บทที่ ๘
ลมหนาวที่พัดพา
“แกขอคุณหญิงแต่งงาน!”
“ใช่” หม่อมเจ้าอธิธัชตอบพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่”
ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องขอเจ้าหล่อนให้เสียเวลาด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำสัญญาของทั้งสองตระกูล นรีรัตน์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการแต่งงานได้อยู่แล้ว
“มันแปลกตรงที่แกพูดโดยไม่ดูสถานการณ์น่ะสิ” ภรพตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ดอกไม้ก็ไม่เตรียมไป แถมยังไปถามง่ายๆ ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้นอีก คุณหญิงไม่เอาปืนยิงแกก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ก็แล้วจะให้ทำอย่างไร คำตอบของการขอแต่งงานมันขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลาหรือไงกัน”
เป็นคำพูดที่ทำให้ภรพเถียงไม่ออก มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดอยู่หรอก แต่แหม...
‘เธอจะแต่งงานกับฉันไหม’
ฟังดูแล้วไม่เหมือนการขอร้องเลยสักนิด อะไรจะอ่อนหัดเรื่องผู้หญิงได้ถึงขนาดนี้ ขนาดเขาเป็นผู้ชายยังนึกหงุดหงิดแทนเลย ขอแต่งงานนะ ไม่ใช่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ที่นึกอยากจะบอกอย่างไรก็ได้
“ขนาดยายกะโปโลยังไม่เห็นว่าอะไร แกไม่เห็นต้องเดือดร้อนแทนเลย”
“แล้วคุณหญิงตอบแกว่าอย่างไร”
“ไม่แต่ง”
“นั่นปะไร ฉันไม่แปลกใจเลย”
“ก็แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรเล่า” หม่อมเจ้าอธิธัชตอบเสียงห้วน เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจนักหรอกที่ต้องแต่งงานกับนรีรัตน์ แต่เขาก็ไม่ได้อยากสมรสกับหม่อมเจ้าขวัญฤทัยเช่นกัน และนรีรัตน์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“แกต้องเริ่มจีบเธอก่อนสิ ไปของ่ายๆ แบบนั้นได้อย่างไร”
“ถ้ามัวแต่จีบคงไม่ได้แต่งกันพอดี แล้วยายกะโปโลเองก็ไม่ได้อยากแต่งกับฉันอยู่แล้ว ที่ฉันถามหล่อนก็ไม่ได้ต้องการคำตอบรับด้วย แค่บอกเล่าให้ฟังเท่านั้น”
ดูเอาเถอะ...มันน่าจับมานั่งอบรมหลักสูตรพิชิตใจนวลนางฉบับเข้มข้นนัก
“ถ้าแกอยากให้ผู้หญิงมอบหัวใจให้ แกต้องใส่ใจความรู้สึกของเธอให้มาก เริ่มจากหัดพูดหวานๆ ก่อนเลย”
“ให้พูดหวานกับยายกะโปโลน่ะหรือ ไม่มีทางหรอก”
“แกอยากแต่งงานใช้ชีวิตกับเธอหรือเปล่า”
“ฉันมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไง”
“ในเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือก ก็เริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าแกทำให้คุณหญิงยอมแต่งงานด้วยไม่ได้ ก็เตรียมแต่งกับท่านหญิงขวัญได้เลย”
ราชนิกุลหนุ่มอยากจะร้อง ‘ฮึ’ แล้วปฏิเสธคำแนะนำของเพื่อนสนิทอย่างไม่ไยดีอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากเขาไม่ได้แต่งงานกับนรีรัตน์แล้ว ราชนิกุลหนุ่มก็จำใจต้องนั่งฟังหลักสูตรพิชิตใจนวลนางที่อีกฝ่ายพูดอย่างช่วยไม่ได้
หม่อมเจ้าอธิธัชยืนกอดอกมองร่างบางของหญิงสาวที่ยังคงรัวหมัดใส่กระสอบทรายราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อนด้วยแววตาใคร่ครวญ หลายปีที่ผ่านมา เขารู้จักน้องสาวคนสุดท้องของเหล่าคุณชายผู้มีชื่อเสียงแห่งวังวโรรสเพียงผิวเผินเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณชายทั้งสามที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี
“ผู้หญิงอะไร...” ชายหนุ่มพึมพำ พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่เธอเล็งปืนใส่หน้า แถมยังประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขาต่อหน้าคนอื่น แล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ยังควงปืนบุกเข้ารังเสี่ยไช้โดยไม่กลัวอันตรายแม้แต่น้อย ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้าล้วนมีแต่สิ่งไม่คาดคิด เธอเคยเป็นศิษย์เอกของครูมวยที่มีชื่อเสียงถึงขั้นลงแข่งมาแล้ว แถมยังยิงปืนแม่นราวกับจับวาง นี่เธอเกิดและโตในรั้วในวังจริงแน่หรือ
ประหลาด...
“ท่านชายเด็จมาพบคุณหญิงหรือเพคะ”
เสียงที่ดังขัดขึ้นทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดลง ชายหนุ่มหันไปมองบ่าวของหญิงสาวที่มายืนข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ด้วยแววตาแปลกใจ
“เดี๋ยวหม่อมฉันไปเรียนคุณหญิงให้นะเพคะ”
“ไม่ต้องครับ ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มตอบทันที แล้วเบือนหน้าไปมองหญิงสาวที่ยังคงเตะกระสอบทรายอย่างไม่สนใจด้วยแววตาคมปลาบ “เดี๋ยวผมขอคุยกับเธอตามลำพังสักครู่นะครับ”
ช้อยพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม ก่อนที่หม่อมเจ้าอธิธัชจะเดินด้วยจังหวะเนิบนาบเข้าไปหาว่าที่ภรรยา แล้วสะกิดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับเรียกเสียงนิ่ง
“ยายกะโปโล”
“เฮ้ย!” นรีรัตน์สะดุ้งสุดตัวแล้วหันกลับมาเงื้อหมัดซัดหน้าผู้บุกรุกทันทีตามสัญชาตญาณ ทว่าชายหนุ่มยกมือขึ้นมารับได้ทันก่อนจะพูดเสียงแข็งว่า
“จะให้แผลใหม่กันรึไง แผลเก่าฉันยังไม่หายดีเลยนะ”
หญิงสาวมองชายผ้าพันแผลที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกผิดเล็กน้อย แล้วเงยหน้าถามเสียงห้วนว่า
“คุณมาที่นี่ทำไม”
“ฉันมารับเธอไปตัดชุดแต่งงาน”
“ฉันไม่ไป” หญิงสาวตอบทันที ทว่าหม่อมเจ้าอธิธัชกลับแสยะยิ้มราวกับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดาของเขา โชคดีที่เขาไปกราบคุณย่าของอีกฝ่ายเพื่อถามอาการป่วยมาก่อนแล้ว ถึงได้มีวิธีการที่จะทำให้เธอยอมไปกับเขาได้
“นั่นก็แล้วแต่เธอ แต่คุณย่าเปรยว่าถ้าวันนี้ท่านไม่เห็นใครแถวนี้ไปตัดชุดแต่งงาน ท่านจะเอาไม้เรียวมาฟาดหลังเจ้าหล่อน”
น้ำเสียงเคร่งขรึมนั้นทำให้หญิงสาวเบือนหน้าไปมองสีหน้าขึงขังของอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
“นี่คุณขู่ฉันหรือ”
“ฉันไม่ได้ขู่ เพียงแค่บอกเล่าให้เธอฟังเท่านั้น” หม่อมเจ้าอธิธัชพูดต่อด้วยสีหน้าเฉยชา “จะว่าไป ไม้เรียวที่ห้องคุณย่าใหญ่ทีเดียวนะ นี่ถ้าโดนฟาดหลายๆ ที คงปวดแสบปวดร้อนน่าดูเชียว”
สีหน้าท่าทางที่เสแสร้งว่าหวาดกลัวของราชนิกุลหนุ่มทำให้นรีรัตน์ค้อนอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด แล้วเดินปึงปังออกจากสวน โดยมีสายตาอีกคู่มองตามอย่างขบขัน
ทว่ารอยยิ้มยียวนของชายหนุ่มก็หุบลงฉับพลัน เมื่อเห็นว่ากระสอบทรายที่ว่าที่ภรรยาเพิ่งเตะต่อยอย่างเอาเป็นเอาตาย มีภาพใบหน้าของเขาติดหราอยู่บนนั้น
สีหน้างอง้ำราวกับม้าหมากรุกของหม่อมราชวงศ์หญิงทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชลอบยิ้มมุมปากอย่างนึกขัน ยิ่งเมื่อเธอแสดงออกว่าไม่พอใจเขาโดยการเดินมาที่รถด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกสมใจแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาสบตาหญิงสาวด้วยแววตาเคร่งขรึมแล้วแกล้งเอ่ยเสียงดุว่า
“กุลสตรีที่ดีควรให้ผู้ชายมายืนรอนานๆ อย่างนั้นหรือ”
“แล้วคุณเป็นสุภาพบุรุษหรือเปล่า สุภาพบุรุษเขาไม่บ่นผู้หญิงด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะคะ” นรีรัตน์สวนกลับ ขณะที่รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของหม่อมเจ้าอธิธัชเจื่อนลงไปทันที “บอกไว้ก่อนนะ ที่ฉันยอมไปกับคุณในครั้งนี้ก็เพราะไม่อยากให้อาการป่วยของคุณย่ากำเริบ ฉันไม่ได้กลัวไม้เรียวอย่างที่คุณขู่แม้แต่น้อย”
“ฉันเชื่อเธอ” ราชนิกุลหนุ่มตอบเสียงยานคาง จ้องดวงตาสีเข้มของหญิงสาวด้วยสีหน้ายียวน “เชื่ออย่างสนิทใจเสียด้วย”
“ถ้าเข้าใจก็ไปได้แล้ว ยืนเฉยอยู่นั่น เสียเวลาจริง”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างระอา แล้วเปิดประตูให้หญิงสาวตามหน้าที่ของสุภาพบุรุษที่ดี
“เชิญครับ”
หม่อมราชวงศ์หญิงมองสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายพร้อมกับทำหน้าเบ้อย่างหมั่นไส้ เธอก้าวเข้าไปนั่งแล้วดึงประตูปิดเองโดยไม่สนใจท่าทางเหนื่อยใจของเขาแม้แต่น้อย
ดวงตาที่ลุกวาวอย่างเอาเรื่องทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งที่คนขับ แล้วค่อยๆ ขับรถออกจากวังวโรรสไป โดยมีตุ๊กตาหน้ารถที่ทำหน้าบูดบึ้งอยู่เคียงข้าง
นรีรัตน์มองราชนิกุลหนุ่มที่ทอดตามองบึงเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยดอกบัวหลากสีอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะมองดอกแก้วที่บานสะพรั่งรอบตัวด้วยแววตาอ่อนลง หลังจากเสร็จธุระที่ห้องเสื้อ หม่อมเจ้าอธิธัชก็พาเธอมาที่นี่โดยให้เหตุผลว่ามีธุระสำคัญที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย ทว่าเธอก็ยังเห็นเขาเอาแต่ยืนรับลมเย็นด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่แบบนั้น
“เธอมีคนรักไหม”
คำถามที่ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้นรีรัตน์เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“ฉันอยากมั่นใจว่า การแต่งงานครั้งนี้จะไม่ทำให้เธอต้องพรากจากคนรักของตนเอง”
“ใครบอกว่าฉันจะแต่งกับคุณ” หญิงสาวสวนทันควัน ขณะที่อีกฝ่ายแย้มยิ้มยียวน
“คงไม่มีสินะ ไม่มีใครเขาชอบผู้หญิงประหลาดอย่างเธอหรอก”
“นี่คุณ!” นรีรัตน์ตีแขนอีกฝ่ายเต็มแรงจนชายหนุ่มสะดุ้งอย่างเจ็บปวด เลือดสีแดงค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากบาดแผลจนแขนเสื้อสีขาวสะอาดเปรอะเปื้อน
“มันเจ็บนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วน ขณะที่หญิงสาวเลิกแขนเสื้อเขาเพื่อดูแผลด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“ทำไมแผลลึกขนาดนี้ คุณได้ไปให้หมอดูอาการบ้างหรือเปล่า”
สีหน้าและแววตาที่แสดงความเป็นห่วงทำให้นัยน์ตาสีเข้มของหม่อมเจ้าอธิธัชเปล่งประกายอย่างประหลาดใจ ใบหน้าหวานที่อยู่ใกล้จนเขาได้ยินเสียงลมหายใจทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้สวยหวานไม่แพ้ใคร เสียแต่ว่าความห้าวหาญเกินหญิงบดบังความน่ารักอ่อนหวานนี้ไป
“เลือดไหลไม่หยุดเลย” เจ้าของริมฝีปากอิ่มพึมพำด้วยสีหน้าร้อนใจ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามากดแผลห้ามเลือดให้เขา
สีหน้าตั้งใจของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มมุมปากอย่างนึกขำ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มบนใบหน้านวล ยามที่เลือดหยุดไหล เขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มเบาๆ ว่า
“เธอเป็นห่วงฉันหรือ”
หม่อมราชวงศ์หญิงเงยหน้ามองคนพูดอย่างตกใจก่อนจะปล่อยแขนเขาทันที ขณะที่นัยน์ตาของราชนิกุลหนุ่มพราวระยับ แม้สีหน้าจะยังคงนิ่งสนิทราวกับรูปปั้นก็ตาม
“เปล่าเสียหน่อย ใครจะเป็นห่วงคนโรคจิตอย่างคุณ” น้ำเสียงคนพูดแข็ง ทว่าใบหน้ากลับขึ้นสีเรื่อ ทำให้มุมปากของคนฟังยกสูงขึ้นน้อยๆ
“ยิ้มอะไรคุณ ยิ้มอยู่ได้ โรคจิตหรือเปล่า”
“ทำไมเธอชอบว่าฉันโรคจิตอยู่เรื่อย”
“ก็คุณโรคจิตจริงๆ นี่ ทั้งโรคจิต เอาแต่ใจ กวนประสาท น่าหมั่นไส้”
ยายกะโปโล...
ด่ากันขนาดนี้ ชาติที่แล้วเขาไปเผาบ้านเธอหรืออย่างไร อยากจะจับมาหยิกแก้มให้หายเคืองนัก แต่ก็ทำไม่ได้...
“ฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้นะ ถึงต้องมาแต่งงานกับคนอย่างคุณ สงสารตัวเองจริงๆ”
ยัง...ยังไม่หยุดด่าเขาอีก
“ทำไมต้องว่ากันขนาดนี้ด้วย ใจร้ายเหลือเกิน” ชายหนุ่มฝืนฉีกยิ้มแล้วตอบด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ถ้าฉันใจร้ายมากนักก็ยกเลิกการแต่งงานไปเลยสิ”
ราชนิกุลหนุ่มยิ้มพรายแล้วตอบหน้าระรื่นว่า
“คู่หมั้นของฉันสวย แถมเรียบร้อยขนาดนี้ จะให้ฉันยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไรกัน”
“คุณ!” นรีรัตน์ตีแขนข้างที่ไม่มีแผลของชายหนุ่ม หม่อมเจ้าอธิธัชกำลังพยายามทลายกำแพงหนาที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านเขา และเธอจะไม่มีวันยอมให้เขาทำสำเร็จ
ชายหนุ่มมองท่าทางหงุดหงิดนั้นพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ เดินไปนั่งบนม้านั่งแล้วเอ่ยเสียงอ่อนลงว่า
“ฉันพาเธอมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะคุยด้วย”
สีหน้าจริงจังยามมองมาทำให้หม่อมราชวงศ์หญิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ขณะที่อีกฝ่ายตบที่นั่งข้างๆ ราวกับจะบอกให้มานั่งด้วยกัน
“มานั่งสิ ฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก ไม่อยากเจ็บตัวอีก”
เป็นประโยคที่ทำให้หญิงสาวค้อนคนพูดอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินปึงปังไปทรุดนั่งข้างอีกฝ่ายโดยที่ยังรักษาระยะห่างเอาไว้
“คุณมีอะไรจะคุยกับฉันคะ”
“ลมเย็นดีนะ สงสัยลมหนาวจะพัดมา”
การพูดอะไรเรื่อยเปื่อยทำให้นรีรัตน์กลอกตาพร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างจงใจ ดูเอาเถอะ พอดีด้วยก็พูดจาไม่รู้เรื่องราวกับต้องการยั่วโมโหเธอ
หม่อมเจ้าอธิธัชยิ้มมุมปากอย่างนึกขำท่าทางหงุดหงิดของอีกฝ่าย
“เธอคงลำบากใจมากสินะที่ต้องมาแต่งงานกับฉัน”
“แล้วคุณรับได้หรือคะที่ต้องแต่งงานกับคนที่คุณไม่ได้รัก”
“ฉันต้องรักษาสัญญาของเด็จพ่อ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อเธอแต่งงานกับฉันแล้ว ฉันสัญญาว่าเธอจะเป็นเพียงภรรยาแค่ในนามเท่านั้น และฉันจะไม่ล่วงเกินอะไรเธอโดยที่เธอไม่ยินยอมเป็นอันขาด”
“ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งกับคุณ”
เป็นประโยคที่ทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชสูดลมหายใจลึกอย่างระงับอารมณ์ บอกความจริงก็แล้ว พูดดีด้วยก็แล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย
“เธอมีสิ่งที่อยากปกป้องไหม”
คำถามนอกเรื่องที่ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตอบโดยไม่เสียเวลาคิดว่า
“ครอบครัวและประเทศชาติค่ะ”
“ฉันก็เหมือนกัน” ราชนิกุลหนุ่มตอบพร้อมกับทอดตามองกอบัวหลากสีเบื้องหน้า “ฉันอยากปกป้องณรังค์กูล ปกป้องเกียรติของท่านพ่อโดยการรักษาสัจจะที่ท่านเคยให้ไว้แก่ท่านอาเบศ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะตอบแทนพระคุณของท่านได้”
สีหน้าและน้ำเสียงที่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นแต่แฝงความเศร้าสร้อย ทำให้นรีรัตน์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มของอีกฝ่ายราวกับจะอ่านลงไปให้ลึกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน หม่อมเจ้าอธิธัชพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หรือเพียงเสแสร้งกันแน่
“เธอแต่งงานกับฉันได้ไหม”
หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยหัวใจที่อ่อนล้า การแต่งงานคือการยินยอมพร้อมใจของคนสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทว่าเธอกับหม่อมเจ้าอธิธัชเป็นแค่คนแปลกหน้า เป็นคนที่โดนจับให้ต้องมาแต่งงานกัน เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอและเขาไม่เคยรักกัน
“คุณต้องแต่งงานเพื่อรักษาเกียรติของวงศ์ตระกูล ฉันต้องแต่งงานเพื่อทดแทนพระคุณของท่านพ่อ เราต่างก็ทำตามหน้าที่ของตนเอง โดยที่รู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว คนที่ต้องเจ็บปวดที่สุด...ก็คือเราทั้งคู่นั่นเอง”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับคนโรคจิตอย่างฉัน แต่ถึงยังไงฉันก็อยากขอร้องเธอให้พิจารณาดู” หม่อมเจ้าอธิธัชพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับมองเธอด้วยแววตาที่หญิงสาวไม่อาจละสายตาได้
แววตาของคนที่ขอร้อง เว้าวอน และปรารถนาให้คิดเช่นเดียวกัน...
“แต่คุณกับฉันแทบไม่รู้จักกัน ไม่มีความรักต่อกัน แล้วชีวิตคู่ของเราจะเป็นอย่างไรคะ” หญิงสาวถามกลับด้วยสีหน้านิ่งสนิท “คุณจะยอมรับและบอกใครต่อใครว่าฉันคือภรรยาของคุณ ทั้งที่หัวใจคุณรู้ว่าไม่เคยรักฉันเลยงั้นหรือคะ” ความเงียบคือคำตอบ ขณะที่นรีรัตน์มองแววตาไหววูบของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ เธอไม่เคยรักหม่อมเจ้าอธิธัช เช่นเดียวกับเขาที่ไม่เคยรักเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามความต้องการของผู้ใหญ่
แล้วชีวิตของเธอต่อจากนี้เล่า จะเป็นอย่างไรต่อไป...
“คุณเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้สินะ” หญิงสาวพูดเย้ยหยัน พร้อมกับประสานสายตากับราชนิกุลหนุ่มเนิ่นนาน การแต่งงานเพราะหน้าที่และความจำเป็นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ทว่าเธอจะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่อเขาคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง
หม่อมราชวงศ์หญิงระบายลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองบึงน้ำเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาสั่นระริก แล้วปล่อยให้สายลมหนาวพัดผ่านหัวใจที่อ่อนล้าและด้านชาดวงนี้ไป
นรีรัตน์ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูทางเข้าวังเล็กของผู้เป็นย่าพร้อมกับกำมือแน่น เสียงพูดคุยกันระหว่างพี่ชายทั้งสามกับคุณย่าที่ได้ยินแว่วๆ ทำให้สีหน้าของหญิงสาวเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม หลายวันที่ผ่านมาหลังจากได้พบว่าที่เจ้าบ่าว เธอใช้เวลาคิดทบทวนและไตร่ตรองข้อดีข้อเสียของการยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ด้วยหัวใจที่ทุกข์ระทม และนี่คือวันที่เธอต้องตัดสินใจให้คำตอบแก่คุณย่า
หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ อย่างระงับความรู้สึกสับสนของตนเอง ความคิดในหัวแตกเป็นสองเสียง สมองตะโกนบอกให้ยอมรับการแต่งงานเพื่อจะแอบสืบงานราชการให้สำเร็จ ในขณะที่หัวใจบอกให้ปฏิเสธการแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก
“คุณย่าครับ พวกผมขอความกรุณาให้คุณย่าพิจารณาเรื่องการแต่งงานของยายนิดอีกครั้งครับ” เสียงของพี่ชายคนโตดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่นรีรัตน์กำมือแน่นราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
‘หลักฐานการลักลอบค้าฝิ่นทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้โยงใยไปถึงณรังค์กูลค้าไม้ ผมอยากให้คุณหญิงแฝงตัวเข้าไปสืบเรื่องนี้’
‘ณรังค์กูลเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเส้นสายกว้างขวาง คนแถวนี้เลยไม่ยอมปริปากพูดอะไรครับ’
ถึงอธิบดีดิเรกจะตัดชื่อเธอออกจากคดีค้าฝิ่นเถื่อน แต่งานของเธอก็ยังไม่สิ้นสุด ถ้าเธอเข้าไปในฐานะภรรยาของประธานบริษัท ย่อมมีโอกาสที่จะหาหลักฐานเอาผิดหม่อมเจ้าอธิธัชได้มากกว่าฐานะปลัดอำเภอที่เป็นอยู่ตอนนี้ งานที่คั่งค้างมานานหลายปีจะได้จบสิ้นเสียที
“ถึงจะเป็นคำสัญญาของท่านพ่อ แต่เรื่องนี้ก็สร้างความลำบากใจให้ยายนิดมาก พวกผมเป็นห่วงว่าน้อง...”
คำพูดของนรินธรณ์เงียบหายไป เมื่อน้องสาวของพวกเขาสาวเท้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างคุณย่า
พ่อรู้ว่าเมื่อนิดโตขึ้น คำสัญญานี้จะทำให้ลูกโกรธและเสียใจ ที่พ่อบีบบังคับให้ลูกต้องแต่งงานกับคนที่ลูกอาจไม่ได้รัก แต่พ่อก็อยากขอร้องให้นิดทำเพื่อพ่อ ทำหน้าที่ภรรยาของท่านชายธัชให้ดีที่สุด แม้พ่ออาจไม่ได้อยู่ดูแลนิดจนถึงวันนั้น แต่พ่อขอให้นิดระลึกไว้ว่า ทุกวินาที ทุกลมหายใจทั้งหมดของพ่อ มีไว้เพื่อรักและเป็นห่วงลูกเสมอ
ข้อความสุดท้ายที่ผ่านเข้ามาในหัวทำให้หญิงสาวกวาดตามองพี่ชายทีละคน ก่อนจะมาหยุดที่ผู้เป็นย่า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“นิดจะแต่งงานกับท่านชายค่ะ”
ความคิดเห็น |
---|