บทที่ ๙
ภรรยาแค่ในนาม
นับตั้งแต่วันที่นรีรัตน์ตัดสินใจตอบตกลงแต่งงานกับหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล เวลาแต่ละวันก็ผ่านไปรวดเร็วดังสายลมพัด หลังจากที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกัน และจัดเตรียมฤกษ์สำหรับงานหมั้นและงานแต่งงาน ในที่สุดวันที่วังณรังค์กูลจะมีงานใหญ่ก็มาถึง
“สวัสดีครับท่านรัฐมนตรี”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มทั้งสามแห่งวังวโรรสยกมือไหว้รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างประเทศ ผู้เป็นประธานในพิธีและเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายพนมมือรับไหว้ ก่อนที่บ่าวชายจะเชิญสามหนุ่มไปนั่งประจำที่ที่จัดเตรียมไว้
“ไม่รู้ยายนิดจะเป็นอย่างไรบ้างนะครับ” นภเกตน์พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวลพลางมองบรรยากาศโดยรอบ เพราะเป็นงานใหญ่ในรอบหลายสิบปีและเป็นงานแต่งงานระหว่างสองตระกูลใหญ่ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
“น้องวิไลกับน้องรำไพคอยดูแลอยู่ คงไม่เป็นไรหรอก” นทีกุลตอบเสียงขรึม
ขณะเดียวกัน หญิงสาวที่ทุกคนกำลังเป็นห่วงกำลังถูกสองเพื่อนสนิทช่วยกันผัดแป้งแต่งตัวให้อย่างขะมักเขม้น
“วันนี้วันแต่งงานของตัว ทำหน้าดีๆ หน่อยสิ”
“ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้ พวกเราใจไม่ดีเลย” รำไพช่วยพูดอีกคน
นรีรัตน์ถอนหายใจด้วยความหนักใจ
“ผู้หญิงทุกคนต่างก็หวังที่จะมีวันนี้ด้วยกันทั้งนั้น” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาที่ทอดมองตนเองในกระจกสั่นไหวราวกับไม่ใช่นรีรัตน์ สาวแกร่งที่เพื่อนๆ เธอรู้จัก “หากงานแต่งงานที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดจากความรักที่แท้จริง ฉันคงไม่รู้สึกเหมือนกำลังจะตายแบบนี้”
“โถ...ยายนิด” วิไลบีบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ “ตัวอย่าพูดแบบนี้สิ เรื่องอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตัวคิดก็ได้นะ”
“ท่านชายอธิธัชก็แสนจะรูปงาม การศึกษาก็สูง มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี ใครต่อใครต่างก็ชื่นชมกันว่าทรงเป็นสุภาพบุรุษ” รำไพเสริมต่อด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “ตัวได้มีคู่ครองที่ดีเช่นนี้ พวกเราเองก็มีความสุข”
นรีรัตน์อยากเถียงผู้เป็นเพื่อนเหลือเกินว่า ผู้ชายที่พวกเธอชื่นชมนั้นไม่ได้แสนดีและเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่คิด เขาทั้งเจ้าเล่ห์และเสแสร้งเก่งยิ่งกว่าใคร แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบอะไร เสียงของสมรก็ดังแทรกขึ้นมาว่า
“ได้เวลาแล้วค่ะ”
หม่อมราชวงศ์หญิงเม้มปากแน่นพร้อมกับลุกขึ้นยืน เธอสูดลมหายใจลึกแล้วสาวเท้าออกจากห้องด้วยแววตานิ่งสนิท มือทั้งสองข้างกำสร้อยพระห้อยคอที่ผู้เป็นแม่มอบให้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่แน่น
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านพ่อและคุณแม่จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
“เจ้าสาวมาแล้วค่ะ”
ร่างอรชรอ้อนแอ้นที่เดินเข้ามาสะกดสายตาเจ้าบ่าวให้หยุดนิ่งที่ใบหน้าหวานปานน้ำผึ้งของเจ้าหล่อน ชุดไทยจักรีราชนิยมสีเหลืองอ่อนที่เจ้าตัวสวมใส่ขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้ยิ่งเปล่งประกาย รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้านวลที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ทำให้ลมหายใจของชายหนุ่มขาดห้วง ขณะที่บทกลอนชมโฉมนางบุษบาดังก้องอยู่ภายในหัวเขา
ดวงเอยดวงยิหวา งามอย่างนางฟ้ากระยาหงัน
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ ดั่งบุหลันทรงกลดหมดมลทิน๑
งาม...
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มนึกออกยามได้มองใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แม้ดวงหน้าหวานละมุนจะไร้รอยยิ้มแต่งแต้ม แต่เวลานี้สายตาของเขากลับหยุดนิ่งที่เธอ
หญิงสาวค่อยๆ ทรุดลงนั่งพับเพียบก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เธอเหลือบมองชายหนุ่มในชุดราชปะแตนสีขาวผ้านุ่งสีทองที่แย้มยิ้มอ่อนด้วยแววตาเคร่งขรึม แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
“กระผมในนามของผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว...”
การเจรจาสู่ขอเจ้าสาวของผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวเริ่มขึ้นตามขนบธรรมเนียมไทยแต่โบราณ จากนั้นหม่อมหลวงนภัสวรรณจึงนับสินสอดที่จัดวางอยู่บนพานเงินพานทอง แล้วผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ช่วยกันโปรยถั่ว งา ข้าวเปลือก ข้าวตอก และดอกไม้ที่บรรจุมาในพานขันหมากเอกลงบนสินสอด เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นเมื่อคุณย่ายกห่อสินสอดขึ้นพาดบ่า แล้วอุทานเอาเคล็ดตามประเพณีว่า
“ห่อนี้หนักเสียจริง คงมีเงินงอกงามมากมาย”
หม่อมเจ้าอธิธัชมองบรรยากาศในงานที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น แล้วเบือนหน้ามามองคู่หมั้นของเขาที่ยังคงตีหน้าเฉยชาไม่เปลี่ยนด้วยสีหน้าอ่อนลง ชายหนุ่มเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
“สีหน้าเธอดูไม่ดีเลย”
คำพูดที่แฝงความเป็นห่วงของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเหลือบตามองเขาเล็กน้อยแล้วตอบเสียงนิ่ง
“ฉันสบายดีค่ะ แค่รู้สึกพะอืดพะอมตอนเห็นหน้าเจ้าบ่าว”
“นี่เธอ...”
“ขอเชิญเจ้าบ่าวสวมแหวนหมั้นให้เจ้าสาวครับ”
เสียงที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชชะงักคำพูดที่จะสวนกลับอีกฝ่าย เขาหันมาหยิบแหวนเพชรน้ำงามบนพานที่นรินธรณ์ส่งมาให้ แล้วจับมือหญิงสาวมาบรรจงสวมแหวนให้อย่างตั้งใจ ทว่าเมื่อสวมแหวนเสร็จ อีกฝ่ายก็รีบชักมือกลับแล้วก้มลงกราบที่หน้าตักของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจ
เสร็จสิ้นพิธีหมั้นก็เป็นพิธีรดน้ำสังข์ นรีรัตน์เดินอย่างเรียบร้อยตามหลังหม่อมเจ้าอธิธัชไปนั่งประจำที่ จากนั้นประธานในพิธีก็สวมมาลัยและมงคลแฝด พร้อมกับเจิมที่หน้าผากให้แก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว
“หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างคุณในวันนี้ไม่ใช่แค่ภรรยา แต่จะเป็นมิตรแท้ที่หาได้ยากยิ่ง” ท่านรัฐมนตรีเอ่ยขณะหลั่งน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวเป็นคนแรก “หน้าที่ของคุณจึงไม่ใช่แค่ดูแลและปกป้องเธอในฐานะสามี แต่ต้องคอยเชิดชูและส่งเสริมให้เธองดงามอยู่เสมอด้วย”
หม่อมเจ้าอธิธัชแย้มยิ้มบางๆ แล้วยกมือไหว้ชายชรา ขณะที่นรีรัตน์พนมมือขอบคุณอีกฝ่ายเช่นกัน ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนของผู้หญิงที่เธอรักหมดหัวใจจะดังขึ้น
“ย่าดีใจที่หลานทั้งสองเห็นความสำคัญของหน้าที่มาก่อนความรู้สึกของตัวเอง เมื่อหลานใช้ชีวิตโดยยึดถือหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นหลักนำทางแล้ว ชีวิตของหลานจะได้พบเจอแต่สิ่งที่ดี”
คำพูดของคุณย่าทำให้นรีรัตน์ก้มหน้าลงซ่อนนัยน์ตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ว่าน้ำใสๆ ที่ขังอยู่ในดวงตาคู่นี้เกิดจากความเสียใจที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก หรือดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของผู้เป็นย่า มือเหี่ยวย่นของหญิงชราลูบใบหน้าหลานสาวด้วยความรักก่อนท่านจะพูดต่อ
“ความรักเริ่มต้นจากคนสองคน แต่เมื่อตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว หัวใจทั้งสองดวงนั้นย่อมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าความรักจะอยู่อย่างมั่นคงยาวนานได้ ก็ย่อมต้องใช้ความเข้าใจและความอดทนในการปกป้องดูแลเช่นกัน”
น้ำตาไหลรินอาบแก้มหญิงสาว ขณะที่ใบหน้าหวานแย้มยิ้มบางๆ คู่บ่าวสาวพนมมือไหว้ขอบคุณคุณย่า ก่อนที่เสียงนุ่มของหม่อมราชวงศ์นทีกุลจะดังขึ้น
“ยายนิดเป็นน้องสาวคนเดียวของพวกเรา พวกเราได้มอบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพวกเราให้แก่ท่านชาย ฝากดูแลเธอด้วยนะครับ”
หม่อมเจ้าอธิธัชพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ขณะที่นรีรัตน์เงยหน้ามองพี่ชายคนโตด้วยนัยน์ตาสั่นระริกพร้อมกับที่มือหนาลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน
“พี่รู้ว่ายายนิดต้องอดทนและเสียสละมากมายเพื่อครอบครัวของเรา แต่พี่อยากให้นิดรู้ว่าพี่ดีใจและภูมิใจที่สุดที่ได้เป็นพี่ชายของนิด”
หญิงสาวพยักหน้าทั้งน้ำตา จากนั้นพี่ชายอีกสองคนของเธอก็มารดน้ำสังข์และร่วมอวยพร เช่นเดียวกับแขกในงานท่านอื่นๆ หลังจากพิธีรดน้ำสังข์ผ่านไป ก็เป็นช่วงเวลาถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก
“รูปสุดท้าย ขอเป็นเจ้าบ่าวถ่ายคู่กับเจ้าสาวนะครับ” นภเกตน์ผู้รับอาสาเป็นช่างภาพพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ขณะที่แขกคนอื่นๆ ทยอยเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อเตรียมรับประทานอาหาร
“ชิดๆ กันหน่อยสิครับ” หม่อมราชวงศ์หนุ่มบอกพร้อมกับทำมือให้ทั้งคู่ขยับเข้าหากัน หม่อมเจ้าอธิธัชเขยิบเข้าไปใกล้เจ้าสาว ทว่าอีกฝ่ายกลับเขยิบถอยห่างออกไปอีก
“มีคู่แต่งงานคู่ไหนห่างเหินเท่าคู่นี้บ้างนะ” นรินธรณ์บ่นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ขณะที่นภเกตน์ทนไม่ไหวต้องเดินเข้าไปจัดแจงท่าทางให้สองหนุ่มสาวด้วยตนเอง
“ที่เธอไม่กล้าเข้าใกล้ฉัน เพราะกลัวจะหวั่นไหวงั้นสิ”
“หลงตัวเอง” หญิงสาวทำปากขมุบขมิบตอบ
ราชนิกุลหนุ่มยิ้มพราย ถือวิสาสะโอบเอวหญิงสาวและรั้งร่างบางเข้ามาใกล้ พร้อมกับส่งสัญญาณให้นภเกตน์กดชัตเตอร์ทันที
“คุณ!”
ราชนิกุลหนุ่มยิ้มระรื่น ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงค้อนใส่วงโตแล้วหันหลังเพื่อเดินหนี ทว่าชายหนุ่มกลับรั้งข้อมือเธอไว้
“ฉันตั้งใจจะบอกตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มขณะมองสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาพราวระยับ “วันนี้เธองามเหลือเกิน งามเหมือนนางบุษบาเลย”
“บ้า!”
ราชนิกุลหนุ่มมองแววตาที่จ้องมาอย่างตกใจระคนหงุดหงิดพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนที่ร่างบางจะสะบัดข้อมือออก แล้วเดินก้าวยาวๆ หนีไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองเจ้าบ่าวที่ยิ้มอย่างชอบใจแม้แต่น้อย
หากเธอคือนางบุษบาที่ต้องมาแต่งงานกับอิเหนาอย่างเขา บุษบาคนนี้ก็ช่างแก่นแก้วและดื้อรั้นเสียเหลือเกิน
ความเงียบเกิดขึ้นเมื่อแขกเหรื่อทยอยกันออกไปจากห้องหลังเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวเข้าหอ นรีรัตน์บิดตัวแก้อาการเมื่อยล้าแล้วผุดลุกขึ้น เธอถอดมาลัยแฝดที่คล้องคอทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดีก่อนจะเดินไปหน้าประตู หญิงสาวรอจนแน่ใจว่าแขกคนอื่นๆ หายไปจากระเบียงทางเดินแล้วจึงตั้งท่าจะดึงกลอนประตูลง
“เธอจะไปไหน”
หม่อมราชวงศ์หญิงไม่ตอบคำถามของสามีหมาดๆ เธอเขย่งเท้าเพื่อดึงกลอนประตูด้านบนลง ทว่ายังไม่ทันจะเปิดประตู ร่างบางก็ถูกคว้าตัวไว้เสียก่อน
“เธอจะออกไปไหน” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน ขณะที่หญิงสาวพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม
“ฉันก็กลับห้องฉันสิ! คุณบอกเองว่าห้องนอนของฉันอยู่ฝั่งตรงข้าม”
“แต่นี่มันคืนเข้าหอ เธอจะออกไปไหนไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ถึงฉันจะแต่งงานกับคุณแล้ว แต่ฉันก็เป็นเพียงภรรยาแค่ในนามเท่านั้น”
รอยยิ้มพรายปรากฏที่มุมปากของคนเป็นเจ้าบ่าว ขณะที่สายตาจับจ้องใบหน้าของคนเป็นเจ้าสาวที่ตอนนี้แดงก่ำเพราะความโมโห ท่าทีรังเกียจที่ส่งมาทำให้ราชนิกุลหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่นแล้วกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“นี่แปลว่าเธอกลัวว่าคืนนี้ ฉันจะ...”
“อย่าพูดบ้าๆ นะ!” หญิงสาวตัดบทเสียงเขียว ขณะที่ชายหนุ่มมองร่างในอ้อมแขนด้วยนัยน์ตาพราวระยับ
“ตอนนี้เราก็แต่งงานจดทะเบียนกันเรียบร้อยแล้วเสียด้วย” หม่อมเจ้าอธิธัชแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงยียวน พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าหาคนตัวเล็กกว่า “ปกติคืนเข้าหอเขาทำอะไรกันนะ”
“ปล่อย! อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวฉัน!” หญิงสาวตีแขนชายหนุ่มเพื่อให้เขาปล่อยมือ ทว่ายิ่งดิ้นเท่าไร อ้อมแขนกลับยิ่งรัดเข้าหาตัวอีกฝ่ายมากเท่านั้น
“เธอต้องสัญญามาก่อนว่าถ้าฉันปล่อยแล้ว เธอจะไม่ออกไปจากห้อง”
“ไม่มีทาง!”
“งั้นฉันก็ไม่ปล่อย ฉันจะกอดเธอไว้แบบนี้จนเช้าเลย”
ไม่พูดเปล่า ยังกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น แถมยังก้มหน้าลงมาสูดความหอมจากเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายอย่างจงใจ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิจากร่างของคนในอ้อมแขนทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่างของชายหนุ่ม
“ตกลงจะไม่ปล่อยใช่ไหม” นรีรัตน์ถามเสียงเย็น
ราชนิกุลหนุ่มพยักหน้ายืนยันคำตอบหนักแน่นพร้อมกับยักคิ้วให้อย่างท้าทาย ท่าทางยียวนกวนประสาททำให้หม่อมราชวงศ์หญิงใช้มืออีกข้างหยิกแขนเขาเต็มแรง
“โอ๊ย!” ราชนิกุลหนุ่มร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนที่หญิงสาวจะกระทุ้งศอกซ้ำใส่เขาแล้วผลักร่างสูงออกห่าง ทว่ามือหนายังรั้งร่างบางเอาไว้ก่อนจะถลาล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่
“เฮ้ย!” นรีรัตน์ร้องเสียงหลง แม้จะไม่ได้เจ็บตัวมากนักเพราะหล่นลงมาอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม แต่ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดผิวแก้มก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้
“เจ็บตัวเลยเห็นไหม” หม่อมเจ้าอธิธัชพูดเสียงนุ่ม แล้วค่อยๆ คลายอ้อมแขนมาโอบภรรยาไว้หลวมๆ ขณะที่ดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายจ้องเขาอย่างไม่พอใจ
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคุณ”
“วันนี้เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา” ราชนิกุลหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่สนใจอาการต่อต้านของคนในอ้อมแขน “การแต่งงานของเราไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เมื่อเธอแต่งงานกับฉันแล้ว ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้แววตาของหญิงสาวสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว หม่อมเจ้าอธิธัชคือนักธุรกิจผู้เก่งกาจด้านการเจรจา สำหรับเธอแล้ว คำพูดของเขาเปรียบดั่งหนามของดอกกุหลาบ แม้ภายนอกจะดูอ่อนหวานงดงาม ทว่าเมื่อมองให้ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยพิษร้ายและอันตราย
“ให้ตายอย่างไรฉันก็ไม่นอนห้องเดียวกับคุณเด็ดขาด” หญิงสาวพูดเสียงแข็งพร้อมกับยันตัวขึ้นยืน แล้วสาวเท้าไปเปิดประตูอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบพุ่งไปคว้าเอวเจ้าหล่อนไว้
“โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ!”
“ไม่ปล่อย” ราชนิกุลหนุ่มตอบเสียงห้วน หญิงสาวจึงเหยียบเท้าชายหนุ่มเต็มแรงจนเจ้าตัวสะดุ้งอย่างเจ็บปวด แล้วเซล้มลงกับพื้นหน้าห้องทันที
“ในเมื่อคุณไม่ให้ฉันออกไป คุณก็ต้องเป็นคนออกไปแทน คืนนี้เชิญฝ่าบาทบรรทมนอกห้องนะเพคะ” พูดจบก็ปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจคนเจ็บที่นอนร้องโอดโอยอยู่แม้แต่น้อย
“เธอ!” ชายหนุ่มพยายามยันตัวขึ้นยืนแล้วถลามาทุบประตูเสียงดัง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ!”
“เรื่องสิ” นรีรัตน์พึมพำขณะนั่งลงบนเตียงแล้วถอนหายใจยาว เสียงตะโกนหน้าห้องไม่ทำให้หญิงสาวสนใจแต่อย่างใด นัยน์ตาคู่สวยหม่นลงอย่างเศร้าสร้อยเมื่อรับรู้ได้ว่า นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ชีวิตของเธอจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ความคิดเห็น |
---|