิ่งที่เธอต้องการ

            “พี่น้ำขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวผมขอรออยู่ตรงนี้”

            “อืมๆ” ธารธาราตอบรับ ไม่บังคับให้น้องชายขึ้นไปด้วยกันเพราะคิดว่าภูผาน่าจะสะดวกใจอยู่ข้างล่างมากกว่า

            เมื่อขึ้นไปบนอาคาร ธารธาราก็พบว่าแม้คนไข้ที่นี่จะไม่ได้มากมายเหมือนที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลแห่งนี้หนาตา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าหน้าที่และครอบครัวทหารอากาศ ส่วนบุคคลภายนอกนั้นมีอยู่บ้าง เพราะโรงพยาบาลกองบินก็เปิดรักษาบุคคลทั่วไปด้วย

            หญิงสาวกวาดตามองหาคนรู้จักซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ห่างกันสามปี จึงทันได้เห็นหน้ากันตอนเรียนที่วิทยาลัย ตอนนั้นเธออยู่ปีหนึ่ง ส่วนรุ่นพี่อยู่ปีสี่ ตามกฎระเบียบของนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ทุกชั้นปีต้องกินข้าวร่วมกัน นอนตึกเดียวกัน จึงเห็นหน้าค่าตากันแทบจะทุกวัน ทำให้เกิดเป็นความผูกพันกันฉันพี่น้อง เมื่อรุ่นพี่คนนี้รู้ว่าเธอจะย้ายมาจึงรีบโทร. หาเธอทันทีพร้อมให้คำแนะนำและคอยอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องบ้านพัก ฝ่ายนั้นก็เป็นคนเลือกให้

            คนที่เธอมาหากำลังวุ่นวายอยู่กับการคัดกรองคนไข้หน้าห้องตรวจ ธารธาราจึงถอยออกมานั่งคอย รอให้รุ่นพี่ว่างจึงค่อยเข้าไปทัก

            “สวัสดีค่ะพี่ปา”

            พี่ปาหรือปาริชาตเงยหน้าขึ้นจากกองแฟ้มบนโต๊ะ และเมื่อเห็นว่าเป็นเธอ รอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะเอ่ยทักเสียงสดใสกลับมาเช่นเดียวกัน “อ้าวน้ำ มาแล้วเหรอ”

            “ค่ะ”

            “งั้นรอเดี๋ยวนะ พี่ดูคนไข้ตรงนี้แป๊บ แล้วจะพาเราไปพบพี่ๆ”

            “ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวน้ำไปรอตรงโน้นนะคะ”

            “จ้ะ”

            ปาริชาตใช้เวลาในการจัดการคนไข้ไม่นานอย่างที่บอก หลังจากคนไข้รายสุดท้ายไปนั่งรอที่หน้าห้องตรวจ ปาริชาตก็เดินมาหาเธอในทันที “ไปเจอพี่ๆ กันก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปดูบ้านกัน”

            “ค่ะ” ธารธาราเดินตามปาริชาตไป ซึ่งฝ่ายนั้นพาเธอไปยังส่วนงานต่างๆ เพื่อรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน พยาบาลที่นี่ทั้งหมดจบมาจากที่เดียวกัน นั่นคือวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลเกิดปีเดียวกับแม่ของเธอ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าพี่

            เมื่อเป็นช่อสวีแดเดียวกัน การพูดคุยจึงเป็นกันเองแบบพี่น้องมากกว่าลูกน้องกับเจ้านาย แต่เป็นเพราะตอนนี้มีหลายงานเร่งเข้ามา จึงใช้เวลาทักทายกันไม่นานนัก ธารธาราก็ถูกปล่อยตัวออกมา

            “รถของน้ำจอดที่ไหน” ปาริชาตเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงหน้าตึก

            “ข้างนอกค่ะ น้องชายขับมาให้”

            “โอเค งั้นเดี๋ยวน้ำไปรถพี่ แล้วให้น้องขับรถตามไปนะ เผื่อว่าพี่ต้องกลับมาทำงานก่อน”

            “ได้ค่ะ”

            ธารธาราขานรับแล้วเดินตามปาริชาตไป อดตื่นเต้นไม่ได้กับที่อยู่ใหม่ซึ่งเป็นบ้าน ไม่ใช่หอพักหรือแฟลตอย่างที่เคยอยู่ แอบภาวนาในใจว่าขอให้เจอเพื่อนบ้านดีๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงอยู่ยาก เพราะตอนนี้เธอจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว

            ปาริชาตขับรถมาตามถนนสองเลน ซึ่งเป็นถนนภายในกองบินด้วยความเร็วราวสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงตามกฎที่กำหนดไว้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นทหารอากาศมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ธารธาราได้เข้ามายังกองบินแห่งนี้ ส่วนครั้งแรกของเธอนั้น ก็ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเพียงแค่สิบขวบ เธอจึงจำอะไรในวันนั้นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะใจมุ่งอยู่แต่กับงานวันเด็กที่ทางกองบินจัดขึ้น เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือเกินสำหรับเด็กต่างจังหวัดเช่นเธอ

            ธารธารามองทิวทัศน์ด้านนอก และในขณะเดียวกันก็จดจำมันไปด้วย เพราะอีกไม่นานเธอต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ หากไม่จำทางให้ดี อาจจะทำให้หลงทิศหลงทางเอาง่ายๆ

            “ทางขวาเป็นเขตบ้านพัก หน้าสุดเป็นบ้านของผู้ใหญ่ อย่างผู้การ ผู้ฝูง แล้วก็หัวหน้าหน่วย เราขับรถผ่านได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต้องขับตามความเร็วที่เขากำหนด” ปาริชาตชี้มือไปยังสิ่งก่อสร้างที่ตนเองกล่าวถึง ซึ่งก็เป็นเพียงบ้านพักสองชั้นหลังกะทัดรัด ตั้งอยู่ห่างกันพอประมาณ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่หลัง และตอนนี้ทุกหลังก็เงียบเชียบ เพราะเจ้าของบ้านยังอยู่ที่ทำงาน

            “พี่พักอยู่ซอยหนึ่ง ว่างๆ ก็มาเที่ยวได้ ส่วนซอยโปรดของพี่ก็เป็นซอยแปด เพราะกินเพียบ ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ไอศกรีม ของกินพวกนี้มากระจุกรวมกันอยู่ที่นี่หมด”

            เมื่อขับรถผ่าน ปาริชาตก็ชี้ให้ดู ซึ่งเมื่อมองไกลๆ ธารธาราก็เห็นป้ายร้ายอาหารเรียงรายกันอยู่หลายร้าน ทำให้เธอยิ้มได้ ดูเหมือนว่าแม้ที่นี่จะอยู่ห่างไกลเมือง แต่เธอคงไม่อดตายแล้ว

            “ถ้าไม่อยากออกไปเซเว่นตรงปั๊มน้ำมัน ในกองบินก็มีร้านขายของสำหรับข้าราชการอยู่ตามซอยต่างๆ ใกล้สุดก็ซอยสิบ น้ำเดินออกมาซื้อได้ในช่วงที่ยังไม่มีรถใช้ แต่พี่แนะนำว่า ควรมีจักรยานเอาไว้สักคัน ไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องเดิน เพราะแต่ละซอยก็เดินได้เหงื่ออยู่เหมือนกัน”

            “แล้วบ้านน้ำอยู่ซอยไหนเหรอคะ”

            “ซอยสิบสอง พี่ว่าโอเคที่สุดแล้ว”

            ตอนแรกธารธาราไม่รู้หรอกว่ามันโอเคตรงไหน ในเมื่อมันไกลจากทางเข้ากองบินเหลือเกิน จนกระทั่งปาริชาตขับรถมาถึงบ้านพักแถวสุดท้ายซึ่งเป็นบ้านพักที่ตั้งอยู่ฟากเดียว แตกต่างจากล็อกอื่นๆ ที่จะมีบ้านพักอีกแถวหันเข้าหากัน บรรยากาศจึงเงียบสงบ โซนด้านหน้าเป็นบึงบัวขนาดใหญ่ที่กำลังออกดอกสะพรั่ง จึงทำให้มีกลิ่นหอมของดอกบัวโชยมาตามสายลมอ่อนๆ

            พยาบาลสาวเกือบจะร้องว้าว แม้จะไม่ได้หรูหราประหนึ่งรีสอร์ตห้าดาว แต่นี่ก็ดีเหลือเกินแล้วสำหรับนายทหารยศเล็กๆ อย่างเธอ

            ปาริชาตขับรถไปจอดหน้าบ้านพักล็อกกลาง ก่อนที่จะดับเครื่อง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

            ธารธาราก้าวลงจากรถ แล้วเธอก็พบว่าตรงหน้าเป็นบ้านพักที่ดูค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับหลังอื่นๆ มันคงเพิ่งถูกซ่อมแซมไปเมื่อไม่นานมานี้

            “จริงๆ แล้ว น้ำได้บ้านพักซอยหก แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการซ่อม พี่ก็เลยให้พี่กลดขอบ้านหลังนี้ให้น้ำอยู่ก่อน จะได้ฝากฝังให้น้องๆ พี่กลดช่วยดูแลน้ำด้วย”

            สามีของปาริชาตเป็นนักบินของกองทัพ ซึ่งตอนนี้ดำรงยศนาวาอากาศโท ธารธารารู้สึกซึ้งในน้ำใจของรุ่นพี่ เธอจึงหันไปยิ้มด้วยความขอบคุณ

            “งั้นนี่ก็เป็นบ้านพักของพวกนักบินเหรอคะ”

            “ใช่จ้ะ ล็อกนี้เป็นของไฟต์เตอร์ ล็อกโน้นเป็นของชาร์ป แล้วถัดไปก็เป็นของนักบิน ฮ.” เจ้าบ้านกล่าวแนะนำคร่าวๆ เกี่ยวกับบ้านพักบุคลากร และอากาศยานที่ประจำอยู่ที่นี่

            “อ๋อ...ค่ะ” ธารธาราพยักหน้ารับ พยายามจดจำว่าโซนไหนเป็นโซนไหน ก่อนที่จะหันมาสนใจที่อยู่อาศัยของตัวเองอีกครั้ง “แล้วก่อนหน้านี้ใครอยู่เหรอคะ”

            “เอ...พี่ก็ไม่รู้นะ แต่ได้ข่าวว่าบ้านนี้น่าจะไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว บ้านนักบินส่วนใหญ่จะว่าง เพราะจะล็อกไว้สำหรับนักบินเท่านั้น แต่กรณีน้ำถือเป็นกรณีพิเศษ ที่ย้ายมาตอนบ้านพักซ่อมพอดี รวมถึงบ้านหลังริมสุดโน่นด้วย เป็นน้องผู้หญิงเหมือนกัน ทำงานอยู่หน่วยข่าว ว่างๆ ก็ไปทำความรู้จักกันเอาไว้นะ”

            พอได้ยินอย่างนี้ธารธาราก็ใจชื้น อย่างน้อยๆ ก็มีเพื่อนบ้านผู้หญิง ซึ่งช่วยลดความประดักประเดิดในใจเธอลงได้มาก “เดี๋ยวน้ำจะรีบไปทำความรู้จักให้ไวเลยค่ะ”

            “ส่วนแม่กุญแจน่าจะอยู่ในบ้าน แต่เพื่อความปลอดภัย พี่ว่าเตรียมแม่กุญแจมาอีกชุดหนึ่งดีกว่า คล้องไว้เวลาที่เราไม่อยู่”

            “เตรียมมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”

            “ดีมาก รอบคอบดี งั้นพี่ขอตัวก่อนเลยได้ไหม ต้องขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ช่วยขนของ พอดีมีงานที่โรงพยาบาลค้างอยู่”

            “ได้ค่ะพี่ปา แค่นี้น้ำก็รบกวนพี่ปามากแล้ว ขอบคุณมากๆ นะคะ” ธารธารากล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ส่วนที่เหลือก็คงเป็นหน้าที่ของเธอกับน้องที่จะต้องจัดการต่อไป

            “ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วถ้าขาดเหลืออะไรก็โทร. บอกพี่นะ”

            “ค่ะ”

            ธารธาราเดินเข้ามาในบ้าน เธอพบว่ามีการทำความสะอาดบางส่วนเอาไว้แล้ว ซึ่งหากให้เดาก็น่าจะเป็นฝีมือของรุ่นพี่ที่ช่วยดูแลจัดการให้ ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจและหลงรักที่นี่ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

            บ้านเพิ่งซ่อม จึงยังคงมีกลิ่นสีตลบอบอวลอยู่ ธารธาราไล่เปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อระบายอากาศ ของที่ขนมาในวันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นพวกเครื่องนอนและเสื้อผ้าบางส่วน ซึ่งเธอเอามากองรวมๆ กันไว้ก่อน เพราะตู้เสื้อผ้าเธอที่เธอสั่งทางออนไลน์ไว้ยังไม่มาส่ง

            ภูผาตามเธอขึ้นไปยังชั้นบนด้วย ซึ่งแบ่งเป็นสองห้องนอน ธารธาราเลือกห้องนอนเล็กที่อยู่ทางขวา เผื่อว่าคนที่เป็นเพื่อนร่วมบ้านย้ายเข้ามามียศสูงกว่า จะได้ไม่ต้องมากินแหนงแคลงใจกันเรื่องห้อง สำหรับทหาร ทำอะไรก็ต้องถือชั้นยศเป็นสำคัญ แต่ถ้าคนที่เข้ามายศน้อยกว่า เธอก็ไม่เดือดร้อน เนื่องจากสมัครใจที่จะอยู่ห้องนี้เอง

            หลังจากน้องชายวางเสื้อผ้าไว้บนเตียง ฝ่ายนั้นก็เริ่มทำการไล่เคาะไปตามผนังบ้าน และลากเก้าอี้ไปปีนขึ้นเพื่อเคาะฝ้าเพดาน ธารธาราจึงอดสงสัยไม่ได้ เอ่ยถามออกไป

            “หิน ทำอะไรน่ะ”

            “ก็ดูว่าผนังกับฝ้ามันแข็งแรงดีไหม”

            คำตอบของน้องชายทำให้พี่สาวอดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้ว่าภูผาจะเป็นน้อง แต่เมื่อเริ่มโต ฝ่ายนั้นก็เริ่มทำตัวเหมือนพี่ชาย คอยปกป้องดูแลเธอ พวกผู้ชายในหมู่บ้านรู้ฤทธิ์ภูผาดีว่า เมื่อไรที่มาก้อร่อก้อติกเธอ ให้เตรียมหน้าเอาไว้รับฝ่าเท้าได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่อยากให้ภูผาระแวงจนกลายเป็นความไม่สบายใจ

            “ทำไมน้องชายพี่น่ารักอย่างนี้ ไม่ต้องกลัวหรอก ผู้ชายพวกนี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี พวกเขาเป็นสุภาพบุรุษ” ธารธาราใช้เกณฑ์ส่วนตัวในการตัดสิน เท่าที่ได้คบหากับพวกนายเรืออากาศส่วนหนึ่ง เธอก็สัมผัสได้ว่า พวกเขาเป็นสุภาพบุรุษสมชายชาติทหาร แม้จะไม่ดีเป็นผ้าขาวร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนทั่วไป แต่เธอก็เลือกที่จะเชื่อใจเพื่อนบ้านที่อยู่มาก่อนหน้าว่า จะไม่ทำอะไรมิดีมิร้ายกับเธอแน่นอน

            “ใครกลัวข้อนั้นกันเล่า แค่อยากรู้ว่าจะมีช่องไหนให้พี่น้ำมุดไปบ้านข้างๆ ได้บ้าง” ภูผาตอบกลับมาทันควัน ซึ่งดูเหมือนพี่น้องจะคิดกันไปคนละทาง

            “ว่าไงนะ”

            ชายหนุ่มก้าวลงจากเก้าอี้ เมื่อเห็นว่าบ้านหลังนี้แข็งแรงทนทาน ด้านบนหลังคาก็มีผนังกั้นอีกชั้น จึงยากที่จะเล็ดลอดไปหากัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหมดหวัง “ไม่มีทางปีนเข้าปีนออกได้เลย...แย่จัง อย่างนี้ก็คงอดเห็นหน้าป้าอรทัยเวลาเห็นพี่น้ำควงนายร้อยกลับบ้านแล้ว”

            “นี่ คิดจะให้พี่ปีนเข้าหาบ้านข้างๆ อย่างนั้นสิ”

            “ก็ใช่น่ะสิ อยากมีพี่เขยเป็นนายร้อย”

            อยากมีพี่เขยเป็นนายร้อย...พูดอย่างกับมีขายในตลาดอย่างนั้นละ ธารธาราอยากเดินไปเขกกะโหลกน้องสักครั้ง แต่เมื่อความสูงของตัวเองไม่เอื้ออำนวย จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เลิกหวังเหอะ ถ้าได้มาก็คงได้มานานแล้ว” ธารธาราบอกน้อง และบอกตัวเองไปด้วยในตัว ดูเหมือนเธอคงจะต้องอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ เพราะเลยวัยหวานเข้าไปทุกที

            “พยายามหน่อยสิ” ภูผายังคงยุ

            “ไอ้น้องบ้า เรื่องอย่างนี้มันตบมือข้างเดียวได้ที่ไหน”

            “พูดจริงนะ พี่น้ำน่ะ เริ่มหาแฟนได้แล้ว อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เดี๋ยวจะรากงอกอยู่บนคานจนสอยไม่ลง นั่น คนที่เดินมานั่นเลย เข้าท่า มาดูสิ”

            ภูผากวักมือเรียกธารธาราไปที่หน้าต่าง และนั่นทำให้เธอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดบินกำลังจะเดินเข้าบ้านหลังถัดจากบ้านของเธอ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา เธอกับเขาจึงได้สบตากันโดยที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น