บทที่ 3

3

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็มาจอดลงที่บ้านพักริมทะเลแห่งหนึ่ง ทางเข้าเป็นรีสอร์ต  มีอาคารหลังใหญ่และบ้านพักหลังเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ ส่วนที่กุพชกาถูกพาเข้ามาคือบ้านหลังใหญ่สีขาว อยู่ลึกสุดในบริเวณที่ชายหาดหน้าบ้านสวยที่สุด มีรั้วรอบขอบชิด บ่งบอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามาได้

เอาละสิ พื้นที่ส่วนตัว ติดทะเล...มีสิทธิ์ที่นางร้ายตัวน้อยๆ จะถูกลอยคอออกอ่าวไทยอยู่ไม่น้อยเลยนะฮื่อ

กุพชกาถูกพาลงจากรถ ก้าวเท้าอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะเดินเท้าเปล่า รองเท้าคู่พังถูกถอดออกมาหิ้วไว้ โดยมีสายตาคู่คมดุของคณิณปรายตามองมาด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ 

เออ...โอเคแหละ ก็แค่...ความเกลียดชัง คุ้นแล้ว ใครๆ ก็เกลียดฉันกันทั้งนั้น เพิ่มคุณมาอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยปะ

หญิงสาวคิดอย่างไม่ยี่หระ ขณะวางท่าสุขุมเดินตามเขาเข้าไปในตัวบ้านทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว

บ้านหลังใหญ่มีห้องโถงกว้างเพดานสูง ผนังด้านหนึ่งตีตารางเป็นกำแพงกระจกเปิดเปลือยทิวทัศน์ท้องทะเลกว้าง ค่ำคืนทำให้ไม่ค่อยเห็นอะไรนักนอกจากพรายฟองขาวของคลื่นที่ซัดหาดอยู่รำไร และห่างออกไปคือแสงสว่างริบหรี่ของเรือ...คงเป็นแสงจากเรือประมง ช่างริบหรี่เหมือนความหวังในชีวิตเธอจริงๆ

คณิณถอดเสื้อนอกออก โยนพาดไว้กับโซฟาขณะเดินลึกเข้าไปในบ้าน ตรงไปที่บาร์เครื่องดื่ม เปิดตู้เย็นออกมารินน้ำเย็นให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองร่างเพรียวบางระหงของหญิงสาวที่อยู่ในชุดรัดรูป เสื้อกล้ามสีดำขับเน้นผิวขาวและหน้าอกดูมๆ คัปซีให้ดันล้นนูนเด้งขึ้นปะทะสายตา แล้วยังกางเกงยีนสกินนีฟิตเปรี๊ยะแนบตัวเผยให้เห็นเอวคอด สะโพกผาย ท่อนขาเรียวยาว และเท้า...เท้าเปล่าที่มีเล็บเท้าทาสีแดงสดบนเท้าขาวๆ ที่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อยระหว่างที่เดินลงจากรถมาที่นี่

ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขาสูดลมหายใจลึกอย่างข่มใจ ก่อนหันไปสั่งคนให้หารองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้านมาให้หญิงสาวสวม ก่อนจะทำบ้านเลอะมากไปกว่านี้!

“จะถือไว้ทำไมกัน รองเท้านั่น ให้คนเอาไปทิ้งได้แล้ว” คณิณสั่งอย่างรำคาญใจเมื่อหญิงสาวยังคงถือรองเท้าคู่เยินของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไม่ ฉันจะเอากลับไปซ่อม” ถะ...ถ้ารอดกลับไปได้น่ะนะ กุพชกาต่อคำในใจ ใจดวงที่กำลังสั่นไหวเต้นรัวกับสายตาขุ่นขวางที่เขามองมา

คณิณสีหน้าบูดบึ้ง จนไม่อาจจะขมวดขึงมากไปกว่านี้ได้อีก

คล้าย...ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้แล้วที่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ประกายวาววับในดวงตาคมดุคู่นั้นบ่งบอกว่าขืนใครกล้าขัดใจเขา รับรองได้เลยว่าศพไม่สวยแน่

“อีกเดี๋ยวอาจไม่ต้องใช้แล้วก็ได้นะ” คณิณเอ่ยเสียงขุ่น

ดูเหมือนยายนางร้ายตัวดีจะรับรู้สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เธอรีบยื่นรองเท้าให้ลูกน้องของคณิณที่เข้ามารับไปอย่างรู้งาน แต่ยังมองตามไปตาละห้อย

กุพชกาแอบไว้อาลัยให้แก่จิมมี ชู ที่ชาตินี้คงจะไม่ได้เจอกันแล้ว...งื้อ...น้อนนน

หญิงสาวมีเวลาอาลัยได้ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เธอก็ถูกจับคางหมุนหน้ากลับมา บังคับให้ต้องสบสายตาคู่ดุดันที่จ้องมองอย่างมาดร้าย

อา...ใช่เลย สายตานี้ละที่จับจ้องเธออยู่ในล็อบบีโรงแรม

“ช่างหัวรองเท้าเวรตะไลนั่นเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ค่ะ คุยก็คุยค่ะ” กุพชการับคำสงบเสงี่ยม เธอเป็นคนรู้อยู่เสมอละ...ถ้าไม่โมโหจนลืมตัวปรี๊ดแตกอะ

คณิณหรี่ตามองคนตรงหน้า ดวงหน้าสวยเฉี่ยวนั้นพยายามแสดงความสงบเสงี่ยมเชื่อฟังออกมาสุดฤทธิ์ สมกับเป็นนักแสดง บทแบบไหนเธอก็แสดงมันออกมาได้ ตอนนี้คงกำลังเล่นบทนางร้ายสิ้นฤทธิ์อยู่สินะ หึ!

“เรื่องของเธอกับนายปรัศน์” คณิณเริ่มด้วยเสียงดุเข้ม “ข่าวฉาวพวกนั้น”

“มันไม่เป็นความจริงค่ะ” กุพชกาบอกรวดเร็ว และรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย “ฉันเพิ่งเคยเจอเขาเมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกค่ะ”

“เพิ่งเจอกันครั้งแรกเธอก็เป็นอะไรกับเขาแล้ว?” คณิณถามกลับมาเสียงหยัน

“ไม่ใช่ค่ะ” โว้ย! หญิงสาวรีบตอบแทบเป็นตะโกนใส่คนกล่าวหา “ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลย”

“แค่คนคุย?”

คนคุย! นี่เขาจะให้เธอยอมรับว่าเป็นนังตัวร้ายเหมือนในข่าวให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย

กุพชกาสูดลมหายใจลึก พยายามข่มใจไม่ให้ปรี๊ดแตกใส่คนที่ทำเสียงดูถูกใส่เธอไม่เลิก “รู้ว่าพูดไปคุณก็คงไม่เชื่อหรอก แต่เมื่อคืนนี้น่ะ ที่ฉันคุยกับเขามีแค่...‘สวัสดี’ ‘ดูเหมือนจะมีการเข้าใจผิด’ กับ ‘ลาก่อน’ สามคำนี้เท่านั้นแหละ”

“อ้อ...มีอีกคำหนึ่ง ‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายายวีย่าอยู่ที่ไหน’ มีแค่นี้แหละ ที่ฉันพูดคุยกับเขาน่ะ”

“วีย่า” คณิณขมวดคิ้ว หรี่ตาอย่างจับผิดเมื่อได้ยินชื่อตัวละครใหม่ “วีย่า...วรรณวิชญาน่ะนะ”

“ฮื่อ” กุพชกาพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาเต็มที่แม้จะได้รับสายตาไม่เชื่อถือเลยสักนิดตอบกลับมา

“เรื่องไหน...” คณิณถามขึ้น

“หา”

“พลอตนี้เอามาจากละครเรื่องไหนที่เธอเคยเล่น พลอตนางร้ายป้ายสีนางเอกแบบนี้น่ะ” คณิณเอนหลังพิงเก้าอี้สตูลหน้าเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม มองเธอด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าหยันเยาะเหมือนกำลังบอกว่า เธอมีปัญญาแสดงละครอะไรออกมาก็เอาเลย เขาไม่เชื่อถือสักนิด

กุพชกาอึ้งไปสักสองสามวินาที ก่อนจะยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ไม่แยแส...การถูกเหยียดหยัน ไม่ได้รับการเชื่อถือ รวมไปถึงการถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนอย่างเธอ แม้จะไม่มีทางคุ้นชิน แต่ก็ชำนาญพอจะรับมือกับมันได้อย่างไม่ลำบากนัก

“เอาละ ถ้างั้น...ต่อไปนี้ก็ถือเสียว่าคุณลองฟังละครวิทยุน้ำเน่าสักเรื่องเล่นๆ ก็ได้นะ” กุพชกาเอ่ยอย่างไม่แยแส ริมฝีปากอิ่มบิดเบ้ สีหน้าเจ้าอารมณ์ “เรื่องมันเป็นงี้...คือยายนางเอกอักษรย่อวอน่ะ นางแอบไปแซ่บกับผัวชาวบ้านเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ตอนที่ฉันรู้คือตอนที่เรื่องมันน่าจะแดงขึ้นมาแล้ว คงมีคนตามสืบจนได้เรื่องอะไรแหละ ดังนั้นนังนั่น...เอ๊ยนางเอกวอนั่นเลยต้องหาทางเบี่ยงประเด็น”

“นางเอกวอเบี่ยงประเด็นโดยเธอนัดกินข้าวกับผัวชาวบ้านจนเป็นข่าวเนี่ยนะ” คณิณเลิกคิ้ว สีหน้าไม่ได้มีความเชื่อถือสักนิด

“ฉันไปกินข้าวกับแม่ย่ะ” กุพชกาบอกอย่างโมโห

“ตัวละครใหม่เรอะ แม่เธอมาจากไหนอีกล่ะ” คณิณเลิกคิ้ว สีหน้ายังไม่คลายรอยยิ้มเสียดสี

“เอาเป็นว่า แม่ฉันที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะอยากกินข้าวด้วยกัน อยู่ๆ ก็ชวนฉันไปกินข้าวที่ร้านหรูขึ้นมา” กุพชกาข่มอารมณ์ เรียบเรียงเรื่องราวขึ้นมาใหม่

“แม่เธอวางแผนให้เธอนัดกับหมอนั่นเรอะ” คณิณชักสงสัยในความเป็น ‘คุณแม้’ ขึ้นมาละ

“แม่ฉันไม่ใช่คนวางแผน แต่...ใช่ แม่อยู่ในแผนการนั้น” หญิงสาวถอนใจ วูบหนึ่งคล้ายดวงตาสีดำจะหม่นแสงลงแต่ก็อาจเป็นเรื่องตาฝาด เพราะเธอเปลี่ยนสีหน้าและโทนเสียงได้อย่างรวดเร็ว “ฉันไปที่ร้านนั้นกับแม่โดยไม่รู้ว่าเป็นแผนที่นังนางเอกวอนัดผู้ชายเอาไว้”

“ตกลงเขานัด หรือเธอนัดกันแน่” คณิณกอดอก ถอนใจ ชักรู้สึกขึ้นมาว่าเรื่องที่เธอพูดมันเพ้อเจ้อขึ้นทุกที

“ฉันไม่เคยนัดใครย่ะ ฉันไปที่นั่นเพื่อกินข้าวกับแม่ฉัน แม่จองโต๊ะเอาไว้แล้ว...” กุพชกาบอกอย่างข่มใจ นึกอยากสวมวิญญาณตัวละครที่เคยแสดง อยากลุกขึ้นเหวี่ยงวีน ร้องกรี๊ดๆ 

เมื่อนึกย้อนไปหญิงสาวก็เริ่มเข้าใจถึงกิริยาลุกลนของมารดา แต่...แม่เธอก็ไม่มีวันไหนที่ท่าทางไม่มีพิรุธอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินตามคุณกมลาเข้าไปในร้านอาหารโดยไม่ทันได้เอะใจใดๆ และยังไม่เอะใจแม้มารดาเธอจะทำท่านั่งไม่ติด และขอตัวลุกหายไปห้องน้ำโดยยังไม่ทันได้สั่งอาหารเสียด้วยซ้ำ กุพชกามองตามหญิงวัยกลางคนไปอย่างงงๆ แต่ก็ปรับความสนใจมาที่เมนูอาหารได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับอิสระในการกินแบบนี้ สมาธิเธอจึงจดจ่ออยู่ที่เมนูอาหารจนกระทั่งมีเสียงทักถามขึ้น

‘ทำไมเป็นเธอ’

กุพชกาเงยหน้าขึ้นจากภาพอาหาร หันมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ปรัศน์เป็นชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างหน้าตาดีและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป เพราะเขาเคยเป็นอดีตพระเอกดังคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้ตกล่องปล่องชิ้นไปกับนักธุรกิจสาวตระกูลดังคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ออกจากวงการบันเทิงหันไปเอาดีทางด้านธุรกิจ...ของครอบครัวภรรยา

‘สวัสดี’ หญิงสาวทักเขา กะพริบตาปริบๆ มองคนที่ทักตัวเอง แม้เธอจะรู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่ระหว่างพวกเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลย ยังไม่มีการทำงานร่วมกัน ดังนั้นการที่คนคุ้นหน้าที่แปลกหน้าเอ่ยทักขึ้นจึงทำให้เธองุนงงอยู่พอสมควร กุพชกายังไม่ทันรู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติจนเขาเอ่ยขึ้นมาอีกประโยค

‘ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้’

‘นั่นสินะ’ กุพชกากลอกตาขณะคิดเร็วๆ ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ ‘ดูเหมือนจะมีการเข้าใจผิดกันสักอย่าง’ เธอบอกออกไปขณะสมองก็เริ่มรับรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันมีเงื่อนงำที่ตรงไหน...ตรงที่แม่เธอหายไปนี่ไง!

ฮึ่ม! ชิ่งไวจริงนะคุณกมลา!

‘ฉันนัดกับวีย่าไว้ ทำไมถึงกลายเป็นเธอได้ วีย่าอยู่ที่ไหน’ ปรัศน์ขมวดคิ้วขณะกวาดตามองหาคนที่เขานัดไว้ซึ่งไม่เห็นแม้เงา

กุพชกาสูดลมหายใจลึกแรง ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มหลายอึกก่อนคว้ากระเป๋าลุกขึ้น

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายายวีย่าอยู่ที่ไหน’ หญิงสาวเอ่ยเรียบๆ ก่อนต่อคำ ‘ลาก่อน’

ร่างเพรียวระหงที่อยู่ในชุดกึ่งลำลองหมุนตัวก้าวยาวๆ ห่างออกมา

‘เดี๋ยวสิ เธอบอกมาก่อนว่าวีย่าอยู่ที่ไหน เขาส่งเธอมาหาฉันงั้นเหรอ’ ปรัศน์ก้าวตามมาถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

‘ฉันไม่รู้ว่าวีย่าอยู่ไหน ถ้าเขานัดกับคุณ คุณก็ควรต้องรู้ไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่จากที่เห็นแสดงว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง ซึ่งฉันเดาว่าเราควรรีบแยกย้ายกันไปถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหา’ กุพชกาบอกพลางดึงแขนออกจากการถูกดึงไว้อย่างไม่สงวนท่าทางรังเกียจเลย

ปรัศน์หยุดยืนนิ่ง เขม้นจ้องหญิงสาวที่รีบจ้ำอ้าวออกจากร้านอย่างรีบร้อนด้วยท่าทางราวกับหนีอะไรสักอย่าง 

แม้จะรีบหนีออกมาจากร้านอย่างเร็วที่สุดแล้วก็ตาม แต่ภาพถ่ายชุดหนึ่งก็ยังถูกเผยแพร่ออกไป พร้อมแคปชันเร้าใจในเชิงชู้สาว เล่าถึงการพบปะกันของคนทั้งคู่พร้อมข้อความกำกวมเชิงชักนำให้คิดไปได้ว่าคนทั้งคู่นั้นมีความสัมพันธ์กันไปไกลถึงไหนๆ

“สรุปคือเธอจะบอกว่าถูกจัดฉาก?” คณิณสรุปเรื่องราว

“ใช่” 

“จากใคร และทำไปเพื่ออะไร” 

“ถ้าฉันตอบว่าไม่รู้คุณก็คงไม่เชื่ออีก แต่ถ้าให้เดา ฉันเดาว่าเป็นยายวีย่ากับคุณพรพรรณแม่ยายนั่น...อ้อ แล้วก็มีคุณกมลา แม่ฉันด้วยอีกคน” กุพชการ่ายรายชื่อผู้ต้องสงสัย สีหน้าขุ่นใจกับรายชื่อสุดท้าย

“ฟังดูเป็นขบวนการ ซึ่งก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไปทำไมและเพื่ออะไร” คณิณวิเคราะห์แบบปลงๆ ทำท่าเหมือนยอมๆ ตามเธอไปทั้งที่ไม่เชื่อเลยสักนิด

กุพชกามองหน้าเขานิดหนึ่ง ก่อนเมินหนี ขมวดคิ้วขัดใจ สีหน้านางร้ายเจ้าอารมณ์ประทับบนใบหน้านั้น 

สวย...แต่เหวี่ยง พร้อมวีน

เพียงแต่...เจ้าตัวคงยังรู้ตัวอยู่บ้างหรอกว่าเวลาไหนที่ทำได้และเวลาไหนที่ไม่มีทางทำได้

“เอาเป็นว่า...ฉันไม่ใช่คนนัดน้องเขยคุณออกมา ส่วนใครเป็นคนนัดนั้น คุณลองให้คนสืบดูก็น่าจะพอหาเบาะแสได้ไม่ยากหรอกนะฉันว่า...” กุพชกาหันกลับมามองหน้าคมเข้มของผู้ชายที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นนักธุรกิจเขี้ยวลากดินแค่ไหน “ใครๆ ก็บอกว่าคุณมีวิธีที่จะรู้เรื่องที่อยากรู้อยู่เสมอไม่ใช่หรือไง ทั้งรู้ลึก รู้จริง รู้ละเอียด ไหนๆ คุณก็ไม่เชื่อฉันอยู่แล้ว ก็ลองสืบดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น หรือก่อนหน้านั้น หรือย้อนไปสักหลายๆ เดือน”

“ฉันให้รายชื่อผู้ต้องสงสัยคุณไปแล้วนี่ ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร สืบจนแน่ใจแล้วค่อยมาชี้หน้าด่าว่าฉันตอแหลก็ยังไม่สาย จับโจรน่ะมันต้องให้จำนนด้วยหลักฐาน คุณจะมากล่าวหากันลอยๆ ให้ฉันเถียงได้ คุณก็หงุดหงิดเองเปล่าๆ ใช่ไหมล่ะ”

หญิงสาวเชิดหน้าเย่อหยิ่ง ทำท่าเหมือนตัวละครเอกที่เอาศักดิ์ศรีอันสูงส่งของตัวเองเป็นเดิมพันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง

นี่มัน...ตัวละครคุณหญิงกีรติ หรือคุณหญิงอะไรสักอย่างในละครย้อนยุคโบราณจากสมัยไหนงั้นเรอะ

คณิณเคาะนิ้วกับเคาน์เตอร์ไม้มะฮอกกานีสองที ก่อนพ่นลมหายใจออกจมูกอย่างหงุดหงิด

“เสียเวลา”

คำสรุปนั้นทำเอาหญิงสาวผงะไป

นี่...เขาไม่คิดจะหวั่นไหวหรือไตร่ตรองสักหน่อยรึ พี่เล่นตอบกลับมาในสองวินาทีแบบนี้...ช่างทำร้ายความพยายามเจรจาต่อรองเอาตัวรอดของเธออย่างไม่ไยดีเลย

“เดี๋ยวสิ ทำไมรีบล่ะ!” กุพชการีบร้องออกมา เมื่อเห็นประกายเลือดเย็นฉายวาบในแววตาของอีกฝ่าย “คุณไม่คิดจะค้นหาความจริง หรือหาคนร้ายตัวจริงอะไรแบบนี้หน่อยเรอะ”

“ฉันจะเสียเวลาไปทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อมีคนร้ายที่สังคมชี้ตัวอยู่ตรงนี้แล้ว เรื่องจะไปหาความจริงอะไรนั่นมันเรื่องของตำรวจ ส่วนตอนนี้ถ้าตัดปัญหาได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไง”

“คุณ! นี่ไม่แคร์ว่าจะทำร้ายผิดคนเลยเรอะ” หญิงสาวร้องออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ 

ความว่างเปล่าในสายตาของเขาเป็นคำตอบ ว่าเรื่องเสียเวลาพรรค์นั้น อย่าหวังเลยว่าเขาจะทำมัน

“เลือกมาสักทางแล้วกันว่าอยากตายแบบไหน” คณิณเคาะนิ้วเรียวยาวกับโต๊ะเป็นจังหวะ ตาคมมองเลยไปนอกหน้าต่างสู่เวิ้งทะเลกว้าง ก่อนหันมาพยักพเยิดคล้ายปรึกษา “ใกล้ทะเลแบบนี้ ถ้าจะจมน้ำตายก็คงไม่แปลกหรอกเนอะ” 

“แปลกค่ะ แปลกแน่ๆ” กุพชกาค้านเสียงหนักแน่น “ฉันว่ายน้ำเป็น ว่ายเก่งด้วย ตอนเรียนก็เป็นแชมป์ทั้งประถม มัธยม แถมยังเป็นตัวแทนมหา’ลัยไปแข่งว่ายน้ำในกีฬามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ถ้วยรางวัลมีเต็มบ้าน คุณคิดว่าตำรวจจะไม่เอะใจเลยเหรอคะว่าแชมป์ว่ายน้ำแบบฉันจะจมน้ำตายง่ายๆ ได้ไง แถม...หลังจากมีข่าวนั้นแล้วด้วย มันต้องมีคนมโนไปไกลเลยแหละว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ แล้วน้องสาวคุณจะไม่ถูกลากมาเชื่อมโยงจนติดร่างแหไปด้วยเหรอคะ”

คณิณนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆ บนพื้นโต๊ะ ดวงตาสีดำหรี่ลงจนเป็นเงาหม่นประกายเฉียบคมในดวงตานั้นราวเก็บงำ ซ่อนความคิดบางอย่างไว้ ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ จะปรากฏ

“เป็นความคิดที่ดี” ร่างสูงผุดลุกขึ้น หันไปทำท่าจะสั่งงานกับลูกน้องที่เดินเข้ามารับคำสั่งอย่างรู้หน้าที่

“เดี๋ยวสิ! น้องคุณอาจกลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้นะ” กุพชกาท้วงขึ้น เผื่อเขาไม่เข้าใจตรงไหน

“ไม่ต้องห่วง ผมมีทนายเก่งๆ เยอะ จะทำสำนวนแบบให้ยายนั่นติดคุกน้อยที่สุดได้แน่” คณิณไม่ยี่หระ

“เดี๋ยว...แล้ว...แล้ว...แล้วถ้าน้องคุณซัดทอดคุณล่ะ” กุพชกาเค้นสมองหาความเป็นไปได้ในการหยุดยั้งอาชญากรรม...ที่กำลังจะเกิดกับตัวเอง!

คราวนี้ทำให้คณิณหยุดคิดได้นานขึ้น ชายหนุ่มกลอกตา สีหน้าครุ่นคิด

อืม...เป็นเรื่องที่ยายนั่นต้องทำแน่ ถ้าหากมีเรื่องเดือดร้อนจวนตัวขึ้นมา...ไม่มีทางที่ ‘น้องสาว’ ของเขาจะยอมรับผิดเพียงผู้เดียวหรอก คติยาต้องลากเขาติดร่างแหไปด้วยแน่ๆ คิดๆ แล้วก็ไม่ค่อยคุ้มกับความวุ่นวายเท่าไร

ชายหนุ่มกวาดตามองสตรีตรงหน้า ร่างผอมบางแบบดาราที่รักษาหุ่นสุดชีวิตจนดูผอมเกินไป แต่ก็จะดูเต็มขึ้นเมื่อถูกกล้องถ่ายออกมา แถม...ยังมีสัดส่วนนูนเด่นที่ทรยศความผอมบางของเธอโดยไม่สนมวลรวมร่างกายว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือว่าสารอาหารจะไหลไปรวมกันตรงนั้นหมดก็ไม่รู้

ไม่สิ...สารอาหารคงไม่ได้ไปรวมกันตรงนั้นทั้งหมดหรอก...เพราะจากที่เขาพูดคุยมาสักพัก รวมกับการได้เห็นเธอเล่นวิ่งไล่จับหลบหนีการไล่ล่าของคนร้ายเมื่อก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โง่...การพูดจาหาวิธีเอาตัวรอดของเธอก็ไหลลื่น กลิ้งกลอก มีไหวพริบและสติปัญญา ไม่ได้ดูคล้ายนางร้ายราคาถูกอย่างบทบาทที่เธอมักได้รับเลยสักนิด

คงน่าเสียดายอยู่นิดหน่อยถ้าต้องกลายเป็นศพลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล...เดี๋ยวสิ!

คณิณพลันได้สติ เขาไม่ได้จะทำอย่างนั้นจริงๆ เสียหน่อย ที่เขาทำมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือการข่มขู่ล้วนๆ เขาแค่ต้องการขู่ให้เธอกลัวเท่านั้นเอง

เขาไม่ใช่มาเฟียโลกมืดที่เอะอะก็ฆ่าคนทิ้งเป็นผักปลาเสียหน่อย

อีกอย่าง...นี่มัน พ.ศ. ไหนแล้ว การฆ่าคนโดยไม่ให้ถูกจับได้มันทำได้ง่ายๆ แบบนั้นเสียที่ไหนกัน คนของเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ล่าสังหารคนแบบมืออาชีพเหมือนพวกแก๊งมิจฉาชีพนะ ไหนจะขั้นตอนการเก็บกวาดที่เหลืออีกล่ะ ในยุคที่ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ทั้งภาพเหตุการณ์ ทั้งหลักฐานทางการเงิน ทุกๆ การกระทำมักเหลือทิ้งร่องรอยไว้เสมอละ ทำให้ต้องยับยั้งชั่งใจอยู่พอสมควรเวลาที่จะทำอะไรผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง

ต่อให้เวรกรรมจะตามไม่ทัน แต่กล้องจับทันแหงๆ 

เดี๋ยวสิ! นี่มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ

คณิณถามตัวเองอย่างสงสัย จากที่ทีแรกเขาแค่ต้องการจะกำราบกุพชกา และทำให้เธอกลัวเท่านั้น แต่...ยิ่งเธอมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา มันก็กระตุ้นให้เขาอยาก...ฮึ่ม! จนเผลอตัวโต้ตอบ ไล่ต้อนกันอยู่นาน

เสียเวลาชะมัด!

ร่างสูงหมุนตัวทำท่าจะผละไปอย่างหงุดหงิด กิริยานั่นทำเอาคนที่ยืนจ้องมองเขาอยู่ด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ ต้องรีบผวาเข้าไปดึงแขนเขาไว้

“ดะ...เดี๋ยวสิคะ” กุพชการีบร้องขึ้น เมื่ออยู่ๆ คู่สนทนาก็ทำท่าจะไม่อยากคุยขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่การสนทนายังค้างคาอยู่ที่ความเป็นความตายของเธออยู่เลย

ความคิดเดียวของหญิงสาวคือ...ต้องทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่อยากให้เธอตายก่อนจบการพูดคุยนี้ลงให้ได้ ไม่งั้นเช้าวันใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เธออาจรับอรุณด้วยการนอนลอยน้ำคว่ำหน้า คุยกับปะการังอยู่กลางทะเลอ่าวไทยแหงๆ

ไม่น้า...ฉันยังไม่อยากตุยเย่ แบบนั้นนน

กุพชกากลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ เมื่อสบสายตาที่ทอประกายขุ่นเคืองขั้นสุดยามที่เขาปรายตามองมือเธอที่คว้าแขนเขาเอาไว้แน่น คิ้วเข้มของคณิณขมวดฉับ รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าการแตะเนื้อต้องตัวกันนั้นทำให้เขาไม่พอใจสุดๆ ไปเลย

อ่า...เอ่อ...เออ! ก็ได้! ไม่แตะแล้วก็ได้วะ คนอะไรหวงตัวเป็นบ้า

หญิงสาวที่ความรู้สึกไวกับเรื่องพวกนี้ ตอบสนองในทันทีด้วยการปล่อยมือแล้วยกสองมือเสมอไหล่ในท่ายอมจำนน เป็นการบ่งบอกว่าปล่อยแล้ว...ไม่ได้แตะแล้วนะ...ยะ

“อย่าเพิ่งวู่วามสิคุณ คุยกันก่อน...” กุพชกาบอกเสียงอ่อน ใส่ความอ้อนเข้าไปเต็มที่ เงยหน้าช้อนตาดำๆ ทำสายตาเว้าวอนกันสุดฤทธิ์ใส่เขา ด้วยสีหน้าท่าทางที่เธอรู้ว่ามันดูดี สวย และแอบเซ็กซี่เบาๆ

แน่ละ เพราะเธอฝึกท่าทางหน้ากระจกมาจนชำนาญ สามารถควบคุมสีหน้าท่าทางให้มันดูดีน่ามองได้อย่างไม่ต้องพยายามสักนิด เสียแต่สายตาเย็นชาของผู้ชายตรงหน้าที่เหมือนมันทวีความเย็นชาขึ้นไปอีกยามมองท่าทางของเธอ ราวกับมองทะลุทะลวงจนไม่เหลือช่องให้ความหวั่นไหว หรือความรู้สึกอื่นใดมาครอบงำได้เลย

‘พ่อภูเขาน้ำแข็งพันปี!’

กุพชกาอดค่อนขอดในใจไม่ได้ ก็เขาทำสีหน้าเย็นชาสุดขั้ว เย็นชาจนแช่แข็งหมีขาวขั้วโลกและเพนกวินทั้งฝูงพร้อมกันได้แล้วเนี่ย

“คุยอะไร” คณิณถามเสียงดุ

“ก็...คุยกันว่าฉันไม่ขอไปคุยกับรากมะม่วงน่ะสิคะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนแฝงความเว้าวอนเข้าไปเต็มที่ หลังจากฉุกคิดได้ว่า...ยังไงๆ การคุยกับเขาก็ยังดีกว่าคุยกับแก๊งเสื้อดำทั้งฝูงที่ตามล่าเธอ หรือดีกว่าการนอนคุยกับรากมะม่วง ฉะนั้นเธอต้องไม่พลาดโอกาสในการไขว่คว้าชีวิตเอาไว้ 

แม้ว่าจะต้องทนกับดวงตาที่ทอประกายเย็นชา จงเกลียดจงชังคู่นั้นก็ตาม!

“ตัวฉันน่ะ ไม่ได้เดือดร้อนว่าเธอจะอยู่หรือตายหรอกนะ” คณิณเอ่ยพลางปัดมือที่แขนเสื้อด้วยท่าทางคล้ายปัดเสนียดเอ่อ...ปัดรอยมือของหญิงสาวที่จับเขาเมื่อครู่นี้ออกไปด้วยท่าทางรังเกียจ

“งั้น...” ประกายความหวังจุดวาบในดวงตากุพชกา

“แต่ยายคติยาน่ะสิ อยากให้เธอตายให้ได้เลย” ชายหนุ่มดับความหวังที่เพิ่งจุดประกายขึ้นมานั้น เหมือนการสาดน้ำทั้งถังใส่ก้านไม้ขีดไฟเล็กๆ ที่เพิ่งติดประกายไฟขึ้นมา

“ไม่ยุติธรรมสักนิด” กุพชการ้องขึ้นอย่างหัวเสีย

“โลกก็ไม่ยุติธรรมแบบนี้แหละ” คณิณบอกพลางหยิบบุหรี่มาจุดสูบ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ยายนั่นมาโวยวายใส่ฉัน เซ้าซี้ให้จัดการเธอให้ได้ล่ะ แล้วเรื่องบ้าๆ นี่ก็มีชื่อเธอเป็นตัวก่อความวุ่นวายครั้งนี้ คิดว่าจะหนีความรับผิดชอบไปได้หรือไง”

ชายหนุ่มพ่นควันบุหรี่เป็นวงใส่หน้าคนที่ยืนอึ้งตาค้างไปกับความใจร้ายของเขา ดวงตาคมวาวจับจ้องสีหน้านางร้ายที่ทำท่าช็อกไม่หาย ที่จริงต้องบอกว่าเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเลยทีเดียวในการกลั้นยิ้มเอาไว้ ไม่งั้นคงเผลอหัวเราะใส่หน้าเธอไปแล้ว

ไม่เคยมี ‘เหยื่อ’ คนไหนที่มีท่าทางเหมือนเธอเลย

ปกติเวลาที่เขาข่มขู่ใส่ใคร คนพวกนั้นมีแต่ต้องกลัวหงอ ตัวสั่นงันงก ร้องไห้อ้อนวอน กอดขาเขาขอความปรานี ไม่มีหรอกนะที่จะมาเชิดหน้า ต่อรองขอชีวิตด้วยท่าทางกึ่งจองหอง...กึ่ง...ออดอ้อนกันแบบนี้น่ะ

แถม...สีหน้าของเธอที่แปรเปลี่ยนไปสารพัด มีทั้งตกใจ ช็อก พยายามตั้งสติ เจ้าเล่ห์ สารพัดสีหน้าที่เธอแสดงออกมามันทำให้เขานึกสนุก อยาก ‘เล่น’ ต่อไปอีกสักพัก...แต่เป็นสักพักที่ชักนานเกินไปแล้ว

คณิณพาตัวเองกลับเข้ามาสู่โหมดเอาการเอางาน

“มีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายไหม” เขาตัดจบอย่างใจร้าย ซ่อนรอยยิ้มเล็กๆ ไว้เมื่อเห็นความกลัวในแววตาอีกฝ่าย แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น กุพชกาเชิดหน้า สีหน้าไม่ยอมแพ้ขณะเอ่ยออกมา

“งั้นขอเลือกวิธีตายได้ไหม”

“ไม่!” คณิณปฏิเสธฉับพลัน ซ่อนสีหน้ามันเขี้ยวเอาไว้ ก่อนจิ้มนิ้วชี้ใส่หน้าผากเธอ ดันจนหญิงสาวแทบหน้าหงาย “ถ้าเธอขอแก่ตายขึ้นมา ฉันมิต้องรออีกเป็นสิบๆ ปีเรอะ”

ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ไหว แล้วก็ต้องรีบซ่อนรอยยิ้มพึงใจเอาไว้รวดเร็ว ดวงตาดำจัดจ้องมองสีหน้าของคนที่ท่าทางขัดใจเพราะถูกรู้ทันนั้นอย่างจะเก็บรายละเอียด ดวงหน้าสวยที่บิดเบี้ยวไปด้วยความขุ่นเคือง เม้มปากแน่นแต่ก็เหมือนอยากจะหลุดคำอะไรออกมา...น่าจะอยากร้องตะโกนด่าเขาแหละ แต่ยังตั้งสติยั้งใจตัวเองไว้ได้อยู่ สีหน้าย่นยู่ของนางร้ายคนสวยจึงค่อนข้างตลกจนเขาอยากเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเอาไว้เสียจริง

“งั้น...ฉันขอรองเท้า...รองเท้าจิมมี ชูของฉันน่ะ” กุพชกาเปลี่ยนอารมณ์มาต่อรอง “เอาไปซ่อมให้เหมือนใหม่มาให้ฉันใส่ตอนตายด้วย ศพจะได้สวยๆ”

อย่างน้อย...ก็ซื้อเวลาไปอีกหลายชั่วโมง...ให้เธอมีเวลาหาหนทางอื่นในการเอาชีวิตรอดจากผู้ชายใจร้ายคนนี้

คณิณก้มมองนางร้ายในชุดรัดรูปสุดเซ็กซี่ที่สวมรองเท้าแตะในบ้านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“คนตายไม่ต้องการรองเท้าหรอก แค่คู่นี้ก็พอแล้ว” คณิณบอกอย่างใจร้ายใจดำ

“งั้น...” กุพชกากลอกตา กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องแบบโมเดิร์นที่เปิดพื้นที่โล่งกว้างเชื่อมถึงกันหมด ทั้งห้องรับแขก ห้องครัว และห้องอาหารไม่ได้ถูกกั้นออกจากกัน ใช้เพียงชั้นวางของเตี้ยๆ และกระถางต้นไม้ในการแบ่งบริเวณ มองจากตรงนี้ยังเห็นส่วนครัวที่มีเตา ปล่องเครื่องดูดควัน และตู้เย็นสี่ประตูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา

“ถ้าฉันจะขออาหารมื้อสุดท้าย คุณคงไม่ใจร้ายใจดำปล่อยให้ฉันตายทั้งหิวๆ หรอกใช่ไหม”

เป็น...คำขอก่อนตายที่ถูกเอ่ยด้วยอาการเชิดหน้า ท่าทางเย่อหยิ่งปนหยามหยัน เหมือนเธอจะเอ่ยออกมาว่า...เอาซี้...ถ้าอยากจะใจร้ายใจดำกว่านี้ก็เชิญเลย ไอ้คนไร้มนุษยธรรม!

มันน่ายอมให้ไหมล่ะแบบนี้น่ะ


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น