บทที่ 4

4

สองนาฬิกาของวันใหม่ ไม่ใช่เวลาที่ดีในการกินอาหารเลยสักนิด แต่ถ้าหากว่าคุณต่อรองให้มันเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนตาย อย่างไรมันก็คือมื้อที่ดีที่สุดอยู่แล้วละ

ครัวของบ้านหลังนี้กว้างมาก มีโต๊ะกลางขนาดใหญ่ใช้วางเตรียมของและหั่นปรุงอาหาร ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยวัตถุดิบจากทั้งในตู้เย็นสี่ประตู ตู้แช่ และตู้เก็บของแห้ง อีกทั้งขวดซอสปรุงกับวัตถุดิบสารพัดชนิดวางกองเต็มโต๊ะ

คณิณมองข้าวของที่ถูกรื้อออกมาเต็มไปหมด ก่อนกวาดสายตาเย็นชาไปหยุดอยู่ที่สีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของยาย...นางร้ายตัวแสบที่ทำสีหน้าราวกับเป็นคนละคนกับคนที่ร้องขอชีวิตเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“อะไรล่ะ ก็คุณอนุญาตเองไม่ใช่หรือไงว่าจะใช้อะไรก็ได้ จะปรุงยังไงก็ได้ ทำกี่จานก็ได้” กุพชกายักไหล่ทำท่าโนสนโนแคร์

“กินให้หมดแล้วกัน!” คณิณคาดโทษก่อนหมุนตัวเดินออกจากครัวไปยังเคาน์เตอร์บาร์ เทวอดคามาจิบระหว่างรอยายตัวยุ่งทำอาหาร

ความคิดตอนนี้คือ...จากที่ทีแรกคิดแค่จะขู่...นึกไม่ถึงเลยว่ายายตัวล้างผลาญนั่นจะล่อหลอกให้เขาตกลงเล่นเกมไปกับเธอ แล้วยายนางร้ายตัวแสบก็ลากวัตถุดิบที่ถูกเตรียมไว้ในครัวออกมาจนหมด คงกะว่าทำเสียหลายๆ จานเพื่อยื้อเวลาได้หลายชั่วโมงเสียละมั้ง 

หึ!

ชายหนุ่มหรี่ตาลง สีหน้ากริ่มรอยยิ้มร้ายลึกลับ ยามคิดข้ามไปถึงตอนที่อาหารเสร็จหมดทุกจาน...ก็ไม่รู้สินะ ถ้าให้เขาคาดเดา คนสวยอย่างแม่นั่นจะทำอาหารแบบไหนออกมากันล่ะ ถ้าตามมาตรฐานหญิงสาวสมัยนี้ที่ฝากท้องไว้กับร้านอาหารและบริการไรเดอร์ที่วิ่งเข้าออกร้านดังกันให้เกลื่อนเมือง...ไม่ต้องคาดเดาก็บอกได้ว่ารสชาติมันต้องแย่แน่ เผลอๆ อาจไม่สุกหรือกินไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นมาบนหน้าชายหนุ่มที่ร้อยวันพันปีไม่เคยมีรอยยิ้มให้แก่ใคร แต่ตอนนี้รอยยิ้มสะใจปนคาดหวังปรากฏบนหน้ายามคิดไปถึงตอนที่อาหารรสชาติไม่ได้เรื่องวางอยู่เต็มโต๊ะ แล้วตอนนั้นละ เขาจะบังคับให้กุพชกากินมันเข้าไปให้หมดเลย!

สีหน้าเจ้าเล่ห์ของเธอคงน่าสนใจดีพิลึก

ดวงตาคมวาวกวาดมองไปยังครัวที่มีคนตัวผอมบางเคลื่อนไหวไปมายุ่งอยู่หน้าเตา วนเวียนไปที่เตาอบแล้วกลับมาที่โต๊ะเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งบรรดาของที่กองไว้ตอนนี้ถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่ ในส่วนที่ต้องหั่นก็หั่นเป็นชิ้นขนาดต่างกัน ที่ต้องตวงก็ตวงใส่ถ้วยไว้...ชายหนุ่มขมวดคิ้วให้แก่ท่าทางคล่องแคล่วของหญิงสาว ที่ไม่มีอาการลนหรืองุนงงทำอะไรไม่ถูกสักนิด ท่าทางเหมือนคุ้นชินกับการทำอาหารเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อมองไปยังเอวบางราวจะปลิวนั่นแล้ว...เขาก็บอกกับตัวเองอย่างมั่นใจ

ไม่มีทางที่คนหุ่นแบบนี้จะทำอาหารอร่อยเด็ดขาด!

...

เออ! โอเค เธออาจไม่มีทางทำอร่อย แต่ไม่รู้ทำไม หน้าตามันถึงดูดีได้ขนาดนี้

คณิณกัดฟันอย่างหัวเสียยามมองอาหารสารพัดบนโต๊ะอาหารขนาดสิบที่นั่ง เขาย้ำกับตัวเองอีกทีหลังจากมองเอวเอสที่บางเหมือนใส่ชุดคอร์เซตรัดไว้ ไม่มีทางที่คนหุ่นแบบนี้จะสร้างสรรค์เมนูที่มัน...มันเป็นแบบนี้ได้เด็ดขาดเลย ให้ตายสิ!

ชายหนุ่มสบถให้แก่กลิ่นหอมหวนที่ลอยอวลในอากาศ บนโต๊ะตรงหน้ามีเมนูหลักคือหม้อไฟที่กำลังเดือดปุด มาม่าเกาหลีเส้นนุ่มหนึบจมอยู่ในซุปสีแดงเข้มที่ดูท่าจะผสานความเผ็ดของเครื่องปรุงรสเกาหลีกับเครื่องต้มยำแบบไทยไว้ ต้นหอมญี่ปุ่นเปื่อยกำลังดีลอยคออยู่กับหมูสับแผ่นหนา ดูท่าทางเด้งหนึบน่ากิน ลูกชิ้นอีกสองสามอย่างลอยผลุบโผล่อยู่ในซุปเคียงข้างกุ้งแม่น้ำตัวโตและหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์...เขาไม่เคยเห็นว่าของแช่แข็งพรรค์นั้นมันจะน่ากินขนาดนี้มาก่อน กลิ่นมันกุ้งหอมเข้มข้นลอยมาเตะจมูกบอกให้รู้ว่าซุปนั้นเปี่ยมไปด้วยวัตถุดิบที่น่ากินขนาดไหน

ที่วางอยู่ข้างหม้อคือผักหลายชนิดจัดอยู่ในจานสวย เห็ดออรินจิ เห็ดชิเมจิทั้งแบบขาวและดำ ยังมีเห็ดเข็มทองและเห็ดหอมสดทั้งหัวกรีดไว้เป็นรูปกากบาท ผักที่เหลือคือพวกผักประจำหม้อสุกี้และชาบู ไม่ว่าจะเป็นต้นหอมญี่ปุ่น ขึ้นฉ่าย ผักบุ้ง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักกาดฮ่องเต้ สาหร่ายวากาเมะ ข้าวโพด ฟักทอง จานใหญ่อีกจานที่อยู่ใกล้ๆ กันคือเนื้อหมูสดสไลซ์แผ่นบาง มีทั้งเนื้อสันและสามชั้น และยังมีเนื้อวัวสไลซ์จัดวางไว้อย่างสวยงามใกล้ๆ กันอีกด้วย

นี่มัน...ปาร์ตีชาบู หรืออะไรเทือกนั้นไม่ใช่หรือไง

ชายหนุ่มสบถในใจอีกรอบเมื่อเผลอคิดไปว่า รสชาติจะเป็นอย่างไรถ้าได้จุ่มเนื้อแผ่นบางนั้นลงในหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆ มันทำให้เขาเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

“อะไร...มองแบบนั้นอย่าบอกนะว่าจะไม่ยอมให้ฉันกินแล้วน่ะ” กุพชกาตวัดเสียงมาจากเก้าอี้หัวโต๊ะ หญิงสาวมองคณิณอย่างหวาดระแวง ทำท่าหวงของกินจนน่าขัน และตัดสินใจคว้าถ้วยและตะเกียบที่เตรียมไว้จ้วงลงไปในหม้อท่ามกลางควันบางๆ ที่ลอยคลุมหม้อไฟอยู่

กุพชกาคีบเส้นมาม่ามาใส่ถ้วยพร้อมตักน้ำซุปมาหนึ่งกระบวย จากนั้นปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงก็สูดเส้นหนึบเหนียวอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์เลยสักนิด แถมเธอยังไม่ยอมหยุดยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อมาจุ่มลงในหม้อไฟร้อนๆ ที่ทำให้เนื้อสุกได้ในพริบตา เขาเพิ่งเห็นว่าตรงหน้าเธอมีถ้วยน้ำจิ้มเตรียมไว้หลายถ้วย มีทั้งน้ำจิ้มงาขาว ทั้งปอนซึ ทั้งน้ำจิ้มสุกี้ แถมยังมีน้ำจิ้มซีฟูดอีกต่างหาก นั่นสำหรับกุ้งและปลาหมึกที่เธอจุ่มตะเกียบลงไปในหม้อและคีบพวกมันออกมาจากก้นหม้อน้ำซุปเดือดๆ จุ่มในน้ำจิ้มซีฟูดจนฉ่ำ ก่อนส่งเข้าปากเคี้ยวพลางหลับตาทำท่ามีความสุขสุดๆ โดยไม่สนใจว่ามีใครอีกคนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้

สีหน้าของคณิณยิ่งทะมึนเข้าไปอีกเมื่อมองเลยไปยังไก่ทอดเกาหลีที่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบดูน่ากิน คลุกด้วยซอสสีแดงโรยงาขาวที่ดูเข้ากันดี นอกนั้นยังมีปลาหมึกชุบแป้งทอด กุ้งทอดเทมปุระ เธอเนรมิตของในครัวให้กลายเป็นร้านสุกี้หม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่นผสมเกาหลีไปแล้ว ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวที่คีบเส้นต็อกโบกีออกมาจากก้นหม้อ เป่าฟู่ๆ ก่อนเอาเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับทั้งร้อนๆ ด้วยสีหน้าแสนสุข

เขาชักสงสัยเสียแล้วว่า...ในหม้อนี้มันใส่อะไรลงไปบ้าง...ดูเหมือนสารพัดสิ่งที่เธอคีบออกมาจากก้นหม้อใต้น้ำซุปสีแดงอันเผ็ดร้อนนั้นจะมีแต่ของน่าอร่อยทั้งนั้น

“อ๊ะ!” กุพชกาอุทาน ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนผุดลุกขึ้นหมุนตัวออกจากโต๊ะอาหาร เดินเร็วๆ เข้าไปในครัวก้มลงทำอะไรสักอย่างอยู่กับเตาอบขนาดใหญ่ ก่อนกลับมายังโต๊ะอาหารในไม่กี่นาที คราวนี้มีพิซซาติดมือมาด้วยสองถาด

พิซซา! มันเป็นพิซซาแป้งหนาที่ทาซอสมะเขือเทศไว้ฉ่ำสุก แต่งหน้าด้วยสารพัดวัตถุดิบทั้งแฮม ทั้งเบคอน ซาลามี พริกหยวก ชิ้นเนื้อไก่และกุ้ง ทั้งหมดถูกคลุมไว้ใต้แผ่นชีสเหนียวยืดที่ร้อนระอุน่ากินสุดๆ ไปเลย หญิงสาวเอาที่ตัดพิซซากลิ้งตัดมันออกมาเป็นหกส่วนเท่าๆ กันก่อนยกขึ้นจนชีสยืดยาว แน่นอนว่าต้องใส่ปากตอนที่ยังร้อนๆ 

กุพชกากัดเข้าไปเต็มปากเต็มคำหนึ่งคำก่อนจะวางชิ้นพิซซาลงในจาน คราวนี้จัดการราดด้วยซอสมะเขือเทศและเขย่าออริกาโนกับพริกป่นลงไป หลังจากเคี้ยวไปอีกสามคำ เธอจึงหันมาเห็นคนที่ยืนทำตาถมึงทึงอยู่ใกล้ๆ 

“อ่า...เอ่อ...เอาสักชิ้นไหมคะ” กุพชกาเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจหลังจากปรายสายตามองดูแล้วว่าพิซซาสองถาดนั้นมากพอจะกินได้หลายคนเลยทีเดียว แหม่...ไม่ควรทำอาหารตอนหิวเลยจริงๆ น้า

“ไม่!” คณิณเอ่ยตัดรอนเสียงแข็ง ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมของอาหารที่ปนเปกันไปหมด แต่ทั้งหมดนั้นหอมและน่าอร่อยทั้งสิ้น...ฮึ่ม!

“ไม่มีจาน” คณิณบอกเสียงแข็งเป๊ก...ปากก็แข็งเป๊กเลย

“ฮะ!” กุพชกาอึ้งไปนิดหนึ่ง กลอกตาพลางตีความคำพูดเขา ตกลงว่า...จะกินใช่ไหมนะ

โอเค้ ก็ด้าย ไหนๆ ก็ของในครัวนายนี่นะ

ร่างบางยังไม่ทันได้นั่งก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ครัวอีกรอบ คราวนี้หยิบมาทั้งจาน ช้อน ส้อม ถ้วยกับตะเกียบและช้อนกลาง เอามาวางตรงหน้าฝ่ายเจ้าของบ้านที่โดนยึดที่นั่งหัวโต๊ะไปแล้ว ก็เลยนั่งลงด้านข้างแทน

“อร่อยไหมก็ไม่รู้” คณิณยังบ่นขึ้นมาเบาๆ แต่ท่าทางจะทำแก้เขินเสียมากกว่า กุพชกาเลยไม่สนใจ ในเมื่อมีหม้อไฟเดือดปุดอยู่ต่อหน้า จะมามัวสนผู้ชายปากร้ายให้หงุดหงิดใจทำไมล่ะเนอะ

หญิงสาวเอาผักใส่ลงไป ระหว่างรอหม้อเดือดก็เดินกลับเข้าครัวไปอีกรอบ คราวนี้เอาน้ำจิ้มอีกชุดหนึ่งออกมาวางให้...นายท่านที่ยังทำท่าเย่อหยิ่งขณะกินพิซซาที่ยังร้อนกรุ่นชีสยืดนุ่ม กรอบ หอมเข้มข้น สรุปว่าน่าจะอร่อยละนะ เพราะทั้งที่ยังทำหน้าตึงๆ เหมือนไม่พอใจอยู่แบบนั้น แต่ก็กินเข้าไปทีเดียวสองชิ้นจุกๆ

รอจนหม้อกลับมาเดือดปุดอีกครั้ง คราวนี้กลายเป็นสงครามย่อมๆ ในการแย่งกันคีบชิ้นเนื้อจุ่มลงในหม้อ คนละหนุบคนละหนับ แป๊บเดียวเนื้อที่เตรียมมาก็หมดเกลี้ยง ผักก็ไม่เหลือ เหลือพวกของทอดที่ยังรอดชีวิตอยู่คือไก่ทอดซอสเกาหลีที่กุพชกาทำค่อนข้างเยอะ จึงถูกยกตามมาเมื่อคณิณบอกว่าหิวน้ำจะไปหาเครื่องดื่มที่บาร์

กุพชกาเดินตามมาเมียงมองบาร์เครื่องดื่มที่มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครัน เห็นอุปกรณ์มากมายนั้นแล้วก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ หญิงสาวคว้ากระบอกเชกมาตวงเหล้าใส่ ผสมเครื่องมิกซ์ที่มีหลากหลายลงไป เขย่าออกมาได้ค็อกเทลสีสวยเทใส่สองแก้ว แบ่งให้คณิณที่ยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด เขาทำหน้าประหลาดใจเมื่อจิบชิมแล้วพบว่ามันอร่อย ทำเอาบาร์เทนดีคนนี้อยากจะแหมมมม...ซะให้

คนอย่างกุพชกา นอกจากสวยแล้วยังชงเหล้าอร่อยอีกนะยะ บอกเลย

หลังค็อกเทลหมดไปหลายแก้ว กุพชกาก็มองลูกมะนาวอย่างนึกเปรี้ยวปาก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่ประมาณสิบห้านาที ก่อนเดินกลับออกมาพร้อมถาดที่วางกระทะร้อนๆ ควันกรุ่น บนนั้นมีเนื้อสันที่ด้านนอกเกรียมมีเดียมกำลังดีหั่นสไลซ์ไว้ เห็นเนื้อด้านในที่สุกแบบแรร์ เนื้อยังสดฉ่ำ และค่อยๆ สุกมากขึ้นจากการอยู่บนกระทะที่ร้อนฉ่า กุพชการาดน้ำซอสลงไป มันเป็นซอสสีเข้มที่มีผักหลายอย่างถูกหั่นรวมอยู่ในนั้น

ต้นหอม ผักชีฝรั่ง หอมแดงซอยปนกัน และยังมีใบสะระแหน่คลุกเคล้ากันอยู่ในน้ำราดสีคล้ำที่มีกลิ่นเปรี้ยวของมะนาว กลิ่นเค็มของน้ำปลาชั้นดีโชยอ่อนผสานกลิ่นเครื่องปรุงอีกหลายชนิด...เป็นส่วนผสมที่มีความยั่วน้ำลายอย่างแรงด้วยสีสันของเนื้อสันที่ปรุงไว้อย่างดีผสานกับอาหารอีสานสุดเข้มข้น กลิ่นหอมจากผักที่มีฤทธิ์ทางสมุนไพรลอยอวลปนกับกลิ่นจัดจ้านของพริกคั่วและข้าวคั่ว ทั้งหมดถูกคลุกเคล้าลงในเนื้อที่วางอยู่บนกระทะร้อนฉ่า

นี่มัน...น้ำตกเนื้อบนกระทะร้อนที่สุกหอมยั่วน้ำลายสุดๆ

กุพชกาปิดท้ายการปรุงด้วยการยื่นส้อมให้คณิณที่ทำปากเบ้ สีหน้าเหมือนรังเกียจ แต่ไม่รั้งรอที่จะจ้วงส้อมลงไปจิ้มเนื้อที่คลุกเคล้าผักปรุงอย่างดีมาเข้าปากเคี้ยว ซึมซับรสชาติเนื้อที่เกรียมนิดๆ แต่ไม่เหนียวจนเกินไป ไหนจะซอสปรุงที่คลุกเคล้าผักสดที่แทรกอยู่ในคำ เคี้ยวทั้งหอมแดง ผักชีฝรั่ง และใบสะระแหน่ที่ให้รสสดชื่นเข้ากันกับเนื้อรสชาติเข้มข้น สรุปคืออร่อยจนเคี้ยวแล้วยังอยากกินอีกไม่รู้เบื่อ

อร่อย!

อร่อยจนน่าโมโห!

“ทำไมเธอถึงทำอาหารได้...” คณิณถามอย่างสงสัย กวาดตามองทั่วร่างบางราวจะปลิวลมนั้นอีกครั้ง ดูยังไงเธอก็เป็นดาราที่รักษาหุ่นยิ่งชีพ เหมือนพวกเสพติดการออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างบ้าคลั่งไม่ผิดกับคนอื่นๆ แต่อาหารที่เธอปรุงออกมามันช่างสวนทางกับหลักการคุมอาหารที่เธอควรเป็นอย่างไม่น่าไปด้วยกันได้เลย

“ก็แค่อาหาร ใครๆ ก็ทำได้ปะ” กุพชกายักไหล่

“ทำได้กับทำเป็นไม่เหมือนกัน และถึงทำเป็นก็ใช่ว่าจะทำอร่อย ทั้งๆ ที่เธอไม่น่าจะชอบกิน...” คณิณพูดแล้วก็ต้องยั้งตัวเองไว้เมื่อมองดูเธอจิ้มเนื้อชิ้นสุดท้ายในจานแล้วปาดเอาน้ำปรุงรสและบรรดาเศษผักที่เหลือก้นจานมาจนหมด ก่อนยัดเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย

“ผิดแล้ว ใครบอกว่าฉันไม่ชอบกิน ฉันชอบกินสุดๆ ไปเลยต่างหากล่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมาๆ ปนอู้อี้ เพราะอาหารเต็มปากยังเคี้ยวไม่หมด

กุพชกาเบ้ปากให้แก่สีหน้าหมิ่นแคลนของคนที่กวาดตามองรูปร่างเธอ เหมือนมีคำว่า ‘ตอแหล’ ปะปนออกมาในสายตายามที่เขามองหุ่นซึ่งผอมเกินพอดีของคนที่อ้างว่าชอบกินสุดๆ ไปเลย

“ถ้าไม่โดนบังคับไว้แล้วละก็...บอกเลยว่าฉันจะผันตัวไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์สายกินจุ กินจริงจังให้ทุกคนดู รับรองเลยว่ายายพวกอินฟลูฯ ที่โชว์กินจุพวกนั้นไม่มีทางสู้ฉันได้”

ดูเหมือนว่าแอลกอฮอล์ในเลือดจะเริ่มเยอะเกินจนทำให้กุพชกาเผลอตัวคุยโม้ออกมามากมาย แต่ข้อความที่สะดุดหูนั้นคือ...

“ใครบังคับเธอ” คณิณสงสัย ก็แม่คุณเล่นทำตัวเอาแต่ใจ เป็นข่าวฉาวบนหน้าสื่อขนาดนี้ ยังจะมีใครมาบังคับเธอได้อีก

“ก็ยายพวกนั้นไงล่ะ พวกนั้น...พวกแย่ๆ” กุพชกาพึมพำก่อนจะเม้มปาก สีหน้าขัดใจก่อนพึมพำในคอ “แม่ฉันก็อีกคน” หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบขวดวอดคามากระดกอั้กๆ จนคณิณต้องหยุดเธอไว้ ก่อนที่เธอจะทำลายสถิติการเสียชีวิตจากแอลกอฮอล์เป็นพิษ ด้วยการดื่มเบลูก้าวอดคารวดเดียวหมดขวดไปเสียก่อน

“เบาๆ” คณิณบอกอย่างอ่อนใจ มองคนที่หันไปควานหาน้ำเปล่ามาดื่มอั้กๆ ตามลงไปอีกแก้วใหญ่

“ชีวิตแม่ง เฮงซวย” คนสวยสบถได้อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด

แต่ก็น่าแปลก...คำหยาบคายที่หลุดออกจากปากเล็กๆ นั้นพอมันถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหงุงหงิงของคนเมา ไม่รู้ทำไม มันถึงฟังดูน่ารักงอแง...งุ้งงิ้งไปแบบ...

คณิณคลึงแก้วเหล้า มองน้ำสีอำพันก้นแก้วพลางบอกกับตัวเองว่าสงสัยเขาจะเมาแล้ว ถึงได้มองว่ายายนางร้ายจอมโวยวายนี่น่ารักขึ้นมาได้

มนุษย์เพศหญิงเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะมองว่ามันน่ารัก...ยายคนที่เมาฟุบอยู่กับเคาน์เตอร์นี่ก็ไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อรู้สึกตัวเขาก็พบว่ามันเป็นบรรยากาศที่แปลกพิลึก ที่ตัวเองมาอยู่บนเก้าอี้สตูลหน้าบาร์ในบ้านตากอากาศริมทะเล โดยมียายตัววุ่นวายที่เขาพาตัวมาหมายจะข่มขู่ให้ยอมทำตามความต้องการเขา เมาฟุบอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงหน้า และ...หลังจากอาหารมื้อใหญ่ที่กินด้วยกันจนอิ่มจุกอีกต่างหาก

นี่มันการข่มขู่กันที่ไหนล่ะ มันคือการหาเพื่อนกินเหล้าชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

“กี่โมงแล้ว...” กุพชกาโงหัวขึ้นมา เหลียวมองไปรอบๆ มองผ่านเขาไปหานาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์ มันกะพริบบอกเวลาเกือบตีสี่เข้าไปแล้ว “ตายละ มีถ่ายละครไหมนะ”

น้ำเสียงตกอกตกใจนั้นฟังลนลานเล็กน้อย ขณะเหลียวมองไปรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอคุ้นเคย แถมคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ยังส่งสายตาเย็นชาเสมอต้นเสมอปลายเข้าใส่ ก็ทำให้เธอระลึกขึ้นมาได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหนกันแน่

“อา...ดีจัง ไม่มีคิวถ่ายละครพวกนั้นอีกแล้ว” หญิงสาวถอนใจก่อนเปิดรอยยิ้มกว้าง ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อคณิณอย่างยั่วเย้า “คนตายไม่ต้องถ่ายละครอีกแล้วใช่ไหมคะ คุณคิน คิกๆ”

“แหม...หวงเนื้อหวงตัวจริง” กุพชกาบ่นเบาๆ เมื่อเขาปัดมือเธอออกด้วยท่าทางรังเกียจ “นี่ถ้าไม่มีข่าววงในว่าคุณเคยกิ๊กกับดาราสาวๆ ตั้งหลายคนมาก่อน ฉันจะคิดว่าคุณ ‘เป็น’ แล้วนะเนี่ย”

“อ้อ ข่าวแบบไหนกับใครเรอะ” คณิณเลิกคิ้ว สีหน้าเย็นชาขั้นสุดทั้งที่ข้างในชักเดือดปุดขึ้นมา ขนาดเขาวางมาดดุดันเย็นชาขนาดนี้ยังมีคนปล่อยข่าวลือบ้าๆ พรรค์นั้นออกไปได้อีกเหรอ

“ล้อเล่นน่ะ คุณดุจะตาย ใครจะกล้าปล่อยข่าวลือมั่วๆ ใส่คุณกัน” กุพชกาโบกมือไปมา ก่อนเปิดรอยยิ้มกริ่มขำขันจนดวงตาปรือๆ หรี่โค้งลงเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “เป็นไงล่ะ ความรู้สึกว่าถูกปล่อยข่าวเสียๆ หายๆ น่ะ มันก็แย่แบบนี้ละ คิดดูสิว่า ฉันต้องเจอมาขนาดไหนน่ะ”

คนพูดตอนแรกก็ขำขันก่อนจะกลายเป็นเบะปาก จมูกแดงๆ สีหน้าเหมือนสะเทือนใจจนน้ำตาจวนหยด

ยายนี่...มาเล่นละครให้ใครดูกัน เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็จะร้องไห้ อารมณ์จะหลากหลายเกินไปหน่อยแล้วไหม

คณิณคิดพลางส่ายหัวเบาๆ สายตาที่มองคนที่ฟุบหน้าอยู่บนเคาน์เตอร์อ่อนแสงลงโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มถอนใจขณะหันไปเรียกคนของเขาเข้ามาสั่งงานให้ไปหาข้อมูลหลายอย่างมาให้

“เอ่อ คุณคินครับ ยังมีพิซซาเหลืออีกสามถาดในเตาอบ” บอดีการ์ดเอ่ยขึ้น

บอดีการ์ดของเขารับหน้าที่คอยดูแลเรื่องต่างๆ ไปด้วยในตัว หลังจากทำความสะอาดโต๊ะอาหารที่เจ้านายเพิ่งเสร็จมื้อดึกไป พวกเขาก็เข้าไปเก็บห้องครัวแล้วพบว่ายังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ถูกทำทิ้งไว้

“เอาไปแบ่งกันกินไป” คณิณโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก ผลงานแม่ครัวนักแสดงที่ล้างผลาญวัตถุดิบในครัวจนหมดเกลี้ยงนั่น...แม้มันจะรสชาติดีจริง แต่เขาก็อิ่มเกินกว่าจะเติมอะไรลงกระเพาะได้อีก “อ้อ สั่งคนให้เติมวัตถุดิบในครัวด้วยนะ”

คณิณออกคำสั่งอย่างรอบคอบ เพราะก่อนหน้านี้คนเมาที่พูดจาเพ้อเจ้อยังคุยอยู่เลยว่าจะทำมื้อเช้าเป็นข้าวต้มปลา มีเนื้อปลาแซมอนเหลืออยู่ในตู้เย็น เธอจะทำข้าวต้มปลาแซมอน และยังมีหัวปลาที่จะเอาไปนึ่งซีอิ๊วอีกอย่าง และถ้ามีเนื้อปลาเหลือ เธอจะเอาไปทำแซมอนดองซีอิ๊ว...

ยายตะกละเอ๊ย!

ชายหนุ่มสบถด่าอยู่ในใจ และทั้งๆ ที่ยังอิ่มอยู่ แต่ก็ชักอยากกินข้าวต้มขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้ว ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้อาหารมื้อก่อนหน้านี้มันทั้งดูดี ทั้งอร่อยขนาดนั้นล่ะ 

“อ้อ ส่งคนไปสะพานปลาหาปูมาให้สักหลายๆ โลด้วยนะ” คณิณหันไปสั่งลูกน้องที่เดินเฉียดมาใกล้ พูดถึงดองซีอิ๊วแล้วก็ชักอยากกินปูขึ้นมา ไม่รู้ว่าฝีมือดองซีอิ๊วของยายแม่ครัวตัวแสบจะดีแค่ไหนกัน

“เอาปลาหมึกมาด้วยนะ ฉันจะเอาใส่ในข้าวต้มอีกอย่าง โรยผักกับกระเทียมเจียวเข้าไปต้องอร่อยมากแน่ๆ เลย” กุพชกาโงหัวขึ้นมาสั่งงานเสียงอ้อแอ้ ก่อนฟุบกลับลงไปอีกครั้ง ทิ้งให้เจ้านายและลูกน้องอึ้งอยู่สักพัก มองหน้ากัน ก่อนคณิณจะพยักหน้าตอบรับสายตาตั้งคำถามของลูกน้องตัวเอง

บอดีการ์ดหนุ่มทำสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมามากนัก เขาหมุนตัวเดินห่างออกมาแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหลิ่วตาให้เพื่อนส่งสัญญาณที่เป็นอันรู้กันว่า...เจ้านาย...แปลกๆ ไปนะ

เมื่อหันไปมองก็เห็นภาพของเจ้านายที่ก้มลงดูโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนจะทำงานข้ามเขตเวลาอยู่ เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่เขามักจะทำงานร่วมกับทีมงานที่อยู่อีกซีกโลกซึ่งเป็นตอนกลางวันพอดี เงินตราและอำนาจของคณิณไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย หรือเพราะเป็นทายาทตระกูลดัง แต่มันงอกเงยขึ้นจากความมานะอุตสาหะของตัวเขาเอง

คนเป็นเจ้านายทำงานหนักแค่ไหนคงมีเพียงลูกน้องคนสนิทเหล่านี้ที่รู้ เพราะต้องคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่ทุกเวลา การกิน นอนของเขาที่อยู่นอกเวลาคนปกติทั่วไป บางทีถ้าเป็นช่วงที่งานวุ่นวายมากๆ คณิณต้องทำงานข้ามวันข้ามคืนทีละหลายๆ วันเสียด้วยซ้ำ

ชีวิตมหาเศรษฐีที่ใครๆ คิดว่าเหนือกว่าคนทั่วไป ไม่ง่ายเลยสักนิด

หลังก้มหน้าดูจอมาสิบกว่านาที เมื่อคณิณเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องอยู่ ดวงตาสีดำทอประกายแวววาวราวแก้วมณีนิล แต่ในขณะเดียวกันก็มีรอยขุ่นมัวของความเมามายครอบคลุมอยู่หลายส่วน กุพชกาซบหน้าอยู่บนสองแขนที่ทอดวางบนเคาน์เตอร์ ตะแคงมองมาทางเขาด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความรู้สึก

“เหนื่อยไหม ต้องทำงานจนดึกป่านนี้ยังไม่ได้นอน” เสียงใสๆ หงุงหงิงเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ด้วยความที่ในห้องนั้นเงียบสงบถึงขั้นแว่วเสียงคลื่นจากภายนอกที่ซัดสาดเข้าหาฝั่งเสียด้วยซ้ำ เสียงเล็กๆ นั้นจึงดังพอที่จะได้ยินชัดเจนทุกคำ

เกิดความนิ่งเงียบขึ้นนานหลายวินาที ก่อนกุพชกาจะถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นประคองศีรษะที่เริ่มหนักจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และการอดนอนมาหลายชั่วโมง

“เนี่ย...ตอนฉันถ่ายละครข้ามวันข้ามคืนนะ อยากได้ยินใครบอกแบบนี้ที่สุดเลย” คนพูดพึมพำตัดอารมณ์ขึ้นขณะมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง สู่เกลียวคลื่นขาวที่เห็นเพียงรำไรในราตรี

คณิณสบถอยู่ในใจ เมื่อพบว่าเมื่อสักครู่ตัวเองเหมือนใจแกว่งไปนิดหนึ่ง

บ้าเอ๊ย ยายตัวแสบนี่จะมาไม้ไหนอีก

“ถ้าหากพรุ่งนี้ฉันตาย...” กุพชกาเอ่ยขึ้น ขณะคนฟังยังยั้งตัวเองไว้ ด้วยไม่รู้ว่าเธอจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เหมือนพูดกับตัวเองแบบเมื่อกี้อีกหรือเปล่า

ดวงหน้าสวยมองเหม่อไปสู่ความมืดมิดของท้องทะเลนิ่งนานจนเขาคิดว่าเธออาจหลับไปแล้ว แต่เธอก็ยังเอ่ยออกมาอีก

“ฉันอยากตายสวยๆ หาชุดสวยๆ ให้ฉันใส่นะ และต้องตายแบบไม่เจ็บปวดด้วยนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ยอมตายเด็ดขาดเลย คอยดูสิ” คำสั่งเสียสุดเอาแต่ใจหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เคยเคลือบลิปสติกสีแดงสด แต่หลังจากจบมื้ออาหารชุดใหญ่นั่นไป สีของลิปสติกก็หลุดหายไปหมด ริมฝีปากแดงเรื่อที่บิดเบ้ยามเจ้าตัวทำสีหน้าขัดใจ ก่อนหันมาพูดอย่างตัดใจไม่ลง

“อยากได้รองเท้า เอารองเท้ามาคืนให้ด้วยนะ นะ” ท้ายเสียงเกือบเป็นอ้อนวอนขอ ขอสวมรองเท้าคู่สุดรักก่อนตาย!

“เธอเป็นอะไรกับรองเท้านั่นนักหนาเหรอ” คณิณสงสัย รองเท้านั่นแม้เป็นแบรนด์เนม แต่ก็ไม่ได้แพงมากมายนักหนาอะไรเลย แต่ท่าทางหวงแหนของเธอทำให้เขาคิดว่ามันอาจเป็นสิ่งมีคุณค่าทางจิตใจอะไรสักอย่าง

“แหงสิ นั่นเป็นรองเท้าที่ฉันอุตส่าห์เก็บเงินแทบตายกว่าจะซื้อเป็นของตัวเองได้นะ” กุพชกาเงยหน้าบอกเชิดๆ

แต่ทำเอาคนฟังอึ้งไปนานหลายวินาที...เดี๋ยวสิ รองเท้านั่นอย่างมากก็แค่หลักหมื่น และดูจากรูปทรงและลักษณะของมันแล้ว...อย่างมากก็มีอายุใช้งานไม่น่าเกินสองสามปี ขณะที่เธอเข้าวงการมาตั้งแต่วัยรุ่นทำงานมาเป็นสิบปีแล้วทำไมถึงมาดรามาเรื่องเก็บเงินซื้อรองเท้าได้

“ง่วงแล้ว...” กุพชกาพึมพำเสียงเหวี่ยง ปีนลงจากเก้าอี้ตัวสูงมายืนงงอยู่แป๊บหนึ่งก่อนหันไปถามคณิณ “คุณมีน้ำยาล้างเครื่องสำอางติดบ้านอยู่บ้างปะ”

“ไม่มี” คณิณตอบอย่างข่มใจ บอกตัวเองว่าอย่าถือสาคนเมา แต่ยายคนเมายังไม่ยอมหยุดดีๆ นี่สิ

“ไหงงั้นล่ะ ไม่เคยมีสาวๆ คนไหนของคุณมาลืมทิ้งไว้บ้างเหรอ อ้อ ถ้ามีคนลืมไว้คุณก็คงทิ้งหมดแล้วละเนอะ” คนพูดเองเออเองพยักหน้าหงึกๆ ทำท่าเข้าอกเข้าใจได้อย่างน่าโมโหสุดๆ

“พอเลย ไม่มีผู้หญิงคนไหนทั้งนั้นแหละ” คณิณบอกอย่างโมโห

“ไม่เห็นต้องโมโหเลย” กุพชกาเบ้ปาก ทำปากขมุบขมิบก่อนทำท่าคิดแป๊บหนึ่งแล้วกลับมาเรียกร้องใหม่ “งั้น...เบบี้ออยล่ะมีไหม ขอเอามาล้างเครื่องสำอางหน่อย”

คณิณสูดลมหายใจลึกๆ ข่มใจหลายวินาทีกว่าจะข่มอารมณ์ลงได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นก้าวเดินนำไป “มาทางนี้”

เขาเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไป มันเป็นห้องนอนแขกหนึ่งในหลายห้องของบ้าน มีข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ต่างกับโรงแรมหรู บนโต๊ะเครื่องแป้งก็มีพวกของจุกจิกของผู้หญิงเตรียมไว้ให้ครบครัน น่าจะมีของที่เธอร้องขออยู่ในนั้นละ

“ใช้ห้องนี้ได้” คณิณบอก ปล่อยกุพชกาไว้ในห้องนอนแขก เขาสั่งคนให้ล็อกประตูห้องเธอไว้ ยายตัวยุ่งจะได้ทำเรื่องวุ่นวายอะไรไม่ได้

ชายหนุ่มเดินกลับมาที่บาร์ หยิบโน้ตบุ๊กมาเปิดทำงานในเวลาจวนเช้า ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดดำประดับด้วยดวงดาวพร่างพราว และจันทร์เสี้ยวแขวนโค้งอยู่ตรงขอบฟ้าไกลๆ

คณิณไม่รู้ตัวว่าเขาเหม่ออยู่นานกว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาจากภวังค์ ชายหนุ่มกะพริบตา เผลอมองไปยังเก้าอี้ใกล้ๆ ที่เคยมีคนเมาฟุบอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เจ้าของเสียงหงุงหงิงที่พึมพำออกมาด้วยความเมามาย...

‘เหนื่อยไหม ต้องทำงานจนดึกป่านนี้ยังไม่ได้นอน’

‘อยากได้ยินใครบอกแบบนี้ที่สุดเลย...’

รอยยิ้มฝืนๆ ปรากฏบนมุมปากชายหนุ่ม ก่อนพึมพำในคอแผ่วเบาเหมือนคุยกับตัวเอง “ฉันก็อยากได้ยินเหมือนกัน...”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น