ตอนที่ 7 รอยยิ้ม
ฝ่าตีนหนาเดินแทรกผ่านพงหญ้ารกชัฏ แหวกทางให้เหล่าเจ้านายผู้สนใจในการเข้าป่าล่าสัตว์ เหล่าผู้ลากมากดีสะพายปืนผาหน้าไม้ไว้ติดตัวกันคนละกระบอก เพียงแต่ปืนที่ใช้ลูกกระสุนสมัยใหม่เห็นจะมีแต่เพียงปืนของนายห้างตันฉเว วินอู และสหายแกเท่านั้น คนอื่นๆ อย่างพรานต่อมสะพายปืนแก๊ปดินดำกระบอกยาว ส่วนลูกหาบที่ติดตามไปถือไว้เพียงธนูและหน้าไม้ น่าแปลกเหลือเกินที่ไอ้เงี้ยวคนนำทางนั้นหาได้พกสิ่งใดติดตัวไม่ มีก็แต่มีดเหน็บเล่มยาวของพรานต่อมที่ให้หยิบยืมมา และมันถูกใช้เพื่อถางทางเดินให้กลุ่มพรานใหม่เท่านั้น
แนวคิดในการล่าสัตว์ของพรานแต่เดิมถือเป็นการล่าเพียงเพื่อทำกินในครัวเรือน หรือไม่ก็เพียงเลี้ยงคนในหมู่บ้านเล็กๆ ของตัว ไม่ใช่การล่าเพื่อจำหน่าย หรือเก็บสระสมถ้วยรางวัลเป็นหัวสัตว์สักตัวเฉกเช่นปัจจุบัน ทุกวันนี้ใครๆ ก็เรียกตัวเองว่าพรานป่า สำคัญว่ามีปืนผาหน้าไม้ จะเข่นฆ่าชีวิตใดก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดบาป ไม่จำเป็นต้องทำตามข้อปฏิบัติแบบเดิมๆ อาจคิดว่าตนนั้นมีอำนาจ จะทำสิ่งใดก็ย่อมได้ หารู้ไม่ว่าธรรมชาติต่างหากที่กุมชะตาชีวิตเรา
กลับมายังชีวิตของพรานต่อม พรานป่าผู้ยอมรับว่าวิถีชีวิตยุคปัจจุบันนั้นแปรเปลี่ยนไปแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับว่า แกจะยอมทำตัวเป็นไม้รวกไม้ไผ่ที่โอนเอนไปตามแรงเหวี่ยง หรือจะตั้งตรงชี้เด่ให้เหมือนต้นตะเคียนทองต้นใหญ่ ยิ่งใหญ่เหนือต้นใดในป่า ทว่าเมื่อแรงลมกระโชกมา มิวายชีวาคงล้มครืน ทว่าการกระทำของพรานต่อมนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว แกเลือกที่จะก้มหัวให้นายห้างตันฉเว ยอมรับและโอนอ่อนไปตามวิถีที่เปลี่ยนไป
“วินอู ลูกน่าจะอยู่กับน้อง” ระหว่างเดินเข้าไปในป่าดงพงไพร นายห้างตันฉเวเอ่ยกับลูกชายคนโตที่ติดสอยห้อยตามมาขึ้นห้างด้วยกัน ฝ่ามือหนากระชับสายสะพายเส้นยาวที่คล้องอยู่กับบ่า
“ลูกอยากออกมายิงกระทิงกับอีพ่อมากกว่า เสียงมันร้องดังขนาด (ดังมาก) อีกอย่าง วินทเวมันก็บ่ได้อยากให้อ้ายอยู่ด้วย” วินอูเอ่ยแจ้งออกไปตามความเป็นจริง แม้จะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดก็ตาม
“อีพ่อหมายถึงน้องเกี้ยวจันทร์” นายห้างตันฉเวรีบว่า พลางหัวเราะร่วน ในความเป็นจริงแกไม่ได้ห่วงเจ้าวินทเวลูกชายคนเล็กสักเท่าไรนัก ด้วยมันมีพี่เลี้ยงและเพื่อนฝูงติดตามมาด้วยมากมาย จะห่วงก็แต่แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ ลูกสาวของสหายรักแกเท่านั้น ดูเหมือนเธอจะเข้าป่าเป็นครั้งแรก จากสีหน้าค่าตาแล้ว เธอดูไม่ชอบใจป่าใหญ่แห่งนี้เท่าไรนัก
“อ้อ น้องมีเพื่อนเยอะอยู่แล้ว อีพ่อบ่ต้องกลัวน้องจะเหงาหรอก ประเดี๋ยวอ้ายจะให้คนหาดอกไม้ผลไม้ไปฝาก ส่วนอ้าย อ้ายว่าจะหายิงหมูป่าสักตัวไปให้น้องย่างกิน เพราะน้องบ่กินเก้งกินฟาน”
นายห้างหัวเราะชอบใจใหญ่ ภูมิใจในความใส่ใจของวินอูที่มีต่อเกี้ยวจันทร์ นึกเอ็นดูแม่หญิงชาวเวียงผู้เลือกกินแต่ของที่ตัวเองเคยกินประจำ พลางหันมองไปยังชายผู้เป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ บัดนี้แกเริ่มแสดงสีหน้าอิดออด คงเพราะเริ่มคิดถึงเมียไพร่ของแก
“อย่างใดเสี่ยว หากอกเมียใหม่มาบ่ทันกึง (ครึ่ง) ชั่วยาม คิดถึงจนใจจะขาดแล้วกา” นายห้างตันฉเวเย้าแหย่สหายตน กลุ่มคนล่าสัตว์ผู้เต็มไปด้วยตัณหาป่าถึงกับหัวเราะร่วนให้คำพูดเหน็บแนมเหล่านั้น รวมถึงพ่อของเกี้ยวจันทร์ด้วยเช่นกันที่เลือกจะยิ้มร่าและยอมรับแต่โดยดีว่า แกคิดถึงเมียคนใหม่จริงๆ
เสียงพูดคุยดังไปตลอดทาง แม้พรานต่อมจะพยายามห้ามปรามเหล่าพรานหน้าใหม่ แต่กับนายและลูกของนาย ใครจะบอกกล้าบอกให้เงียบปากลง อาศัยว่ายกมือห้ามทัพเป็นบางจังหวะ ยามที่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ และเมื่อมองเห็นรอยเท้าใหญ่ยักษ์ของสัตว์ป่าเท่านั้น เกือบหนึ่งชั่วยามแล้วที่กลุ่มชายฉกรรจ์แยกออกมาจากกลุ่มของเด็กและผู้หญิง พวกเขามุ่งหน้าขึ้นเหนือ ก้าวไปยังอีกฟากหนึ่งของน้ำตก เดินไปยังห้างที่พรานต่อมและไอ้เงี้ยวมาขัดเอาไว้ให้เมื่อวันก่อน
“เรามาพนันกันบ่เสี่ยว ว่าคืนนี้ไผจะยิงได้ก่อนกัน” กระทั่งพ่อของเกี้ยวจันทร์เอ่ยท้าทายสหายตัว ตั้งเกมสนุกสนานขึ้นมาตามประสาชายฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยตัณหาป่า แม้คำพูดเหล่านี้จะไม่ค่อยถูกใจพรานต่อม ทว่ากับเจ้านาย แกคงห้ามปรามสิ่งใดมากไม่ได้ จึงทำได้เพียงเหลือกตา มองสบตาไอ้เงี้ยวอย่างเข้าใจหัวอกของกันและกันไปเท่านั้น
“ได้! สูเสนอมาขนาดนี้ เราจะบ่รับได้อย่างใด” นายห้างตันฉเวตกปากรับคำ พร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจอย่างอารมณ์ดี การเข้าป่าในวันนี้ดูเหมือนจะมีเพียงพรานต่อมเท่านั้นที่เป็นกังวล
“พรานต่อมว่าอย่างใด เอากับเราก่อ” นายห้างถามพรานต่อม คงนึกสนุกจึงเอ่ยชวนทุกคนที่มาด้วยกัน ใครที่ยิ่งสัตว์ได้ก่อน หรือเป็นผู้ปลิดชีพสัตว์ได้ก่อน ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายชนะ
“ให้ผมเป็นผู้ตัดสินดีกว่า เกิดผมแพ้ขึ้น ขายขี้หน้าแย่” พรานต่อมปฏิเสธแบบอ้อมๆ เพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายรู้สึกถูกหักหน้ามากจนเกินไป เพราะเรื่องการขึ้นห้างส่องสัตว์เป็นเรื่องปกติที่พรานอย่างแกถนัดอยู่แล้ว เกิดชนะนายขึ้นมา จะทำให้ขุ่นเคืองใจกันเสียเปล่าๆ
เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาดังขึ้นไปตลอดทาง ก่อนจะเข้าสู่บริเวณห้างที่ขัดรออยู่แล้ว เหนือต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขึ้นสูงชะลูด นายห้างตันฉเวเงยหน้ามองยังห้างใหญ่เหนือหัว มันดูแข็งแรงทนทานเอาเรื่อง แน่นอนว่าจากจำนวนคนที่เข้ามาในวันนี้ หากไม่นับไอ้เงี้ยวที่ต้องกลับไปนอนเฝ้าค่ายก็ปาไปกว่าเจ็ดชีวิต พรานต่อมที่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าจึงขัดห้างแยกไว้สองห้าง เหนือต้นไม้ใหญ่สองต้น เลือกต้นที่แข็งแรงและสูงอยู่ประมาณหนึ่ง ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำจนเกินไป ไม้ที่นำมาขัดขึ้นนั้นเป็นไม้ไผ่ท่อนโต ผูกขัดด้วยตอกเส้นยาว ค้ำไว้กับกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่ ปูรองไว้ด้วยฟาก มันคงพอรองรับน้ำหนักของชายฉกรรจ์ได้ประมาณ 4-5 คน
“เอาละ แบ่งฝั่งแบ่งฟากกันเลยก็แล้วกัน ไผจะอยู่ห้างไหน” นายห้างร้องตะโกนบอก เหล่าลูกหาบต่างวางสัมภาระที่เตรียมมา รวมไปถึงอาหารมื้อแรกในป่าอย่างหมูคาดฟาง เนื้อหมูที่หมักกับเกลือพันไว้ในห่อฟาง ผูกมัดเตรียมเอาไว้สำหรับเข้าป่า วันนี้ก็คงพอกินได้พอดิบพอดี
พรานต่อมที่ก้าวมาถึงเป็นคนแรกๆ กำลังเดินสำรวจรายรอบบริเวณลานขัดห้างแห่งนี้ ก่อนจะมองเห็นว่าไอ้เงี้ยวเดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวพุ่มไม้หนาใกล้กับต้นไม้ใหญ่ พรานมือฉมังสอดส่ายสายตาไปกับพื้น รับรู้ได้ในทันทีถึงหลุมขนาดเล็กที่ยุบตัวลงเพราะน้ำหนักมหาศาลกดทับ มันคงเป็นรอยเท้าของสัตว์ชนิดนั้นเป็นแน่
“กระทิงกา?” พรานต่อมถามเจ้าของกายาใหญ่ ชายเจ้าของเรือนผมยาวเกล้ามวยขึ้นเหนือหัวหันกลับมามองแก ผ้าขาวที่โพกไว้เหนือศีรษะเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ไอ้เงี้ยวผู้นี้พยักหน้าให้แทนคำตอบ นัยน์ตาคมเขาเหลือบมองขึ้นไปยังกลุ่มชายหนุ่มที่ย่ำไปบนลูกทอย4ที่ปักไล่ขึ้นไปตามลำต้นหนาใหญ่ พวกเขาขึ้นไปสำรวจห้าง ดูสนุกกับทุกสิ่งยิ่งกว่าเด็กตัวน้อยๆ เสียอีก
“สูกลับไปที่ค่ายเทอะ ที่นี่ลุงดูแลเอง” พรานต่อมตบบ่าหนาของเจ้าของกายาใหญ่ แกไม่สบายใจที่ปล่อยให้พวกผู้หญิงอยู่กันเพียงลำพังกับพวกของวินทเว เพราะเด็กหนุ่มเหล่านั้นเป็นพวกฮึกห้าว มุทะลุ และเต็มไปด้วยความคึกคะนอง ปากอยากได้สิ่งใดมันต้องได้ ณ เดี๋ยวนั้น หากไม่มีใครห้ามปรามมัน ก็เกรงว่ามันจะข่มเหงเหล่าผู้หญิงในค่ายพักเอา
กลับมายังน้ำตกใหญ่ สาวเจ้ากำลังก้มๆ เงยๆ เก็บหินขาวพราวระยิบอยู่กลางลานน้ำตก ร่างงามอยู่ในชุดผ้าซิ่นต๋าสามแหลวสีส้มอ่อนที่ย้อมมือด้วยผลคำแสดหรือคำเงาะ5 ให้สีส้มจางๆ คล้ายสีอิฐมอญ ผ้าซิ่นงามของเธอทิ้งตีนซิ่นสีดำยาวกรอมเท้า แต่เธอยกมันไว้อยู่
“มิเม เม็ดโตขนาด!” เกี้ยวจันทร์ตะโกนอวดหินแก้วในมือเธอ เป็นหินก้อนกลมสีใสที่แช่อยู่ในน้ำตกเย็นฉ่ำ ภายในปรากฏเส้นสายสีทองระยิบ ยิ่งชูขึ้นอาบแสงแดด เส้นสายสีทองภายในก็พลันเปล่งประกายสว่าง มือเรียวถึงกับยอมผละออกจากชายผ้าซิ่น ปล่อยให้ผ้าฝ้ายสีเข้มน้ำจุ่มลงกับน้ำใสไปอย่างแผลตัว
“เจ้า! งามขนาดเจ้า” มิเมพี่เลี้ยงตะโกนตอบ ในขณะที่หล่อนเดินเก็บกิ่งไม้แห้งสำหรับใช้เติมฟืนในคืนนี้ และสุ่นคำเดินวนสำรวจอยู่รายรอบไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เพื่อมองหาผลไม้ป่าและของอร่อยอย่างมะเกี๋ยง (ลูกหว้า) มะหลอด มะขามป้อมเป็นต้น แม้บางต้นจะสูงเกินเอื้อมคว้า แต่คงไม่ยากเกินความพยายามของลูกสาวนายพราน หล่อนจึงหาไม้ไผ่ท่อนยาว เพื่อทำเป็นไม้ซ่าวหรือไม้ง่ามสอยผลไม้สดเหล่านั้นลงมา และได้ลูกหว้ากลับมาให้แม่หญิงคนงาม
“แม่หญิงเจ้า! สุ่นคำได้มะเกี๋ยงมาให้แม่หญิงโตย (ด้วย)” สุ่นคำขยับยิ้มร่า
“ขอบใจเน่อ!” หญิงสาวชาวเวียงตะโกนตอบ ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เพราะหลังจากกินข้าวกินปลาในตอนเที่ยงวัน พ่อเธอก็จำต้องเดินเข้าป่าไปพร้อมกับนายห้างตันฉเว นางไพร่ชู้ตัวดีจึงไม่มีใครให้ออดอ้อนเอาใจอีก
ครั้นพอบ่ายแก่ๆ สาวเจ้าจึงขอขึ้นมาเล่นน้ำยังธารน้ำตกด้านบนนี้อีกครา แม้จะต้องเดินขึ้นมาอีกประมาณ 10-15 นาที แต่ครานี้เธอไม่ปริปากบ่นเลย อาจเพราะทิวทัศน์ป่าที่เห็นก่อนหน้านี้ทำให้หัวใจของเธอโหยหาในความงดงามนี้มากขึ้น ตั้งแต่ขึ้นมาถึงยังน้ำตกชั้นบน เธอจึงเอาแต่เล่นน้ำอย่างสบายอกสบายใจ บางคราก็นอนเอนกายลงไปกับสายธารา ปล่อยเรือนผมยาวให้สยายไปกับสายน้ำเย็น ก่อนจะขึ้นมานั่งพักบนเงื้อมผา พอให้ผ้ารัดอกสีขาวที่รัดอกอิ่มแห้งพอหมาด และกลับลงไปเดินหาหินแก้วในธารน้ำใส
“แม่หญิงขึ้นแล้วบ่เจ้า ประเดี๋ยวจะเมื่อยไข้เอานา” มิเมร้องบอกพลางก้มหยิบกิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่ใกล้ตัว ขนมากองสุมรวมกันบนโขดหินใหญ่ ผ้าซิ่นและผ้ารัดอกของมิเมที่สวมอยู่บัดนี้เริ่มแห้งดีแล้ว
“อีกกำเดียว (แป๊บเดียว) เราเห็นเม็ดใหญ่ๆ อยู่แถวนี้โตย (ด้วย)” เกี้ยวจันทร์ตะโกนบอก เสียงหวานขึ้นอย่างออดอ้อนขอเวลาเล่นต่อ เธอกำลังสนุกกับการหาหินเม็ดงาม
ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ เจ้าลูกกระต่ายในกรงไม้เล็กๆ ของเธอส่งเสียงประหลาด มันลุกลี้ลุกลนและกระโจนใส่ซี่กรงดังโครมคราม เกี้ยวจันทร์รีบหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะพบงูจงอางสีขาวตัวใหญ่ ลำตัวของมันยาวอยู่เกือบสามเมตร มันชูคอพร้อมแม่เบี้ยสีขาวปลอดสูงเหนือกรง ดวงตากลมใสดั่งลูกแก้วจับจ้องลูกกระต่ายขนฟู แลบลิ้นเข้าออกจากปากที่ยังคงหุบสนิท
เสียงเล็กแหลมของเกี้ยวจันทร์แผดขึ้นในทันที มิเมและสุ่นคำรีบหันขวับกลับมามองหาผู้เป็นนาย ก่อนเสียงน้ำจะดังขึ้นตูมตาม ด้วยแม่หญิงของพวกหล่อนเร่งก้าวเข้าหากรง สองขาเรียวแหวกน้ำไปอย่างอืดอาดยืดยาด ด้วยผ้าซิ่นเปียกชุ่มทำให้เธอขยับตัวไม่สะดวกได้เหมือนดังเดิม ทว่าเมื่อเสียงตูมตามดังขึ้น มันกลับทำเอาเจ้าจงอางใหญ่หันมาขู่ฟ่อใส่เธอ มันอ้าปากกว้างพร้อมกับเสียงหายใจฟ่อใหญ่ ทุ้มหนักเสียจนทำเอาเกี้ยวจันทร์หวาดผวา แต่เธอให้มันทำร้ายเจ้ากระต่ายไม่ได้
“ไป!” หญิงสาวปาหินแก้วในมือใส่เจ้างูร้าย แต่ยิ่งทำให้อสรพิษตัวนี้เกรี้ยวกราดมากขึ้นไปอีก แม่เบี้ยเรียวแคบแผ่ออกจนเต็มพังพาน อ้าปากขู่ฟู่แยกเขี้ยวใส่เธอ
“แม่หญิง! อย่าขยับเจ้า! ห้ามขยับเด็ดขาด!” มิเมตะโกนร้องลั่น บ่าวทั้งสองพยายามหาทางช่วย
“มันจะกิ๋นขะต่ายเรา!” เกี้ยวจันทร์ร้องตอบ ใบหน้าของเธอเหยเกอย่างเป็นกังวล ห่วงแต่เจ้ากระต่ายเสียจนลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง
วินาทีนั้นเองน้ำตาใสก็นองดวงตากลมของเกี้ยวจันทร์ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งกลัวว่ากระต่ายเธอจะถูกกิน และกลัวว่ามันจะกัดเธอ เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครเคยรอดชีวิตจากการถูกจงอางกัดมาก่อน เท่าที่เธอรู้จากสิ่งที่พรานอินทร์เคยสอน การเผชิญหน้ากับงูพิษนั้นหาใช้สิ่งที่สมควรทำไม่ ถอยได้ให้ถอย หัวใจดวงเล็กๆ ของเธอเต้นอยู่โครมครามเสียจนแทบระเบิด มือเรียวขยับขึ้นป้องริมฝีปาก และข่มเสียงสะอื้นเอาไว้
“ไปเทอะ…อย่ากินขะต่ายเราเลย…” สาวเจ้าเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นร่ำ น้ำตาใสไหลอาบแก้มอิ่ม ถึงกระนั้นงูจงอางกลับยังชูแม่เบี้ยสูง ไม่ยอมหุบพังพานนั้นเลยสักเพียงนิด ทำให้เกี้ยวจันทร์รับรู้ได้ว่าสิ่งเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือ ยอมถอยแต่โดยดี
ความเจ็บปวดเกาะกินหัวใจดวงเล็กๆ นี้อีกครา เมื่อเธอต้องยอมรับว่าเธอนั้นไม่อาจช่วยเหลืออะไรมันได้อีก เจ้ากระต่ายกำลังจะถูกฆ่า และเธอทำได้เพียงถอยห่างออกมามองดูความตายของมันเท่านั้น น้ำตามากมายเอ่อล้นออกมาจากดวงตาใส ในขณะที่ลูกกระต่ายกระเสือกกระสนเข้าหลบยังมุมหนึ่งของกรงเล็กๆ มือเรียวขาวซีดสั่นไปหมดแล้ว สองมือเธอกุมแน่นอยู่กลางหน้าอก หัวใจดวงนี้กำลังจะแตกสลาย
“ไปแล่…(ไปสิ…)” เกี้ยวจันทร์ได้แต่อ้อนวอน สองขาเรียวสั่นผับ
ทันใดนั้นเองอยู่ๆ แขนแกร่งกลับช้อนเอวบาง รั้งเอาร่างเธอเข้าหาตัว เกี้ยวจันทร์แผดเสียงร้องอย่างตกใจ ก่อนร่างกายเธอจะถูกกดเข้าแนบชิดกับแผ่นอกหนาของกายาใหญ่ แขนเรียวโอบกอดชายตรงหน้าอย่างหวาดกลัว เธอไม่รู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำว่ากำลังกกกอดอยู่กับใคร เสี้ยววินาทีนั้นเองที่ทุกอย่างเงียบกริบลง มีเพียงเสียงซ่าของสายธาราแทรกด้วยเสียงสะอื้นร่ำของเธอ
“ขะต่ายเรา…ช่วยมันกำ ช่วยมัน…” ร่างบางสะอื้นเสียงแผ่ว จนเจ้าของแผ่นอกหนารับรู้ได้ถึงแรงหายใจหอบ เนื้อตัวนุ่มนิ่มของหญิงสาวสั่นกลัวเหลือเกิน
เสียงฟ่อดังกังวานไปทั่ว ในขณะที่เจ้าของแม่เบี้ยแผ่กว้างยกตัวขึ้นสูงจากพื้นกว่าหนึ่งเมตรเศษ อ้าปากส่งเสียงแผดดังฟู่ฟ่า เสียงของลมหายใจที่พ่นออกมาจากปากกว้างดังอยู่เป็นระลอก ทว่าครั้นดวงตาสุกใสดั่งน้ำค้างจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมัน วินาทีนั้นเองพังพานใหญ่กลับหุบลงทันตา แขนแกร่งขยับประคองร่างงามเข้ากับแผ่นอกหนา กดหัวเล็กๆ ของเธอให้ซบลงกับบ่าขาว แขนเรียวของเกี้ยวจันทร์กระชับกอดร่างของชายผู้นี้จนแน่น เธอหวาดกลัวเสียจนไม่ทันสังเกตเลยว่า รอยปานสีขาวกลางแผ่นหลังกว้างกำลังเรืองแสงขึ้น
ตอนนั้นเองที่เสียงขู่ครางต่ำดังแทรกเสียงสะอื้นของเธอ เสียงลมหายใจที่พ่นออกมาจากลำคอลากยาว ข่มขวัญศัตรูเสียจนทำเอาอสรพิษร้ายตัวนั้นย่นคอลง ร่างเหยียดยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดขาวเลื้อยกลับไปยังฝั่งที่มันปรากฏตัวเข้ามาทันใด ครั้นมิเมและสุ่นคำเห็นว่ามันเลื้อยไปลับตาแล้ว สองบ่าวจึงจ้ำอ้าวเข้ามาหานายตน
“แม่หญิง! แม่หญิงเจ้า!” มิเมร้องเรียกหา วิ่งลุยน้ำเข้ามา เกี้ยวจันทร์ร้องอ้อนพี่เลี้ยงในทันที หญิงสาวปล่อยโฮเสียงดัง พลางผละออกจากบ่าหนาของกายาใหญ่ไป
“บ่เป็นหยังแล้วเจ้า มันไปแล้ว! มันไปแล้ว!” พี่เลี้ยงเธอปลอบอย่างลนลาน เสียงของหล่อนสั่น ร่างงามถึงกับโผเข้ากอดกัน
สุ่นคำที่เห็นจึงรีบรี่เข้าไปหายังกรงกระต่าย เมื่อพบว่าเจ้ากระต่ายน้อยยังอยู่ดี จึงยกมันกลับมาให้นายดู ดวงตาชุ่มฉ่ำของเกี้ยวจันทร์จับจ้องเจ้าก้อนขนสีเทา มันขยับใบหูกระดุกกระดิกอยู่สองสามที วินาทีนั้นร่างงามร้องร่ำอย่างดีใจ รีบรับกรงกระต่ายกรงเล็กนี้เข้าสวมกอด ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในอกอยู่ๆ ก็มลายสิ้น สองแขนเธอกกกอดกรงกระต่ายอยู่อย่างนั้น ในขณะที่สุ่นคำและมิเมโอบกอดเธอ
สามสาวกกกอดกันร่ำไห้อยู่กลางลานน้ำตก มีเพียงกายาใหญ่ผู้นี้เท่านั้นยืนมองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดกำลังทำให้หัวใจดวงโตภายใต้แผ่นอกหนาแทบเต้นไม่เป็นจังหวะ กลิ่นหอมจากกายเธอคนนี้ทำให้เขาหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก แทบอยากสวมกอดเธออีกครา
“ขอบใจเน่อ ไอ้เงี้ยว!”
เมื่อสุ่นคำเอื้อนเอ่ยนามของชายผู้นั้นขึ้นมา ดวงตากลมที่กำลังชุ่มฉ่ำของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ก็ลืมขึ้นเต็มตา หัวใจที่ค่อยๆ เต้นช้าลงอยู่ๆ ก็พลันเต้นโครมคราม
อย่าบอกนะว่าคนที่เธอสวมกอดแน่นเมื่อครู่ คือไอ้เงี้ยวผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้
วินาทีนั้นเองใบหน้างามของเกี้ยวจันทร์แดงแจ๋ไปหมด ความรู้สึกเมื่อครู่ตอนอยู่ในอ้อมกอดเขา ทำให้สาวเจ้ารู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่เหตุใดต้องเป็นไอ้เงี้ยวผู้นี้ เหตุใดต้องเป็นชายเจ้าของรอยสักแปลกตาคนนี้
รอยยิ้มอันน่าหมั่นไส้ของชายตรงหน้าแต่งแต้มใบหน้าคมเข้มของเขาทำให้ใบหน้าเธอร้อนฉ่า หญิงสาวขายขี้หน้าที่แสดงท่าทีอ่อนแอให้มันผู้นี้เห็น จนหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว
“ยิ้มทำไม!” เจ้าของเสียงเล็กๆ ร้องใส่อย่างโยเย
ความคิดเห็น |
---|