ตอนที่ 1 คุ้มตันฉเว
อาการโงกเงกโงนเงนราวหกชั่วโมงทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายและคลื่นเหียนชวนอาเจียน หากไม่เสียดายข้าวเหนียวกับไข่ป่ามของมิเม พี่เลี้ยงสาวชาวมอญที่แหกขี้ตาตื่นมาทำกับข้าวให้ตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน เธอคงสำรอกจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ไม่นับที่มิเมต้องตื่นมาก่อไฟตั้งเตาทำไข่ป่ามหอมๆ ให้แม่หญิงที่นางรักเสียยิ่งกว่าชีวิตตัว ให้ได้อิ่มท้องแทนการกินปลาแห้งและเนื้อเค็มๆ แข็งๆ ไร้รสใดนอกเสียจากรสเค็มจนขม โชคดีของมิเมที่พวกบ่าวหลามข้าวเหนียวไว้ให้ในกระบอกไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว
เจ้าของริมฝีปากอิ่มสีชมพูหวานถอนหายใจเป็นครั้งที่ 28 แล้วหากมิเมนับไม่ผิด แม่หญิงของนางเหตุใดจึงไม่ยอมพักสายตาจากทางเบื้องหน้านี้เสียที ทั้งๆ ที่ตลอดสองข้างทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ไร้สีสันใดนอกจากสีเขียวสด น่าเบื่อ ไม่เหมือนในเวียงที่มีอะไรให้ตื่นเต้นและน่าสนุก ทั้งการเดินตลาดไปเลือกซื้อผ้าสีสันสดสวย อาหารการกินหลากหลาย เครื่องประดับ ดูเหมือนมิเมจะติดชีวิตชาวเวียงจนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้หล่อนเป็นเพียงลูกไพร่ที่ร่างกายอ่อนแอและถูกทิ้งไว้ให้ตายกลางทุ่งนา เคราะห์ดีที่มีคนไปพบเข้าและพาตัวมายังบ้านของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ มิเมจึงได้เติบโตขึ้นเป็นสาวชาวเวียง ก่อนหน้านี้หล่อนเป็นเพียงลูกไพร่ชาวมอญที่ติดตามครอบครัว อพยพจากป่าเข้ามาในเวียง
ต้นไม้ใบเขียวแผ่กิ่งก้านสาขาดั่งมือหนาที่ครอบคลุมผืนป่าใหญ่แห่งนี้เอาไว้ บังแสงแดดในยามสายโด่งให้พอลอดผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างใบสักใหญ่ ทาบกับใบตะแบกกลมรีที่ปรกอยู่เหนือหัว น้ำค้างหยดเล็กๆ หยาดแหมะลงเหนือกูบหรือประทุนไม้ไผ่ที่สานขึ้นเป็นโดมโค้งเหนือแหย่งที่นั่งบนหลังช้าง ไม่แปลกใจเลยที่คนนั่งจะรู้สึกโงนเงน เพราะช้างตัวมหึมาเดินขึ้นเขาลงห้วยคงไม่นุ่มนวลเท่ากับเกวียนที่วิ่งบนทางเรียบ
“นั่นดอกอะไร” สาวชาวเวียงถามพี่เลี้ยงเสียงหวาน
“อ้ายเมา! ดอกนั้นดอกอะไร” มิมาร้องถามควาญช้างชาวขมุอีกต่อหนึ่ง
“ดอกเอิ้ง (เอื้อง)” อ้ายเมาว่า ชายหนุ่มนุ่งโสร่งไหมลายตารางหันมองดอกไม้เล็กๆ ที่เกาะเกี่ยวลำต้นหนาของต้นสักใหญ่ บ่าหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงห่มผ้าตุ๊ม1ไว้ เพราะไม่ว่าอากาศจะร้อนแรงหรือหนาวเหน็บเท่าใด ชาวขมุก็ไม่ยอมใส่เสื้อ มีก็แต่ผ้าตุ๊มผืนหนาเท่านั้นที่ใช้ห่มคลุมกายที่เต็มไปด้วยรอยสัก
“ดอกเอื้องอะไร” หญิงสาวชาวเวียงเร่งถามต่อก่อนช้างใหญ่จะเดินผ่านดอกไม้งามดอกนั้นไป
“อ้ายเมา! ดอกเอื้องอะไร” มิเมเร่งถามต่อ
“ดอกเอิ้งดอย” หนุ่มควาญหน้าใสตอบอย่างไม่ใส่ใจคำถามนัก อาจเพราะไม่รู้จักว่ากล้วยไม้ดอกน้อยนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร เพียงแต่ตอบให้พอไม่ขัดใจแม่หญิงชาวเวียง ลูกหลานสะฅ่วยหรือเศรษฐีผู้มีอันจะกินในเวียงใหญ่ มิวายจะถูกถีบหัวส่งกลับบ้านป่าบ้านห้วยพร้อมกับรอยหวายกลางแผ่นหลัง
เสียงนกกะรางร้องคลอบรรยากาศอันเงียบสงบแทรกเสียงแมลงและแสงสัตว์มากมายที่เร้นกายอยู่ตามป่าเขา เก้งกวางน้อยใหญ่ส่งเสียงเล็กแหลมอยู่ไกลๆ ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ป่านานาที่แย้มกลีบเบ่งบานอวดโฉมสะคราญให้ควาญชายเด็ดชมตามอำเภอใจ ช้างหนุ่มยื่นงวงยาวลิดดอกเอื้องสวยให้แก่นายมัน ก่อนอ้ายเมาควาญหนุ่มจะยอมือ ส่งมันให้มิเมเพื่อมอบต่อไปยังเธอ
มิเมรีบรับมันเอาไว้ พลันเช็ดกลีบดอกหนาอวบลงกับตีนซิ่นสีสดของตัวเอง ก่อนจะส่งให้แม่หญิงที่นั่งเคียงข้างกัน ด้วยความเชื่อแต่โบราณว่าด้วยไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถา ดอกไม้นานาหากได้รับมาจากชายใด ควรแน่ใจเสียก่อนว่าไม่ถูกเสกเป่าด้วยอาคม มิวายจะต้องมนตราหลงเสน่หาของชายที่ไม่ได้หมายปอง ยิ่งกับลูกหลานสะฅ่วยผู้มีอันจะกินด้วยแล้ว ยิ่งต้องระแวดระวังมากขึ้นไปอีก
“แดงเหมือนแก้มแม่หญิงเลยเจ้า แต่บ่หอม” มิเมออกความเห็นเกี่ยวกับดอกไม้สวย
มือเรียวขาวจับก้านดอกจดปลายจมูกกระจิ๋วของเธอน้อยๆ มันเป็นดั่งคำมิเม แม้ดอกเอื้องดอกนี้จะงดงามสักเพียงใด แต่กลับไร้กลิ่นหอมไม่เหมือนเก็ดถะหวาหรือพุดซ้อนหน้าเรือนที่ขาวหอมรัญจวน ดอกเอื้องงามถูกปักแซมไว้กับเรือนผมยาว ที่เกล้าวิดว้อง2ไว้เหนือหัว ในขณะที่นิ้วมือเรียวเล็กเกี่ยวปอยผมเส้นน้อยๆ คล้องลงกับใบหูตัวก่อนจะนั่งกุมมือพี่เลี้ยงเธออีกครา
มือเรียวของเธอเคยมีไว้จับเพียงผืนผ้าแพรพรรณ เลือกสรรฝ้ายงามและซิ่นสวย ยามนี้มือเรียวนุ่มนวลอย่างผู้ไม่เคยตรากตรำลำบากต้องกำมือแห้งหยาบของพี่เลี้ยงไว้แน่น มือเธอเย็นเฉียบและเปียกชุ่มไปหมด เพราะจำต้องเก็บอาการไม่ดีไม่งามเอาไว้ แม้จะพะอืดพะอมสักเพียงใดก็ตาม
“อ้ายเมา ขอบใจเน่อ” แม่หญิงคนงามเอ่ยเสียงหวาน ทำเอาควาญหนุ่มอดเขินอายหน้าแดงไม่ได้ จำต้องรีบหันหน้าหนีและไสเท้าให้ช้างเดินตามช้างเชือกหน้า ก่อนคาราวานช้างม้าจะล่าช้าไปมากกว่านี้
มันเป็นความจริงที่ว่าแม่หญิงล้านนาเป็นใหญ่มาแต่ปางบรรพ์ เพียงชี้นิ้วสั่งชายก็ได้ตามใจตน ยิ่งกับตระกูลสะฅ่วยที่ร่ำรวยจากการค้าข้าว ค้าฝ้าย และทอผ้า มีชายเป็นแรงงานหลักทำนา มีแม่หญิงเป็นคนขับเคลื่อน จึงไม่น่าแปลกเท่าไรที่ตระกูลของแม่หญิงผู้นี้จะนั่งเรือ และขี่ช้างเข้าป่าแทนการใช้ม้าหรือวัว
ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนของหญิงสาวมองออกต้นสักมหึมาสองข้างทางขนาบทางช้างแคบๆ สลับสับหว่างไปกับต้นตะเคียนลำใหญ่ เสียงสอบแสบของต้นไม้ใบหญ้าเบื้องล่างดังขึ้นตามจังหวะย่ำเดินของช้างนับสิบเชือกแทรกเสียงแผดดังของโขลงช้างเป็นระยะๆ ครั้นก้าวเข้าใกล้บริเวณลำธาร เสียงเซ็งแซ่ของนกและสัตว์นานาพลันดังขึ้นให้ได้ยินเคล้าเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้ซางและไม้บงที่เสียดสีกันไปมา ยิ่งเข้าใกล้ลำธารเท่าใดก็จะเห็นไผ่ทั้งสองชนิดได้มากขึ้นเท่านั้น
“มิเม อีกนานเท่าใดกว่าจะถึง”
ครั้นนายเหนือหัวถาม พี่เลี้ยงสาวถึงกับสะดุ้งโหยง ด้วยหล่อนก็หารู้ไม่ ว่าเมื่อใดคาราวานจะเดินทางถึงปางไม้ใหญ่ของนายห้างตันฉเว พ่อเลี้ยงชาวพม่าที่บัดนี้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าปางไม้ของบริษัทอังกฤษ รับหน้าที่จัดการดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจป่าไม้ การตัด ตีตรา และลำเลียง ว่ากันว่าพ่อเลี้ยงชาวพม่าผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากนายฝรั่ง ให้ดูแลกิจการปางไม้ในเขตนี้ทั้งหมด โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ คอยกำกับ เพราะเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ปางเก่าฝั่งพม่าแล้ว
“อ้ายเมา! อีกไกลก่อ” (อีกไกลไหม) มิเมรีบตะโกนถาม
“บ่ไกล” อ้ายเมาตอบ พลางชะโงกหน้ามองเลียบลำธารใส ยอดโขดหินปริ่มน้ำพอทำให้ทราบระดับน้ำในลำธารสายเล็ก เสียงซัดซ่าของสายน้ำดังมาจากฝายน้ำล้น
ดวงตาสีดำสนิทของอ้ายเมาจดจ้องฝายเล็กที่ทอดตัวกั้นน้ำอยู่ไกลลิบตา มันก่อขึ้นโดยแรงคน ใช้วัสดุที่พอหาได้ในละแวกอย่างก้อนหิน กิ่งไม้ กั้นไว้เพื่อเพิ่มระดับน้ำตอนบนให้สูงขึ้น เสียงซ่าของน้ำที่ล้นลงจากฝายดังแทรกเสียงแผดดังของช้างอีกโขลงหนึ่งที่อยู่กินยังปางมาก่อนหน้านี้ เสียงนั้นดังมาจากต้นน้ำ ทำให้มิเมและแม่หญิงประหลาดใจ
“แม่หญิง! ดูเจ้า! ดู!” สาวชาวมอญผู้ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นชี้ไม้ชี้มือไปยังซุ้มประตูใหญ่ ทว่าในสายตาของผู้เป็นนายแล้วมันดูเหมือนท่อนไม้ไผ่ที่พาดโน้มเข้าหากันเสียมากกว่า มีเพียงตาแหลวหรือเฉลวใหญ่ที่แขวนไว้เหนือโดมนี้เท่านั้นที่พอทำให้รับรู้ว่ามันเป็นทางเข้าของสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง
“ถึงแล้วเจ้า! ถึงแล้ว!” มิเมเขย่าแขนเรียวของผู้เป็นนายเบาๆ เพราะการเดินทางอันแสนน่าเบื่อตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนบนเรือล่องแม่น้ำกับอีกหกชั่วโมงบนหลังช้างใกล้จบลงแล้ว
ผู้เป็นนายหล่อนถอนหายใจโล่งอกที่เดินทางมาถึงปางไม้ของนายห้างตันฉเวเสียที แม้จะยังไม่ถึงปางดี แต่พื้นที่ที่ถูกปรับให้เรียบก็พอทำให้รับรู้ได้ว่าอีกไม่นานเธอก็จะหลุดพ้นจากสภาพไหวโงนเง นนี้ ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนสุกสว่างเมื่อหญิงสาวทอดตามองบ้านเรือนไม้บั่วหลังเล็กๆ ที่เร้นอยู่ตามหมู่แมกไม้ฝั่งตรงข้ามกับลำธารใส เรือนหลังน้อยดูบางตาก่อนเริ่มหนาแน่นเมื่อใกล้เขตที่พัก
“ไหนบอกบ้านพักปางไม้ ใหญ่โตอย่างกับหมู่บ้านแน่ะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย ด้วยก่อนหน้านี้เธอคัดค้านหัวชนฝา จะไม่ยอมมากับพ่อเสียให้ได้ ต้องให้ตาเป็นคนร้องขออ้อนวอน ‘เกี้ยวจันทร์’ หลานสาวคนนี้จึงยอม
ขึ้นชื่อว่า ‘เกี้ยวจันทร์’ โฉมสะคราญแห่งเวียงเชียงใหม่ ลูกสาวตระกูลสะฅ่วยที่แม้แต่เจ้านายระดับสูงยังต้องเกรงใจ ด้วยครอบครัวเธอเป็นแหล่งทุนชั้นดีให้เหล่าชนชั้นสูง เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนระบบการค้าขาย ยิ่งตระกูลเธอร่ำรวยมากขึ้นเท่าใด เงินที่เจ้าขุนมูลนายได้รับก็จะมากขึ้นเป็นเท่าทวี ทั้งหมดนี้อาจต้องยกความดีความชอบให้แก่ผู้เป็นยาย ด้วยแกเป็นหญิงแกร่งและฉลาด ประกอบกับสังคมผู้หญิงเป็นใหญ่มาช้านาน เหล่าพ่อบ้านจึงเป็นได้เพียงแรงงานให้ตระกูลเธอเท่านั้น
ไม่เว้นแม้แต่พ่อของเธอ หนุ่มใหญ่ผู้มาจากเมืองสยาม แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นเพียงชายธรรมดาไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ปีแรกๆ นั้นพ่อก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ครอบครัวได้ดีอยู่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงขวบปี แรงจับจอบจับขวานเริ่มไม่มี ทำดีได้แต่ใช้ลิ้นเลียป้อยอไปทั่ว เสียจนยายออกปากไล่ออกจากเรือน แยกไปนอนยังเรือนเล็กท้ายสวน เกือบจะถูกเฉดหัวออกจากตระกูลอยู่รอมร่อ โชคดีของแกที่บังเอิญไปช่วยเหลือหนุ่มชาวพม่าคนหนึ่งให้รอดตาย ซึ่งมารู้ในภายหลังว่าเขานั้นเป็นถึงคนสนิทของพวกฝรั่งดั้งขอ ก็พ่อเลี้ยง ‘ตันฉเว’ เจ้าของปางไม้ใหญ่แห่งนี้นี่แล
“ตอนแรกข้าเจ้าก็คิดว่าจะต้องออกมาอยู่ในห้วยในดอย นอนกลางดินกินกลางทราย ตกอกตกใจหมดเจ้า” มิเมเอ่ยกับแม่หญิงคนงามอย่างตื่นเต้นในที มือเล็กๆ ของมิเมคว้าผ้าคลุมผืนงามห่มบ่าบางของแม่นายน้อย ก่อนจะนั่งเชิดหน้าเชิดตา วางท่าเสียยิ่งกว่าแม่หญิงของหล่อนเสียอีก
คาราวานช้างใหม่ก้าวเข้าสู่เขตปางช้างที่แยกออกจากเขตบ้านพักแรงงานป่าไม้ เริ่มทยอยขนข้าวของและส่งร่างงามให้ลงจากแหย่งใหญ่ มิเมพี่เลี้ยงชาวมอญคอยประคองเจ้านายเหนือหัวของหล่อนให้ลงถึงพื้นดินโดยสวัสดิภาพ พลางกันไม่ยอมให้หนุ่มใดแตะต้องตัวเกี้ยวจันทร์ มิวายจะผิดผีไปเสียหมด หากผีปู่ย่าของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์รับรู้ คงได้บีบคอหล่อนตายตกไปตามพวกแกเป็นแน่แท้เชียว
“ว่าอย่างใด เสี่ยว (เพื่อน)!” ชายในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวทักทายสหายตนเสียงก้องกังวาน แกสวม ‘เสื้อแต้กปุ่ง’ อย่างชาวไทใหญ่ เสื้อผ้าฝ้ายผ่าหน้าแขนกระบอก ติดกระดุมผ้าห้าคู่เรียงลงกลางลำตัวกำยำล่ำสัน นุ่งคู่กับโสร่งขาว เคียนหัวด้วยผ้าขาวผืนยาว สวมรองเท้าผ้าสีดำแบบเรียบง่าย เครื่องแต่งกายแตกต่างจากเหล่าควาญช้างและไพร่แรงงานคนอื่นๆ อยู่มาก ราศีของชาวไทใหญ่นั้นดูได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์ ด้วยเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากหน้าที่การงานของตน เสื้อผ้าที่สวมจึงเป็นผ้าฝ้ายชั้นดีราคาแพง
“เป็นอย่างใดเกี้ยวจันทร์ เดินทางลำบากก่อ” ชายรูปร่างสูงใหญ่หันมาทักทายหญิงสาววัยสิบแปดปีด้วยสีหน้าเป็นมิตร หน้าตาของแกคมเข้ม แต้มคิ้วดกดำหนา ใบหน้าไร้ริ้วรอยต่างจากบุรุษสยามอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างพ่อเธอ ที่แม้อายุอานามจะเพียงสี่สิบปีปลายๆ ทว่าหน้าตากลับดูคล้ายคนแก่เฒ่า อาจเพราะฤทธิ์สุราและฝิ่นที่สูบอยู่เป็นประจำ
“ขึ้นชื่อว่าเดินทาง คงหาสุขสบายเหมือนตอนอยู่บ้านบ่ได้หรอกเจ้า แต่การเดินทางราบรื่นดี มีเมาหัวบ้าง แต่นั่งไปสักพักก็ชินเจ้า” เกี้ยวจันทร์ตอบตามตรง ทำเอาคนเป็นพ่อรู้สึกเสียหน้าที่ลูกสาวตอบเช่นนั้น ดวงตาเล็กๆ ของพ่อจ้องเขม็งมายังเธอเชิงต่อว่าให้เงียบปากลง
ทว่านายห้างปางไม้ดูจะชอบอกชอบใจในคำตอบ ยืนหัวเราะหัวไห้ กุมท้องขำอย่างชื่นชมในคำพูดคำจาของเธอ
“ช่างเจรจาดี เฮาชอบ” นายห้างออกปากชม “ปะ ขึ้นไปกินน้ำกินท่าบนเรือนใหญ่ก่อน ลุงมีขนมฝรั่งให้กินเยอะเชียว” แกว่าพลางโอบบ่าเพื่อนรักแน่น ตบอยู่สองสามคราเชิงปรามให้ใจเย็นลงเสียก่อน ด้วยหน้าตาของสหายรักผู้มีบุญคุณนั้นบูดบึ้งขมึงทึงเสียยิ่งกว่ายักษ์ขมูขี
นายห้างปางไม้เดินนำแขกข้ามสะพานไม้ใหม่ไปยังอีกฟากของลำธารใส เกี้ยวจันทร์ มิเม และเหล่าข้าไทติดตามไปด้วยเป็นขบวน หอบหิ้วเอาหีบผ้าและข้าวของต่างๆ นานาที่พกติดตัวมามากมาย ด้วยผู้เป็นพ่อแจ้งแก่เธอแล้วว่า ทั้งสองจะอาศัยอยู่ยังปางไม้แห่งนี้เป็นเวลาสามเดือน ตามคำเชื้อเชิญของนายห้างตันฉเว
“เป็นอะไร มิเม” ตอนนั้นเองที่แม่หญิงถามพี่เลี้ยงด้วยเห็นว่าสีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยรอยยับย่นอย่างคนเคร่งเครียด
“ข้าเจ้ากลัวเจ้า กลัวแม่หญิงของข้าเจ้าจะต้องนอนเฮือนไม้บั่ว” มิเมกระซิบบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบา สายตาซอกแซกของหล่อนพยายามมองหาเรือนใหญ่ในละแวกเท่าใดก็ไม่พบ มีแต่เรือนเครื่องผูกหรือเรือนไม้บั่วที่สร้างและขัดขึ้นจากไม้ไผ่ เป็นเรือนแบบง่ายๆ เพราะการทำปางไม้นั้นอย่างมากก็เพียง 10-15 ปี การจะทำเรือนไม้สักหลังใหญ่คงเปลืองไม้เปลืองเวลาไปเปล่าๆ
“เป็นอย่างนั้นเราก็จะกลับ จะให้เราอยู่ตั้งสามเดือน เราบ่นอนหรอกเรือนไม้บั่ว” เกี้ยวจันทร์แจ้งต่อพี่เลี้ยงด้วยเสียงที่เบาลงกว่าปกติเพียงนิด
ทว่าครั้นก้าวลงจากสะพานข้ามลำธารใหญ่ นายห้างปางไม้ชาวพม่าผู้นี้กลับพาพ่อของเธอขึ้นไปยังเนินดินฝั่งซ้ายมือ แทนที่จะเดินเลี้ยวขวาไปยังบริเวณที่ตั้งของเรือนไม้บั่ว เจ้าของดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนหันสบตามิเมอย่างฉงนสงสัย ชายเจ้าของที่ทางกว้างใหญ่ก็พลันก้าวพาอาคันตุกะจากเวียงเชียงใหม่เดินขึ้นเนินไปยังเขตที่พักปางไม้ฝั่งเจ้าฝั่งนาย ผ่านซุ้มประตูโขงสักซึ่งแกะสลักลวดลายไว้งดงามวิจิตร ดูเหมือนกับว่าสถานที่เบื้องหน้านี้เป็นคุ้มของเจ้าหลวงตันฉเวมากกว่าจะเป็นปางไม้ของนายห้างตันฉเวชาวพม่าเสียอีก
“บ้านหรือคุ้มเจ้า…หลังใหญ่ขนาด” มิเมยังคงกระซิบกระซาบ
“เจ้าที่ไหนจะมาอยู่ป่าอยู่ดอย” แม่นายน้อยกระซิบตอบ “กลัวจะเป็นคุ้มปะหล่องต่องสู่เสียมากกว่า”
เกี้ยวจันทร์หัวเราะคิกคัก ทว่ามือเล็กๆ ของมิเมกลับรีบป้องปรามแม่หญิงไว้ทันควันด้วยเป็นคำพูดดูถูกเดียดฉันท์ชาวป่าชาวดอย ใครได้ยินเข้าจะหาว่าแม่นายน้อยเธอชอบดูถูกดูแคลนคน ปะปล่องนั้นหมายถึงเผ่า ‘ปะหล่อง’ หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพลงมาจากจีน อาศัยอยู่ยังพื้นที่สูง เช่นเดียวกันกับต่องสู่ที่อาศัยอยู่ทางเหนือของพม่า อีกอย่าง ไม่รู้ว่าในปางแห่งนี้จะมีเหล่าปะปล่องต่องสู่อยู่ด้วยหรือเปล่า
“บ่ดีเจ้า เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า มันบ่งาม” มิเมร้องปรามแผ่วเบา แต่แม่หญิงกลับยังหัวเราะชอบใจไม่เลิก
“แม่หญิง!~” มิเมย่ำสองเท้าอย่างโยเย ด้วยแม่นายน้อยคนงามเลือกจะไม่ฟังคำทัดทาน
ทว่าเมื่อละสายตาจากแม่หญิงคนงาม ดวงตากลมของมิเมก็ถึงกับเบิกขึ้นทันตา เพราะยิ่งเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่เนินใหญ่เบื้องหน้าเท่าใด มันก็ยิ่งใหญ่โตโอฬารอย่างไม่เคยพบเคยเห็น เรือนรับรองหลักที่ทำขึ้นจากไม้สัก มุงหลังคาด้วยแป้นเกล็ดเฉกเช่นเดียวกับเรือนไม้บะเก่าทั่วๆ ไป ทว่าหลังใหญ่กว่าเรือนกาแลที่เชียงใหม่เสียอีก ตัวเรือนใหญ่เป็นเรือนสองชั้นยกพื้นเตี้ยๆ มุงหลังคาทรงปั้นหยา หันหน้าเข้าลำธารใส ชั้นบนบริเวณมุขนั้นถูกใช้เป็นห้องรับแขก กั้นด้วยไม้ฉลุที่เรียกกันว่าลายขนมปังขิง มีโต๊ะ เก้าอี้แบบฝรั่งไว้ต้อนรับแขกเหรื่อ แบ่งพื้นที่ด้านหลังเป็นห้องทำงานของนายห้าง ส่วนชั้นล่างนั้นใช้เป็นอาคารสำนักงาน
ตัวเรือนหลังใหญ่เชื่อมกับอาคารอีกหลังหนึ่งด้วยทางเดินไม้สัก มุงหลังคาคล้ายระเบียงคด เชื่อมอาคารสำนักงานเข้ากับเรือนยกสูงด้านหลัง เรือนหลังที่สองนี้เป็นเรือนนอนของนายห้างและครอบครัว ทั้งสองอาคารโอบล้อมด้วยสวนเล็กๆ และตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มองเห็นการทำงานของคนปางได้อย่างชัดเจน ด้วยตั้งอยู่บนเนินสูง ด้านหลังติดกับภูเขา ด้านหน้าเป็นลำธาร ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีแรงงานคนใดได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาอาบน้ำหรือเล่นน้ำหน้าอาคารสำนักงานแห่งนี้ น้ำบริเวณนี้จึงใสกว่า เย็นกว่า และสะอาดกว่าฝั่งใต้สะพานอยู่มาก
“ใหญ่ขนาดนี้ ข้าเจ้าหลงทางแน่เลยเจ้า” สีหน้าของมิเมสดชื่นขึ้นมากโข หล่อนคงคิดว่าตัวนั้นจะได้นอนบนอาคารหลังใหญ่ แต่สำหรับเกี้ยวจันทร์ เธอมองตามกลุ่มบ่าวไพร่ของนายห้างที่ขนข้าวของสัมภาระมุ่งหน้าไปยังเรือนรับรองแขกหลังเล็ก มันตั้งอยู่ติดกับลำธาร ห่างกันเพียงไม่กี่วาเศษเท่านั้น ตัวเรือนเป็นเรือนหลังเล็กหากเทียบกับเรือนใหญ่ของนายห้าง ทว่ามันกลับโอ่อ่า และเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ผู้นี้อยู่มาก อย่างน้อยที่สุดก็สมฐานะเธอ และไม่ต้องร่วมเรือนกับผู้ใด
ความคิดเห็น |
---|