บทที่ 5

5

แสงอุษามาเยือนค่อยๆ ผลักดันความมืดหม่นของรัตติกาลให้จางหาย แสงสีขาวชมพูอมส้มจางๆ ค่อยๆ เผยสีทองของดวงอาทิตย์จากสุดขอบฟ้า ทะเลค่อยคืนสีสันกลับมาช้าๆ

โลก...กำลังหมุนวนเหมือนที่เคยเป็น ไม่มีสิ่งไหนเปลี่ยน

คณิณปิดโน้ตบุ๊กลง การทำงานข้ามทวีปจบลงเมื่อทางฝั่งนั้นเข้าสู่กลางคืน และงานทางซีกโลกนี้ก็กำลังจะเริ่มต้น สำหรับเขา การทำงานอย่างไม่สนเวลา ไขว่คว้าทุกโอกาสในขณะที่คนอื่นยังไม่ทันรู้สึกตัว นั่นแหละคือสิ่งที่เขาฉกชิงจากคนอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง เพียงแต่...

สายตาที่มองไปยังทิวทัศน์สงบสวยมีเพียงความว่างเปล่า

ความรู้สึกว่างโหวงแปลกๆ กัดกินความรู้สึกของเขานับตั้งแต่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น...

‘เหนื่อยไหม ต้องทำงานจนดึกป่านนี้ยังไม่ได้นอน’

‘อยากได้ยินใครบอกแบบนี้ที่สุดเลย...’

ความเคลื่อนไหวของบอดีการ์ดที่เปิดประตูเดินเข้ามาใกล้ทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมาว่าไม่ได้อยู่ลำพัง จึงไม่อาจแสดงท่าทางเหม่อลอยหรืออ่อนแอให้ใครเห็นได้

“คุณลิลมาครับ” บอดีการ์ดคนสนิทเข้ามารายงาน

“อืม...ชงกาแฟให้ฉันที” คณิณสั่งงานพร้อมขยับตัวลุกขึ้น

“เอ่อ...คุณลิลให้คนของรีสอร์ตเอาอาหารเช้ามาให้แล้วครับ คุณคินจะรับที่ไหนดี ในห้องอาหารหรือ...”

คณิณเหลียวมองกลับไปยังโต๊ะอาหารที่เมื่อคืนนี้นั่งอยู่กับกุพชกา พากันสวาปามมื้อดึกกันเข้าไปอย่างไม่แคร์เวลาและค่าแคลอรีที่ต้องมาชดใช้ในยิมกันเลย

“ที่ระเบียงก็ได้” เขาบอกพลางเดินออกไปด้านหน้าของบ้านพัก

ระเบียงเป็นจุดชมวิวทะเลสามร้อยหกสิบองศา ตัวระเบียงไม้ทาสีขาวมีที่นั่งชิดราวระเบียงยาวตลอดแนวระแนงไม้ระเบียงกว้าง โต๊ะอาหารใหญ่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมชั้นดี 

สตรีร่างระหงกำลังชี้นิ้วบัญชาการให้พนักงานในชุดเครื่องแบบคล้ายๆ กันจัดเรียงข้าวของให้เข้าที่ เธอเป็นหญิงอายุห้าสิบเศษที่เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ตอนอายุสามสิบกว่าปี เรือนร่างยังคงบอบบาง รักษาหุ่นไว้ได้อย่างดี ชุดเดรสสีอ่อนพอดีตัวกับผ้าคลุมไหล่ที่ตวัดพันไว้เพราะยามเช้าที่นี่อากาศค่อนข้างเย็น ทำให้เธอดูคล้ายสาวน้อย มีเพียงบุคลิกงามสง่าเปี่ยมอำนาจนั่นเท่านั้นที่บ่งบอกวัยวุฒิของเธอ

“คิน หิวหรือยัง กินข้าวกันไหม”

คนถามหันมาเห็นคณิณยืนอยู่หน้าประตูก็เปิดรอยยิ้มละมุน ถามเสียงนุ่มนวล

“คุณลิลตื่นแต่เช้าเลย” คณิณเดินมานั่งที่โต๊ะในที่นั่งที่ถูกจัดไว้ มองคนที่ยังหันซ้ายหันขวาสั่งการลูกน้องไม่หยุดปาก หลังจากสั่งจนพอใจแล้ว เธอก็มานั่งลงที่นั่งใกล้ๆ เขา หันมามองชายหนุ่มพลางบอก

“ไม่เช้าหรอก คินมาถึงตั้งแต่เมื่อคืน ทำไมไม่ให้เด็กไปเรียกล่ะ นี่เพิ่งมารู้ตอนเช้าจัดเตรียมอะไรไม่ทันเลย วันหลังมาแล้วต้องรีบบอกนะรู้ไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมาทำงาน ไม่อยากรบกวนคุณลิล อีกอย่างมันก็ดึกมากแล้ว”

“ดึกเดิกอะไร ลูกคนนี้ ดึกแค่ไหนแม่ก็อยากเจอคินให้เร็วที่สุดเลยรู้ไหม” ท้ายเสียงมีรอยตัดพ้อพร้อมยกมือขึ้นแตะแขนเขาอย่างสนิทสนม รอยยิ้มเธอเจื่อนลงเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งฝืนของชายหนุ่ม ก่อนที่คณิณจะค่อยๆ ดึงแขนออกห่าง

“คุณลิลไม่ควรพักผ่อนไม่เพียงพอ มันไม่ดีต่อสุขภาพ” คณิณบอกก่อนมองเมินสีหน้าปั้นยากของอีกฝ่ายไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรหรอก...” เสียงอ่อนๆ เอ่ยเบาๆ เธอกลืนน้ำลายฝืดคอ สูดลมหายใจลึก ก่อนหันไปสั่งให้พนักงานของเธอเริ่มนำอาหารมาขึ้นโต๊ะ

คุณลิล หรือสลิลภัสสร์เป็นเจ้าของรีสอร์ตหรูแห่งนี้ รีสอร์ตท่ามกลางวิวภูเขาและทะเลแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบร้อยไร่ มีสวนผลไม้และแปลงพืชผักออร์แกนิกเป็นของตัวเอง คุณสลิลภัสสร์ยังแบ่งพื้นที่แปลงสวยที่สุดไว้สร้างบ้านพักตากอากาศเอาไว้ให้บุตรชายใช้เวลาที่มาเยี่ยมเยือนด้วย

เธอเตรียมข้าวของเครื่องใช้ไว้รับรองบุตรชายอย่างครบครัน แม้ว่าเขาจะเคยมาที่นี่แค่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งคุณสลิลภัสสร์ก็จะรับรองดูแลโดยให้พนักงานรีสอร์ตมาบริการเขาอย่างเต็มที่ 

เริ่มด้วยกาแฟสดเอสเพรสโซจากบาริสตา จากนั้นก็มีโทสต์พร้อมไข่ดาว เบคอน ไส้กรอกเยอรมัน สลัดผักจัดมาในจานใหญ่เป็นชุดอเมริกันเบรกฟาสต์ที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบชั้นดี

“สลัดนี่มาจากฟาร์มของเราเอง เป็นผักออร์แกนิกทั้งหมด ไส้กรอกเยอรมันนี่ก็คนของเราทำเองได้สูตรมาจากพ่อครัวชาวเยอรมันที่แม่จ้างมา” คุณสลิลภัสสร์บรรยายคุณภาพอาหารด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ “คินจะเอาอะไรเพิ่มไหม เชฟของแม่ทำออมเลตกับไข่เบเนดิกต์ได้อร่อยไม่แพ้ต้นตำรับเลยนะ”

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ” คณิณบอกปัดอย่างสุภาพ ถ้าจะให้พูดตรงๆ คือยังไม่ค่อยหิวเท่าไร เพราะอาหารมื้อดึกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังจุกอกอยู่เลย คิดแล้วก็พานให้นึกถึง...ยายตัวจุ้นที่ท่าทางจะยังเมาหลับอยู่ในห้องพัก ไหนล่ะข้าวต้มปลาแซมอน ไหนล่ะหัวปลาแซมอนนึ่งซีอิ๊ว ไหนจะแซมอนกับปูดองซีอิ๊วที่บอกจะทำ หรือเมามากจนลืมไปแล้วก็ไม่รู้

คณิณคิดอย่างระอาใจ แต่รอยจุดมุมปากนั้นคล้ายจะยิ้มนิดๆ เขาหยิบแก้วน้ำส้มคั้นสดมาดื่ม รสชาติหอมหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ก่อนจะสำลักแทบพ่นออกจมูกเมื่อได้ยินคำถามถัดไป

“แม่ได้ยินมาว่า...คิน...พาสาวมาด้วยเหรอ” คุณสลิลภัสสร์ถามด้วยเสียงอ่อนเบาคล้ายเกรงใจ แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของบุตรชายก็ตาเป็นประกายขึ้นมา

“นะ...แค็กๆ...นั่นมัน...” คณิณยังสำลักไม่หาย

“ลูกสะใภ้แม่เหรอ ขอเจอได้หรือเปล่า”

“ไม่ครับ ไม่ใช่แฟนผม” ชายหนุ่มรีบบอกปัด ปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเองสุดฤทธิ์ ใครกันจะอยากมีข่าวร่วมกับยายนั่น แต่ละข่าวล้วนไม่มีดี

“แน้...ไม่ใช่แฟนงั้นก็คนคุยละสิ” คุณสลิลภัสสร์ยิ้มอย่างยั่วเย้า ขณะบุตรชายถอนใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาข้อมูลซึ่งไม่ได้ยากเย็นเลยสักนิด

“สองสามวันมานี้คุณลิลเคยผ่านหูเรื่องดารานางร้ายที่เป็นเมียน้อยของคติยาบ้างไหมครับ”

ชื่อนั้นเหมือนเป็นคำต้องห้าม สีหน้าของคุณสลิลภัสสร์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในฉับพลัน

“ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อนังสองแม่ลูกนั่นให้แม่ได้ยิน ไม่อยากฟังเรื่องพวกมัน” น้ำเสียงกรุ่นโกรธเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

คณิณนิ่งไปหลายวินาที ก่อนที่จะเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“ถ้างั้น...ผมก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณลิลแล้ว” เขาเอ่ยเรียบๆ รวบมีดส้อมพลางเลื่อนจานออก แสดงสัญลักษณ์ว่าจบมื้ออาหารให้คนมาเก็บจานของเขาออกไปได้ หลังจากนั้นคือความเงียบ คณิณหยิบแก้วน้ำเปล่ามาจิบอย่างใจเย็น

คุณสลิลภัสสร์สูดลมหายใจลึกแรง คอแข็งไปหลายวินาที ก่อนที่จะเม้มปาก สุดท้ายก็ต้องหันไปหาบุตรชายอย่างอดไม่ได้

“เล่ามาเถอะ แม่จะ...พยายาม” ท้ายเสียงขึ้นจมูกมีรอยขุ่นขึ้งปนงอนนิดๆ

คณิณมองมาด้วยสายตาหม่นลึกที่ยากจะอ่านความรู้สึก แต่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอดูข่าวที่มีภาพประกอบเป็นรูปกุพชกาพร้อมแคปชันเผ็ดร้อนเชิงชู้สาว

“เอ๊ะ! ยายนางร้ายนี่...” คุณสลิลภัสสร์จดจำได้ “แม่เคยดูละครนะ ยายกิ๊ซเนี่ยทำคนเกลียดกันทั้งบ้านทั้งเมือง แม่เห็นแล้วยังอยากตบมันเลย...เอ่อ...แค็กๆ หมายถึง...เขาเล่นดี เข้าถึงบทบาทดีน่ะ”

ท้ายประโยคเป็นการแก้ตัวของคนที่บุคลิกสง่างาม หรู ดูแพง แต่กลับหลุดมาดไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นดาราสาวเจ้าบทบาทที่เล่นร้ายได้อย่างน่าตบ...

“มีข่าวว่าเธอเป็นมือที่สามของคติยา” คณิณเอ่ยเนิบๆ ดึงโทรศัพท์กลับมา อดปรายตามองนิดหนึ่งไม่ได้ ภาพสาวสวยในชุดวาบหวิวสุดเซ็กซี่ ส่งสายตาร้อนแรงออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์จนเขาต้องปิดมันลง

“สมน้ำหน้าแล้ว นังพวกนั้นมันต้องโดนเสียบ้าง แบบนี้แหละถึงจะสะใจน่ะ” คุณสลิลภัสสร์ลืมตัวหลุดความเกลียดชังออกมาอีกรอบหนึ่ง ก่อนรีบเก็บอาการอยู่ในสีหน้าเรียบนิ่ง

คณิณออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ถ้าหากมารดาเขาจะเกลียดชังสองแม่ลูกนั่นขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงได้ยอมถอนตัวออกมาง่ายๆ ขนาดนั้นเล่า

คุณสลิลภัสสร์มารดาเขาเป็นภรรยาคุณคณพัชร์บิดาเขา คนทั้งคู่มาจากตระกูลใหญ่ เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก คุณคณพัชร์นั้นมีความร่ำรวยที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น ในขณะที่คุณสลิลภัสสร์แม้ร่ำรวยไม่เท่า แต่ก็มีต้นตระกูลเป็นผู้ดีเก่ามาหลายรุ่นแล้ว เธอจึงมีบุคลิกของคุณหนูที่สูงส่งและสง่างาม แต่...ท้ายที่สุดแล้วความสูงส่งสง่างาม ความเหมาะสมควรคู่กันนั้น มันก็แตกพ่ายกับความเจ้าชู้ของพ่อเขาที่ไปคว้าเอาผู้หญิงอย่างยายวีณาเข้ามาในบ้าน แถมด้วยลูกติดอีกคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนั้นในตอนหลังเมื่อมาพิสูจน์สายเลือดก็พบว่าไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับคุณคณพัชร์เลยสักนิดเดียว

ในขณะที่พ่อเขาเอาเมียน้อยเข้าบ้าน คุณสลิลภัสสร์ไม่ได้โวยวายสร้างเรื่อง ทะเลาะตบตีใดๆ ทั้งสิ้น คุณสลิลภัสสร์เพียงให้ทนายฟ้องหย่า แบ่งทรัพย์สินก้อนใหญ่จากพ่อเขาแล้วก็หายตัวไปจากวงสังคมเงียบๆ ทิ้งให้วีณากับบุตรสาวหยิ่งผยองพองขนเข้ามาแทนที่ในบ้านใหญ่ของตระกูลพลเดชกรีธา

คุณคณพัชร์...จะเรียกว่าลุ่มหลงเมียใหม่หรืออะไรก็ตามที ให้ตำแหน่งภรรยาแก่คุณวีณาและเลี้ยงดูคติยา ปรนเปรอเธอราวกับเป็นลูกแท้ๆ แม้ตอนหลังที่ผลตรวจเลือดจะออกมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เขาก็ยังคงให้ความรักและเอ็นดูแม่ลูกคู่นั้นอยู่ดังเดิม ให้เกียรติถึงขนาดให้คณิณเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า ‘แม่’

หึ! แน่นอนว่าเขาไม่เรียก ตั้งแต่คุณคณพัชร์กับคุณสลิลภัสสร์หย่าร้างกัน เขาก็ไม่เคยเรียกใครว่าแม่อีกเลย ทุกคำเรียกขานมีเพียงคำว่า ‘คุณ’ ที่ให้เกียรติทว่าเหินห่าง เย็นชา ไร้ความผูกพัน

‘แม่’ ของเขาจากไปแล้ว จากไปตอนเขาอายุเก้าขวบ ทิ้งเขาเอาไว้กับผู้ชายที่เขาเคยเรียกว่า ‘พ่อ’ กับผู้หญิงมารยาสาไถยอีกสองคน เขารู้ว่าผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกทั้งสองคนนั้นทำไปก็เพื่อความอยู่รอด ฉกชิง โกหกหลอกลวง ใช้เล่ห์กลสารพัดเพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์จากพ่อเขา ที่เธอปฏิบัติกับเขาไม่ได้เลวร้ายมากนัก แต่ไม่ได้ดี ส่วนใหญ่จะดีก็เฉพาะต่อหน้าพ่อเขา สองแม่ลูกนั่นเป็นนักแสดงที่ชนะขาด ได้รับรางวัลที่ไม่เคยมีดาราคนไหนไขว่คว้าถึง ตำแหน่งเมียพ่อเขาไง

เพราะเหตุนี้จึงทำให้คณิณมีความรู้สึกรังเกียจอาชีพนักแสดงอยู่ไม่หาย พวกเสแสร้ง สวมหน้ากากเพื่อผลประโยชน์

แต่เมื่อโตขึ้นมาท่องอยู่ในสนามธุรกิจนานๆ เข้า เขาก็ค้นพบว่าแทบทุกคนที่เขาเจอคือนักแสดงทั้งหมดนั่นละ มีแต่การหาผลประโยชน์ ไร้ความจริงใจ เสแสร้งไม่ผิดจากอาชีพนักแสดงเท่าไรนักหรอก

นับวันเกราะคุ้มกันคนพวกนี้ยิ่งพอกทวีความหนาขึ้น เขามองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา ไร้ความเห็นใจ ไม่ว่าใครจะมาโอดครวญร้องขออย่างไร เขาก็ตั้งสมมุติฐานว่าเป็นพวกหลอกลวงไว้ก่อน

ทุกอย่างเมื่อวางไว้บนพื้นฐานของผลประโยชน์แล้วมันก็ง่ายขึ้น ตัดสินใจง่ายเมื่อไร้ความรู้สึกใดๆ เข้ามาวุ่นวายก็ยิ่งทำให้งานเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร้อุปสรรค กิจการเติบโต ไม่มีพวกน่ารำคาญมาเซ้าซี้วุ่นวาย ไม่มีตรงไหนเป็นจุดอ่อนได้เลย

ยกเว้นไว้ก็แค่...นักแสดงสองแม่ลูกที่ค้างคาอยู่ในบ้านตระกูลพลเดชกรีธาของเขานี่แหละ

“คติยาบังคับให้ผมจัดการยายกิ๊ซนี่ให้” คณิณเล่าต่อ

“แล้วไง...เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคนที่คินพามาคือ...” คุณสลิลภัสสร์ฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอยกมือขึ้นปิดปาก ทำตาโตมองคณิณที่ยังคงทำหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“นี่...คินใช้ผู้หญิงคนเดียวกับผัวนังคติยามันเหรอ” คุณสลิลภัสสร์ถามเสียงแหลม สีหน้ารังเกียจชัดแจ้งไม่ปิดบัง ทำเอาคนฟังแทบต้องกลอกตามองบนใส่

“ผมไม่ได้ใช้ผู้หญิงซ้ำกับใคร ผมแค่พามา...” คณิณพูดแล้วก็นิ่งอึ้งไป เมื่อเขาชักไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวกุพชกามาทำอะไรกันแน่

ที่จริงแล้วเขาเพียงต้องการหาข้ออ้างหนีห่างออกมาจากสองแม่ลูกที่ตามเร้าหรือไม่เลิกก็เท่านั้น การตามหาตัวกุพชกา การช่วยเธอมาจากกลุ่มแก๊งชายชุดดำ...หรืออีกนัยหนึ่งคือการจับตัวเธอมาไว้เอง จริงๆ แล้วก็แทบไม่ได้มีแผนอะไรเลยด้วยซ้ำ

“คินจะช่วยนังสองแม่ลูกนั่นเหรอ” คุณสลิลภัสสร์ถามเสียงเหวี่ยง หลุดภาพคุณแม่ผู้สง่างามไปจนสิ้น จนเขาสงสัยว่าถ้าเธอยังตัดใจไม่ได้แบบนี้แล้ว ทำไมถึงยอมหย่ากับพ่อเขาง่ายๆ

“ก็ไม่รู้สิครับ อาจมีการพูดคุยกัน” คณิณยักไหล่ แล้วก็รู้สึกตัวว่านี่มันท่าทางกวนประสาทของยายนางร้ายนิสัยเสียที่คุยกับเขาเมื่อคืนนี่นา มันเป็นท่าทางที่เธอยียวนกวนประสาทเขา...

นี่เขาติดนิสัยเสียของยายนั่นมาเหรอเนี่ย!

“คุยอะไร” คุณสลิลภัสสร์ขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิด “จะคุยให้ยายนั่นเลิกเป็นเมียน้อยของผัวยายคติยางั้นเหรอ แม่ไม่โอเคเลยนะ” คุณสลิลภัสสร์เอ่ยเสียงเข้ม สีหน้ามีรอยไตร่ตรองครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนคิ้วขมวดมุ่น “คินต้องปล่อยให้พวกเขาคบกันต่อไป แม่อยากเห็นนังสองแม่ลูกนั่นทุรนทุราย”

รอยยิ้มร้ายปรากฏบนดวงหน้าเธอขณะตอกย้ำ “ยายนางร้ายนั่นมีข่าวว่านิสัยไม่ดีไม่ใช่หรือไง ร้ายไม่ใช่เล่น”

คณิณกลอกตาคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วก็ต้องยอมรับถึงนิสัยและความร้ายกาจของกุพชกา ว่าไม่ด้อยไปกว่าคำเล่าลือเลย “ก็ร้ายอยู่ครับ”

“นั่นแหละดี เหมาะสมจะให้ไปสู้กับนังนั่นได้ ส่งมันไปจัดการนังสองแม่ลูกนั่นให้แม่ทีนะคิน” คุณสลิลภัสสร์คว้ามือคณิณกุมไว้ เธอไม่สนใจอาการแข็งเกร็งหรือท่าทางที่อยากดึงมือหนีของเขา กลับยิ่งกระชับมือแน่นขึ้นไปอีก “คินต้องช่วยแม่นะ ล้างแค้นให้แม่ที ส่งคนไปทำให้นังสองแม่ลูกนั่นต้องอยู่เหมือนตกนรกให้แม่”

คำร้องขอเป็นไปด้วยน้ำเสียงดุดัน เข้มข้น ขุ่นแค้น เป็นโฉมหน้าของมารดาในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คณิณนิ่งอึ้งไป แต่ยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ บอดีการ์ดคนหนึ่งของเขาก็เดินมาพร้อมกอดโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งออกมาด้วย

“คุณคินครับ ข่าวด่วนครับ”

ในจอโน้ตบุ๊กเป็นไลฟ์สดรายการข่าวของช่องดัง มีการพูดถึงข่าวอาชญากรรม พาดหัวข่าวตัวโตไว้ว่า

‘อดีตพระเอกดังถูกทำร้ายสาหัส นางร้ายหายตัว คาดหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน’

ภาพประกอบเป็นภาพของปรัศน์ถูกเขียนใต้ภาพไว้ว่า ‘เหยื่อ’ ข้างกันคือรูปของกุพชกามีข้อความกำกับไว้ว่า ‘คนร้าย’

หลังจากนั้นคือคลิปสัมภาษณ์คติยาที่ตาบวมแดงซับหน้าตาพร้อมสะอื้นฮักขณะให้ปากคำ

“พวกเขาทะเลาะกันค่ะ ทะเลาะกันรุนแรง คิตพยายามห้ามแล้ว แต่...ฮึก...แต่กิ๊ซก็คว้าท่อนเหล็กมา...ฮือ...คิตพยายามเข้าไปห้าม ดูสิคะ ยังถูกตีด้วยเนี่ยๆ แล้ว...แล้วยายนั่นก็ฟาดใส่จนปรัศน์ของคิตเป็นแบบนี้ก่อนจะหนีไป ฮือ...คุณตำรวจคะ ต้องตามตัวยายนั่นมารับผิดชอบให้ได้เลยนะคะ กิ๊ซพยายามฆ่าเขาค่ะ ถ้าปรัศน์เป็นอะไรไป ยายนั่นละค่ะฆาตกร”

มีการไต่ถามถึงช่วงเวลาเกิดเหตุ ถูกระบุไว้ว่าประมาณใกล้เช้า เวลาที่เรียกรถพยาบาลคือช่วงหกโมงเช้า กว่าคนเจ็บจะไปถึงโรงพยาบาลอาการก็สาหัสแล้ว

ช่วงท้ายข่าวยังเป็นคลิปของคติยาที่ซับน้ำตาพลางมองกล้อง จ้องสบสายตากับผู้ชมด้วยท่าทางน่าสงสาร

“ทุกคนคะ ช่วยคิตหาตัวคนร้ายด้วยนะคะ ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายสามีคิต ทำร้ายครอบครัวเรา ขอให้สังคมลงโทษเขาให้สาสมด้วยค่ะ”

หลังจบข่าว ข้อความสาปแช่งนางร้ายต้องไม่ได้ตายดีก็ยึดครองทุกแพลตฟอร์ม กลายเป็นเทรนด์ค้นหาอันดับหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น

“ถูกทำร้ายตอนเวลาใกล้เช้า...” คุณสลิลภัสสร์ทวนคำ สีหน้าสงสัยยามปรายตาไปทางบ้านพักที่คาดว่ากุพชกาจะพักอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งในนั้น “เด็กๆ บอกแม่ว่าคินกับยายนั่นมาถึงราวตีหนึ่งไม่ใช่หรือไง แล้วยายกิ๊ซจะไปทำร้ายคนได้ยังไงกัน”

คณิณสูดลมหายใจลึกยาวอย่างข่มใจเมื่อตอบออกไป “ยายนี่อยู่กับผมทั้งคืน ไม่มีทางไปทำร้ายใครได้หรอกครับ”

ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเต็มใจจะยอมรับ แต่ก็ต้องบอกว่าเขาเจอตัวเธอตั้งแต่ตอนสามทุ่ม ตอนนั้นตรงที่นั่งหญิงสาวก็มีแก้วค็อกเทลเปล่าวางไว้สี่ห้าแก้ว แสดงว่าเธออยู่ตรงนั้นมาหลายชั่วโมงก่อนที่เขาจะมาเจอแล้วจับตาดูเธอไว้ ไหนจะระยะเวลาการเดินทางอีกล่ะ จากกรุงเทพฯ มาที่นี่เร็วสุดก็ต้องขับรถมาราวสามถึงสี่ชั่วโมง ไม่มีทางที่เธอจะแยกร่างไปทำร้ายคนที่อยู่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตรในตอนเช้ามืดได้หรอกนะ

ส่วนเรื่องทำร้ายร่างกาย...การหลอกคนให้วิ่งขึ้นลงบันไดตึกสิบชั้นเล่นๆ นั้นก็...ก็ไม่น่านับเป็นการทำร้ายร่างกายได้ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าเธอไม่ได้ทำร้ายใคร...มั้ง!

“แสดงว่านังคิตตี้นั่นตอแหลสินะ” คุณสลิลภัสสร์สรุปเรื่องราวด้วยสีหน้าครุ่นคิด ประกายความคิดหนึ่งจะสว่างวาบในดวงตา ก่อนจะบอกบุตรชายอย่างกระตือรือร้น “งั้นคินก็เปิดโปงมันเลยสิ หาหลักฐานไปฟาดหน้ามัน ให้ตำรวจจับมันข้อหาทำร้ายร่างกายเลยนะ จัดการมันให้แม่นะ”

“คุณลิลใจเย็นๆ ก่อน เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายนะครับ” คณิณพยายามเรียกสติมารดาหลังจากถูกคว้าแขนเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน

“ไม่ แม่ไม่อยากรอกฎหมงกฎหมายอะไรแล้ว คินต้องไปจัดการมัน” คุณสลิลภัสสร์เอ่ยอย่างดื้อดึง ขณะคนฟังแทบอยากกุมขมับ

ทำไม...คำพูดมันถึงเหมือนทับซ้อนกันขนาดนี้เนี่ย ผู้หญิงพวกนี้...ทำไมถึงทำอะไรซ้ำซ้อนกันแบบนี้นะ และเจาะจงต้องมาสั่งให้เขาทำอะไรๆ ให้โดยไม่มีเหตุผลเลยสักนิดด้วย

คณิณถอนใจออกมาดังๆ แต่ยังเก็บงำท่าทางระอาใจไว้ ไม่แสดงออกมามากนัก ขณะแบ่งรับแบ่งสู้ตอบผู้เป็นมารดาที่ยังคงเซ้าซี้ไม่เลิกรา

มีแต่คนต้องการใช้งานกุพชกา...คนหนึ่งอยากให้เธอตาย คนหนึ่งอยากให้เธออยู่คอยทิ่มแทงชีวิตคู่ของลูกศัตรูหัวใจ คิดแล้วก็ชักเห็นใจเธอขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว...ยิ่งถ้าเรื่องที่เธอเล่านั่น...

หากว่าเธอถูกจัดฉาก หลอกใช้ และจากที่เขาพอจับความได้ คนที่ทำร้ายเธอพวกนั้นไม่ใช่แค่วรรณวิชญากับพรพรรณเท่านั้น ยังมีกมลาแม่เธอด้วย

ถ้าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง...ชะตาชีวิตก็ช่างโหดร้ายกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ แต่ถ้าจะให้สงสารหรือยื่นมือช่วยเหลือ หยิบยื่นมนุษยธรรมให้ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แค่ความเห็นใจเล็กน้อยไม่อาจทลายกำแพงความใจร้ายใจดำของเขาได้

ต่อให้เห็นเธอถูกทำร้ายจนตายอยู่ต่อหน้า จิตใจที่ฝึกมาจนแข็งกระด้างและเย็นชาของเขาก็ไม่หวั่นไหวใดๆ สักนิดเดียว

ผู้หญิงที่เป็น ‘นักแสดง’ คือสิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะใส่ใจ เห็นใจ หรือที่จริงคือผู้หญิงเกือบทั้งโลก...รวมถึงผู้ชายที่เหลือด้วย สรุปคือโลกนี้ไม่มีใครที่มีค่าพอจะให้เขาแสดงความเห็นใจหรือทำอะไรเพื่อคนพวกนั้น นอกจากว่ามีผลประโยชน์ที่น่าสนใจมาแลกเปลี่ยนกัน

อืม...บางที เขาอาจยอมให้ยายนางร้ายนั่นแลกเปลี่ยนก็ได้นะ แลกกับอาหารแสนอร่อยสักหลายๆ มื้อ

คณิณเคาะนิ้วกับโต๊ะอีกหลายครั้งก่อนได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า...การยื่นมือช่วยเหลือแม่ครัวสักคนนั้นค่อนข้างเป็นการลงทุนที่คุ้มพอจะเสียเวลาอันแสนมีค่าของเขาไปเจรจาด้วย

ระหว่างที่รอแม่ครัวขี้เมาของเขาตื่น คณิณก็เคาะนิ้วกับโต๊ะพลางคิดอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนได้หลายต่อหลายชั้น

บางที...นอกจากจะได้แม่ครัวฝีมือดีมาประดับครัวแล้ว เขายังได้อะไรที่สาแก่ใจเพิ่มเข้ามา

การอยากแก้แค้นของคุณสลิลภัสสร์และวีณากับคติยาทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า...ไม่ใช่มีแต่พวกหล่อนที่ต่างฝ่ายต่างแก้แค้นกันเองได้

อยากใช้งานเขางั้นเหรอ...หึ!

ทุกๆ คนรอดูอะไรสนุกๆ กันได้เลย...ขอย้ำว่า ‘ทุกคน’


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น