3

ผู้ช่วยเฉพาะกิจ


3

ผู้ช่วยเฉพาะกิจ

 

โชติกาออกจากลิฟต์หน้าคอนโดมาด้วยความระแวดระวังเพราะถือว่าข้างนอกเป็นที่สาธารณะ และผู้คนมากมายสัญจรขวักไขว่ ไม่ใช่ไม่อยากทักทายแฟนคลับผู้ที่เป็นเบื้องหลังคอยสนับสนุน แต่ตอนนี้เธอหิวมากจนไม่อยากแวะที่ไหนให้เสียเวลา และร้านอาหารที่เป็นเป้าหมายคือร้านส้มตำรสเด็ดซอยถัดไป

ดาราสาวกระชับหมวกปีกกว้างที่ตนเลือกหยิบมาใส่และแว่นกันแดดอันโตเพื่อปกปิดใบหน้า ส่วนเสื้อผ้าก็เลือกชุดที่ธรรมดาไม่ได้โดดเด่น

แต่เหมือนว่าการอำพรางกายของเธอในครั้งนี้จะไม่ได้ผล เพราะทันทีที่ออกจากลิฟต์ ผู้คนหันมาสนใจมากมาย แม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เห็นหน้ากันอยู่เป็นประจำยังมองด้วยความสนใจ

“นี่สินะที่เขาบอกว่าแม้จะแต่งตัวธรรมดาเพียงใด ราศีความเป็นดาวก็เจิดจรัสให้คนอื่นเห็นอยู่ร่ำไป”

โชติกาพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่ว่า ก่อนจะเดินมุ่งหน้าออกไปด้วยความมั่นใจ ไม่สนใจกลุ่มคนที่ซุบซิบกันระหว่างเดินผ่าน เธอชินเสียแล้วกับการเป็นดาราดังและตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!

เสียงกริ่งรถจักรยานเบื้องหลังทำให้โชติกาต้องหลบเข้าข้างทางชนิดติดขอบถนนเพื่อเปิดพื้นที่ให้รถวิ่ง แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของจักรยานก็ไม่ปั่นหนีไปเสียที กลับปั่นมาจอดเทียบข้างๆ แทน ซึ่งเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ช่วยเฉพาะกิจของเธอนั่นเอง

“นายนั่นเอง” โชติกาถอดแว่นกันแดดออกด้วยความเซ็งจิต “ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”

“คุณนี่ก็แปลก”

ติณณภพสำรวจการแต่งกายของสาวเจ้า ชุดวอร์มแขนยาวขายาวสีแดงยี่ห้อดัง รองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะคีบสีดำธรรมดา แต่ไอ้หมวกปีกกว้างกับแว่นตาอันโตที่ปิดเกือบทั้งหน้าเป็นรูปปีกผีเสื้อสีเดียวกับชุดนี่สิที่เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ดี และเขาก็จำเธอได้ตั้งแต่มองจากข้างหลังแล้ว

“นายแปลกใจใช่ไหมล่ะที่ฉันเรียกความสนใจจากผู้คนได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะฉันน่ะดังมาก” หญิงสาวป้องปากกระซิบท้ายประโยคเสียงเบา

“เขาสนใจเพราะคุณดังมากจริงเหรอ ผมคิดว่าพวกเขามองคุณเพราะเห็นของแปลกมากกว่า นี่แฟชั่นฤดูร้อนของคุณเหรอ ดูเข้ากั๊นเข้ากันดีเนอะ”

ติณณภพพูดออกไปอย่างที่ใจคิด นั่นทำให้คนถูกทักว่าเป็นของแปลกและถูกวิจารณ์การเรื่องแฟชั่นมีสีหน้าไม่พอใจ

“นายนี่ไม่รู้อะไรจริงๆ” โชติกาส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะขยายความต่อ “ไม่รู้จักฉันรึไง เจ้าของรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนเนี่ย”

ติณณภพส่ายหน้าเพราะเขาไม่รู้จักเธอจริงๆ

“สงสัยบ้านนายอยู่หลังเขา แถมยังไม่เข้าใจเรื่องแฟชั่นเอามากๆ” โชติกาแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ

“โอเค บ้านผมอยู่หลังเขา แถมยังเป็นพวกไม่ตามแฟชั่น” ติณณภพยกมือยอมแพ้ ถึงจะอธิบายไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่รู้จักเธออยู่ดี แต่จากที่คิด เธอคงเป็นนักแสดงดังคนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ติดตาม แม้ที่บ้านจะทำธุรกิจประเภทนี้ก็ตาม

ดูจากอายุแล้วเจ้าหล่อนคงดังมากเมื่อสมัยยังเป็นสาวรุ่น อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่ไทยอย่างถาวรเมื่อช่วงสองสามปีหลังมานี้ ซึ่งเป็นช่วงขาลงของสาวเจ้าแล้ว ทำให้เขาไม่รู้จักเธอก็เป็นได้

“ว่าแต่คุณจะไปไหน”

“ไปร้านอาหารซอยถัดไป” โชติกาบอกพร้อมออกเดิน โดยมีติณณภพปั่นจักรยานตามช้าๆ

“ผมจะไปร้านส้มตำยายมา คุณจะติดรถไปด้วยกันไหม” ชายหนุ่มชวนด้วยความมีน้ำใจ ยังไงก็จะเป็นลูกจ้างของเธอแล้วนี่ คงได้เห็นกันอีกนาน

“ฉันก็จะไปร้านนั้นเหมือนกัน”

“จะไปด้วยกันไหมล่ะ”

“จะให้ฉันซ้อนจักรยานสับปะรังเคของนายไปเนี่ยนะ” โชติกาชี้ไปที่จักรยานรุ่นคลาสสิกที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ตะกร้าหน้ารถเอียงสี่สิบห้าองศา ต้องใช้เชือกฟางสีแดงซีดผูกติดกับคอจักรยานเพื่อให้ยังใช้งานได้ ถ้าเธอตกลงซ้อนท้ายไปกับเขาจะรอดถึงร้านยายมาไหมเนี่ย

“อย่าดูถูกสภาพภายนอกของมันสิคุณ ภายในมันอาจจะเคลือบทองเอาไว้ก็ได้”

“ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะ” หญิงสาวย่นจมูกใส่ ไม่เชื่อคำพูดหลอกเด็กของเขา “แต่ถ้ามีจริงคงไม่ใช่ทอง แต่เป็นสนิมทั้งคันละไม่ว่า”

“ตกลงไม่ไปใช่ไหม”

“ไปสิ!”

“แล้วจะพูดอะไรมากมาย ขึ้นมาตั้งแต่ทีแรกก็จบเรื่องแล้วไหม” ติณณภพแยกเขี้ยวใส่โชติกาคืนบ้าง ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันคงถีบหน้าคว่ำไปนานแล้ว และที่แน่ๆ เขาไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอมาก่อน หมายถึง ‘บ้า’ เหมือนเธออ้ะนะ

“นายแน่ใจใช่ไหมว่าถ้าฉันขึ้นไปแล้วล้อมันจะไม่หลุดซะก่อน” โชติกาใช้แรงกดเบาะหลังเพื่อดูว่าจะรับน้ำหนักตัวเองได้ไหม ถึงมันเหมือนจะแข็งแรง ซึ่งมันก็แค่เหมือน ไม่ได้หมายความว่ามันจะแข็งแรงเสียหน่อย

“ถ้าไม่มั่นใจก็เดินตากแดดร้อนๆ ต่อไปเถอะ” ติณณภพปั่นออกไปได้ไม่เท่าไรก็ถูกดึงท้ายรถเอาไว้

“เดี๋ยวสิ ฉันแค่ถามเพราะกลัวเกิดอันตรายหรอกน่า” โชติกาพูดพร้อมกับก้าวขาขึ้นคร่อมเบาะหลัง พร้อมยึดราวเหล็กจับที่ยื่นออกมาจากเบาะคนปั่น

ให้ตายเถอะ! มันต้องเป็นรุ่นเก่าขนาดไหนเนี่ยถึงมีที่จับจากเบาะคนปั่นได้ แถมเบาะคนซ้อนยังเป็นเหล็กทั้งหมด กว่าจะถึงร้านส้มตำยายมาเล่นเอาระบมก้นกันเลยทีเดียว

...

“นายๆ จอดรถตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะเดินเข้าไปเอง” โชติกาตบหลังอีกฝ่ายเมื่อใกล้จะถึงร้าน แต่เมื่อคนที่ปั่นอยู่เบาะหน้าไม่มีท่าทีว่าจะหยุดรถ จากแรงตบที่เบาๆ จึงกลายเป็น ‘ทุบ’ หนักๆ แทนทันที

ปึก!

“อ๊าก! จอดแล้วๆ”

ไม่รู้ว่าเบรกของรถจักรยานไม่ดีหรือล้อหยุดไม่ทันใจคนปั่น ชายหนุ่มจึงใช้ขายาวของตนให้เป็นประโยชน์ด้วยการดันกับพื้นถนนเพื่อให้รถหยุดการเคลื่อนไหว แต่จากที่ดูแล้วคงเป็นข้อแรกเสียมากกว่า

“สมน้ำหน้า ทำเป็นตาแก่หูทวนลมไปได้” โชติกากระโดดลงจากรถ ก่อนจะจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองใหม่ให้ดูดีตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ถึงจะออกจากบ้านมาโดยหวังปกปิดตัวตน แต่คงมีใครสักคนจำเธอได้ มืออาชีพที่การันตีด้วยรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และสโลแกนของเธอก็คือต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ

“แล้วคุณจะให้ผมจอดทำไม จะถึงร้านอยู่แล้วเนี่ย” ติณณภพลูบหลังตัวเองป้อยๆ

‘ผู้หญิงอะไรมือหนักเป็นบ้า’ ชายหนุ่มบ่นคนตรงหน้าในใจ ขืนเขาพูดออกไปมีหวังได้เจ็บตัวอีกรอบอย่างแน่นอน

“ฉันไม่อยากเป็นข่าว” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาตอบ ขยับขาแว่นมองไปที่ผู้ช่วยเฉพาะกิจ “ถึงกระแสฉันจะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเมื่อก่อน แต่ฉันก็ยังถือว่าเป็นนักแสดงที่มีคนรู้จักอยู่มาก”

“สรุปว่า...”

“ฉันกลัวเป็นข่าว”

“คงไม่มีนักข่าวที่ไหนนั่งทำข่าวอยู่ร้านส้มตำหรอกมั้งคุณ”

“นายนี่ไม่รู้อะไร” หญิงสาวชูนิ้วชี้ขึ้นพร้อมส่ายไปมา “ปาปารัซซีเมืองไทยน่ากลัวกว่าที่นายคิดเยอะ แถมยักมีนักขุดในตำนานที่รอขยี้อีก ถ้าไม่แกร่งจริงอยู่วงการนี้ลำบาก”

ติณณภพเห็นด้วยกับเธอที่ว่าหากไม่แกร่งจริงคงอยู่ลำบาก ไม่ใช่แค่ในวงการมายา แต่รวมถึงโลกแสนโหดร้ายนี้ด้วย

“คุณจะบอกว่าตัวเองแกร่งว่างั้น”

“ก็ในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่เป็นดาวค้างฟ้าอยู่แบบนี้”

“ถึงว่า...คุณไม่ค่อยมีงานหรือกระแสเปรี้ยงปร้างเหมือนคนอื่นเพราะมัวแต่ค้างฟ้าอยู่นั่นเอง” เขาไม่รอให้หญิงสาวได้สติ รีบปั่นจักรยานตรงไปที่ร้านทันที ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินคำด่าไล่หลังตามมาจากนักแสดง ‘ดาวค้างฟ้า’

“ไอ้บ้า! นายกล้าเอาความจริงมาล้อเล่นได้ยังไงฮะ ไอ้หนวดเฟิ้ม!” โชติกาหัวเสียมากทีเดียว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปร้านส้มตำยายมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นผู้ช่วยเฉพาะกิจนั่งดื่มน้ำตากพัดลมเย็นสบายอยู่ในร้านก็ยิ่งโมโห

“มันน่าจับหัวจุ่มกระติกน้ำจริงๆ”

ร้านส้มตำยายมาเป็นที่รู้จักดีของคนละแวกนี้ เพราะรสชาติที่ถูกปากและรสชาติต้นตำรับโดยแท้ ปลาร้ารสเด็ดที่สั่งตรงจากจังหวัดบ้านเกิดในภาคอีสานเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าติดใจรสชาติ

ร้านตั้งอยู่ในซอยห่างจากถนนหลักประมาณห้าร้อยเมตร ใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านสองชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูนหลังเก่าในการเปิดกิจการ ถึงไม่ใช่ร้านที่จัดแต่งสวยงามเหมือนร้านดังทั่วไป มีเพียงเก้าอี้พลาสติกสีแดงกับโต๊ะสีขาวตัวยาว มีน้ำดื่มในกระติกยักษ์บริการลูกค้าฟรี ทว่าโดยรวมก็ถือว่าถูกสุขลักษณะ รสชาติอร่อย ที่สำคัญราคาเป็นมิตรกับคนหาเช้ากินค่ำและคนที่กำลังจะตกอับเช่นเธอ

โชติกาหลีกเลี่ยงเวลาเที่ยงวันซึ่งมีลูกค้ามากกว่าช่วงเวลาอื่น แต่เวลานี้ก็ยังมีลูกค้าอยู่ประปราย เช่นโต๊ะของคุณแม่ลูกสองซึ่งนั่งอยู่ในสุดของร้าน เธอเดินตรงเข้าร้านก่อนจะทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้ช่วยเฉพาะกิจในโต๊ะเดียวกัน

“เมื่อกี้นายตั้งใจจะว่าฉันใช่ไหม” โชติกายังคงเคืองไม่หาย จึงตามมาคาดคั้นถึงที่

“ไม่กลัวเป็นข่าวกับผมแล้วเหรอ ระวังนักข่าวจะเอาไปเขียนว่าคุณตกอับจนถึงขั้นมาเดตกับผู้ชายที่ร้านส้มตำข้างถนนหรอก”

“ก็จริงของนาย ไม่ดีแน่ถ้านักข่าวมาเห็นภาพนี้เข้า” โชติกาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะรีบย้ายที่นั่งไปโต๊ะถัดไป เลือกที่นั่งซึ่งหันหน้าไปทางติณณภพ

“คุณนี่ตลกชะมัด กลัวนักข่าวจนขึ้นสมองรึไง”

“เค้าเรียกว่ากันเอาไว้ดีกว่าแก้ต่างหาก” เธอเบ้ปากใส่คนตรงหน้า “ตอนนี้เราก็กลายเป็นพวกเดียวกันแล้ว ฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย”

“ติณณภพคือชื่อของผม”

“และโช โชติกา คือชื่อของฉัน” โชติกาแนะนำตัวกลับ เพ่งมองคนตรงหน้าแล้วรู้สึกคุ้นตาอย่างไรชอบกล “ทำไมฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นชื่อนายยังไงก็ไม่รู้”

“สงสัยเจอตามหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งละมั้งครับ ประมาณนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงน่าจับตามองอะไรเทือกนั้น”

ถึงแม้จะไม่ค่อยออกสื่อ แต่ก็มักมีหน้าเขาไปโผล่อยู่หน้าข่าวธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง ถึงจะไม่ค่อยชัดเหมือนพวกสื่อโซเชียลมีเดียก็เถอะ อาจจะเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขา

“จะว่าไปผมก็คุ้นหน้าคุ้นชื่อคุณอยู่เหมือนกันนะ” ติณณภพจ้องหน้าสวยที่คิดว่าตัวเองเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง

“คุ้นหน้าคุ้นชื่อฉันน่ะไม่แปลกหรอก เพราะฉันเป็นดารา นายอาจจะเคยได้ยินหรือเคยเห็นที่ไหนสักที่นั่นแหละ คนชื่อโชมีอยู่ไม่กี่คนหรอก แต่ที่ดังมากๆ ก็โชติกาคนนี้ไง” เธอชี้ที่หน้าตัวเองด้วยความมั่นใจ

“ก็คงอย่างนั้น”

“แต่ที่ฉันคุ้นหน้าคุ้นชื่อนายน่ะอาจจะเป็นหน้าหนังสือพิมพ์จริงๆ”

“ใช่ไหมล่ะ” เขาตบมือฉาดใหญ่ ในที่สุดตาเธอก็เริ่มมีแวว มองเห็นทองภายในรูปเงาะนี้เสียที

“ไม่ใช่นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงน่าจับตามองอะไรเทือกนั้นหรอกนะ แต่เป็นโจรปล้นฆ่ามหาโหดต่างหากล่ะ”

ติณณภพแทบจะสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไป คนเรามันจะตาถั่วมองทองเป็นก้อนขี้ได้มากขนาดนั้นเชียวเหรอ ทว่าเสียงดุจากลูกค้าในร้านเรียกความสนใจจากทั้งสองได้เป็นอย่างดี

“น้องโชอย่าแกล้งพี่ติณณ์สิคะ”

“ก็พี่ติณณ์แกล้งโชก่อนนี่คะแม่” เด็กหญิงอายุไม่เกินห้าขวบฟ้องมารดาเสียงสั่นเพราะถูกมารดาดุเข้าให้

“พี่ติณณ์ก็เหมือนกัน เป็นพี่น้องต้องรักกันรู้ไหมคะ” คนเป็นแม่หันไปดุคนพี่ที่ตอนนี้หน้าจ๋อยสนิท

“เฮ้อ...ฉันคงต้องยอมรับแล้วสินะว่าชื่อฉันมันโหลจริงๆ” โชติกาหันกลับมาหลังสงครามระหว่างพี่น้องยุติลง “อย่าว่าแต่ชื่อเลย แม้แต่นามสกุลเองก็เถอะ”

“เพราะคุณเป็นดาราดังไง เขาเลยตั้งชื่อลูกๆ ตามคุณ” ติณณภพให้ข้อสังเกต เฉกเช่นชื่อมารดาของเขาที่คุณยายท่านตั้งตามดาราดังในสมัยนั้น

“ส่วนคุณเพราะเป็นโจรต้องคดีดังด้วยรึเปล่า”

“ใครเขาจะตั้งชื่อลูกตามชื่อโจร”

“น้องโชแค่ล้อพี่ติณณ์เล่นหรอกค่ะ” โชติกาดัดเสียงให้แหลมเล็กเลียนแบบเด็กหญิงที่ถูกมารดาดุไปเมื่อครู่ ทว่าในสายตาคนมองไม่ได้มีความน่ารักเหมือนเด็กตัวเล็กๆ สักนิด แต่มันเหมือน...

“เส้นเสียงอักเสบเหรอครับน้องโช”

“แค็กๆ” โชติการีบเปิดขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะดื่มทันที เพราะบ้าจี้ตามคำพูดของติณณภพ “เล่นแรงนะนาย ฉันยังต้องใช้เสียงและหน้าตาทำมาหากินอยู่นะ”

“พี่ติณณ์แค่ล้อน้องโชเล่นครับ” ชายหนุ่มยกเอาคำพูดของเธอมาล้อเลียน แต่ไม่ได้ดัดเสียงจนน่าสงสารเช่นเธอ “แล้วเรื่องคุณพีรภัทรคุณจะให้ผมช่วยอะไร”

“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก” เธอยังตะโกนคุยกับเขาข้ามโต๊ะอยู่เช่นเดิม

“นี่คุณไว้ใจผมจริงๆ เหรอ” ทั้งที่เธอมองว่าเขาเหมือนโจรปล้นฆ่า ทว่ากลับเชื่อใจเขาให้ช่วยเรื่องพีรภัทร ดูมันย้อนแย้งยังไงชอบกล

“แล้วนายไว้ใจได้รึเปล่า”

“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ คุณยังจะให้ผมช่วยรึเปล่า”

“ช่วยสิ”

“ทำไม”

“เพราะไม่มีใครเหมาะสมเท่านายแล้วไง”

ดูท่าแล้วเจ้าหล่อนคงเป็นพวกชอบทำอะไรขัดแย้งในตัวเอง อย่างเช่นเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ตอนนี้ มีอย่างที่ไหนไว้ใจคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ถึงเขาจะเป็นคนที่น่าไว้ใจได้ก็เถอะ

“คุณไว้ใจผมได้ แต่อย่าเอาตรรกะแบบนี้ไปใช้กับคนอื่นล่ะ”

“ฉันรู้น่า”

“แล้วคุณจะให้ผมช่วยอะไร”

โชติกายิ้มมุมปากอย่างมีแผนการ เพราะประวัติและกิจวัตรประจำวันของพีรภัทรอยู่ในมือเธอตั้งแต่เมื่อคืน และอ่านมันจนจำได้ขึ้นใจ รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ “เย็นนี้นายว่างหรือเปล่า”

“ผมแค่จะช่วยให้คำแนะนำ ไม่ได้จะลงมือลงแรงกับคุณด้วย” ติณณภพทวนสิ่งที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น

“นิดๆ หน่อยๆ เองน่า ถือว่าช่วยๆ กัน ที่สำคัญฉันจ้างนายนะ ไม่ได้ใช้ฟรีๆ”

“ผมจะยกเลิกตอนนี้ก็ได้”

“ไม่ได้ๆ นายไม่สงสารฉันเหรอ” โชติกาส่งสายตาอ้อนวอน “ฉันกำลังตกอับนะ ถ้าไม่มีคุณพี ฉันคงไม่มีอนาคตในวงการบันเทิงที่ฉันรักอีก แถมยังต้องตกงาน ไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ ไม่...”

“พอ!” ติณณภพยกมือเบรกให้โชติกาหยุดพูด “เอาเป็นว่าช่วยก็ช่วย”

“หน้าที่ผู้ช่วยเฉพาะกิจของนายมาถึงแล้วละ เย็นนี้เตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะพี่ติณณ์”

ติณณภพส่ายหัวมองคนที่มีอายุพอๆ กับตัวเองกำลังอมยิ้มด้วยความเพ้อฝัน ไม่รู้เพราะสงสารที่หญิงสาวกำลังตกอับ กลัวว่าเธอไม่มีจะกิน หรือว่าอะไรก็ไม่รู้ที่ดลใจให้เขาตอบตกลงไปในที่สุด ทั้งที่มันไม่ใช่ตัวตนเขาสักนิด

จะว่าไปตั้งแต่เจอโชติกาครั้งแรกในงานวันเกิดเจ้าสัวธนินทร์เขาก็ทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเองไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการไปยุ่งเรื่องของคนอื่น จะถอนตัวตอนนี้คงสายไปแล้ว เมื่อเขาก้าวเท้าลงเรือลำเดียวกับเธอแล้วนี่

 

แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นสาดส่องต้นไม้จนเห็นลำแสงสวยงาม ใบไม้แห้งเหี่ยวลอยคว้างตามลมร่วงโรยลงสู่พื้นพสุธายามมีสายลมพัดผ่าน ต้นไม้ต้นใหญ่เอนเอียงพลิ้วไสวไปตามทิศทางลม คล้ายกำลังโยกย้ายสรีระงดงามไปตามจังหวะเพลง

พื้นพสุธาชุ่มชื้นเพราะน้ำจากสปริงเกลอร์จนได้กลิ่นหอมของดิน น้อยนักที่ใจกลางเมืองซิวิไลซ์จะมีสถานที่ที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ได้

ชายร่างสูงนอนเหยียดอวดขายาวพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่ค่อยได้สัมผัส สายลมเย็นๆ ที่พัดเอื่อยปะทะใบหน้าทำให้เจ้าของร่างเกือบจะเคลิ้มหลับไป หากไม่มีใครสักคนออกเสียงเรียกพร้อมทั้งเขย่าตัวให้ตื่นเสียก่อน

“นี่นาย! ฉันให้มาช่วย ไม่ได้ให้มาหลับ”

เสียงแหลมคุ้นหูทำให้ติณณภพที่กำลังเคลิ้มหลับเปิดเปลือกตามอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ชายหนุ่มตื่นเต็มตา แต่ยังไม่ยอมลุกจากเสื่อพับที่โชติกาหยิบติดมือมาด้วยอย่างเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลาพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ซึ่งรวมระยะเวลาตั้งแต่มาถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ก็ร่วมสองชั่วโมง ทว่ากลับไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่อย่างเดียว

“ผมนั่งๆ เดินๆ มาสองชั่วโมงแล้ว แต่เป้าหมายของคุณก็ยังไม่มาสักที คุณได้ข้อมูลมาผิดหรือเปล่าคุณโช”

“ไม่มีทางที่พี่แชมป์จะพลาด” หญิงสาวมั่นใจในตัวผู้จัดการ ข้อมูลจากชนินทร์เชื่อถือได้ร้อยละเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ หวังว่าอีกห้าเปอร์เซ็นต์จะไม่ใช่งานนี้ “ทุกๆ วันจันทร์ พุธ ศุกร์ คุณพีจะมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่ ส่วนวันอื่นจะอยู่ที่ฟิตเนสคอนโด ซึ่งวันนี้เป็นวันศุกร์ คุณพีเขาต้องมาอย่างแน่นอน!”

“ไม่มีใครเขาใช้ชีวิตตามแผนเป๊ะกันแบบนั้นหรอกนะ วันนี้เขาอาจจะติดงานจนมาไม่ได้ หรือไม่ก็บินไปทำงานที่ต่างประเทศ เขาคงไม่รีบบินกลับเพื่อมาวิ่งหรอกน่า”

“นายอย่าพูดให้ฉันเขวสิ คนยิ่งกลัวๆ อยู่ กว่าจะขับฝ่ารถติดจากสุขุมวิทมานี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟ้าคงไม่ใจร้ายกับฉันเกินไปหรอก”

โชติกาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า หวังว่าจะมีใครเห็นใจมนุษย์ตัวเล็กๆ เช่นเธอบ้าง หันมองผู้คนหลากหลายวัยที่มาออกกำลังกาย หวังว่าหนึ่งในนั้นจะมีเป้าหมายของเธอรวมอยู่ด้วย

“ถ้าคุณไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ตอนนี้คุณอาจจะแต่งงานมีลูกเป็นครอกแล้วก็ได้”

“คนนะ ไม่ใช่หมาที่จะออกลูกทีเป็นครอก” โชติกาสะบัดเสียงใส่ผู้ช่วยเฉพาะกิจ ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนคุ้นตากำลังวิ่งตรงดิ่งมายังทิศทางที่เธออยู่ “โอ๊ะ! คุณพีจริงๆ ด้วย”

“ออกไปหาเขาเลยสิ เฮ้ย!” ติณณภพโบกมือไล่ ทว่ากลับต้องร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อถูกเจ้านายเฉพาะกิจ ‘ลาก’ คอมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ยามที่พีรภัทรวิ่งผ่าน “แรงควายไปไหม ถึงกับลากคอผู้ชายอกสามศอกได้เนี่ย”

“เงียบๆ หน่อยสิ”

โชติกายกนิ้วชี้จดริมฝีปากบอกให้อีกฝ่ายเงียบ ก่อนจะค่อยๆ พาติณณภพย่องวนไปอีกฝั่ง โดยลืมไปว่าต่อให้ต้นไม้ใหญ่แค่ไหนก็บังร่างคนสองคนไว้ไม่มิด แค่ชายหนุ่มคนเดียว ต้นไม้ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ช่วยอะไร

ติณณภพมองโชติกาที่โอบบ่าเขาพาเดินย่องอ้อมต้นไม้เพราะกลัวเป้าหมายเห็น โดยไม่สนใจเลยว่าตอนนี้หน้าเธออยู่ห่างจากหน้าเขาไม่กี่เซนติเมตร เขาเดินตามแรงของเธอก็จริง ทว่าตายังคงมองสำรวจหน้าสวยที่อายุทำอะไรเธอได้ เจ้าหล่อนคงดูแลตัวเองดีมาก แม้แต่รอยฝ้ากระตามวัยก็ไม่มีให้เห็น

“เฮ้อ...คุณพีวิ่งผ่านไปแล้ว” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะพีรภัทรโผล่มาตอนที่ยังไม่เตรียมตัว แต่เมื่อรู้ว่าเป้าหมายอยู่ที่นี่ แผนการตามหาเนื้อคู่ก็บังเกิด “ตอนนี้ถึง...”

โชติกาชะงักค้างเมื่อหันมามองคนร่วมขบวนการ ใบหน้าทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ โดยมีติณณภพจ้องมองมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว

“จะเอาหน้ามาใกล้ทำไม หนวดทิ่มแก้มจนแดงหมดแล้วมั้ง” เธอปล่อยร่างสูงแล้วผลักออกให้พ้นตัว “นายรีบเก็บของแล้วเตรียมปั่นจักรยานหลังฉันวิ่งผ่านต้นไม้ต้นนั้นไปนะ”

หญิงสาวชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ทางมุมสระอยู่เยื้องกับศาลา แต่เมื่อเห็นติณณภพยังคงนิ่งไม่ไหวติงจึงก้มเก็บเสื่อแล้วพับไว้ในตะกร้าหน้ารถจักรยานเสร็จสรรพ

“พร้อมหรือยัง”

“อีกตั้งเป็นกิโลกว่าว่าที่สามีคุณเขาจะวิ่งวนกลับมาถึงที่เราอยู่ จะรีบไปไหน” ติณณภพลุกขึ้นเดินตรงไปที่จักรยานแม่บ้านที่เช่ามา และปลดขาตั้งล็อกแล้วยกขาขึ้นคร่อม

“เราก็ต้องเตรียมพร้อมไม่ใช่เหรอ”

“อย่าแสดงออกเกินไปสิคุณ เดี๋ยวเขาก็รู้กันพอดีหรอกว่าคุณแอบตามเขามา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่คุณอยากให้เขาเข้าใจ”

“ฉันแสดงออกมากเกินไปเหรอ” โชติกายกมือกุมใบหน้า เปิดกระเป๋าถือ หยิบตลับแป้งออกมาดูกระจก “ฉันก็ว่าฉันปกติดีนะ ไม่เห็นเป็นอย่างที่นายว่าเลย”

เมื่อเปิดตลับแป้งแล้วก็เติมแป้งสักหน่อย หญิงสาวหยิบพัฟฟ์ขึ้นมาตบหน้าเบาๆ ให้ใบหน้ายังคงดูดี แต่ไม่ตบแป้งหนาไป เพราะเดี๋ยวจะดูไม่เป็นธรรมชาติ

ติณณภพมองคนที่แต่งตัวมาออกกำลังกาย ทว่าใบหน้ากลับจัดเต็ม นี่ถ้าติดแพขนตามาด้วยคงคิดว่าเธอมาถ่ายแบบชุดออกกำลังกาย ไม่ใช่มาวิ่งออกกำลังกายแต่อย่างใด แต่ถ้าจะพูดความจริงคือเธอไม่ได้มาทำทั้งสองอย่างที่ว่านั่นละ

“ปกติก็ปกติ”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ” โชติกาสำรวจความเรียบร้อยของใบหน้าตัวเองอีกครั้งแล้วพับเก็บตลับแป้งลงในกระเป๋า หยิบสเปรย์น้ำแร่ขึ้นฉีดทั่วใบหน้าให้ชุ่มฉ่ำเหมือนคนเพิ่งวิ่งออกกำลังกายมาหมาดๆ โดยเน้นไปที่บริเวณขมับมากกว่าส่วนอื่น “ทีนี้ก็เสร็จเรียบร้อย”

“ผู้หญิงนี่น่ากลัวชะมัด”

ติณณภพทำหน้าขยาดกับภาพตรงหน้า ถ้าไม่ได้รู้จักกับโชติกาโดยบังเอิญ คงไม่รู้ซึ้งถึงความเจ้าแผนการของบรรดาสาวๆ แบบนี้เองสินะผู้ชายอกสามศอกร้อยทั้งร้อยถึงตกหลุมพรางของพวกหล่อนโดยไม่รู้ตัว แถมยังคิดว่าตัวเองเป็นต่อทั้งที่ความจริงแล้วพวกเธอเป็นฝ่ายยึดอำนาจเอาไว้หมดแต่เพียงผู้เดียว

“ออกจะใสซื่อ ไม่มีพิษมีภัย” โชติกาทำหน้าตาประกอบคำพูด

“ผมชักเริ่มสงสารว่าที่สามีในอนาคตของคุณแล้วสิ”

“นายควรจะอิจฉาคุณพีเขาถึงจะถูก เพราะมีว่าที่ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งฉลาดอย่างฉัน” โชติกาทำหน้าภูมิใจกับคำกล่าวอ้างสรรพคุณของตัวเอง โดยไม่ได้สนใจคนฟังที่เริ่มกลอกตามองบนกับความมั่นใจเกินล้านของเจ้าหล่อน

“ป่านนี้คุณพีของคุณคงกำลังจะมาถึงแล้วละ”

“โอ๊ะๆ จริงด้วย” โชติกาสำรวจตัวเองอีกรอบ และหยิบสเปรย์มาฉีดแขนและเสื้อให้ดูชื้นเหงื่อสมจริง

“ถ้าอยากได้ความสมจริงทำไมไม่วิ่งมันจริงๆ เลยล่ะคุณ”

“ฉันออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้”

“ทำไม กระดูกกับข้อไม่ดีเหรอ” เขาสันนิษฐานแกมประชด เพราะอายุของเธอก็ปาไปเกือบครึ่งชีวิตเข้าแล้ว แข้งขาหรือกระดูกกระเดี้ยวคงไม่ดีเหมือนสมัยยังเป็นสาวๆ ทว่าคำตอบของเธอก็เกินคาดหมายเหมือนกัน

“เปล่า เพราะมันจะเหนื่อย” หญิงสาวพูดจบก็เดินไปเตรียมพร้อม ไม่ลืมหันมาย้ำผู้ช่วยเฉพาะกิจ “อย่าลืมไปรอฉันตามที่นัดแนะล่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น