ตอนที่ 6

ตอนที่ 6 เกล็ดแก้ว

 

            บนทางดินราบเรียบของผืนป่าอันกว้างใหญ่ ซึ่งก่อนหน้าเคยเป็นทางเดินแคบๆ ของชาวบ้านผู้มีอาชีพหาของป่า เพียงแต่เมื่อถึงระยะทางหนึ่ง พวกเขาจำต้องเดินย้อนกลับ ด้วยหนทางเบื้องหน้านั้นไม่อาจไปต่อ มีก็แต่พรานป่าผู้ชำนาญทางเท่านั้นที่จะเดินเข้ามาถึง นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลให้นายห้างตันฉเวเรียกพรานต่อมและไอ้เงี้ยวเข้าพบเมื่อสองสามวันก่อน คำสั่งที่สองพรานได้รับมา คือการเกณฑ์คนมาแผ้วถางทางเดิน แน่นอนว่าก็คงหาใช่การถางป่าให้แกผู้นอนกลางดินกินกลางทรายมาตั้งแต่เด็กไม่ เพียงแต่เป็นการถางทางให้หญิงสาวสักสามสี่คนได้เดินผ่านทางไปเท่านั้น

            ตลอดทางเดินที่จะเรียกว่าเดินสบายก็คงเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะแม้ทางเดินจะถูกถางเสียจนเหี้ยนเตียนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางเดินนี้จะราบเรียบเสมอไป เหตุเพราะจำต้องเดินขึ้นเขาลงห้วย กว่าจะขึ้นมาถึงยังทางเดินเรียบพอให้เดินสบายได้ก็จำต้องบุกป่าฝ่าดง ยิ่งแม่หญิงชาวเวียงผู้เคยเดินเล่นป่าเพียงชายป่าแพะ สีหน้าของเธอจึงบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เธอนั้นจะไม่ทนเดินด้วยรองเท้าเปียกๆ อีกต่อไป ลำบากบ่าวไพร่ต้องคอยเปลี่ยนรองเท้าไม้ให้เธอใส่อยู่เป็นระยะๆ

            “หนูเกี้ยวจันทร์ไหวก่อ” นายห้างตันฉเวถามเสียงทุ้มต่ำ ดูเหมือนในคาราวานเดินขึ้นเขาวันนี้จะมีเพียงนายห้าง มิเม และสุ่นคำเท่านั้นที่ถามถึงสุขภาพและความพร้อมของเธอ ส่วนพ่อของเธอเอาแต่เดินจูงไพร่ชู้อย่างออกหน้าออกตาเสียยิ่งกว่านายฮ้อยเดินจูงวัวจูงควายเสียอีก

            “ไหวเจ้า” เกี้ยวจันทร์กัดฟันตอบ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแสนกระแทกกระทั้น มันเหมือนฟ้าดินกำลังกลั่นแกล้งเธอ เพราะการมาปางไม้ในครานี้ก็หาใช่ความคิดเธอไม่ อีกทั้งการเดินทางมาค้างแรมในป่าวันนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ผู้นี้อีกเช่นกัน

            ตลอดการเดินทางที่แสนลำบาก บัดนี้เริ่มเข้าสู่ทางเดินที่ราบเรียบขึ้น ง่ายต่อการก้าว แต่ก็ยังคงต้องเดินย่างอย่างระมัดระวังอยู่ดี รากไม้ เหลี่ยมหิน และหลุมดินพร้อมจะทำให้สะดุดล้มได้ทุกเมื่อ แม้เส้นทางจะถูกแผ้วถางและขุดถมดินเอาไว้ก่อนหน้า แต่รองเท้าผ้าของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ที่เคยสวมในยามปกติคงสวมใส่ที่นี่ไม่ได้ จำต้องเปลี่ยนไปสวมรองเท้าหนังที่หนากว่า เพื่อกันหนามแหลมและหินคมบาด

            “อีกน้อยเดียวก็จะถึงแล้ว อดเอาเน่อ” นายห้างตันฉเวบอก เขาสวมเชิ้ตทะมัดทะแมงแบบชาวฝรั่ง นุ่งกางเกงแบบชาวฝรั่ง และสวมบูตยาวสีเข้มที่เข้ากันกับพานท้ายปืนกระบอกยาว ‘เอ็นฟิลด์ 1860’ ปืนกระบอกงามที่พัฒนามาจากรุ่นเก่า เปลี่ยนจากการบรรจุดินดำทางปากลำกล้อง มาเป็นกระสุนปลอกทองเหลืองที่บรรจุจากท้ายลำกล้องแทน ซึ่งแกได้รับมาจากนายฝรั่งคนก่อน สะพายไว้กับบ่าหนาพร้อมลูกปืนขนาด .577 ที่เสียบเรียงรายอยู่กับสายสะพายเส้นใหญ่ ทำให้นายห้างผู้เคร่งขรึมดูดุดันมากขึ้นไปอีก แม้จะยังคงเคียนหัวด้วยผ้าขาวแบบเดิมๆ ก็ตาม

            “เจ้า” เกี้ยวจันทร์ตอบเพียงสั้น ไม่มีแก่ใจจะนึกเหน็บแนมใครอีก เธอเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นเขาลงห้วย ตลอดระยะทางสองกิโลเมตร ซึ่งในความเป็นจริงอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเศษๆ หรือประมาณ 1-2 ชั่วโมง หากผู้ร่วมเดินทางมีเพียงกลุ่มของชายฉกรรจ์ ทว่าวันนี้มีหญิงสาวร่วมเดินทางมาด้วยถึงสี่คน มันจึงกินเวลาไปกว่าสามชั่วโมงแล้ว พวกเขาและเธอควรถึงสถานที่พักค้างแรมเสียที

ร่างงามเจ้าของผ้าซิ่นต๋าต่อหัวต่อตีนสีเข้มก้าวเดินตามกลุ่มของนายห้างตันฉเวไปอย่างช้าๆ โดยมีพรานต่อมเดินนำนายห้างใหญ่และครอบครัว ส่วนไอ้เงี้ยวเดินล่วงหน้าไปไกลอีกระยะหนึ่ง ท้ายคาราวานเป็นกลุ่มลูกหาบ ประกบด้วยคนระวังท้าย สะพายปืนลูกซองแฝดไว้อีกกระบอกหนึ่ง เดินตามๆ กันไปท่ามกลางหมู่แมกไม้ใหญ่ ลำต้นหนาของไม้ในละแวกนี้เต็มไปด้วยต้นมอสส์ต้นเฟิร์น อาจเพราะชุ่มชื้นกว่าบริเวณอื่นของป่า แต่ก็ยังพอมีแดดส่อง พื้นดินจึงแห้ง ไม่แฉะเหลวเหมือนทางเดินก่อนหน้านี้

เสียงนกตัวเล็กๆ ที่เกาะอยู่เหนือเถาวัลย์เส้นใหญ่ ส่งเสียงร้องบอกกันเป็นทอดๆ ว่าบัดนี้มีพวกมนุษย์สองขาเดินดุ่มๆ เข้ามาในบริเวณถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน ก่อนเสียงเล็กแหลมของกวางหนุ่มที่หลบลี้อยู่ตามเขาป่าดงไพรจะดังขึ้นด้วยอีกเสียงหนึ่ง ไอ้เงี้ยวผู้เดินนำทางอยู่ไกลลิบๆ หยุดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มันทำให้พรานต่อมเองจำต้องบอกให้คาราวานชาวปางไม้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปด้วย

“มีอะไร” นายห้างตันฉเวถามพรานต่อมด้วยเสียงที่เบาลง แกพยายามเงี่ยหูฟัง เพียงแต่เสียงนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน

“กระทิงขอรับ” พรานต่อมเอ่ย แกคงต้องเชื่อหูของนายพรานที่เจนจัดเรื่องการล่ามากกว่านายห้างผู้เพียงมีรสนิยมชื่นชอบการล่าสัตว์อย่างแก เสียงกระทิงร้องแผดยาวที่แทรกเสียงกวางหนุ่มมาตามสายลมค่อยๆ จางหายไป หลงเหลือไว้เพียงเสียงของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเพียงน้อย

จากจุดนี้เองสามารถเห็นสายธาราที่สูงเด่นเป็นสง่า ทว่าเกี้ยวจันทร์เองหาได้สนใจสิ่งอื่นไม่ บัดนี้เธอสนใจเพียงตัวเธอที่เหนื่อยล้าเต็มทน ในความเป็นจริงเธอไม่ควรต้องมาลำบากอยู่อย่างนี้เลย อีกอย่าง เจ้าลูกกระต่ายของเธอที่บัดนี้ถูกขังเอาไว้ในกรงเล็กเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว ตอนนั้นเองที่กายาใหญ่เริ่มก้าวเดินต่อ และเมื่อคาราวานก้าวเดินต่อ เธอก็จำต้องก้าวเดินตาม ริมฝีปากอิ่มพ่นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ธรรมชาติมีอะไรให้หลงใหลกัน

“ถึงสักที!” ตอนนั้นเองที่วินทเวลูกชายคนเล็กของนายห้างตันฉเวร้องโร่อย่างดีอกดีใจ เพราะสุดท้ายทุกคนที่เดินทางมาด้วยกันก็มาถึงยังลานที่พักกันเสียที เด็กหนุ่มอายุสิบหกปีรีบถอดเสื้อผ้าที่สวมมานี้ออก โยนถุงย่ามของเขาให้คนดูแล และวิ่งเข้าใส่ธารน้ำตกที่ใกล้ที่สุด กระโดดอยู่ตูมตามให้สาแก่ใจ เพราะในที่สุดก็ถึงเส้นชัยสักที

“ถึงแล้วเน่อเจ้าแม่หญิง” มิเมร้องบอก มือเล็กๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อออกจากใบหน้างามของเกี้ยวจันทร์ แม่หญิงของหล่อนดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน

“เอาละ เราจะตั้งค่ายพักกันที่นี่!” นายห้างตันฉเวปรบมือเรียกเสียงดังและแจกแจงภาระหน้าที่ของแต่ละคนในทันที เหตุเพราะต่อจากนี้กลุ่มของนายห้างจะเดินทางต่อ เพื่อเข้าไปในจุดที่ลึกขึ้น

สำหรับผู้นิยมล่าสัตว์ แต่ไม่ได้สนใจกลวิธีก่อนหน้า ไม่สนใจการขัดห้างไว้ส่องสัตว์ ไม่รู้วิธีขัดห้าง ไม่รู้วิธีเลือกต้นไม้ที่ใช้ขัดห้าง ก็ต้องให้คนอื่นทำ ซึ่งหน้าที่เหล่านี้เป็นของพรานเก่าอย่างพรานต่อมและไอ้เงี้ยว ผู้ต้องนำทางคนเหล่านี้เข้าไปเพื่อแสดงแสนยานุภาพแบบฉบับของผู้มีปืน แต่ขัดห้างขึ้นไม่เป็น ลำบากพรานต่อมและไอ้เงี้ยวให้ต้องเดินเข้ามาหาจุดขัดห้าง และทำทางขึ้นลงให้ผู้เป็นนายไว้เสียก่อน ส่วนหน้าที่การเล็งตาไปยังศูนย์เล็งปืน พวกท่านคงถนัดกันอยู่แล้ว

พี่เลี้ยงชาวมอญของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์พาเจ้าชีวิตของหล่อนเดินมาพักผ่อนใต้ต้นตะแบกต้นหนึ่ง ตะแบกต้นนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป สูงพอให้นั่งพักพิงอิงแอบได้ประมาณ 4-5 คนสบาย ที่สำคัญ ยังมีหินก้อนใหญ่ให้พอขึ้นนั่งพักผ่อน สุ่นคำบ่าวคนใหม่วิ่งรี่นำน้ำในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมมา ส่งให้เกี้ยวจันทร์ได้ดับกระหายด้วยอีกแรง วันนี้หล่อนได้รับรู้แล้วว่า การเดินป่าคงไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงอย่างแม่หญิงเกี้ยวจันทร์จริงๆ

“มิเมพัดให้เน่อเจ้า” มิเมเอ่ยกับนายอย่างเป็นกังวล ใช้พัดไม้ไผ่พัดให้แม่หญิงอย่างแผ่วเบา ประคบประหงมหญิงงามชาวเวียงผู้ไม่เคยต้องลำบากตรากตรำ เกี้ยวจันทร์คว้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับเหงื่อไคลบนใบหน้างามที่ไหลหยดเสียจนท่วมนองเนื้อตัว

“อีพ่อนะอีพ่อ หากเรารู้ว่าต้องมาลำบาก เราบ่มาหรอก” เกี้ยวจันทร์บ่นเบาๆ

“อยากเอาเมียก็เอาไป บ่ใช่เรียกเรามาเป็นสักขีพยาน ผ่อ (ดู) มันจับมือจูงแขนกัน บ่เกรงผีแม่เราสักน้อย” แม่หญิงชาวเวียงว่า ตลอดทั้งสิบแปดปีที่เกิดมา คนที่เธอให้ความสำคัญเห็นจะมีเพียงแม่เสี้ยว อุ๊ยจั๋น และมิเมเท่านั้น ส่วนพ่อดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินที่เพิ่มมาในชีวิตเธอภายหลังเสียมากกว่า แน่นอนว่าความรู้สึกนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เกี้ยวจันทร์รับรู้ว่า พ่อของเธอมีผู้หญิงคนใหม่ ก่อนหน้าแม้แกจะเป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ แต่พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ

ความกระอักกระอ่วนใจลอยฟุ้งอยู่รายรอบตัวเธอ ทำให้สุ่นคำไม่กล้าจะเสนอสิ่งใดต่อแม่หญิงเพิ่มเติม จะมีก็แต่มิเมที่รู้ว่าหล่อนควรรับมือกับสถานการณ์นี้เช่นไร และหล่อนทำได้ดีทีเดียว มือเล็กๆ ของมิเมแตะลงกับแก้มอิ่มของสาวเจ้า เกลี่ยลงกับผิวขาวลออของแม่หญิงคนงามอย่างเบามือ ดวงตากลมเล็กจ้องมองเข้าไปในดวงตาใส มันสั่นไหวทีเดียว

“แม่หญิงอยากได้อันใดก่อเจ้า มิเมจะหามาให้ทู้กกก~ อย่าง หรืออยากไปเดินเล่นก่อ น้ำตกที่นี่ท่าจะเย็นสบาย” มิเมเสนอ และเกี้ยวจันทร์พยักหน้ารับในทันที

สำหรับสุ่นคำ หล่อนรู้สึกแปลกใจในคำพูดของบ่าวบางคนที่เล่าลือกันอย่างสนุกปากว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์นั้นเป็นคนดุร้ายเยี่ยงเสือ ทว่าเท่าที่อยู่กันมาตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ทั้งมิเมและหล่อนเองกลับไม่มีใครเคยถูกแม่นายน้อยผู้นี้ลงทัณฑ์เลยสักครา อาจมีดุด่าบ้าง หากทำให้ไม่พอใจ แต่เธอไม่เคยลงไม้ลงมือ ผิดไปจากเรื่องที่เล่าลือกันมากโข บางทีเรื่องเล่าเหล่านี้อาจมาจากปากของนางฟอง บ่าวไพร่ผู้สถาปนาตัวเป็นเมียรักคนใหม่ของพ่อเธอ ด้วยมันเคยถูกสั่งเฆี่ยนเสียจนหลังลาย ไม่ถึงตายก็เรียกว่าบุญหัวมันแล้ว

“ที่นี่เพิ่นเรียกว่าน้ำตกเกล็ดแก้วหลวงเจ้า ที่ข้าเจ้าเคยเล่าให้ฟัง ว่ามีเพชรพลอยปูอยู่ใต้ผืนน้ำ” สุ่นคำรีบเอ่ย

“มีแท้กา?” เกี้ยวจันทร์ถามอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่สุ่นคำแจ้งต่อเธอ

“มีแท้เจ้า แต่ต้องเดินขึ้นไปอีกสักหน่อย บ่นาน” สุ่นคำพูดจาหวานหูน่าฟัง ขนข้าวขนของให้แม่หญิงของหล่อนไปด้วย

“บ่นานๆ ก่อนมาสูก็บอกว่าบ่นาน เข้าป่าเข้าดอยมาได้สองยามแล้ว” มิเมดุ แทบไม่เชื่อคำว่าไม่นานของสุ่นคำอีกแล้ว แรกเริ่มเดิมทีสุ่นคำนั้นแจ้งต่อทั้งสองเอาไว้ว่า อาจใช้เวลาเพียงหนึ่งยามเศษ อาจนานกว่านั้น แต่จะไม่ถึงสองยามเป็นแน่แท้ ในความเป็นจริงมันอาจถูกต้องแล้วตามคำพูดของสุ่นคำ หากแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ไม่ร้องขอที่จะหยุดพักเหนื่อยในทุกๆ ครึ่งชั่วยาม พวกเธอและคาราวานก็คงมาถึงกันตรงเวลา

“ช่างเทาะ เราเองที่พักมาตลอดทาง” เกี้ยวจันทร์ช่วยพูด รู้ตัวดีว่าเธอนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ระยะเวลาเพิ่มขึ้น แต่ทุกคนกลับเลือกที่จะไม่เอ่ยคำใดออกมาเสียมากกว่า เพราะเกรงว่าเธอจะโกรธและพานโยเยจะกลับบ้านพัก

“เอ่อ…ข้าเจ้าบ่ได้โทษแม่หญิงเน่อเจ้า” สุ่นคำรีบแก้ตัว มือเล็กๆ หยิบเอาลูกกระต่ายออกจากกรง และส่งให้แม่หญิงของหล่อน

“บ่เป็นหยังหรอก เรารู้ว่าเราบ่เหมาะกับป่า” เกี้ยวจันทร์ยอมรับในสิ่งนี้แต่โดยดี เธอถอนหายใจ ก่อนจะรับลูกกระต่ายตัวน้อยมาไว้ในมือ ร่างกายของเจ้าก้อนขนวันนี้ดูแข็งแรงเหลือเกิน เรี่ยวแรงของมันมีมากขึ้นกว่าวันแรกที่มาถึงมากโข อาจเพราะได้หญ้าและน้ำสมบูรณ์

ทว่าตอนนั้นเองที่กายาใหญ่ช่วยลูกหาบแบกข้าวแบกของเข้ามายังลานแห่งนี้ วินาทีที่ดวงตาสุกใสของเขาเหลือบมามองยังเธอ สาวเจ้าก็พลันแลบลิ้นใส่ในทันที หมั่นไส้เหลือเกิน ไอ้คนป่าคนดอยที่ไม่รู้จักเจียมตัว ชอบทำให้เธอโมโหอยู่ร่ำไป ถึงกระนั้นไอ้เงี้ยวผู้นั้นกลับกระทำเพียงขยับยิ้ม และทำทีเป็นไม่สนใจเธอ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ด้วยพวกเขาจำเป็นต้องเร่งมือกางกระโจมใหญ่ให้เหล่าเจ้านาย และตั้งค่ายพัก ก่อหลัวก่อฟืนให้แล้วเสร็จเสียก่อนจะเลยเที่ยงวัน

“บ่ต้องมายิ้ม!” เกี้ยวจันทร์กระแทกเสียงดังขึ้น ขุ่นเคืองใจเหลือเกินจริงๆ ใบหน้างามรีบหันหน้าหนี ไม่อยากเห็นหน้าเจ้าของเรือนกายใหญ่โต ไม่อยากเห็นแม้กระทั่งลายสักขาแปลกตา

ในขณะที่คนงานตั้งหน้าตั้งตาตั้งกระโจมใหญ่ กลุ่มของนายห้างตันฉเวเองก็นั่งตรวจดูความเรียบร้อยของปืนผาหน้าไม้สำหรับล่าสัตว์ เพราะห้างนั้นขัดรออยู่แล้วในป่า ทว่าพ่อของเธอกลับเอาแต่นั่งเกี้ยวอยู่กับอีฟองคำ หาได้สนใจสัตว์ป่าเท่ากับสัตว์สองขาที่เอาแต่เกี้ยวพานกันทั้งวันตลอดการเดินทาง บางคราเมื่อย่ำผ่านดินเลน เธอต้องก้าวผ่านมันด้วยสองขาตัว แต่กับอีฟองคำนั้น พ่อเธอเลือกจะอุ้มมันแทบยกขึ้นเทินหัว

“ไปเทอะ เราคร้านเห็นอีพ่อกับอีฟอง” เกี้ยวจันทร์ว่าพลางขยับตัวลงจากก้อนหินใหญ่ มิเมรีบประคองตัวแม่หญิง ในขณะที่สองมือแม่หญิงเองก็เอาแต่อุ้มเจ้าลูกกระต่าย ไม่ต่างอะไรกับพ่อเธอที่อุ้มอีฟองคำ ประคบประหงมด้วยรักแลเอ็นดู

“บ่นานของสุ่นคำ มันนานเท่าใด” เกี้ยวจันทร์ถามบ่าวไพร่ของเธอ พลางส่งกระต่ายให้ใส่คืนไว้ในกรงเล็ก ตั้งใจจะพามันไปเดินเล่นที่น้ำตก

“บ่ไกลเจ้า เหมือนเดินจากขัวไม้ขึ้นมาเรือนแม่หญิง” สุ่นคำเปรียบเปรย พลางชี้ไม้ชี้มือไปยังทางโล่งเบื้องหน้า สุ่นคำเคยมาสถานที่แห่งนี้หลายครั้งหลายคราแล้ว มันเป็นสถานที่ที่นายห้างตันฉเวชอบชวนพ่อของหล่อนขึ้นมาล่าสัตว์ ในละแวกนี้จึงพบเห็นห้างเก่าที่ขัดเอาไว้

“สุ่นคำ! จะไปไหน” ตอนนั้นเองที่พรานต่อมตะโกนถามลูกสาว พรานใหญ่จ้ำเท้าเข้ามาหา เพราะเกรงว่าสุ่นคำจะพาเกี้ยวจันทร์ไปเดินเล่นเถลไถล การปล่อยให้หญิงสาวอยู่กันเพียงลำพังดูจะไม่ใช่สิ่งที่แกต้องการ ยิ่งกับลูกสาวสะฅ่วยด้วยแล้ว คงรับผิดชอบชีวิตไม่ไหว

“จะพาแม่หญิงไปเล่นน้ำตกเจ้า” สุ่นคำตอบตามซื่อ

“ก็เล่นตรงนี้ จะไป (อย่า) ไปไหนไกล” พรานต่อมกำชับด้วยเสียงกระซิบแผ่ว ไม่อยากให้เกี้ยวจันทร์ได้ยินสิ่งที่เอ่ย ด้วยหวั่นเกรงว่าเธอจะไม่พอใจ ดวงตาเล็กของแกเหลือบมองไปรายรอบกาย มันอาจเพราะเสียงกระทิงที่เคยได้ยินเมื่อครู่ จึงไม่ไว้ใจให้พวกผู้หญิงออกไปไหนตามลำพัง โดยเฉพาะคืนนี้แกต้องค้างแรมอยู่บนห้างกับนาย

“ขึ้นไปตรงนี้น้อยเดียว บ่ไปไกลเจ้า” สุ่นคำเอ่ยขออนุญาตผู้เป็นพ่อ ในขณะที่เกี้ยวจันทร์ถอนหายใจ คิดไว้ว่าคงต้องถอดใจและกลับไปนั่งอยู่ภายในกระโจมเฉยๆ แล้วกระมัง

พรานต่อมที่เห็นสีหน้าผิดหวังของเกี้ยวจันทร์ก็อดสงสารไม่ได้ แกจึงหยิบมีดเหน็บในฝักไม้ของแกยื่นให้สุ่นคำพกติดไว้ป้องกันตัว มันอาจใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งตัดไม้ถางทางและขุดดินในยามจำเป็น สุ่นคำที่เห็นถึงกับขยับยิ้มร่า สองมือรับมีดเหน็บนั้นมากอดเอาไว้ แสดงท่าทีดีอกดีใจที่หล่อนจะได้เอาใจแม่หญิงของตัวเอง

“ขอบคุณเจ้าลุง” เกี้ยวจันทร์ยกมือขึ้นไหว้สาพ่อของสุ่นคำ 

พรานต่อมรับไหว้ตอบในทันที รู้สึกผิดวิสัยลูกเจ้าลูกนาย เพราะในความเป็นจริงทุกวันนี้ไม่มีลูกนายห้างคนใดยกมือไหว้สาแกอย่างเช่นที่เธอทำ มันเป็นความจริงที่ว่าแม้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์จะหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกสะฅ่วย แต่ไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างถือตัวถึงขั้นว่าจะไม่ก้มกราบใครอย่างลูกเจ้าลูกนายในคุ้มในวัง พรานต่อมจ้องมองทั้งสามคนที่ค่อยๆ เดินแยกออกไป แม้จะรู้สึกเป็นห่วงอยู่มาก แต่ก็จำต้องปล่อยให้ทำตามใจตัวเอง

 

ทั้งสามสาวนายบ่าวเดินไปตามทางที่แผ้วถางไว้ประมาณหนึ่ง ไม่เตียนมาก แต่ก็พอให้เดินไปได้อย่างไม่ต้องกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ อีกทั้งต้นกล้วยที่พอมีให้เห็นกันประปรายรายรอบก็ถูกตัดและถางจนโล่ง ทว่าต้นกล้วยนั้นมีความสามารถพิเศษ มันสามารถงอกเงยขึ้นมาจากลำต้นฉ่ำน้ำของมันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ตอที่ถูกตัดไปจึงแตกหน่อใหม่ขึ้นมาให้เห็นประมาณหนึ่งแล้ว

เสียงซ่าของสายธารดังอยู่ชัดเจนมากเหลือเกิน แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากค่ายพักมากนัก บัดนี้จึงยังคงพอได้ยินเสียงของวินทเวแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ เขาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเล่นน้ำอยู่กับพวกสหายตน แม้เสียงนี้จะทำให้เกี้ยวจันทร์ไม่ชอบใจนัก ด้วยเหมือนถูกรบกวนด้วยเสียงชายผู้ไม่รู้จักโต ไม่รู้หรือว่าภายในป่านั้นเขาห้ามมิให้ส่งเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย

แต่เกี้ยวจันทร์ได้แต่คิด…

ตอนนี้สุ่นคำรับหน้าที่เป็นคนนำทางชั่วคราวไปบนทางแคบๆ ที่พอให้เดินได้ บนพื้นมีหินก้อนใหญ่สลับกับหินก้อนน้อย เป็นทางลาดขึ้นเนินเล็กที่พอให้หัวใจสูบฉีด แต่นั่นสำหรับสุ่นคำ หาใช่ลูกสะฅ่วยเช่นเกี้ยวจันทร์ไม่ เพราะบัดนี้เธอหอบแฮกและเอาแต่พ่นลมหายใจออกมาทางริมฝีปาก

“ไหนบอกบ่ไกล!” เกี้ยวจันทร์โยเย ในขณะที่มิเมคอยประคองอยู่ไม่ยอมห่าง

“อีกน้อยเดียวเจ้า! พ้นหินก้อนนี้ก็ถึงแล้ว” สุ่นคำเอ่ยกับแม่หญิงคนงามพลางชี้ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สำหรับสุ่นคำแล้ว หล่อนก็เพียงแค่ปีนข้ามไป แต่สำหรับเกี้ยวจันทร์มันทำให้เธอแทบเป็นลม

“โอ๊ย! อีสุ่นคำ!” มิเมถึงกับตะคอกใส่ สาบานกับตัวเองว่าจะไม่เชื่อใจคำว่า ‘บ่ไกล’ ‘อีกน้อย’ ‘น้อยเดียว’ ของสุ่นคำอีกต่อไปแล้ว ส่วนลูกสาวพรานต่อมผู้ปีนขึ้นไปถึงยังยอดหินผาจำต้องรีบวางกรงกระต่ายของผู้เป็นนายขึ้นบนยอดสูง ก่อนจะรีบปีนกลับลงมาเพื่อพยุงร่างงามของแม่หญิงให้ปีนขึ้นไป ช่วยกันประคองแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ขึ้นไปยังก้อนหินก้อนใหญ่นั้นให้ได้ เสียงลมหายใจหอบแฮกดังไกลไปทั่วทั้งบริเวณ

ทว่าเมื่อแม่หญิงชาวเวียงก้าวขึ้นถึงยังยอด ดวงตางามของเธอก็พลันเปล่งประกายระยิบ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นทิวทัศน์ป่าอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแดดจากดวงสุริยาดวงโตที่เฉิดฉายใกล้เที่ยงสาดส่องลงกับผิวน้ำใส ต้องสะท้อนลงไปถึงแก้วนิลจินดาเบื้องล่าง แอ่งน้ำที่ไหวกระเพื่อมเปล่งประกายงามงด ละอองขาวของน้ำตกสายใหญ่ที่ฟุ้งกระจายอยู่รายรอบ ครั้นเมื่อต้องสะท้อนกับแสงทอง จึงเกิดเป็นผีเงือกฮุง (ผีเงือกรุ้ง) สดสวย หรือรุ้งกินน้ำตัวมหึมา

ใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อดวงตากลมของเธอมองเห็นรุ้งกินน้ำตัวใหญ่ มันแจ่มชัดและสดสวยเสียยิ่งกว่าสายรุ้งใดที่เธอเคยเห็นในชีวิต ดังจะเอื้อมมือขึ้นไปจับคว้ามันลงมาเป็นของตัวได้ แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เงยขึ้นมองยังยอดภูผาสูง ทอดตาไปยังสายน้ำตกบนยอดเขา ริ้วรอยร่องลึกของหน้าผาสูงชันสลับเหลื่อมเลื่อมมันดูคล้ายเกล็ดงู ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง รับรู้ได้ถึงความมีตัวตน รับรู้ได้ถึงความเป็นจริงที่ว่า ตัวเธอนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อย ที่พยายามทำตัวให้ยิ่งใหญ่สูงค่า

เธอทอดตามองออกไปยังพื้นที่อันกว้างใหญ่ ภาพทิวเขาที่รายรอบสะท้อนในดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อน ทุกอย่างเป็นสีเขียวตัดกับผืนฟ้าสีฟ้าสวย มันเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสที่สุดวันหนึ่ง หากไม่ขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่มีวันรับรู้ สายลมเย็นที่โชยพัดผ่าน แสงแดดอุ่นที่ฆทาบลงกับเรือนกายขาวอิ่ม กลิ่นอายของป่าที่หอมจรุงรัญจวนใจ กลิ่นของน้ำตกที่ชุ่มฉ่ำในทุกคราที่สูดหายใจเข้าเติมเต็มปอด ทุกอย่างนี้โอบล้อมอยู่รอบตัวเธอ

“งาม…งามขนาด…(สวยมาก)” แม่หญิงแห่งเวียงเชียงใหม่ว่า เธอค่อยๆ ก้าวไปหยุดยืนยังเงื้อมผาที่ลาดลงเป็นธารน้ำตก น้ำใสไหลเย็นตกลงสู่เบื้องล่างลดหลั่นกันเป็นชั้น จากตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณที่ตั้งค่ายพักแรมได้ แน่นอนว่าคนยังค่ายพักก็มองเห็นเธอได้เช่นกัน

“พรานต่อม!!!” น่าแปลกที่ชายคนแรกที่เธอตะโกนเรียกชื่อคือ พรานต่อมพ่อของสุ่นคำ หญิงงามโบกมือหย็อยๆ ให้นายพรานอายุคราวพ่อที่ง่วนอยู่กับการเก็บฟืนเก็บไม้ ชายผู้นั้นเพียงโบกมือตอบ ก่อนที่เจ้าของกายาใหญ่จะหอบเอาฟืนท่อนใหญ่มาไว้ยังลานแห่งนี้เช่นกัน

“ไอ้เงี้ยว!!!” เจ้าของริมฝีปากอิ่มตะโกนเรียกอีกฝ่าย ทว่าครานี้ดูเหมือนกับว่า เธอเพียงอยากจะโอ้อวดเขาเท่านั้น บ่งบอกอย่างภาคภูมิใจว่าเธอเดินขึ้นมาได้สูงกว่าพวกผู้ชายเบื้องล่างเสียอีก แน่นอนว่าไอ้เงี้ยวผู้นี้คงกระทำเฉกเช่นเดิม มันเพียงอมยิ้มขำให้ความก๋ากั่นของแม่หญิงชาวเวียง เพียงแต่จากระยะที่เธอมองเห็น คงรับรู้ได้ยากว่าเขานั้นแสดงสีหน้าเช่นไร


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น