6

โรงน้ำชา


บทที่ ๖
โรงน้ำชา

 

            เสียงพลิกเอกสารสลับกับเสียงขีดเขียนลงบนกระดาษดังสลับกันไปมาตลอดทั้งวันภายในห้องทำงานของนรีรัตน์ ขณะที่เจ้าของห้องจ้องภาพถ่ายปางไม้ของณรังค์กูลที่เชียงใหม่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “เชิญค่ะ”
            นรีรัตน์เงยหน้ามองชายสองวัยที่สาวเท้าเข้ามา พร้อมกับยกมือไหว้ผู้เป็นนายและผู้ช่วยหนุ่มอย่างเรียบร้อย
            “การเดินทางเรียบร้อยดีนะครับคุณหญิง”
            “ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
            “ผมดีใจเหลือเกินครับที่คุณหญิงกลับมาประจำการที่พระนครเหมือนเดิม” ประจักษ์พูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม

นรีรัตน์มองสีหน้าดีใจอย่างออกนอกหน้าของผู้ช่วยหนุ่มด้วยรอยยิ้มขัน หลังจากที่ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอพระนครได้หนึ่งปี เธอก็ได้รับมอบหมายให้ไปดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอที่เชียงใหม่เพื่อสืบงานราชการถึงสองปีเต็ม ก่อนจะย้ายกลับมาประจำการที่พระนครตามเดิมอีกครั้ง
            “ถ้ารู้ว่าคุณย่าจะให้ฉันกลับมาแต่งงาน ฉันคงไม่กลับมาหรอกค่ะ” หม่อมราชวงศ์หญิงตอบรับเสียงขรึมก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ใกล้ๆ ส่งให้อีกฝ่าย “นี่เป็นหลักฐานทั้งหมดที่ดิฉันรวบรวมได้ระหว่างที่ประจำการอยู่ทางโน้นค่ะ”           อธิบดีดิเรกรับเอกสารจากหญิงสาวมาเปิดดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาพยักหน้าซ้ำๆ อย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าข้อมูลที่ได้รับคืบหน้ากว่าเดิมมากทีเดียว
            “คุณทำได้ดีมากครับ แค่สองปีสามารถเข้าใกล้พวกมันได้มากขนาดนี้ ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ไว้ใจคุณหญิง”
            “แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่า ณรังค์กูลคือนายทุนใหญ่ที่ลักลอบค้าฝิ่น” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “พวกชาวบ้านหรือแม้แต่ตำรวจในท้องที่เองก็ไม่ปริปากพูดอะไรเลยค่ะ”
            “ณรังค์กูลเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมาก ยิ่งเมื่อท่านชายอธิธัชเข้ามาบริหารงานอย่างเต็มตัว ณรังค์กูลค้าไม้ก็ยิ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางครับ” ประจักษ์เสริมต่อด้วยสีหน้าหนักใจ “และเพราะเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลของณรังค์กูล พวกชาวบ้านเลยไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แล้วยังมีข่าวลือหนาหูอีกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางคนก็รู้เห็นกับการลักลอบค้าฝิ่นของณรังค์กูลด้วยครับ”
            หญิงสาวกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ข้าราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี หน้าที่ของข้าราชการคือการดูแลความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชน พวกคนที่เอาตำแหน่งมาหาประโยชน์ส่วนตนนั้นเป็นคนเลวที่สมควรได้รับโทษ
            “ผมทราบมาว่าท่านชายอธิธัชคนนี้คือว่าที่สามีของคุณหญิง”
            นรีรัตน์ถอนหายใจยาวหลังจบคำพูดของผู้เป็นนาย เธอรู้ดีว่าพันธสัญญาระหว่างสองตระกูลจะส่งผลต่อการทำงานของเธอในที่สุด และเธอเองก็จะไม่ยอมเสียงานเพราะเรื่องพรรค์นี้
            “เป็นเพราะคำสัญญาระหว่างท่านพ่อของฉันกับเด็จพ่อของท่านชายค่ะ ฉันไม่เคยยอมรับข้อตกลงนี้”
            “แต่หม่อมเจ้าอธิธัชคือผู้ต้องสงสัยของเรา การที่คุณหญิงเกี่ยวข้องกับเขาอาจทำให้ถูกเพ่งเล็งได้นะครับ”
            “ฉันขอร้องให้ท่านอธิบดีเชื่อและไว้ใจในตัวฉัน เรื่องงานของฉันจะไม่มีวันปนกับเรื่องส่วนตัวเด็ดขาดค่ะ”
            นรีรัตน์สบตาหัวหน้าอย่างแน่วแน่ ขณะที่อีกฝ่ายมองสีหน้าจริงจังของหญิงสาวอย่างประเมิน ก่อนที่เธอจะขอร้องเสียงชัด
            “อนุญาตให้ฉันทำงานนี้ต่อเถอะนะคะ”
            “แต่ผมไม่เห็นด้วย”

น้ำเสียงเย็นชาของคนที่ถือวิสาสะเดินผ่านประตูที่เปิดค้างไว้เข้ามาทำให้รอยยิ้มของหม่อมราชวงศ์หญิงจางหายไปทันที เธอเม้มปากเล็กน้อยแล้วยกมือไหว้นายอำเภอหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
            หม่อมราชวงศ์พศวัต อดิศร นายอำเภอหนุ่มรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยกับเธอคือคนที่หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะปะทะคารมด้วยเสมอ แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเก่งและมีความสามารถ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมองเธอในฐานะเพื่อนร่วมงาน สำหรับเขาแล้ว เธอเป็นเพียงคุณหญิงผู้ดันทุรังและอวดเก่งเท่านั้น
            “กฎของการทำงานระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ต้องสงสัยจะต้องไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจที่ดูแลคดีนั้นๆ” หม่อมราชวงศ์พศวัตพูดต่อโดยไม่สนใจการทำความเคารพของหญิงสาว เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอด้วยซ้ำ “ไม่มีใครมีสิทธิ์ฝ่าฝืนกฎข้อนี้ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ ท่านอธิบดี”
            “เป็นอย่างที่คุณชายพศว่าครับ” อธิบดีดิเรกตอบด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ผมเข้าใจว่าคุณหญิงดูแลเรื่องนี้มานาน ย่อมอยากทำงานนี้ให้สำเร็จ แต่ในสถานการณ์นี้ ผมคงไม่สามารถยินยอมให้คุณหญิงทำคดีนี้ต่อไปได้”
            คำตอบของอธิบดีทำให้หม่อมราชวงศ์หญิงเม้มปากแน่นอย่างระงับอารมณ์ ความเจ็บใจและโกรธเคืองเอ่อท้นอยู่เต็มหัวใจ เพราะหม่อมเจ้าอธิธัชแท้ๆ เรื่องทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้
            “แต่ผมยังอนุญาตให้คุณดูแลเรื่องฝิ่นที่ระบาดในพระนครได้ครับ คนของสารวัตรที่ส่งมาช่วยคุณหญิง ผมอนุญาตให้เขาอยู่ภายใต้การดูแลของคุณได้เหมือนเดิม”
            นรีรัตน์พนมมือไหว้ขอบคุณผู้เป็นนาย ขณะที่หม่อมราชวงศ์พศวัตสบตาหญิงสาวที่จ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนจะส่งเอกสารให้อธิบดีแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง
            “แล้วตอนนี้เรื่องของเสือบางคืบหน้าถึงไหนแล้วครับ”
            “สายของฉันรายงานมาว่าฝิ่นที่ระบาดหนักในพระนครตอนนี้เป็นเครือข่ายของเสือบางค่ะ ตัวเสือบางเองมีแหล่งกบดานอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ไม่นานมานี้ฉันได้ยินว่ามันลงมาที่พระนครค่ะ” หญิงสาวพูดต่อเสียงเครียด “พรรคพวกของเสือบางชอบไปขลุกอยู่ที่โรงน้ำชาของเสี่ยไช้ที่เยาวราช พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปสืบดูค่ะ”
           
            นัยน์ตาสีเข้มมองหญิงสาวร่างอวบอิ่มเย้ายวนในชุดกี่เพ้าที่ตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางหนาที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าอาคารที่ตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงอย่างขมขื่นใจ เธอเบือนหน้าไปมองชายสองคนในชุดม่อฮ่อมใกล้รถขายกระเพาะปลาอย่างพิจารณา ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอีกฝ่ายทำให้นรีรัตน์ถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้าทั้งสอง
            “ถ้าฉันเป็นคนร้าย ฉันรู้ทันทีเลยว่าพวกคุณสองคนเป็นตำรวจ”
            ประจักษ์เบือนหน้ากลับมามองคนที่อยู่ตรงหน้าตาค้าง หญิงสาวที่มักจะแต่งกายทะมัดทะแมงและปกปิดความเป็นผู้หญิงด้วยเสื้อผ้าเฉกเช่นชายหนุ่ม ยามนี้อยู่ในชุดกี่เพ้ารัดรูปสีแดงสดเผยให้เห็นร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้านวลที่ไร้การแต่งแต้มอยู่เสมอ บัดนี้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางที่แม้ไม่มาก แต่ก็ดูงดงามเป็นธรรมชาติ คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือคุณปลัดหัวหน้าของพวกเขาจริงหรือ
            “ใครเสกของใส่คุณปลัด เหตุใดถึงได้ลุกมาแต่งตัวเช่นนี้ ออกไปจากร่างคุณปลัดเสีย!” จ่าวิเชียรพูดพร้อมกับล้วงสร้อยพระที่คอออกมายื่นใส่หน้านรีรัตน์ที่ผงะถอยหลังอย่างตกใจ นี่ถ้าในกระเป๋าของอีกฝ่ายมีข้าวสารเสกหรือน้ำมนต์ ไม่ช้าเธอคงได้ชุ่มฉ่ำเป็นแน่แท้
            “เดี๋ยวเถอะจ่า เวลานี้ยังจะมาพูดเล่นอีก” หญิงสาวตอบเสียงนิ่ง ขณะที่จ่าวิเชียรยังคงกำสร้อยพระในมือแน่น “เรากำลังปลอมตัวสืบคดี ต้องไม่แสดงท่าทีใดๆ ให้คนร้ายรู้ตัวเป็นอันขาด”
            “ครับ!” เสียงตอบรับดังแข็งขัน ก่อนที่หญิงสาวจะเบือนหน้ากลับไปมองโรงน้ำชาอีกครั้ง

“ฉันแอบไปดูรอบๆ มาแล้ว ประตูหลังร้านเปิดทิ้งไว้ ไม่มีคนเฝ้า ฉันจะลอบเข้าไปทางนั้น พวกคุณรอดูลาดเลาอยู่ที่นี่นะคะ”
            “แต่มันอันตรายนะครับคุณปลัด ศัตรูของเราไม่ได้มีแค่เสือบางกับพวกของมัน คุณปลัดจะเข้าไปคนเดียวได้อย่างไรครับ”
            ใช่...ประจักษ์พูดถูก
            โรงน้ำชาของเสี่ยไช้เต็มไปด้วยพวกนักเลง นักพนัน และผู้มีอิทธิพลที่เหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เองก็ไม่อยากยุ่ง หากการสืบคดีของเธอเผลอเหยียบจมูกใครเข้า เสี่ยไช้ไม่มีทางอยู่เฉยแน่
            “ยิ่งเข้าไปกันเยอะยิ่งอันตราย พวกคุณต้องเชื่อใจฉัน คอยสังเกตคนที่น่าสงสัยอยู่ที่นี่ ถ้าภายในสองชั่วโมงฉันไม่กลับออกมา พวกคุณขอกำลังเสริมได้เลยค่ะ”
            นรีรัตน์มองเพื่อนร่วมงานทั้งสองด้วยแววตาหนักแน่น แล้วหมุนตัววิ่งไปทางประตูหลังของโรงน้ำชา หายเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

            เจ้าของดวงตาสีเข้มกวาดมองไปรอบร้านด้วยสีหน้านิ่งสนิท ขณะที่เสียงดนตรีดังกลบเสียงโวยวายของคนในห้องครัวที่กำลังทำงานพลุกพล่านด้านหลังอย่างมิดชิด มือบางเอื้อมไปหยิบถาดน้ำชาที่วางอยู่หลังตู้มาแล้วเดินเข้าไปหลบข้างเสา ลอบมองหลังมือของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เธอได้ข้อมูลมาว่าคนในก๊กเสือบางจะมีรอยสักที่หลังมือเป็นรูปแมงป่อง และดูเหมือนเธอจะพบกลุ่มคนที่น่าสงสัยเข้าแล้ว
            ร่างบางเคลื่อนตัวเข้าไปยืนพิงกำแพงไม่ไกลจากชายฉกรรจ์หกคนที่นั่งเสพฝิ่นอยู่ในมุมมืดของโรงน้ำชา พร้อมกับลอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย เสียงเพลงลูกกรุงที่ขับร้องโดยหญิงคณิกาบนเวทีทำให้เธอได้ยินอะไรไม่ค่อยถนัดนัก
            “พวกตำรวจกำลังล่าตัวพี่บาง ตั้งค่าหัวหลายร้อย ได้ยินว่าพี่บางหนีไปที่...”
            “ความรักร้อยเล่ห์กล รักเอยลวงล่อใจคน หลอกจน...”
            “แต่ข้าได้ข่าวว่าพี่บางยังอยู่ที่นี่ แกหนีไปกบดานแถว...”
            “รักนี้...มีสุขทุกข์เคล้าไป ใครหยั่งถึง...”
            โอ๊ย! บ้าที่สุด!
            เธอไม่ได้ยินข้อมูลสำคัญเลยสักนิด! พอจะถึงคำสำคัญ เสียงของนักร้องหญิงบนเวทีก็แหลมปรี๊ดจนกลบเสียงพูดของลูกน้องเสือบางไปหมด
            “น่าจะกลับเชียงใหม่ไปเสีย จะอยากเจอนังผู้หญิงคนนั้นไปทำไม”
            ผู้หญิงคนนั้น...
            ใครคือผู้หญิงที่เสือบางอยากเจอ จนถึงกับกบดานอยู่ที่นี่ ไม่ยอมหนีกลับไปเชียงใหม่รังเดิมของมัน
            นรีรัตน์คิดไม่ตก ตอนนั้นเองสายตาของชายที่ดูจะเป็นหัวโจกก็หันมาสบเข้ากับเธอ
            หญิงสาวจ้องตาอีกฝ่ายกลับพร้อมกับแย้มยิ้มหวานอย่างเชื้อเชิญตามที่เคยเรียนมาจากนางร้ายในละครช่องบางขุนพรหมที่สมรชอบดู ก่อนที่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จะสาวเท้ามาหยุดตรงหน้าเธอพร้อมกับยิ้มพราย

            “จ้องข้าไม่วางตาเช่นนี้ เอ็งอยากมานั่งกับข้าไหม”
            หม่อมราชวงศ์หญิงมองแววตาหื่นกระหายที่ส่งมา แม้ในใจจะนึกรังเกียจ แต่ก็ตอบไปด้วยเสียงหวานใสไม่แพ้นักร้องบนเวทีว่า
            “อยากสิจ๊ะ แต่ข้างล่างคนเยอะ ทำอะไรคงไม่สะดวกนัก ฉันว่าเราไปหาอะไรสนุกๆ ทำข้างบนกันดีกว่า”
            นรีรัตน์ยิ้มหวานก่อนจะยืนขึ้นแล้วใช้นิ้วเรียวแตะริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน มือหนาค่อยๆ เลื่อนมาโอบเอวเธอ ทว่าหญิงสาวกลับใช้มืออีกข้างจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ แล้วเปลี่ยนมาคล้องแขนเขา พาเดินขึ้นบันไดไปด้านบน
            หญิงสาวแสร้งเอามือปัดผมมาปิดใบหน้า เมื่อหัวโจกยื่นเงินให้พนักงานที่ยืนคุมเชิงอยู่หน้าทางเข้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปโบกมือให้กลุ่มเพื่อนที่ส่งเสียงโห่ร้องปรบมือให้กำลังใจ เธอพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์ก่อนจะพาเจ้าตัวเดินตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด
            “รอยสักพี่สวยมากเลยจ้ะ” หญิงสาวชวนคุยพร้อมกับลูบไล้รอยสักบนหลังมือของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
            “หัวหน้าข้าเป็นคนสักให้ ไม่ใช่ทุกคนจะมีได้” คนพูดโอ้อวด “ข้าต้องต่อสู้สารพัดกว่าจะได้มาอยู่ในก๊กพี่บาง”
            “พี่บาง...หมายถึงเสือบางน่ะหรือจ๊ะ” หญิงสาวถามอย่างตื่นเต้น “เสือบางผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ขายฝิ่นให้พวกนักเลงแถวนี้หรือจ๊ะ ฉันได้ยินชื่อมานานแล้ว อยากพบเหลือเกินจ้ะ”
            ชายฉกรรจ์กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ พร้อมกับใช้เท้าถีบประตูห้องเบื้องหน้าให้เปิดออก
            “ไว้เป็นเมียข้าแล้ว ข้าจะพาเอ็งไปหานายข้า”
            “ไปตอนนี้เลยไม่ได้หรือจ๊ะ” นรีรัตน์อ้อนวอนเสียงหวานพร้อมกับแตะผิวแก้มสากของชายตรงหน้าอย่างเย้ายวน “พี่เอาฉันไปอยู่ด้วยได้ไหม ฉันอยากเป็นเมียพี่ ฉันไม่อยากขายตัวอยู่ในซ่องอีกแล้ว”
 
           “ก็ขึ้นอยู่กับว่าเอ็งจะทำให้ข้าพอใจได้มากแค่ไหน”
            “ฉันทำให้พี่พอใจได้แน่ แต่พี่พาฉันไปตอนนี้เลยได้ไหม แล้วฉันจะตามใจพี่ทุกอย่าง”
            “เอ็งอย่าเรื่องมากได้ไหม ข้าบอกว่าข้าจะพาไปหลังจากได้เอ็งเป็นเมีย ไม่เข้าใจหรือ”
            “ฉันก็แค่อยากมั่นใจว่าพี่จะไม่ทิ้งฉัน เกิดพี่ได้ฉันเป็นเมียแล้วหนีไป ฉันก็แย่สิจ๊ะ พี่อย่าโมโหเลยนะ” นรีรัตน์อ้อนเสียงหวาน คิดแล้วก็กระดากปากเหลือเกิน ถ้าคุณย่ากับพวกพี่ชายรู้ว่าเธอทำเช่นนี้ มีหวังโดนลากไปนั่งคัดคุณสมบัติสตรีไทยห้าร้อยจบ แต่จะทำอย่างไรได้ เธอทำทุกอย่างไปก็เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง
            โชคดีที่ชายร่างยักษ์ไม่ติดใจอะไร อีกฝ่ายดึงแขนเธอเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูทันที นรีรัตน์ลอบมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุ้งเมื่อร่างหนาช้อนตัวเธอขึ้น แล้วโยนเธอลงบนเตียงโดยไม่ใส่ใจที่จะเปิดไฟแม้แต่น้อย
            “เหวอ!” ร่างบางร้องเสียงหลงแล้วดันไหล่หนาทันทีเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้ามาใกล้ ความมืดที่รายล้อมรอบกายทำให้เธอมองอะไรไม่ถนัดนัก ทว่าลมหายใจร้อนที่อยู่ไม่ห่างก็ทำให้เธอเม้มปากแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัว
            “ว่าแต่ตอนนี้พี่พักอยู่แถวไหนหรือจ๊ะ พักกับเสือบางหรือเปล่า”
            “เอ็งจะรู้ไปทำไม อยู่นิ่งๆ!”
            “ใจเย็นก่อนสิจ๊ะ ขอฉันไปถอดเครื่องประดับที่หัวก่อนได้ไหม มันไม่ถนัด” นรีรัตน์พูดพร้อมกับดันไหล่หนาออกห่าง ทว่าอีกฝ่ายยึดไหล่เธอไว้แน่น
            “เอ็งไม่ต้องลุกไปไหน เดี๋ยวข้าถอดให้”
            “อย่าลำบากพี่เลยจ้ะ ฉันถอดเองดีกว่า” หญิงสาวพูดพร้อมกับผลักร่างหนาออกอย่างดื้อดึง ทว่าอีกฝ่ายขืนตัวไว้ แรงอันมหาศาลของหัวโจกทำให้นรีรัตน์ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีดันร่างอีกฝ่ายให้ถอยห่าง
            เผียะ!

            หญิงสาวหน้าหันตามแรงตบ รู้สึกได้ถึงรสคาวเลือดที่มุมปาก ขณะที่ร่างหนาตวาดเสียงก้อง
            “เอ็งจะลีลาอะไรหนักหนาวะ! นี่ไม่ใช่เวลาที่เอ็งจะมาเล่นตัวกับข้า ผู้หญิงข้างถนนอย่างเอ็ง ข้าซื้อมานอนด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว!”
            นรีรัตน์จ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ กำแน่นมืออย่างกรุ่นโกรธ มือหนาบีบไหล่เธอแน่นจนรู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง
            “อย่าคิดเล่นตัวกับข้า! เอ็งมันเป็นแค่ผู้หญิงชั้นต่ำ ไม่มีค่าพอจะมานอนข้างกายข้าด้วยซ้ำ นังผู้หญิงข้างถนน!”
            พลั่ก!

            หม่อมราชวงศ์หญิงซัดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงจนร่างยักษ์เซถลาตกไปข้างเตียง ความอดทนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้กำลังแบบนี้
            “ตอนนี้เสือบางอยู่ที่ไหน!” นรีรัตน์ถามเสียงห้วนพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาแนบร่างกับผนัง หัวโจกสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม ทว่าหญิงสาวล็อกร่างอีกฝ่ายไว้แน่น
            “มึง...มึงเป็นใคร!”
            “ฉันถามว่าเสือบางอยู่ที่ไหน!” พูดจบก็ต่อยท้องอีกฝ่ายซ้ำจนชายร่างยักษ์ตัวงอด้วยความเจ็บปวด
            “กู...กูไม่รู้! กูรู้แต่พี่บางลงมาพระนคร แต่กูไม่รู้ว่าพี่บางอยู่ที่ไหน!”
            “จะบอกหรือไม่บอก” น้ำเสียงของคนถามเย็นยะเยือก ขณะที่ชายร่างยักษ์ตาเหลือกเพราะถูกหญิงสาวบีบคอแน่นจนหายใจไม่ออก
            “กู...กูไม่รู้โว้ย!”
            “ไร้ประโยชน์จริงๆ” นรีรัตน์พึมพำแล้วคลายมือที่บีบคอนักโทษออก ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะผละหนี กำปั้นก็ซัดเข้าที่ใบหน้าหัวโจกด้วยแรงทั้งหมดที่มีให้สมกับที่มันข่มเหงเธอ

            โครม!
            ร่างยักษ์เซไปชนตู้เสื้อผ้าก่อนไถลลงนอนหมดสภาพ ไม่เหลือคราบลูกสมุนใจเหี้ยมของเสือบาง ขณะที่ดวงตาสีเข้มมองร่างฟกช้ำนั้นอย่างสมเพช ก่อนจะตรงไปลากร่างที่สลบไสลของอีกฝ่ายยัดเข้าไปในตู้ แล้วจัดการปิดประตูลงกลอนแน่นหนา ทว่ายังไม่ทันสาวเท้าไปยังทางออก ประตูห้องนอนก็เปิดออกเต็มแรง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น