ตอนที่ 5

ตอนที่ 5 เรื่องเล่า

 

            เมื่อเมฆหมอกในยามเช้าจางตาไป ทุกอย่างรายรอบเรือนรับรองหลังเล็กจึงชัดตาขึ้นในทันที แสงแดดอุ่นทอดลงกับชานไม้ใหม่ ตกกระทบลงกับแอ่งน้ำที่เกือบแห้งขอด ต้องสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ พื้นไม้ที่เคยเปียกชุ่มไปด้วยหมอกเหมยในตอนเช้า บัดนี้จึงค่อยๆ แห้งลงจนเกือบแห้งสนิท ลำธารหน้าเรือนรับรองยังคงไหลเอื่อย เสียงน้ำไหลจึงไม่ดังเท่าไรหากเทียบกับฝั่งฝายกั้นน้ำที่ตั้งอยู่ยังบริเวณบ้านพักคนงานด้านล่าง บรรยากาศในยามนี้เงียบสงบ ด้วยคนงานหลายคนเริ่มออกไปทำงานกันแล้ว

            นกน้อยที่ออกหากินในยามสายส่งเสียงร้องสื่อสารกันไปมา ทำให้ใบหูยาวของเจ้าลูกกระต่ายตั้งตรง กวาดตาล่อกแล่กไปมา พลางเชิดหน้าทำจมูกฟุดฟิด หนวดยาวเป็นกระจุกเล็กๆ บริเวณจมูกขยับไหวกระดุกกระดิก ก่อนเจ้าตัวเล็กจะกระโจนเข้าไปหลบอยู่ใต้ผืนผ้าคลุมสีคราม

            “มันกลัวนกหรือ” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ถามพี่เลี้ยงอย่างสงสัย พลางเงยหน้ามองหาบางสิ่งที่ทำให้เจ้าลูกกระต่ายตัวเล็กกลัวเสียจนต้องรีบหาที่ซ่อน

            “มันเป็นลูกขะต่าย มันก็คงกลัวทุกสิ่งที่ตัวโตใหญ่กว่ามันนั่นน่ะเจ้า” มิเมตอบตามความคิดของหล่อน แม้จะดูไม่น่าเชื่อถือนัก แต่เกี้ยวจันทร์เองก็ไม่ได้เถียง อาจเพราะแม่หญิงของหล่อนไม่รู้จริงๆ ว่ากระต่ายตัวกระจิ๋วตัวนี้กำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่

เกี้ยวจันทร์ค่อยๆ ช้อนเจ้าตัวกลมใต้ผ้าคลุมกลับมาวางไว้บนตัก ห่มผ้าให้มันป้องกันไม่ให้ตื่นกลัวไปมากกว่านี้ เว้นช่องเล็กให้พอหายใจได้และไม่อึดอัดจนเกินไป หญิงสาวกวาดตามองออกไปรายรอบ จ้องมองดูประกายระยิบระยับบนผิวน้ำใสที่ไหลลงไปสู่เบื้องล่างฝั่งสะพานไม้ หลายนาทีแล้วที่เกี้ยวจันทร์และมิเมนั่งอยู่ริมลำธารเล็ก หลังจากมื้อเช้าผ่านไปแล้ว ปางไม้กลางป่าใหญ่แห่งนี้ก็ดูจะไม่มีอะไรน่าสนใจ หากไม่มีเจ้ากระต่ายตัวนี้ วันนี้คงเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดเป็นแน่

“จะว่าไป แม่หญิงตั้งชื่อให้มันแล้วหรือเจ้า” มิเมถามพลางชี้ลูกกระต่ายตัวเล็กในห่อผ้าคลุมของเธอ

“ชื่อ ‘มิเม’ ดีไหม” เกี้ยวจันทร์เย้าพี่เลี้ยง มิเมถึงกับทำหน้าโยเยใส่ในทันที

“บ่เอาเจ้า มิเมบ่ใช่ขะต่าย!” มิเมตีหน้าตักของนายอย่างเบามือเป็นที่สุด มันเขี้ยวเสียจนอยากหยิกให้เนื้อเขียว ทว่าก็ทำได้เพียงแตะลงกับหน้าผ้าซิ่นดอยเต่าผืนงามของนายไปเท่านั้น

“บ่เอา ก็บ่เอา” เกี้ยวจันทร์หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเหลือเกิน

ในช่วงสายของปางไม้ใหญ่วันนี้คงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก เกี้ยวจันทร์และมิเมจึงออกมานั่งเล่นริมลำธารข้างๆ บ้านพัก ปูเสื่อผืนใหม่ลงกับพื้น และนั่งรอให้สุ่นคำที่กำลังออกไปหาหญ้ามาให้กระต่าย บทเรียนจากครั้งยังเด็กสอนให้เธอรู้ว่ากระต่ายนั้นกินหญ้า หาได้กินข้าวกับแกงเหมือนคนไม่

“มาแล้วเจ้า! หญ้ามาแล้ว!” ทันใดนั้นเองเสียงสดใสของสุ่นคำก็ดังขึ้น หล่อนตะโกนร้องบอกมาแต่ไกลพลางย่ำมาตามทางเดินดิน หอบหิ้วตะกร้าสานใบโตที่ใส่หญ้าสดเอาไว้กำหนึ่ง

ครั้นมาถึงยังเสื่อผืนใหญ่ของเกี้ยวจันทร์ หญิงสาวก็ถอดรองเท้ารองแตะเก่าๆ ออก ใช้มันรองนั่งอยู่ด้านนอกเสื่อใหม่ ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขึ้นย่ำยังเสื่อของแม่หญิงชาวเวียง ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกี้ยวจันทร์ไม่พอใจ หวั่นกลัวจะต้องโทษทัณฑ์ตามข่าวลือ มือเล็กๆ จึงเพียงยกยื่นตะกร้าสานให้มิเมไปเท่านั้น

“ขึ้นมานั่งบนสาดสิ สูจะนั่งบนเกือกทำไม” กระทั่งเกี้ยวจันทร์ถามด้วยเสียงดุ สุ่นคำก็ถึงกับรีบลุกขึ้นและขยับตัวเข้ามานั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันกับผู้เป็นนายในทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรักษาระยะห่าง ไม่นั่งแนบชิดจนเกินไป และเลือกที่จะนั่งถัดออกไปจากมิเมอีกประมาณศอกเศษๆ

“สุ่นคำ สูทำไมไปนานนัก แม่หญิงเพิ่นรอ” มิเมที่ง่วนอยู่กับการตรวจเช็กต้นหญ้าทีละต้นพลางพร่ำบ่นเบาๆ ด้วยหล่อนใช้เวลานานกว่ายี่สิบนาทีออกไปหาหญ้ามาจากเมืองป่าเมืองดง ทั้งๆ ที่การหาต้นหญ้าต้นตอกนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่หาง่ายที่สุดในป่าแห่งนี้ ครั้นถามจบ มือเล็กๆ จึงส่งต้นหญ้าต้นหนึ่งให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ไป

“ข้าเจ้าบ่รู้ว่ากระต่ายกินอันใดได้ ข้าเจ้าเลยล่น (วิ่ง) ไปถามไอ้เงี้ยวมันอีกรอบเจ้า มันเป็นคนไปหามา ข้าเจ้าก็เลยเอาไปล้างก่อน” สุ่นคำเล่าความจริงทั้งหมดเสียยืดยาว ขณะที่เกี้ยวจันทร์สลัดหยดน้ำออกจากยอดหญ้าอ่อนเส้นเล็กๆ ยื่นให้กระต่ายของเธอที่ซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุม

“มันยังบ่ไปไหนอีกหรือ หรือบ้านมันอยู่ในปาง” เกี้ยวจันทร์ถามอย่างสงสัย 

สุ่นคำรีบส่ายหน้าปฏิเสธระรัว ด้วยไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าไอ้เงี้ยวอาศัยอยู่ร่วมกับคนงานคนอื่นๆ

“บ่ใช่เจ้า ไอ้เงี้ยวมันอยู่ป่า บ่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ใด” สุ่นคำรีบอธิบาย สองมือยันลงกับพื้นเสื่อลาย พลางขยับเข้าใกล้และพูดจากระซิบกระซาบอย่างเกรงว่าจะมีใครมาได้ยิน มือเล็กๆ ป้องปากพลางโน้มตัวเข้าใกล้มิเมมากขึ้นอีก

“พ่อของข้าเจ้าบอกว่าเอ็นดูมัน เลยให้มันเข้ามาขายของป่าในปางได้เจ้า” 

“น่าเอ็นดูอย่างใด! มันโยนกระต่ายใส่เรา สูจำบ่ได้กา!” เกี้ยวจันทร์ดุใส่ทำเอากระต่ายตัวกระจิ๋วในห่อผ้าคลุมสะดุ้งโหยง มือเรียวจึงรีบประคองห่อผ้านุ่มผืนนี้เอาไว้ จุปากปลอบโยนมัน แม้ภายในใจจะยังนึกโกรธที่กายาใหญ่โยนซากกระต่ายใส่เธอ แต่กลับโวยวายเสียงดังมากไม่ได้ เพราะกระต่ายตัวนี้ไอ้เงี้ยวก็เป็นคนหามาให้

“แต่มันมีเรื่องแปลกๆ อยู่เจ้า” กระทั่งสุ่นคำเริ่มเปิดประเด็น ทำให้มิเมหูผึ่งขึ้นในทันที เกี้ยวจันทร์ที่มองอยู่รับรู้ได้ถึงการตื่นตัวกับเรื่องซุบซิบนินทาของพี่เลี้ยงเธอ สาวเจ้าจึงกวักมือน้อยๆ เป็นสัญญาณให้สุ่นคำขยับเข้ามาใกล้อีก

บ่าวแสนดีขยับเข้าหาตามคำสั่งแล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องซุบซิบในปางใหญ่

“เพิ่นว่า…ไอ้เงี้ยวมันมีคาถาอาคมเจ้า มันย่อแผ่นดินได้ มันดำดินได้…” 

ว่ากันว่าในทุกคราที่ไอ้เงี้ยวกลับมาจากการล่าสัตว์ มันมักจะกลับมาพร้อมกับสัตว์ที่เพิ่งตาย บางตัวมีเลือดไหลออกจากบาดแผลในทุกครั้งที่แล่เนื้อเถือหนังเสียด้วยซ้ำ หรือบางตัวก็เป็นสัตว์หายาก ขนาดที่ว่า ‘พรานต่อม’ พ่อของสุ่นคำเองยังหาล่าไม่ได้ หรืออาจต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืนในป่า แต่สำหรับไอ้เงี้ยวผู้นี้มันกลับหามาได้โดยง่าย ที่สำคัญ สัตว์ทุกตัวที่มันลากกลับมา บางครั้งใหญ่กว่าตัวสุ่นคำเสียอีก

“คราวก่อน มันเอาจิ้นกระทิงกลับมา ลากโพ้ๆ เข้ามาในปางเลยเจ้า” สุ่นคำอธิบายเสริม พร้อมยกตัวอย่างเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคราก่อน

เป็นที่รู้กันดีว่าการเข้าป่าแต่ละครั้งของนายพรานต้องพกพาอุปกรณ์การล่า และอาหารยังชีพ อย่างเช่นข้าวสาร เนื้อเค็ม หรืออาจเป็นน้ำพริกน้ำผัก และน้ำดื่ม แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้นั้นคือ ‘เกลือ’ ซึ่งอาจมากกว่าสองอย่างแรกที่พกพาไปเสียอีก นั่นเพราะการเข้าป่าแต่ละครั้ง หาใช่การไปเช้าเย็นกลับอย่างการหาของป่าไม่ หลายครั้งจำต้องค้างแรมอยู่ในป่าลึก หลายครั้งต้องขัดห้างขึ้นนอน กว่าจะออกมาได้ เนื้อที่ล่าได้ในวันแรกๆ ก็คงจะเน่าเสียไปหมดแล้ว จึงจำต้องใช้เกลือเป็นตัวช่วยในการถนอมอาหาร บางคราต้องพอกเกลือเอาไว้แล้วจึงรมควันซ้ำ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เนื้อสดๆ กลับมาทุกคราอย่างเช่นที่ไอ้เงี้ยวมันทำ

“เพิ่นว่า มันเคยฆ่าเสือด้วยเจ้า…คนปางเพิ่นบอก…ว่าไอ้เงี้ยวมันเป็นเสือเย็น เพราะมันบ่ได้ใช้หน้าไม้ บ่ได้ใช้แฮ้ว บ่ได้ใช้หลาวล่าเหมือนเพิ่น” สีหน้าของสุ่นคำดูจริงจังในทุกๆ เรื่องราวที่เอ่ยออกมา บางครามือเล็กๆ นั่นก็พลันแขนเรียว เพราะเล่าไปก็ขนลุกไป

แม้สิ่งที่เล่าออกมาจากปากของสุ่นคำจะพอมีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่คงหาใช่ทั้งหมดไม่ เช่นเมื่อครั้งก่อนแรงงานปางไม้กลุ่มหนึ่งเข้าไปหาของป่า และพบเข้ากับไอ้เงี้ยวที่กำลังเดินด้อมๆ มองๆ หารอยเท้าสัตว์ คนงานเหล่านั้นต่างเล่าลือกันว่า นอกจากผ้าเคียนหัวและผ้าเค็ดม่ามแล้ว นอกจากนั้นไม่มีอุปกรณ์ใดๆ เลย แม้แต่หน้าไม้ แร้วดักสัตว์ หรือแม้แต่หอกหลาว จึงคิดเอาเองว่าไอ้เงี้ยวผู้นี้เป็นเสือเย็น ที่ครั้นเมื่อต้องการออกล่าเหยื่อก็จะกลายร่างเป็นเสือโคร่งร่างใหญ่ ถึงขนาดเล่าลือกันว่า มีดที่มันใช้แล่เนื้ออยู่ทุกวันนี้ ก็หาใช่มีดของมันไม่

“ตายแล้ว! แม่หญิง!” มิเมหันไปโยเยใส่ผู้เป็นนายในทันที สองมือเล็กลูบลงกับเรียวแขนขาวของตัวเองอย่างขนลุกขนชัน หากมิเมรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อน จะไม่ยอมให้แม่หญิงเข้าใกล้ไอ้เงี้ยวผู้นั้นเป็นแน่

“แล้วอีคนนั้นมันบ่กลัวหรือ อีคนที่มันมาหาเรื่องเรา” ตอนนั้นเองที่เกี้ยวจันทร์ถามถึงหญิงอีกคน 

“อ๋อ อีขวัญศรีเจ้า เป็นลูกควาญต๋า หัวหน้าควาญที่นี่ เพิ่นรู้จักกับไอ้เงี้ยวมาพร้อมๆ กับพ่อของข้าเจ้า เห็นบอกว่าไอ้เงี้ยวเคยช่วยชีวิตเพิ่น” สุ่นคำเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับขวัญศรีให้ทั้งสองฟัง อีกทั้งยังเอ่ยไปถึงว่าความเป็นมาของควาญต๋า ว่าแต่เดิมควาญช้างคนก่อนนั้นเป็นขมุ ทว่ากลับประสบอุบัติเหตุเมื่อครั้งเข้าป่าล่าสัตว์ ในยามนั้นพ่อของขวัญศรีเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มล่าสัตว์นั้นด้วย

เรื่องราวร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าจากปากต่อปาก มันอาจมีสีสันน่าฟังและชวนให้ตื่นเต้นเร้าอารมณ์ แต่กับตัวผู้ประสบชะตากรรมเอง คงหาได้สนุกเฉกเช่นเดียวกันกับผู้ที่รับฟังไม่ ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ จะขาดแหล่มิขาดแหล่ เปรียบดั่งการก้มมองลงไปยังเบื้องล่าง แต่ไม่พบก้นหุบเหว เงยหน้ามองฟ้าก็เจอพญาเหยี่ยวใหญ่ แม้ทางซ้ายมือ ทางขวามือ หรือแม้แต่ด้านหลังจะเป็นทางโล่ง แต่เบื้องหน้าเป็นพญาหมีใหญ่ จะให้วิ่งรี่หนีไปก็คงไม่พ้นกลายเป็นศพ มิวายก็คงกลายเป็นอาหารของป่า

“ควาญต๋าเพิ่นเล่าให้ข้าเจ้ากับพวกเด็กๆ ฟังว่า เพิ่นไปเจอหมีควายพร้อมกับควาญขมุ เพิ่นว่าบ่ทันรู้ตัว ควาญขมุก็โดนหมีควายฆ่าตายไปเสียแล้ว”

ในยามค่ำคืนของเด็กๆ ชาวปาง อะไรจะน่าตื่นเต้นไปกว่าเรื่องเล่าของพ่อแม่และคนในปางไม้ด้วยกัน หลายครั้งเป็นเรื่องตลกโปกฮา แต่หลายเรื่องก็ทำเอาใจหายใจคว่ำ อย่างเรื่องของหมีควายจากประสบการณ์ตรงของควาญต๋า พ่ออีขวัญศรี แกเล่าให้เด็กๆ ฟังว่า หลังจากยืนจ้องตากับหมีควายตัวใหญ่อยู่กว่าสิบนาที เพราะขยับไปไหนไม่ได้ ความรู้สึกปวดหนึบของตะคริวที่พลอยจะลามขึ้นมากินถึงต้นขาทำให้แทบอยากลงไปนอนดิ้นให้หมีมันตบตาย เพียงแต่เมื่อคิดถึงคนข้างหลัง จึงจำต้องยอมทนและถอยร่นต่อไปอย่างระแวดระวังเป็นที่สุด

ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาทีละนิด หวังเพียงก้าวออกไปให้พ้นระยะอันตราย แล้วจะวิ่งให้สุดกำลัง เพียงแต่ไอ้กิ่งไม้แห้งเจ้ากรรมที่เหยียบลงไปโดนนั้นลั่นดังขึ้นกร๊อบแกร๊บ วินาทีนั้นไอ้พญาหมีใหญ่ร้องคำรามลั่น ขาที่ว่าแข็งแรงใช้ไสช้างอยู่เป็นประจำ สอยเท้าเสียจนส้นเท้าแทบแตก ย่ำลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยขุยใบไผ่ ไอ้หมีใหญ่วิ่งตามกวดทันควัน แต่ก่อนจะทันได้ก้าวไปไหนไกล ไอ้กิ่งไผ่เวรตะไลก็ดันมาคล้องลงกับขาแก ภายในใจก่อนด่าว่ามันไม่มีตาหรืออย่างไร จึงมาคล้องกับขาตัว ไม่นึกโกรธตัวเองเลยสักเพียงนิด เพราะไม่มีเวลาอีกแล้ว ร่างของแกล้มไถลไปกับกองใบไผ่ วินาทีนี้คิดได้เพียงว่าคงตายแน่

เสียงหมีอุ้งตีนมหึมาวิ่งตามมาตึบๆ ก่อนมันจะเงียบไปอย่างประหลาด ดวงตาดวงเล็กๆ ของแกค่อยๆ หรี่ตาลง สงสัยคงจำต้องใช้วิชาแกล้งตายเหมือนดั่งในนิทาน เพียงแต่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแกนั้นกลับเป็นหมีใหญ่ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับไอ้เงี้ยว ส่วนสูงของมันทั้งคู่สูสีพอๆ กัน จะต่างกันก็แต่เพียงความหนาของพญาหมีใหญ่ มันทั้งคู่ยืนมองจ้องตากันอยู่เพียงสองถึงสามนาที ก่อนที่หมีตัวโตจะถอยร่นหนีไป

“ขนาดหมียังกลัวมัน ข้าเจ้าว่ามันเป็นเสือเย็นแน่ๆ เลยเจ้า” มิเมออกความเห็น หน้าตาของหล่อนดูแตกตื่น ทว่าตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งตะโกนมาจากเนินสูง ร้องเรียกหาสุ่นคำ

“สุ่นคำ! มาหาอีพ่อกำ” คนเป็นพ่อตะโกนเรียกลูกสาวแก พรานวัยฉกรรจ์อายุประมาณสี่สิบปีกลางๆ กวักมือเรียกลูกสาวให้มาหา สุ่นคำที่ได้ยินจึงรีบหันขวับและขอตัวจากแม่หญิงของหล่อนเสียก่อน ตอนนั้นเองที่ทั้งสามหันไปพบเข้ากับกายาใหญ่ที่เดินมาข้างกันกับพรานต่อม ทั้งสามถึงกับหยุดกึก นิ่งงันไปอย่างรู้กัน

“สุ่นคำ!” คนเป็นพ่อเร่ง

“เจ้า!” สุ่นคำขานรับอย่างลำบากใจ หล่อนยันมือเล็กลงกับหัวเข่าตัวเอง หยัดกายยืนขึ้นช้าๆ และหันหน้ากลับไปมองคนเป็นพ่อ เดินตัดพื้นหญ้าบนทางเดินลาดขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงและยืนพูดคุยอยู่กับพ่อของตัว

“มิเมว่าเขาฟู่จา (พูดจา) อันใดกัน” เกี้ยวจันทร์ถามพี่เลี้ยงเธอ พลางเงยหน้ามองคนสองสามคนที่หยุดยืนพูดคุยกันอยู่บนเนินสูง นึกสงสัยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหตุใดต้องพาไอ้เงี้ยวมันเข้ามาในเขตที่พักของนาย

“บ่รู้เจ้า สงสัยคงเอาของมาขาย” มิเมชะเง้อหน้ามองด้วยอีกคน เพียงแต่ตอนนั้นเองที่เกี้ยวจันทร์หยิบเอาเงินท้อกในถุงผ้าเล็กๆ ออกมา ยกยื่นให้มิเม ด้วยหวังให้มิเมนำเงินนี้ไปจ่ายให้ไอ้เงี้ยวเป็นค่ากระต่าย ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เธอเพียงต้องการรู้ว่าพรานต่อมพูดคุยอะไรกับลูกสาวของแก

“อะหยังเจ้า” มิเมทำหน้าตาเลิ่กลั่ก หัวใจดวงเล็กของพี่เลี้ยงสาวชาวมอญผู้นี้ถึงกับเต้นโครมคราม ไม่คิดว่านายตนจะส่งให้หล่อนเข้าไปหาชายผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นเสือเย็น

“มิเมเอาไปให้มัน บอกมันว่านี่เป็นค่าขะต่าย แล้วมิเมก็รอฟังว่ามันพูดอันใดกัน เราอยากรู้” เกี้ยวจันทร์รีบชี้แจงกับพี่เลี้ยงเธอ แต่ยิ่งทำให้มิเมทำหน้าเหยเกเข้าไปใหญ่

“แม่หญิง~ แม่หญิงบ่ฮักข้าเจ้าแล้วกา~” มิเมแสร้งทำเสียงสะอื้น แต่ก็จำต้องรับถุงเป้งหรือถุงใส่เงินของแม่หญิงเสี้ยวจันทร์มาไว้ในมือ ภายในถุงนั้นบรรจุเงินท้อกเอาไว้จำนวนหนึ่ง เป็นเงินที่ใช้เป็นเงินปลีก เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซื้อผัก ซื้อปลา ซื้อของในตลาด ตัวเงินท้อกนั้นทำจากเงิน อาจผสมสำริด เพียงแต่มูลค่านั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของเงินที่ผสมลงไป หากมีมากหรือเป็นเงินล้วน มูลค่าก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่หากต้องการซื้อของที่มีราคาแพง แม่หญิงเกี้ยวจันทร์จะเลือกใช้เงินแถบหรือเงินรูปีเสียมากกว่า

“เร็วๆ” 

มิเมยังไม่ทันได้โยเย แม่หญิงที่เคยแสนดีก็พลันเร่งเร้าให้พี่เลี้ยงสาวตาใส ลุกขึ้นไปทำตามคำสั่งตน ดวงตากลมของเกี้ยวจันทร์จ้องมองแผ่นหลังของมิเมที่กำลังค่อยๆ ลุกขึ้น ดูเหมือนกำลังประวิงเวลาเพื่อที่หล่อนจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นไป ถึงกระนั้นมือเรียวของเกี้ยวจันทร์กลับตีสะโพกกลมของมิเมเบาๆ หยอกเย้าพี่เลี้ยงที่ทำตัวเป็นเด็กน้อยโยเย ทำให้มิเมลูบสะโพกตัวเอง แต่ก็จำต้องเดินต่อไป

หญิงสาวจากเวียงเชียงใหม่จึงนั่งเล่นกับกระต่ายน้อยของเธอ ส่งหญ้ายอดใหม่ให้ปากกระจิ๋ว เจ้าตัวเล็กพลันคาบเคี้ยวหงุบหงับ รอเวลาให้บ่าวทั้งสองกลับมาหา เพียงแต่รออยู่สักเพียงครู่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเดินกลับมารายงานเลยสักคน มิหนำซ้ำยังพลอยจะได้ยินเสียงโวยวายของมิเมที่ดังมาจนถึงริมลำธาร ขมวดคิ้วเรียว พยายามเพ่งมองดูว่าทั้งสี่คนพูดคุยอะไรกัน 

ตอนนี้มิเมกำลังเท้าสะเอวบอกไอ้เงี้ยวให้รับเงินของเธอ

“อันใดอีก” เกี้ยวจันทร์ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ อุ้มเจ้ากระต่ายออกมาจากผ้าคลุมผืนหนา กระชับสไบที่ห่มคลุมบ่าตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปจัดการแทน

“สูก็รับๆ ไป มันยากอย่างใด แม่หญิงเพิ่นก็บอกว่าให้เป็นค่าขะต่าย” มิเมยังคงโวยวายดังลั่น มือหนึ่งเกาหัวแกรก แรกเริ่มเดิมทีก็หวั่นเกรงอยู่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นเสือเย็นก็เป็นได้ หากทำให้มันโกรธ มันอาจกลายร่างเป็นเสือมาขย้ำหล่อนเอาง่ายๆ ทว่าเมื่อพูดมากความเข้า บอกเท่าใดไอ้เงี้ยวผู้นี้ก็ไม่ยอมรับเงินที่แม่หญิงของหล่อนมอบให้เสียที หล่อนจึงต้องโวยขึ้น

“เราบ่เอา” เจ้าของร่างกายใหญ่โตตอบเพียงสั้น ใบหน้าเรียบเฉยแสดงออกชัดเจนว่า เขาหาได้สนใจไยดีต่อเงินทองที่มิเมจะมอบให้เลยสักเพียงนิด อีกอย่าง มันเป็นการปฏิเสธครั้งที่สี่หรือห้าแล้ว

“มันน้อยไปหรือ!” เจ้าของเงินท้อกถามด้วยตัวเธอเอง

“แม่หญิง!” มิเมถึงกับตกใจ หล่อนรีบป้องร่างนายไม่ยอมให้เข้าใกล้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้

“บ่น้อย แต่เราบ่ซื้อขายชีวิต” ชายตรงหน้าแจ้งเหตุผล ดวงตาคมเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนของเธอ ทำเอาหญิงงามเริ่มหวาดหวั่น ด้วยดวงตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลางใบบอนคู่นั้น คมกล้าเสียจนน่าประหวั่นพรั่นพรึง ไม่แปลกใจเลยที่มันจะทำให้หมีควายตัวโตใหญ่นั้นถอยร่นไปโดยดี

“เราบ่ได้ให้เป็นค่าชีวิต เราให้เป็นค่าแรงสู” เกี้ยวจันทร์แจ้งออกไปตามตรงเสียงฉะฉาน ใบหน้างามของเธอยังคงเชิดขึ้นมองเขา พยายามข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ภายในใจดวงเท่ากำปั้นเล็กนี้ กระทั่งมือเรียวส่งกระต่ายตัวน้อยให้มิเม และเธอเลือกจะหยิบถุงเงินท้อก ยื่นให้กายาใหญ่แทน

“เราบ่ได้เหน็ดเหนื่อยอันใด เราเห็นแม่มันตาย หากเราปล่อยไว้มันก็จักถูกฆ่า ได้ยินแม่หญิงจากเวียงเชียงใหม่เพิ่นอยากได้กระต่ายเป็นๆ เราก็จึงเก็บมา” กายาใหญ่ยังคงตอบด้วยเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งงันของเขาเอาแต่จับจ้องใบหน้างามของเธอ เขาเมินเฉยต่อมือเรียวที่ยื่นเข้าหา กระทำเพียงจ้องมองดวงตาสุกใส

“เราบ่อยากให้เป็นบุญเป็นคุณ” เกี้ยวจันทร์กัดฟันกรอด เธอเลือกใช้คำที่หนักแน่นและเด็ดขาด มันเป็นคำขาดที่แจ้งว่าอีกฝ่ายจะต้องรับมันเอาไว้

“เราบ่ถือเป็นบุญเป็นคุณ” ไอ้เงี้ยวผู้นี้กลับยังคงเมินเฉย

เกี้ยวจันทร์กระทืบเท้ากับพื้นอย่างโยเย ขุ่นเคืองไอ้เจ้าคนปากดีที่พูดต่อล้อต่อเถียง ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเธอ มือเรียวกำหมัดแน่นกึก ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอขบริมฝีปากตัวเองเมื่อใด สุ่นคำที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทำได้เพียงเงียบปาก ด้วยหวั่นเกรงว่าหากเสนอสิ่งใดไปแล้วไม่ถูกใจเธอ จะถูกดุถูกด่ากลับมาเปล่าๆ

“แต่เราถือ!” เสี้ยวจันทร์ตวาด

พรานต่อมที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าของกายาใหญ่ถึงกับถอนหายใจ ตบมือหยาบกร้านกับบ่าหนาของไอ้เงี้ยวไร้ชื่อไร้นาม ขอให้ยอมความแม่หญิงคนนี้เสียดีกว่า เพราะหากไม่มีใครยอมใคร ธุระกับนายห้างก็คงไม่ได้เริ่มสักที เหตุที่เข้ามาในวันนี้ก็คงเพราะนายห้างตันฉเวเรียกให้เข้าพบ แกคงอยากไหว้วานให้ทำอะไรสักอย่าง และมันคงสำคัญมาก ถึงขนาดว่าขอให้พรานต่อมเรียกไอ้เงี้ยวผู้นี้มาด้วย

ชายผู้สวมเพียงผ้าเค็ดม่ามสีมอซอและผ้าโพกหัวสีขาวยื่นฝ่ามือหนาให้เธอ แบมือรอว่าเมื่อใดแม่หญิงคนดีจะหย่อนเงินท้อกในถุงน้อยนั้นมาให้ ทว่าเมื่อกายาใหญ่ยอมรับเงินตรานั้นแต่โดยดีแล้ว เกี้ยวจันทร์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายลังเล มือเธอชักเข้าชักออกไม่ยอมส่งมือเข้าใกล้กายาใหญ่ อาจนึกกลัวขึ้นมาว่าหากชายผู้นี้เป็นเสือเย็นจริงๆ มันคงไม่ไว้ชีวิตเธอ

“มิเม” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์จึงเลือกพึ่งพาให้พี่เลี้ยงจัดการ แต่เมื่อเอ่ยนามมิเมออกไปเท่านั้น ฝ่ามือหนาของกายาใหญ่ก็พลันกำเก็บฝ่ามือขาวนั้นไป เป็นนัยว่าจะรับเงินก็ต่อเมื่อเกี้ยวจันทร์เป็นฝ่ายหย่อนเงินท้อกนั้นให้เท่านั้น เสียงจุปากของเกี้ยวจันทร์ทำให้ทุกคนในที่นี้รับรู้ว่า เธอนั้นไม่พอใจกับการกระทำของเขา

กระทั่งเสียงเงินท้อกเหรียญเล็กๆ ในถุงกระทบกันเบาๆ ด้วยมือเรียวล้วงลงไปหยิบมันออกมาสองเหรียญด้วยกัน จำนวนนี้ดูจะเหมาะสมกับราคากระต่าย เพราะมันเป็นราคาที่ซื้อไก่เป็นๆ ได้หนึ่งตัวพอดิบพอดี ฝ่ามือหนากางออกเพื่อรับเงินของเธอ เกี้ยวจันทร์จึงปล่อยเงินให้เหรียญเล็กตกลงกับมือเขาเสีย

“ก็เท่านี้ บ่เห็นยากเย็น” เกี้ยวจันทร์กระแทกเสียงใส่ เธอกระทืบเท้ากลับไปยังบ้านพักริมลำธารของตัวเอง เลือกจะเดินขึ้นเรือนไปโดยไม่สนใจเสื่อสาดที่ปูเอาไว้ข้างเรือนอีกต่อไปแล้ว มิเมและสุ่นคำจึงต้องเร่งเดินตาม เพื่อปลอบใจแม่หญิงของตน

เจ้าของนัยน์ตาสุกใสดั่งหยาดน้ำค้างยังคงจ้องมองเธอไปจนลับสายตา เธอคนนี้ดูน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่อะไรบางอย่างทำให้เจ้าของกายาใหญ่รับรู้ได้ว่า เธอคงเกลียดเขาเข้าไส้ เจ้าของริมฝีปากเข้มยิ้มเย้ยหยันตัวเอง ก่อนพรานต่อมจะเรียกให้เดินตามมา ทั้งสองจึงมุ่งหน้าขึ้นไปยังเรือนทำการ เพื่อพบกับนายห้างแห่งปางไม้ใหญ่แห่งนี้


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น