บทที่ ๖
โรงน้ำชา
เสียงพลิกเอกสารสลับกับเสียงขีดเขียนลงบนกระดาษดังสลับกันไปมาตลอดทั้งวันภายในห้องทำงานของนรีรัตน์
ขณะที่เจ้าของห้องจ้องภาพถ่ายปางไม้ของณรังค์กูลที่เชียงใหม่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เชิญค่ะ”
นรีรัตน์เงยหน้ามองชายสองวัยที่สาวเท้าเข้ามา
พร้อมกับยกมือไหว้ผู้เป็นนายและผู้ช่วยหนุ่มอย่างเรียบร้อย
“การเดินทางเรียบร้อยดีนะครับคุณหญิง”
“ค่ะ
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
“ผมดีใจเหลือเกินครับที่คุณหญิงกลับมาประจำการที่พระนครเหมือนเดิม”
ประจักษ์พูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม
นรีรัตน์มองสีหน้าดีใจอย่างออกนอกหน้าของผู้ช่วยหนุ่มด้วยรอยยิ้มขัน
หลังจากที่ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอพระนครได้หนึ่งปี
เธอก็ได้รับมอบหมายให้ไปดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอที่เชียงใหม่เพื่อสืบงานราชการถึงสองปีเต็ม
ก่อนจะย้ายกลับมาประจำการที่พระนครตามเดิมอีกครั้ง
“ถ้ารู้ว่าคุณย่าจะให้ฉันกลับมาแต่งงาน
ฉันคงไม่กลับมาหรอกค่ะ”
หม่อมราชวงศ์หญิงตอบรับเสียงขรึมก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ใกล้ๆ ส่งให้อีกฝ่าย
“นี่เป็นหลักฐานทั้งหมดที่ดิฉันรวบรวมได้ระหว่างที่ประจำการอยู่ทางโน้นค่ะ” อธิบดีดิเรกรับเอกสารจากหญิงสาวมาเปิดดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขาพยักหน้าซ้ำๆ อย่างพึงพอใจ
เมื่อเห็นว่าข้อมูลที่ได้รับคืบหน้ากว่าเดิมมากทีเดียว
“คุณทำได้ดีมากครับ
แค่สองปีสามารถเข้าใกล้พวกมันได้มากขนาดนี้ ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ไว้ใจคุณหญิง”
“แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่า
ณรังค์กูลคือนายทุนใหญ่ที่ลักลอบค้าฝิ่น” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าหนักใจ
“พวกชาวบ้านหรือแม้แต่ตำรวจในท้องที่เองก็ไม่ปริปากพูดอะไรเลยค่ะ”
“ณรังค์กูลเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมาก
ยิ่งเมื่อท่านชายอธิธัชเข้ามาบริหารงานอย่างเต็มตัว
ณรังค์กูลค้าไม้ก็ยิ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางครับ” ประจักษ์เสริมต่อด้วยสีหน้าหนักใจ
“และเพราะเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลของณรังค์กูล พวกชาวบ้านเลยไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
แล้วยังมีข่าวลือหนาหูอีกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางคนก็รู้เห็นกับการลักลอบค้าฝิ่นของณรังค์กูลด้วยครับ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
ข้าราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
หน้าที่ของข้าราชการคือการดูแลความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชน พวกคนที่เอาตำแหน่งมาหาประโยชน์ส่วนตนนั้นเป็นคนเลวที่สมควรได้รับโทษ
“ผมทราบมาว่าท่านชายอธิธัชคนนี้คือว่าที่สามีของคุณหญิง”
นรีรัตน์ถอนหายใจยาวหลังจบคำพูดของผู้เป็นนาย
เธอรู้ดีว่าพันธสัญญาระหว่างสองตระกูลจะส่งผลต่อการทำงานของเธอในที่สุด
และเธอเองก็จะไม่ยอมเสียงานเพราะเรื่องพรรค์นี้
“เป็นเพราะคำสัญญาระหว่างท่านพ่อของฉันกับเด็จพ่อของท่านชายค่ะ
ฉันไม่เคยยอมรับข้อตกลงนี้”
“แต่หม่อมเจ้าอธิธัชคือผู้ต้องสงสัยของเรา
การที่คุณหญิงเกี่ยวข้องกับเขาอาจทำให้ถูกเพ่งเล็งได้นะครับ”
“ฉันขอร้องให้ท่านอธิบดีเชื่อและไว้ใจในตัวฉัน
เรื่องงานของฉันจะไม่มีวันปนกับเรื่องส่วนตัวเด็ดขาดค่ะ”
นรีรัตน์สบตาหัวหน้าอย่างแน่วแน่
ขณะที่อีกฝ่ายมองสีหน้าจริงจังของหญิงสาวอย่างประเมิน ก่อนที่เธอจะขอร้องเสียงชัด
“อนุญาตให้ฉันทำงานนี้ต่อเถอะนะคะ”
“แต่ผมไม่เห็นด้วย”
น้ำเสียงเย็นชาของคนที่ถือวิสาสะเดินผ่านประตูที่เปิดค้างไว้เข้ามาทำให้รอยยิ้มของหม่อมราชวงศ์หญิงจางหายไปทันที
เธอเม้มปากเล็กน้อยแล้วยกมือไหว้นายอำเภอหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หม่อมราชวงศ์พศวัต
อดิศร
นายอำเภอหนุ่มรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยกับเธอคือคนที่หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะปะทะคารมด้วยเสมอ
แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเก่งและมีความสามารถ
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมองเธอในฐานะเพื่อนร่วมงาน สำหรับเขาแล้ว
เธอเป็นเพียงคุณหญิงผู้ดันทุรังและอวดเก่งเท่านั้น
“กฎของการทำงานระบุไว้ชัดเจนว่า
ผู้ต้องสงสัยจะต้องไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจที่ดูแลคดีนั้นๆ”
หม่อมราชวงศ์พศวัตพูดต่อโดยไม่สนใจการทำความเคารพของหญิงสาว
เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอด้วยซ้ำ “ไม่มีใครมีสิทธิ์ฝ่าฝืนกฎข้อนี้ ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
ท่านอธิบดี”
“เป็นอย่างที่คุณชายพศว่าครับ”
อธิบดีดิเรกตอบด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ผมเข้าใจว่าคุณหญิงดูแลเรื่องนี้มานาน
ย่อมอยากทำงานนี้ให้สำเร็จ แต่ในสถานการณ์นี้
ผมคงไม่สามารถยินยอมให้คุณหญิงทำคดีนี้ต่อไปได้”
คำตอบของอธิบดีทำให้หม่อมราชวงศ์หญิงเม้มปากแน่นอย่างระงับอารมณ์
ความเจ็บใจและโกรธเคืองเอ่อท้นอยู่เต็มหัวใจ เพราะหม่อมเจ้าอธิธัชแท้ๆ เรื่องทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้
“แต่ผมยังอนุญาตให้คุณดูแลเรื่องฝิ่นที่ระบาดในพระนครได้ครับ
คนของสารวัตรที่ส่งมาช่วยคุณหญิง ผมอนุญาตให้เขาอยู่ภายใต้การดูแลของคุณได้เหมือนเดิม”
นรีรัตน์พนมมือไหว้ขอบคุณผู้เป็นนาย
ขณะที่หม่อมราชวงศ์พศวัตสบตาหญิงสาวที่จ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนจะส่งเอกสารให้อธิบดีแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง
“แล้วตอนนี้เรื่องของเสือบางคืบหน้าถึงไหนแล้วครับ”
“สายของฉันรายงานมาว่าฝิ่นที่ระบาดหนักในพระนครตอนนี้เป็นเครือข่ายของเสือบางค่ะ
ตัวเสือบางเองมีแหล่งกบดานอยู่ที่เชียงใหม่
แต่ไม่นานมานี้ฉันได้ยินว่ามันลงมาที่พระนครค่ะ” หญิงสาวพูดต่อเสียงเครียด
“พรรคพวกของเสือบางชอบไปขลุกอยู่ที่โรงน้ำชาของเสี่ยไช้ที่เยาวราช
พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปสืบดูค่ะ”
นัยน์ตาสีเข้มมองหญิงสาวร่างอวบอิ่มเย้ายวนในชุดกี่เพ้าที่ตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางหนาที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าอาคารที่ตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงอย่างขมขื่นใจ
เธอเบือนหน้าไปมองชายสองคนในชุดม่อฮ่อมใกล้รถขายกระเพาะปลาอย่างพิจารณา ท่าทางเก้ๆ
กังๆ ของอีกฝ่ายทำให้นรีรัตน์ถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้าทั้งสอง
“ถ้าฉันเป็นคนร้าย
ฉันรู้ทันทีเลยว่าพวกคุณสองคนเป็นตำรวจ”
ประจักษ์เบือนหน้ากลับมามองคนที่อยู่ตรงหน้าตาค้าง
หญิงสาวที่มักจะแต่งกายทะมัดทะแมงและปกปิดความเป็นผู้หญิงด้วยเสื้อผ้าเฉกเช่นชายหนุ่ม
ยามนี้อยู่ในชุดกี่เพ้ารัดรูปสีแดงสดเผยให้เห็นร่างอรชรอ้อนแอ้น
ใบหน้านวลที่ไร้การแต่งแต้มอยู่เสมอ บัดนี้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางที่แม้ไม่มาก
แต่ก็ดูงดงามเป็นธรรมชาติ
คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือคุณปลัดหัวหน้าของพวกเขาจริงหรือ
“ใครเสกของใส่คุณปลัด
เหตุใดถึงได้ลุกมาแต่งตัวเช่นนี้ ออกไปจากร่างคุณปลัดเสีย!”
จ่าวิเชียรพูดพร้อมกับล้วงสร้อยพระที่คอออกมายื่นใส่หน้านรีรัตน์ที่ผงะถอยหลังอย่างตกใจ
นี่ถ้าในกระเป๋าของอีกฝ่ายมีข้าวสารเสกหรือน้ำมนต์ ไม่ช้าเธอคงได้ชุ่มฉ่ำเป็นแน่แท้
“เดี๋ยวเถอะจ่า
เวลานี้ยังจะมาพูดเล่นอีก” หญิงสาวตอบเสียงนิ่ง ขณะที่จ่าวิเชียรยังคงกำสร้อยพระในมือแน่น
“เรากำลังปลอมตัวสืบคดี ต้องไม่แสดงท่าทีใดๆ ให้คนร้ายรู้ตัวเป็นอันขาด”
“ครับ!”
เสียงตอบรับดังแข็งขัน ก่อนที่หญิงสาวจะเบือนหน้ากลับไปมองโรงน้ำชาอีกครั้ง
ความคิดเห็น |
---|