ตอนที่ 8 หอม
ค่ำคืนแรกของการเข้ามานอนอยู่ในกระโจมกลางป่าลึก สถานที่ที่แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเธอจะเข้ามานอนอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ได้ ดวงตากลมจ้องมองขึ้นไปยังปลายยอดสุดของกระโจมทรงญี่ปุ่นขนาดใหญ่ เป็นกระโจมเก่าของนายฝรั่งที่เคยใช้เมื่อตอนเข้ามาสำรวจป่าใหม่ๆ ตั้งขึ้นด้วยท่อนไม้ยาวสองท่อน ผูกขึงกางปีกผ้าใบที่ชโลมด้วยไขให้แผ่กว้างออก ทรงของกระโจมดูคล้ายทรงหลังคาปีกนกอย่างไรอย่างนั้น พื้นกระโจมปูรองด้วยเศษหญ้าเศษใบไม้ที่หาได้ในละแวก กองสุมกับพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นกระโจมเย็นเฉียบจนเกินไป อีกทั้งปูรองไว้ให้ฝั่งที่นอนของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์นุ่มสบาย ก่อนจะปูทับด้วยผ้าใบอีกผืน รองด้วยผ้านวมผืนหนาอีกชั้นหนึ่ง เรียกได้ว่าแม้จะอยู่ในป่า แต่ก็ต้องอยู่สบาย
ภายในตัวกระโจมใหญ่กว้างพอจะให้หญิงสาวทั้งสามคนนอนอยู่ด้วยกันอย่างสบายๆ เพียงแต่ที่นอนนั้นจำต้องแบ่งออกเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งของแม่นายน้อย จะต้องนุ่ม หนา และอุ่นกว่าฝั่งของมิเมพี่เลี้ยงและสุ่นคำคนดูแล ผ้าห่มของเธอจะต้องเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ ส่วนของบ่าวไพร่เป็นเพียงผ้าตุ๊มผืนหนา หากหนาวก็อาศัยว่านอนกกกอดกันไป จะไม่ยอมเบียดกายให้ต้องถูกแม่หญิงตัว
แม้เสียงกรนเบาๆ ของมิเมและสุ่นคำดังขึ้นมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว แต่เกี้ยวจันทร์เองกลับยังข่มตาไม่ลงสักที เอาแต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนนุ่มหนา ในความเป็นจริงมันคงผิดวิสัยของคนนอนค้างอ้างแรมในป่า แต่ใครขอให้ชวนแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ลูกสาวสะฅ่วยจากเวียงเชียงใหม่ผู้นี้ให้เข้ามากันเล่า ใครชวนมาก็ต้องรับกรรม จำต้องจ้างกุลีลูกหาบเพิ่ม ให้หาบผ้าห่มผ้านวมเข้าป่ามาตลอดระยะทางสองกิโลเมตรนี้แล
ลมหายใจแผ่วเบาพ่นออกมาจากปลายจมูกกระจิ๋วของเธอ เหตุใดจึงยังนอนไม่หลับเสียที เหตุใดยังคงเอาแค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น
“ไอ้เงี้ยวผีบ้า” เธอบ่นถึงไอ้เงี้ยวขึ้นมาอย่างเผลอตัว นึกโกรธที่มันยิ้มเยาะเธอ แต่ก็กลับโวยวายใส่มันผู้นั้นมากไม่ได้ เพราะหากไม่ได้ไอ้เงี้ยว ป่านนี้ไม่กระต่ายก็เธอแลที่ต้องลงไปนอนให้ดินกลบหน้า มิวายคงไม่มีวันได้กลับเวียงเป็นแน่
มือเรียวกุมอยู่กับหน้าท้องเนียน ขยับนิ้วชี้หมุนวนสัมผัสอยู่รอบๆ สะดือกระจิ๋วของตัวเอง แน่นอนว่าเธอยังคงรับรู้ได้ถึงการขยับน้อยๆ ของเจ้าลูกกระต่ายตัวจิ๋ว ที่เอาแต่นอนซุกตัวหลบหนาวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาผืนด้วยกัน กระโจมหลังใหญ่ของเธอเป็นกระโจมที่ใหญ่ที่สุดในละแวก มิดชิดที่สุด และอบอุ่นที่สุด มีม่านมุ้งบางๆ ขึงมัดเอาไว้เพื่อกันแมลงตัวเล็กๆ ปากทางเข้ากระโจมเปิดช่องพอให้สายลมเย็นโชยโกรกเข้ามาเล็กน้อย
“นอนบ่หลับกา…” เกี้ยวจันทร์ถามเจ้ากระต่าย ทึกทักเอาเองว่ามันอาจยังคงหวาดผวากับงูจงอางเมื่อตอนบ่าย มือเรียวจึงขยับแตะเจ้าก้อนขนก้อนเล็ก ลูบปลอบมันอย่างเบามือที่สุด
หญิงสาวเหลือบมองปลายกระโจม แสงไฟจากกองไฟด้านนอกนั้นสาดกระทบกับผืนผ้าใบขาวของกระโจมเธอ ด้วยรายรอบบริเวณนั้นโล่งเตียน และไม่มีกระโจมของใครตั้งอยู่ใกล้ๆ เลยแม้แต่หลังเดียว แสงที่สาดเข้ามาจึงฉาบฉายไปทั่วตัวกระโจมใหญ่ ครั้นเมื่อมีใครเดินผ่านก็จะมองเห็นเป็นเงาทอดบนผืนผ้าใบสีขาว
ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร เสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่าผู้ชายยังคงดังมาจากฝั่งกระโจมของวินทเว กลุ่มของเด็กหนุ่มน่ารังเกียจที่มักทำทุกอย่างตามใจตัว อะไรที่เป็นข้อห้าม ข้อไม่ควรปฏิบัติ ชายเหล่านั้นจะกระทำมันอย่างคึกคะนอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่กระโจมเธอตั้งแยกออกจากกระโจมของฝั่งวินทเวและสหาย ไม่ต้องพูดถึงกระโจมเล็กของนางไพร่ชู้ คงรู้ดีว่าต้องถูกไล่ให้ไปนอนอยู่ริมน้ำ
เหล่าเวรยามประจำอยู่เป็นจุดต่างๆ พร้อมกับกองไฟกองเล็กๆ ของตัว มีก็แต่บางคนที่จุดคบจุดไต้นั่งเฝ้าประจำยามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน กุมปืนผาหน้าไม้ของตัวเองเอาไว้ เสียงของป่าดงพงไพรในคืนนี้ยังคงเต็มไปด้วยเสียงซ่าของน้ำตก เสียงแมลงที่เร้นกายอยู่ใต้ใบไม้ใหญ่ นานๆ ที่จะมีเสียงนกแปลกๆ และเสียงสัตว์ป่าร้องดังขึ้น
ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ เกี้ยวจันทร์รับรู้ได้ว่า เจ้ากระต่ายตัวเล็กของเธอกำลังขยับจมูกฟุดฟิดพลางเชิดหน้าขึ้นอยู่ใต้ผ้าห่ม เท้าน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยขนสีเทาแกมน้ำตาล ค่อยๆ กระเถิบลงไปยังปลายที่นอนนุ่มของเธอ เกี้ยวจันทร์จึงค่อยๆ ขยับตัวขึ้น กระชับผ้าห่มผืนหนากุมลงกับปทุมถันดอกงามที่เปลือยเปล่า ด้วยนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้งหลายคราก็ทำเอาผ้าแพรผืนบางร่นลง สองมือเรียวรีบกระชับชายผ้าแพร คลี่มันออกและกระชับมันเข้ากับอกอิ่ม ดวงตากลมจ้องมองไปยังปลายเท้าของตัวเองเขม็ง พบว่าเจ้ากระต่ายตัวดีวางแผนหนีออกไปนอกกระโจม
“จะไปไหน!” เกี้ยวจันทร์ร้องอย่างตกใจ ทว่าเสียงที่เปล่งออกไปกลับไม่ดังเท่าที่ควร เจ้าลูกกระต่ายกระโจนออกไปนอกกระโจม ทำให้เกี้ยวจันทร์ต้องรีบกระชับผ้าซิ่นเธอ และลุกออกจากที่นอนนุ่มในทันที ไม่ลืมคว้าเอาผ้าตุ๊มผืนหนาติดตัวไปด้วย
“ไอ้หมี!” มือเรียวแหวกม่านมุ่งหน้ากระโจม สอดส่ายสายตาออกไปรายรอบตัว
เสียงฝีเท้าของลูกกระต่ายตัวน้อยนั้นเบาเสียยิ่งกว่าปุยนุ่นกระทบพื้น มันกระโดดเหยงมุ่งหน้าตรงออกไปอย่างไร้จุดหมาย เกี้ยวจันทร์ที่รีบตามออกมาได้แต่กวาดตามองไป แสงจากกองไฟลุกโหมทำให้ดวงตากลมของเธอพร่า ทุกอย่างรายรอบกองไฟฉาบด้วยสีส้มแสดของเปลวเพลิง เพียงแต่บางส่วนที่ถูกเงาดำทอทาบก็ดำมืดเสียจนแทบมองไม่เห็นอะไร ยิ่งลูกกระต่ายที่สีกลมกลืนกับสีของใบไม้แห้งด้วยแล้ว ยิ่งมองยากเข้าไปใหญ่
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นเร่าๆ ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับกายาใหญ่ที่นั่งประจำอยู่หน้ากองไฟกองโต ซึ่งเป็นกองไฟหลักของลานกว้างที่จำเป็นต้องสุมไฟเอาไว้ให้ลุกไหม้ตลอดเวลา มิเช่นนั้นกองไฟอาจดับมอด และอาจทำให้สัตว์ป่ารุกเข้ามาในบริเวณนี้ได้
“เห็นขะต่ายเราก่อ!” เกี้ยวจันทร์รีบร้องถาม สองมือเรียวกระชับกุมผ้าตุ๊มผืนหนา ห่มคลุมลงกับร่างบางเพื่อกันหนาว
กายาใหญ่ที่กำลังง่วนอยู่กับการสุมไฟ ดันหลัวใหญ่รุมไฟสุมกองเพลิง ก่อนจะหันกลับมาสนใจเธอที่แสดงท่าทีกระสับกระส่าย
“ไอ้เงี้ยว!” เกี้ยวจันทร์ร้องเรียกกายาใหญ่อีกครา ในใจตัดพ้อว่าเหตุใดมันจึงไม่ยอมสนใจฟังคำสั่งของเธอ ริมฝีปากอิ่มพ่นลมหายใจอุ่นๆ ออกมาอย่างร้อนรน เธอกลัวว่าเจ้ากระต่ายจะกระโจนหายไป แต่เจ้าของนัยน์ตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลางไพรยังคงเอาแต่จ้องมองเธอ ไม่พูดไม่จา ไม่รู้หรือว่าเธอกำลังเดือดเนื้อร้อนใจ
“เราไปหาคนเดียวก็ได้!” เกี้ยวจันทร์รีบว่า น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จ้ำออกห่างจากตัวอีกฝ่าย ไม่อยากเฉียดกรายเข้าใกล้คนใจดำ หมายใจจะเดินหาเพียงลำพัง ในเมื่อร้องขอแล้วไม่ตอบสนองก็คงป่วยการ
วินาทีนั้นกายาใหญ่เร่งลุกขึ้นจากขอนไม้ที่นั่งอยู่ กางแขนแกร่งป้องร่างเธอไม่ยอมให้สาวเจ้าเดินออกไปนอกบริเวณ ด้วยเกรงทั้งอันตราย เกรงทั้งสิงสาราสัตว์ อีกทั้งป่ารกชัฏในยามค่ำคืน รังจะทำให้หลงป่าเอาง่ายๆ
“ดูให้ดีก่อน” เสียงทุ้มต่ำของไอ้เงี้ยวดังขึ้นเมื่อเอ่ยเตือนสติ เขาหลุบตามองซอกขอนไม้เล็กๆ ที่ห่างจากเขาและเธอไปเพียงนิด เจ้าก้อนขนกลมขยับไหวกระดุกกระดิก มันพยายามซุกกายอยู่ภายในนั้น ครั้นเมื่อแทรกกายเข้าไปไม่ได้ จึงเพียงยืนอยู่และทำจมูกฟุดฟิด
แม่หญิงผู้เอาแต่ใจถอยห่างจากเขาในทันที เร่งก้าวไปหากระต่ายน้อยของเธอเร็วรี่ โอบอุ้มกลับเข้ามาไว้กับอกอิ่มตัว เท้าหน้ากระจิ๋วของมันปัดไปมาอยู่กับหน้าตาตัวเอง แต่งขนฟูฟ่องอย่างสบายใจ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยว่า เจ้านายของมันเป็นห่วงจนแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว
“นอนบ่หลับหรือ” ตอนนั้นเองทีกายาใหญ่เลือกที่จะถาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะตอบ เพียงถามเผื่อว่าเธอจะมีใจอยากพูดคุย
“เรื่องของเรา” เป็นจริงดังคาด เธอปฏิเสธที่จะสนทนา ไอ้เงี้ยวผู้นี้จึงทำได้เพียงอมยิ้มน้อยๆ และกลับไปนั่งบนขอนไม้ใหญ่ของตัวเอง เพราะไม่คาดหวัง จึงไม่รู้สึกผิดหวังหรือเสียใจอยู่แล้ว ในเมื่อสาวเจ้าปฏิเสธการพูดคุย เขาก็เพียงกลับมาเฝ้ายามบริเวณนี้ตามเดิม
ชายหนุ่มยังคงเงี่ยหูฟังเสียงทุกอย่างที่อยู่รายรอบ รับรู้ได้ถึงเสียงสอบแสบหลังพงหญ้า เสียงฟืนแตกในกองไฟ และเสียงกรนทุ้มหนักของคนที่นอนหลับอยู่ในกระโจมหลังอื่น ตลอดทั้งเสียงกรนของคนเฝ้ายามที่แอบงีบหลับอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไกลๆ มันคงไม่เป็นไรเพราะสถานการณ์ปัจจุบันในค่ายพักแรมแห่งนี้ยังคงปกติดีอยู่ จะมีก็แต่เสียงหัวเราะพูดคุยจากฝั่งของวินทเวที่เพิ่งเงียบลง
“แล้วสูบ่นอนหรือ” น่าแปลกที่อยู่ๆ ร่างงามกลับถามกายาใหญ่ด้วยคำถามเดียวกัน
“เรื่องของเรา”
ชายหนุ่มเลือกจะตอบด้วยประโยคของเธอ ทำเอาใบหน้างามของเกี้ยวจันทร์ยับยู่ในทันที เสียงสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดดังแทรกเสียงฟืนแตกปะทุ ก่อนหญิงสาวจะพ่นลมหายใจร้อนระอุอย่างขุ่นเคือง ไอ้เงี้ยวผู้นี้ขยับยิ้มอย่างตลกขบขัน เหตุใดกันเมื่อเขายอกย้อนเธอด้วยคำเดิมๆ เธอจึงโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟ นัยน์ตาคมกล้าของกายาใหญ่จ้องมองใบหน้างาม เกี้ยวจันทร์อาจไม่รู้ตัวเลยว่า ในทุกคราที่เธอโกรธ เธอมักขบฟันซี่เล็กๆ ลงกับริมฝีปากตัว
“นอนบ่ได้ ต้องเฝ้ายาม” แต่แล้วไอ้เงี้ยวผู้นี้ก็จำต้องตอบแม่หญิงคนงามแต่โดยดี เธอจึงยอมขยับฟันซี่เล็กออกจากริมฝีปากอิ่ม เพียงแต่ดูเหมือนแม่หญิงจะติดค้างคำถามของเขาอยู่เช่นกัน
วินาทีนั้นเกี้ยวจันทร์เหลือบขึ้นมองผ้าขาวที่เคียนหัวของชายหนุ่ม มันเป็นวิธีการเคียนผ้าอย่างชาวไตโหลงหรือไทใหญ่ หาใช่วิธีการเคียนแบบม่านหรือพม่าที่มักเหน็บชายผ้าไว้ฝั่งซ้ายมือไม่ ผู้เฒ่าผู้แก่เพิ่นว่าเอาไว้ว่าชายชาวไทใหญ่จะขัดชายจีบผ้าไว้ยังฝั่งขวามือเท่านั้น ครั้นเกี้ยวจันทร์ละสายตาจากผ้าขาวและเลื่อนสายตาลงสู่แผ่นอกหนา ชายผู้นั่งอยู่ข้างกองไฟจึงรินน้ำร้อนใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่แล้วยื่นให้เธอ
ไม้ไผ่ดูจะเป็นภาชนะที่หาง่ายที่สุดในป่าแห่งนี้ ไม่นับใบไม้ที่พรานส่วนใหญ่มักใช้ตักน้ำในลำธารดื่มกิน นั่นเพราะมีข้อห้ามตามความเชื่ออยู่หลายประการ เช่นไม่ควรก้มลงดื่มน้ำจากลำธารโดยตรง พวกเขาจึงจำต้องใช้ใบไม้ขัดเป็นกรวยเล็กๆ ตักน้ำดื่มกินไปทีละนิดทีละน้อย นอกเหนือจากนั้นก็คงมีแต่กระบอกไม้ไผ่หรือไม่ก็น้ำเต้านี้แลที่พอจะตักเก็บน้ำไว้ใช้ดื่มกินได้ในปริมาณมากๆ เพียงตัดกระบอกไม้ไผ่ท่อนยาว เติมน้ำ และปิดด้วยใบตอง ผูกตอกให้หนาแน่นก็เก็บน้ำไว้ดื่มกินได้แล้ว ส่วนแก้วไม้ที่ไอ้เงี้ยวส่งให้เธอ เป็นกระบอกไม้ไผ่ท่อนเล็กๆ เหลาขอบให้มน เนื้อไม้ไผ่พอช่วยกันความร้อนของน้ำได้ประมาณหนึ่ง ทำให้เนื้อไม้อุ่นพอดี ถือไว้ได้โดยไม่ร้อนมือ
“น้ำร้อน แก้หนาว” ชายตรงหน้าบอกแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับน้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่ไปเสียที
“แล้วสูบ่หนาวกา?” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์วถาม เพราะเขาเองต่างหากที่นุ่งผ้าน้อยชิ้นกว่า มีเพียงผ้าเค็ดม่ามสีมอซอเท่านั้นที่พันกายอยู่ หญิงสาวรับแก้วเล็กนั้นมาพลางเดินไปนั่งขอนไม้อีกอันที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน เธอกระชับผ้าคลุมไหล่ให้ห่มคลุมตัวและห่มหัวเจ้ากระต่ายน้อยของเธอ มันซุกตัวลงกับหน้าตักอุ่นๆ ของเกี้ยวจันทร์ และนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“บ่หนาว” ชายร่างใหญ่ตอบ ไม่แสดงอาการอิดออดเนื่องจากความหนาวเย็น อาจเพราะร่างกายใหญ่โตจึงทนหนาวได้ดี เกี้ยวจันทร์ทึกทักเอาเองในใจ
มือเรียวยกแก้วไม้ไผ่อุ่นๆ ขึ้นอย่างช้าๆ ไอสีขาวโชยขึ้นมาจากปากกระบอกไม้ โชยกลิ่นหอมของไม้ไผ่ขึ้นแตะกับปลายจมูก มันทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว ท่ามกลางความมืดมิดของป่า และความหนาวเหน็บที่พลอยจะเข้ามากัดกินหัวใจเธอได้ตลอดเวลา น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย อาจเพราะรับรู้ว่ามีอีกฝ่ายเฝ้ายามอยู่ก็เป็นได้
“หอมดีเนาะ”
เจ้าของริมฝีปากอิ่มสีชมพูหวานชม พลางจดกลีบปากลงกับขอบแก้วไม้ ค่อยๆ จิบน้ำร้อนสลับกับเป่าผิวน้ำ พยายามลดอุณหภูมิน้ำร้อนในแก้วให้พอไม่ลวกปากลวกคอ ในขณะที่ไอ้เงี้ยวนั่งผิงไฟอยู่เช่นเดิม นิ่งงันเหมือนต่างฝ่ายต่างคิดว่า อีกฝ่ายไม่มีตัวตน สำหรับเกี้ยวจันทร์แล้ว ชายผู้นี้ดูเป็นคนพูดน้อย แต่หากเลือกได้เธอก็ภาวนาขอให้มันไม่พูดจาใดๆ เลยเสียจะดีกว่า เพราะทุกคราที่เปิดอ้าปากก็เป็นประโยคต่อล้อต่อเถียงกับเธอตลอด
บรรยากาศเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ จะมีก็แต่เสียงธรรมชาติที่ยังคงดังอยู่ให้ได้ยิน เสียงธารน้ำตกใสไหลเย็นอยู่เอื่อยเฉื่อย แทรกด้วยเสียงนกและแมลงกลางป่า เกี้ยวจันทร์หยุดฟังเสียงนี้ด้วยหัวใจอันสงบ หลุบตางามลงน้อยๆ จ้องมองยังผิวน้ำในกระบอกไม้ไผ่ที่ยังคงกระเพื่อม ริมฝีปากอิ่มยิ้มหวานอย่างเผลอตัวพลางจ้องมองยังภาพสะท้อนใบหน้าของตัวเอง ใบหน้างามนี้ละม้ายคล้ายแม่เสี้ยวของเธอเหลือเกิน แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ขยับยิ้มหวานขึ้นทันตา แม้ในแววตาเธอจะแฝงด้วยความเศร้าโศกโศกาเหลือจินตนาการ
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากพุ่มไม่ใหญ่ เกี้ยวจันทร์ถึงกับรีบละสายตาออกจากกระบอกน้ำ และหันขวับไปมองยังสุมทุมพุ่มไม้ ดวงตากลมแสดงอาการเลิ่กลั่กอยู่น้อยๆ เสียงหัวใจของเธอดังขึ้นโครมครามในทันที
“ไอ้เงี้ยว…!” เกี้ยวจันทร์ถึงกับร้องเรียกหากายาใหญ่ ชายผู้นั้นเองกำลังจ้องมองออกไปยังทิศทางเดียวกัน เขายื่นมือหนาให้หญิงสาว เธอทิ้งแก้วคว้ามือเขาไว้ทันที ไม่คิดถึงคราวที่อยากก่อนด่าหรือหยิบก้อนหินขึ้นปาเขาเลยสักเพียงนิด บัดนี้นึกห่วงแต่ตัวเอง เพราะกลัวว่าสิ่งที่ขยับไหวอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ จะเป็นเสือ สิงห์ กระทิงป่า
ร่างงามลุกจากขอนไม้ ขยับย่อย่องพลางประคองกระต่ายน้อยเอาไว้กับอกอิ่ม แล้วโผเข้าหากายาใหญ่อย่างหวาดหวั่นเหลือเกิน มือเรียวกุมฝ่ามือหนา กระชับมือเขาเอาไว้จนแน่น ในขณะที่กายาใหญ่ประคองสาวเจ้าให้กลับขึ้นนั่งบนขอนไม้เดียวกัน ดวงตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลิ้งกลางใบบอนต้องสะท้อนกับแสงเปลวไฟ จ้องเขม็งเข้าไปในดงดึกดงดาน
“เสือกา?” ริมฝีปากเล็กของแม่หญิงชาวเวียงสั่นเทา เธอรู้ดีว่าภายในป่านี้มีสิงสาราสัตว์อยู่มากมาย เพียงแต่ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าเสือ เจ้าแห่งป่าดงพงไพร แม้ในยามปกติแล้ว เสือจะไม่เข้าใกล้ไฟมากขนาดนี้ก็ตาม
ความมืดยังคงปกคลุมอยู่เหนือสุมทุมพุ่มไม้หนา ทว่าบัดนี้ใบหูใหญ่ได้ยินเสียงฝีเท้าของมันแล้ว รับรู้ได้ด้วยกลิ่น และเสียงหายใจของมันที่พ่นออกมาจากปลายจมูก น่าแปลกที่มันเลือกจะย่างเข้าใกล้ที่พักคน อาจเพราะเป็นกวางขี้สงสัย หรือบางทีมันอาจรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนที่มันไว้ใจได้
“บ่ใช่…ลุกขึ้นมาดู…” ชายหนุ่มตอบคำถามของเธอ และเรียกให้สาวเจ้าลองลุกขึ้นเพื่อพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง ฝ่ายหญิงสาวแม้จะรับรู้แล้วว่าสิ่งนั้นหาใช่เสืออย่างที่เธอนึกกลัวไม่ เพียงแต่ความมืดมัวเบื้องหน้ายังคงทำให้หวั่นใจอยู่ดี ฝ่ามือหนาของไอ้เงี้ยวค่อยๆ ประคองบ่าเล็กของเธอให้ลุกขึ้น
“ช้าๆ” กายาใหญ่กำชับ ก่อนร่างงามจะหยัดกายขึ้นยืนอยู่เคียงข้างกัน ดวงตางามสูงพ้นกองไฟใหญ่นั้นขึ้นมาแล้ว มันทำให้เปลวไฟสว่างไสวฉาบฉายไปเป็นบริเวณกว้าง ทอดให้เป็นบางอย่างที่กำลังหยัดกายอยู่หลังพุ่มไม้ ดวงตากลมของมันต้องสะท้อนกับแสงไฟ พลันสว่างวาบเข้ามาในดวงตาเธอ แผงขนสีน้ำตาลไหม้แทบกลืนหายไปกับเงาสีดำ ทว่าบริเวณลำตัวที่ปกคลุมไปด้วยแผงขนสีน้ำตาลอ่อน ครั้นเมื่อต้องสะท้อนกับเปลวไฟก็พลันแจ่มแจ้งชัดเจน
“กว๋าง (กวาง)…” เจ้าของริมฝีปากอิ่มเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตะลึง เมื่อเห็นกวางป่าตัวผู้ขนาดมหึมา มันหยัดกายยืนอยู่ห่างจากเธอและเขาเพียงไม่ถึงยี่สิบก้าวเท่านั้น แสงเปลวไฟฉาบชโลมขึ้นไปถึงปลายเขาแหลมที่แตกกิ่งดั่งมงกุฎหนาม ส่วนสูงตั้งแต่ปลายกีบเท้าถึงเรือนยอดมงกุฎสูงกว่า 2 เมตร 40 เซนติเมตร องอาจดั่งเจ้าชายแห่งป่าเขาที่มองดูเหล่ามนุษย์แปลกหน้าผู้บุกรุกอาณาเขต
เกี้ยวจันทร์เอาแต่จ้องมองมันอย่างปลื้มปริ่ม ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มองดูมันในระยะใกล้เท่านี้มาก่อน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงมีคำชมเชยดวงตาของหญิงงามว่างามงดได้ดังดวงตากวาง ขนตายาวเป็นแพของมันช่างหวานหยาดเยิ้ม ไม่แพ้กับดวงตาเธอ
“เขาจะฆ่ามันก่อ” ตอนนั้นเองที่หญิงสาวกระซิบถาม หัวใจของเธอบีบแน่น
“ฆ่า” ชายหนุ่มแจ้งออกไปตามความจริง ไม่ว่าพรานหน้าไหนก็ต้องอยากได้เขากวางงามตัวนี้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชายที่ชื่นชอบการนั่งห้างส่องสัตว์ ในความคิดของคนเหล่านั้น กวางตัวนี้คงเป็นดั่งรางวัลล้ำค่าพอๆ กับเขากระทิง
“ไล่มันไป ไอ้เงี้ยว ไล่มันไปให้ไกลๆ อย่าให้ผู้ใดได้เห็น” คำพูดหนึ่งของหญิงสาวทำให้ชายเจ้าของนัยน์ตาสุกใสถึงกับฉงน ในขณะที่พ่อของเธอกระเหี้ยนกระหือรือใคร่ได้เขาแลเนื้อมัน กลับเป็นเธอที่บอกให้ไล่มันไป
ปลายจมูกเปียกเป็นมันเงาต้องสะท้อนกับแสงไฟระยิบ กวางหนุ่มขยับจมูกอยู่สองสามครา ก่อนที่กายาใหญ่จะพยักหน้าแผ่วเบา กวางหนุ่มโน้มศีรษะของมันลงอย่างช้าๆ เหมือนดั่งเจ้าชายเมืองป่ากำลังทำความเคารพไอ้เงี้ยวผู้นี้ มันพ่นลมหายใจออกมาจากปลายจมูกโต ก่อนจะวกกลับและก้าวหายไปในเงามืด แมกไม้ใหญ่ในยามค่ำคืนเป็นดั่งผืนหมอกดำที่ใช้อำพรางกายได้ดี มันหายไปจากสายตาเธอแทบจะในทันทีทีเดียว
หัวใจดวงเล็กๆ ของเกี้ยวจันทร์ยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ แม้จะเคยเห็นหัวสัตว์ที่แขวนเอาไว้บนผนังห้องทำงานนายห้างตันฉเว แต่มันจะงดงามกว่าไหมหากหัวของมันจะยังคงประดับเอาไว้บนบ่า ได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างที่ควรจะเป็น
ครั้นกวางป่าตัวมหึมาจากไปแล้ว กายาใหญ่จึงยกมือออกจากบ่าบาง ปล่อยให้สาวเจ้าเป็นอิสระ ร่างงามพลันขยับออก และก้าวกลับไปยังขอนไม้ขอนเดิม แก้มอิ่มของเธอแดงแจ๋ เพียงแต่แสงไฟจากกองไฟลุกโหมฉาบแสงบนผิวกายผุดผ่อง มีก็แต่ดวงตางามเท่านั้นที่เห็นเป็นประกายสุกใส มันกำลังไหวระริกไม่แพ้กับหัวใจเธอ
“เราจะไปนอนแล้ว…” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ว่า เธอหลุบตาลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา มือเรียวข้างหนึ่งกระชับผ้าตุ๊มผืนหนาเอาไว้แน่น ทว่าหญิงสาวยังคงไม่ยอมก้าวไปไหน สีหน้าของเธอบอกเป็นนัยว่า มีอะไรติดค้างอยู่ภายในใจ กระทั่งมีใครบางคนเอ่ยว่า
“ฝันดี” คำเพียงสั้นนั้นทำเอาหัวใจเธอสั่นสะท้านไปหมด
วินาทีนั้นเองที่ร่างงามปลดผ้าตุ๊มออกจากบ่าบาง เหลือไว้เพียงแต่ผ้าแพรผืนมันที่พันอกอิ่ม เรียวแขนขาวลออต้องแสงไฟอบอุ่น เธอโยนผ้าตุ๊มสีผืนหนาให้เขา เอาไว้ห่มคลุมกาย ฝ่ามือหนาคว้าผ้าทอผืนใหญ่นั้นมาไว้แนบอก ไออุ่นของเธอที่ยังคงแทรกอยู่กับเนื้อผ้า แผ่ซ่านเข้ามาในแผ่นอกขาว ทำเอาหัวใจดวงโตเต้นระรัวดั่งกลองศึก
“เอาไปห่ม! จะได้บ่หนาวตายไปเสียก่อน!” หญิงสาวกระแทกเสียงเล็กๆ ใส่ เร่งตะโกนบอกก่อนจะก้าวฉับๆ กลับกระโจม ไม่กล้าแม้แต่จะรอฟังคำตอบ มือข้างเดียวเปิดม่านมุ้งบางของกระโจมหลังใหญ่ ซุกกายเข้ายังที่นอนอุ่น ไม่ลืมที่จะผูกปิดกระโจม เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากระต่ายหลุดรอดออกไปได้อีก
เจ้าของนัยน์ตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลางไพรจ้องมองแต่เพียงร่างงาม กระทั่งหญิงสาวลับตาเข้าไปในกระโจมเธอ ชายหนุ่มจึงยกผ้าตุ๊มของเธอขึ้นจดกับปลายจมูก สูดกลิ่นกายหอมของเกี้ยวจันทร์ที่ติดตรึงอยู่กับเส้นฝ้าย ไออุ่นที่หลงเหลืออยู่แม้จะไม่มากเหมือนตอนที่ได้โอบกอด แต่ช่างเย้ายวนเหลือเกิน เจ้าของริมฝีปากเข้มยิ้มอย่างเผลอตัว ก่อนจะขยับผ้าตุ๊บของเธอห่มคลุมกาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสาวเจ้าทำเอาเขายกชายผ้าขึ้นหอมอยู่เป็นระยะ คิดถึงอกอิ่มที่เบียดกับกายาเขา
ทว่าก็จำต้องสลัดความหลงใหลนี้ออกไปจากหัวเสียก่อน ด้วยเกรงจะเผลอฝันกลางวันในตอนกลางคืน เอาไว้ให้สาวเจ้าตื่น แล้วเขาค่อยฝันกลางวันต่อก็คงไม่สาย สำหรับตอนนี้คงได้แต่หวังว่า แม่หญิงผู้นั้นจะนอนหลังฝันดีเฉกเช่นเขา…
ความคิดเห็น |
---|