บทที่ ๗
กี่เพ้า
นรีรัตน์หมุนตัวแนบร่างกับผนังเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของผู้บุกรุกที่เดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาด้านใน อีกฝ่ายเดินคลำทางไปยังหัวเตียงที่มีโคมไฟตั้งอยู่ ขณะที่มือหนายื่นสะเปะสะปะไปจับโคมไฟ หญิงสาวก็ก้าวไปเผชิญหน้าเขา แล้วซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าของผู้บุกรุกทันที
พลั่ก!
โคมไฟสว่างขึ้นพร้อมกับที่หมัดของเธอพุ่งเข้าปะทะฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ยกมาตั้งรับได้ทัน สีหน้าเย็นชาของชายหนุ่มที่ปรากฏต่อสายตาไม่ทำให้เธอตื่นตะลึงได้เท่าแววตากรุ่นโกรธที่มองมา
“นี่คุณอีกแล้วหรือ!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนหงุดหงิด “คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันต่างหากที่ต้องถาม เธอมาทำอะไรในที่ล่อแหลมแบบนี้” หม่อมเจ้าอธิธัชถามเสียงนิ่งพร้อมกับมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจดเท้า “เห็นขึ้นบันไดมาตอนแรกก็ไม่แน่ใจ แต่พอเจอหมัดหนักๆ ของเธอแล้ว เป็นยายกะโปโลไม่ผิดแน่”
หญิงสาวถลึงตาพร้อมกับสะบัดมือเต็มแรงเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยแขนเธอ ทว่าชายหนุ่มกลับขืนตัวไว้ก่อนจะรั้งเอวบางเข้าหาตัว แล้วดันให้ล้มลงบนเตียงนอนด้วยกัน
“คุณ!” นรีรัตน์พยายามดันร่างสูงออกห่าง ทว่าชายหนุ่มกลับขืนตัวไว้ก่อนจะรีบปลดกระดุมเสื้อของตนเองแล้วถอดมันโยนลงพื้นทันที
“ทำอะไรของคุณ!” หม่อมราชวงศ์หญิงร้องเสียงหลง
ชายหนุ่มเลื่อนมือมาปิดปากหญิงสาวพร้อมกับส่งสายตาปรามให้เงียบ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่คนเคาะจะเปิดเข้ามาทันทีโดยไม่รอคำอนุญาต
ชายฉกรรจ์ร่างสูงหกคนมองเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ขณะที่นรีรัตน์กลั้นหายใจอย่างหวาดหวั่น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าลูกน้องของเสี่ยไช้รู้แล้วว่าเกิดความผิดปกติขึ้นในอาณาเขตของตนเอง
“พวกอั๊วะได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เกรงว่าจะมีคนไม่หวังดีลอบเข้ามาก่อเรื่อง” พูดจบก็ตั้งท่าจะเข้ามาในห้อง ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงรีบหันหน้าหนีกลุ่มนักเลงไปอีกทาง
“อย่าเข้ามา!” ราชนิกุลหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “ผมจ่ายแพงก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวกับผู้หญิงที่ซื้อมา พวกคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามารบกวนเวลาของผม”
นรีรัตน์ลอบมองใบหน้าคมคายที่จ้องไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์อย่างเอาเรื่องด้วยแววตาแปลกใจ คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนกอดเธอในยามนี้ดูไม่เหมือนท่านชายผู้สูงศักดิ์เลยสักนิด มือหนาที่ประสานกับมือเธอร้อนผ่าว ขณะที่หน้าผากเริ่มมีเหงื่อไหลซึม หากคนภายนอกมองคงคิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยจากการร่วมรักกับเธอ ทว่าหญิงสาวรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำใจดีสู้กลุ่มเสือร้ายที่อยู่ตรงหน้า
นี่เขาทำไปเพื่อช่วยเธออย่างนั้นหรือ...
“พวกอั๊วะขอโทษเฮียด้วย แต่พวกอั๊วะต้องดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครบุกรุก”
“แล้วพวกคุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร” ราชนิกุลหนุ่มถามกลับเสียงแข็ง ขณะที่กลุ่มชายฉกรรจ์มองหน้ากันไปมาอย่างไม่พอใจ
“เฮียจะเป็นใครพวกอั๊วะไม่สน พวกอั๊วะต้องตรวจสอบความเรียบร้อย”
“แต่ผมคือหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล และเสี่ยไช้รู้ดีว่าผมมีบุญคุณต่อเขาขนาดไหน”
น้ำเสียงห้วนจัดและท่าทางเอาเรื่องทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์หน้าซีดลงก่อนจะผงะถอยหลัง
“ขอ...ขออภัยขอรับ! พวกอั๊วะไม่ทราบว่าท่านชายเสด็จมาที่นี่ จะได้เตรียมห้องพิเศษไว้ต้อนรับ”
อาการประหม่าจนพูดราชาศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ของกลุ่มนักเลงทำให้นัยน์ตาของหม่อมเจ้าอธิธัชฉายแววพอใจ ขณะที่นรีรัตน์มองหน้าชายหนุ่มอย่างแปลกใจที่เขาพูดถึงเสี่ยไช้ราวกับสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
“ไม่เป็นไร ผมแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว” ชายหนุ่มตอบเสียงแข็ง “ถ้าผมเห็นใครน่าสงสัยจะรีบแจ้ง พวกคุณออกไปได้แล้ว”
ราชนิกุลหนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางประตูที่เปิดค้างไว้ด้วยสีหน้านิ่งสนิท ขณะที่กลุ่มนักเลงมองหน้ากัน ก่อนที่คนเป็นหัวโจกจะหมุนตัวเดินนำออกจากห้องไปด้วยท่าทางขุ่นเคือง
ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มผู้บุกรุกสาวเท้าออกจากห้อง ขณะที่นรีรัตน์เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วลอบถอนหายใจยาว
“พวกมันไปแล้ว”
หญิงสาวบอกเสียงเบา นัยน์ตาคู่สวยมองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบด้วยหัวใจเต้นระรัว ชายหนุ่มผละลุกขึ้นและดึงมือเธอให้ลุกขึ้นตาม ร่างสูงกวาดตามองร่างบางตั้งแต่หัวจดเท้าอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ราวกับไม่ชอบใจ
“แต่งตัวน่าเกลียดเหลือเกิน เกิดมีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้หญิงของโรงน้ำชา เสี่ยไช้ไม่ต้องปิดกิจการหรอกหรือ”
เป็นคำพูดที่ทำให้นรีรัตน์นึกอยากข่วนใบหน้านิ่งสนิทของคนพูดจริงๆ คิดว่าเธอชอบใจที่ได้แต่งกายเช่นนี้หรือไงกัน ถ้าไม่ใช่เพราะงาน เธอไม่มีทางใส่ชุดกี่เพ้ารัดรูปเข้ามาในที่แบบนี้เป็นอันขาด
เขาถอนหายใจยาวพร้อมกับส่ายหน้าราวกับระอาหนักหนา แล้วก้มลงไปเก็บเสื้อที่พื้นขึ้นมาสวมอีกครั้ง
“เธอก่อเรื่องจนเสียงดังไปทั้งตึก คนพวกนั้นจะบุกเข้ามาก็ไม่แปลก”
“เลิกพูดมากเสียทีจะได้ไหม แล้วคุณมาที่นี่ทำไม หรือว่า...”
“อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้มาทำอะไรแบบที่เธอคิดแน่ ยังไม่ทันแต่งก็หึงฉันเสียแล้วหรือ”
“หึงบ้านคุณสิ!” นรีรัตน์ตอบเสียงห้วนอย่างหงุดหงิด เธอตรวจสอบประตูตู้เสื้อผ้าอีกครั้งแล้วสาวเท้าไปที่ประตู ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะวิ่งลงบันไดตามร่างบาง ลัดเลาะออกไปทางประตูหลัง
นรีรัตน์มองซ้ายมองขวาก่อนจะพุ่งออกไปทางหลังร้าน พบว่าจ่าวิเชียรและประจักษ์ยังคงรอเธออยู่ด้านนอกตามที่เคยขอร้องไว้
“คุณปลัด! เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“เสือบางไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกลูกน้องของมันก็ไม่รู้ว่าเสือบางอยู่ที่ไหน เราต้องรีบเรียกกำลังเสริมมาจับกุมลูกน้องของมันก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน”
วิเชียรและประจักษ์พยักหน้ารับแล้วแยกย้ายไปทำตามคำสั่ง นรีรัตน์เบือนหน้าไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงยืนมองเธอด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
หม่อมเจ้าอธิธัชถอนหายใจยาวอย่างระอา ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากคุยกับเธอในเวลานี้เท่าไรนัก ถ้าบังเอิญว่าเขาไม่ได้ต้องมาพบคนในโรงน้ำชานี้ แล้วบังเอิญเห็นยายกะโปโลเดินเกาะแขนคนที่เขาอยากพบขึ้นบันไดไปข้างบน เขาก็คงไม่แอบตามขึ้นมา แล้วเจอเธอกระทืบผู้ชายอยู่ในห้องหรอก
“คุณรีบไปจากที่นี่เสีย ฉันต้องจัดการงานของฉันต่อ ไม่มีเวลามาคุยกับคุณหรอก”
“พวกมันอยู่นั่น! ไปจับมา!”
เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวทำให้สองหนุ่มสาวชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อกลุ่มลูกน้องของเสือบางชี้มาที่เธอด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว แต่ก่อนที่นรีรัตน์จะได้ลงมือทำอะไร ก็ถูกใครอีกคนคว้าข้อมือไว้แล้วลากให้ออกวิ่งทันที
“เดี๋ยวคุณ!” หม่อมราชวงศ์หญิงตะโกนพร้อมกับพยายามสะบัดมืออีกฝ่ายออก “คุณรีบหนีไป ฉันจะลากคอพวกมันเข้าตะรางให้ได้”
“เธอจะจัดการได้อย่างไร พวกมันเยอะขนาดนั้น”
“แต่นี่เป็นงานของฉัน” นรีรัตน์พูดเสียงกร้าว ก่อนจะสะบัดแขนออกแล้วหมุนตัวกลับไปหาชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสายตาที่มองตามอย่างเป็นห่วงแม้แต่น้อย
เลือดร้อนจริงๆ
ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดแล้ววิ่งตามร่างบางไปอย่างเร่งรีบ เจ้าหล่อนจะรู้บ้างไหมว่าพื้นที่แถบนี้อันตรายแค่ไหน ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ศัตรูก็อาจแว้งกลับมาเป็นฝ่ายรุกไล่ได้
นรีรัตน์ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนร้ายที่ตามล่าเธอกำลังถูกไล่ต้อนโดยตำรวจหลายนายที่มาทันเวลา แต่แล้วดวงตาสีเข้มก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าไม่ไกลกันนักมีเด็กหญิงอายุประมาณห้าถึงหกขวบกำลังร้องไห้อยู่ใกล้กองกระดาษที่ถูกนำมาทิ้งไว้ ตามเนื้อตัวของเด็กหญิงเลอะเทอะไปด้วยดินโคลนและมีคราบเลือดเกรอะกรัง
“ไม่เป็นไรนะ พี่มาช่วยแล้ว” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วอุ้มเด็กน้อยที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาไว้ในอ้อมแขน “พ่อแม่หนูไปไหนจ๊ะ”
“พะ...พ่อ” เด็กหญิงสะอื้นไห้ ขณะที่นรีรัตน์ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องนะ พี่จะพาหนูไปจากที่นี่เองนะ”
“กรี๊ด!”
เด็กหญิงกรีดร้องเมื่อชายร่างยักษ์โผล่ออกมาจากซอกเล็กๆ พร้อมกับเงื้อมีดสุดแขน ขณะที่นรีรัตน์เบิกตากว้าง แล้วเอี้ยวตัวหลบโดยเอาตัวบังเด็กหญิงไว้ ทว่าเธอรู้ดีว่าระยะประชิดขนาดนี้ อย่างไรก็คงหลบไม่พ้น
ฉึก!
“โอ๊ย!”
หญิงสาวลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังขึ้นใกล้ๆ ดวงตาคู่โตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าคมมีดที่ควรจะปักลงบนร่างกายเธอกลับปักลงบนต้นแขนของใครบางคนที่เอาตัวบังเธอไว้ ก่อนที่ชายฉกรรจ์เจ้าของมีดจะทรุดลงกับพื้นเพราะถูกถีบเข้าที่ท้องเต็มแรง
“คุณ!”
ร่างสูงเม้มปากแน่นราวกับระงับความเจ็บปวด ขณะที่เธอส่งเด็กหญิงในอ้อมแขนให้ประจักษ์ที่วิ่งเข้ามาหา แล้วรีบหันไปดูอาการของคนเจ็บที่พยายามดึงมีดที่ปักแขนออก
“กลับมาทำไมอีก ฉันบอกให้ออกไปจากที่นี่ก็ไม่ฟัง”
“ฉันช่วยเธอนะ แทนที่จะว่า ไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยหรือ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดความยียวนของอีกฝ่าย ขณะที่ธารโลหิตที่หยดลงบนพื้นทำให้แววตาแข็งกร้าวคล้ายจะอ่อนลง ถึงเธอจะเกลียดราชนิกุลผู้สูงศักดิ์คนนี้แค่ไหน แต่เขาเพิ่งช่วยชีวิตเธอ และเธอก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำถึงขนาดมองข้ามความดีของเขาไป
“ขอบคุณก็ได้ แต่ตอนนี้คุณรีบถอยไปก่อน มันเกะกะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับพยายามดันร่างชายหนุ่มให้หลบออกไปจากบริเวณนั้น ทว่าเพราะชุดที่รัดรูปและอึดอัด ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปได้ยากเต็มทน จนเธอเสียจังหวะถูกคนร้ายเข้าล็อกคอ
“ปล่อย!” นรีรัตน์แค่นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่ตำรวจอีกนายหนึ่งกำลังแลกหมัดกับชายฉกรรจ์อีกคนอย่างดุเดือด เธอพยายามเอื้อมมือมาหยิบปืนที่แอบซ่อนไว้ที่ข้อเท้า ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์อีกคนค่อยๆ ชักปืนออกมาเล็งที่ตำแหน่งหัวใจเธอ
“ตายเสียเถอะ!”
ปัง!
หยดเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้านวล ขณะที่ลูกกระสุนฝังเข้าที่มือของชายร่างยักษ์อย่างแม่นยำจนปืนที่อีกฝ่ายถือหลุดกระเด็น นรีรัตน์เบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ลั่นไกช่วยชีวิตเธอ ก่อนจะกระทืบเท้าใส่ชายที่กำลังล็อกคอ แล้วซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายจนสลบไป
หญิงสาวเอามือปาดหยดเลือดและคราบดินปืนที่เปรอะเปื้อนใบหน้า แล้วหันไปมองพลเมืองดีที่ยังคงเอามือห้ามเลือดที่แผลอย่างพิจารณา
“ดูท่าฉันกับเธอคงมีกรรมต่อกันเป็นแน่แท้” ราชนิกุลหนุ่มพูดเสียงขรึมพร้อมกับรับผ้าเช็ดหน้าของอีกฝ่ายมากดแผลเพื่อห้ามเลือด “เจอกันทีไร มีเรื่องให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวตลอด”
“บอกให้รีบหนีไปก็ไม่ยอมเชื่อ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ” นรีรัตน์ตอบอย่างเฉยชา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหม่อมเจ้าอธิธัชก้าวเข้ามาชิดพร้อมกับรั้งร่างบางเข้าหาตัวด้วยทีท่าหงุดหงิด
“ปล่อยนะ!”
ชายหนุ่มแย้มยิ้มราวกับจะยั่วก่อนจะกอดเอวบางแน่น แล้วก้มหน้าลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว
“เธอนี่ชอบยั่วโมโหคนอื่นเสียจริง”
“บอกให้ปล่อยไง!” หญิงสาวสวนกลับพร้อมกับดันร่างหนาออกห่าง ขณะที่ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น
“แต่งงานกันแล้ว ห้ามแต่งตัวแบบนี้นะ” เขากระซิบเสียงทุ้มข้างหู ขณะที่นรีรัตน์ตัวแข็งทื่ออย่างตื่นตะลึง “เห็นแล้วเดี๋ยวไม่มีอารมณ์ทำเรื่องแบบนั้นกันพอดี”
“ไอ้โรคจิต!” หม่อมราชวงศ์หญิงตวาดเสียงห้วนพร้อมกับผลักร่างสูงเต็มแรง “พูดบ้าอะไรของคุณ!”
ราชนิกุลหนุ่มหัวเราะในลำคอ แล้วผูกแขนเสื้อสูทที่เพิ่งถอดมาพันรอบเอวหญิงสาวเพื่อบังรอยขาดของกระโปรงที่เผยให้เห็นเนื้อนวลอยู่รำไร
“ซนจนกระโปรงขาด ไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย”
นรีรัตน์ผลักร่างหนาออกห่าง ขณะที่หม่อมเจ้าอธิธัชยักคิ้วให้ว่าที่ภรรยาอย่างยียวน สองหนุ่มสาวเริ่มจะมีปากเสียงกันขึ้นมาอีกรอบ ทว่าเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ก็ทำให้คำพูดทั้งหลายหยุดไปในทันที
“คุณปลัดครับ เราจับกุมพวกมันได้แค่สี่คน ที่เหลือหนีรอดไปได้ครับ ตอนนี้สารวัตรกำลังนำกำลังส่วนหนึ่งไปตามจับพวกที่เหลือ ส่วนเด็กผู้หญิงที่คุณปลัดช่วยไว้ จ่าวิเชียรกำลังตามหาพ่อแม่เด็กอยู่ครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเอ่ยขอบคุณประจักษ์ที่แจ้งข้อมูลกับเธอ ก่อนที่หม่อมเจ้าอธิธัชจะเขยิบเข้ามาใกล้ว่าที่ภรรยาแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง
“เธอจะแต่งงานกับฉันไหม”
นรีรัตน์ชะงัก เงยหน้ามองสีหน้านิ่งสนิทของราชนิกุลหนุ่มอย่างระงับอารมณ์ ความเงียบที่เกิดขึ้นรอบกายไม่ทำให้เธออึดอัดใจได้เท่ากับท่าทางเฉยชาและไร้อารมณ์ของผู้ชายตรงหน้า
“นี่คือวิธีการขอแต่งงานของคุณหรือคะ” หญิงสาวถามกลับเสียงยานคาง แม้เธอจะไม่เคยมีความรัก ไม่เคยวาดฝันถึงการมีงานแต่งงานที่ชวนฝันและงดงาม ทว่าวิธีการขอแต่งงานของหม่อมเจ้าอธิธัชก็ทำให้เธออยากปรบมือให้ความตรงไปตรงมาของเขาจริงๆ
“เธอยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ แต่ฉันอยากให้เธอลองทบทวน...”
“ฉันไม่แต่ง” หญิงสาวตอบทันทีอย่างไร้เยื่อใย แล้วหมุนตัวหันหลังหนี “คุณเองก็รีบไปทำแผลได้แล้ว ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก”
“ฉันยังไม่ต้องการคำตอบตอนนี้ แต่หวังว่าเธอจะกลับไปคิดดูบ้าง”
นรีรัตน์ไม่ตอบ เธอเดินไปต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“ระวังตัวด้วยนะ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ร่างบางชะงัก เธอสูดลมหายใจลึกแล้วสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปทางที่ตำรวจหลายนายวิ่งหายไป
ความคิดเห็น |
---|