7
ยกระดับความสัมพันธ์
“ดีนะมีแค่แผลเดียว ไม่งั้นได้เสียโฉมแน่ๆ”
โชติกาบ่นขณะนำเกลือไอโอดีนที่หาได้ในครัวมาทาที่หน้าผากของติณณภพซึ่งถูกน้ำมันร้อนๆ กระเด็นใส่ ส่วนคนเจ็บก็ได้แต่นั่งนิ่งฟังเธอบ่นโดยไม่ปริปากสักคำ ไม่รู้เพราะทนเจ็บแสบอยู่หรือเถียงไม่ออกก็ไม่รู้
เธอเสยผมยาวที่ปรกหน้าผากของเขาขึ้นระหว่างทาเกลือให้ และเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าผิวหน้าของผู้ช่วยหนุ่มขาวเนียนสุขภาพดีไม่แพ้ผู้หญิง จนเธอยังอิจฉา
จมูกโด่งสวยที่เพิ่งสังเกตจริงจังรับกันดีกับดวงตาคมที่มีแววความเจ้าเล่ห์อยู่เต็มเปี่ยม ริมฝีปากหนาเป็นสีชมพูคล้ำคงเพราะจากการสูบบุหรี่ แต่ยักไม่ได้กลิ่นเหม็นจากตัวเขา มีเพียงกลิ่นหอมสดชื่นแบบผู้ชายเท่านั้น
“เสร็จรึยังคุณโช” ไม่ได้เอ่ยถามเสียงทุ้มเพียงอย่างเดียว แต่เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วย “ทำแผลเสร็จรึยังครับ”
ตึก ตัก ตึก ตัก
ทำไมเธอต้องหัวใจเต้นแรง เพียงแค่เผลอสบตากับเขาเนี่ยนะ!?
“สะ...เสร็จแล้วค่ะ” โชติการีบถอยหนี ทำทีเป็นล้างมือเพื่อกลบเกลื่อนความคิดบางอย่างอันไม่เข้าท่าที่แวบเข้ามาในหัว
ติณณภพเสยผมขึ้น มองหน้าผากที่สะท้อนกับแผ่นกระเบื้องบนเคาน์เตอร์บาร์ เห็นแผลคล้ายสิวอักเสบของตัวเองชัดเจน “เฮ้อ...เกือบเสียโฉมไหมล่ะ”
“ไม่มีโฉมเหลือให้เสียแล้วต่างหาก”
“นั่นเพราะคุณตาไม่ถึงต่างหากคุณโช” ติณณภพไม่ยอมให้อีกฝ่ายแขวะฝ่ายเดียว “ตกลงที่จะเลี้ยงข้าวก็เจ๊งใช่ไหม รู้งี้ต้มมาม่ากินอยู่ที่ห้องซะก็ดี”
“บอกว่าเลี้ยงก็เลี้ยงสิ” คนจะเลี้ยงข้าวทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ ชี้ไปที่เก้าอี้ทรงสูงไม่มีพนักพิงให้แขกหนุ่มนั่งลง “นั่งรอไปเลย เดี๋ยวโชติกาคนนี้จัดการเอง”
“จะกินได้จริงเรอะ คงไม่ใช่แค่ราคาคุยเหมือนเมื่อตะกี้หรอกนะ” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่เขาก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี มองโชติกาที่เปิดโน่นรื้อนี่จนวุ่นเต็มครัวไปหมด
“ตามหลักโภชนาการห้าหมู่แน่นอน” เธอพูดพร้อมกับวางกระทะไฟฟ้าสีแดงพื้นดำไปตรงหน้าเขา ตามด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อดังอีกสามซอง
“เอางี้เลยเหรอ”
“เอางี้สิ” โชติกาว่าพร้อมกับหยิบน้ำมาเทลงในกระทะพอประมาณ รอจนเดือดก็ใส่ก้อนบะหมี่และฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงไป “คาร์โบไฮเดรตลงไปแล้วก็ตามด้วยโปรตีน”
เธอตักหมูสับลงใส่กระทะพร้อมกับตอกไข่ใส่ลงไป “ทีนี้ก็วิตามินบ้าง” หยิบเห็ดเข็มทองและเห็ดฟางที่ล้างเสร็จสรรพใส่ลงไป พอดีกับน้ำที่กำลังเดือด “เหลือไขมันแล้วสินะ”
โชติกาผละออกจากกระทะตรงไปที่ตู้เย็นซึ่งมีน้ำพริกเผาไว้ทาขนมปัง เธอหยิบออกมาเปิดฝาแล้วจัดการใส่ลงไปในกระทะที่เต็มไปด้วยเห็ดเข็มทองกองพูนอยู่
“เรียบร้อย” โชติกาปิดฝาพร้อมกับปรบมือให้ตัวเองเบาๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
“แน่ใจใช่ไหมว่ากินได้” ติณณภพเริ่มไม่แน่ใจ เพราะอะไรที่เธอหยิบจับได้ก็เทใส่กระทะอย่างเดียว “ผมจะไม่ท้องเสียแน่นะคุณ”
“ฉันไม่แน่ใจ”
“ไหงพูดงี้ล่ะ”
“แต่คงไม่ถึงตายหรอกน่า ที่อยู่ในกระทะก็ของกินได้ทั้งนั้น” โชติกาทำเป็นไม่หวั่นใจ ทั้งที่ความจริงก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกไป ของที่เธอใส่ไปก็กินได้ทั้งนั้น คงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คิดหรอก
เธอหยิบถ้วยและตะเกียบส่งให้ติณณภพเป็นอาวุธประจำกาย เมื่อใกล้ได้เวลาจัดการอาหารตรงหน้า
โชติกาปิดสวิตช์กระทะไฟฟ้าแล้วเปิดฝาขึ้น ควันสีขาวพวยพุ่งพร้อมกับกลิ่นหอมของน้ำพริกเผาทำเธอน้ำลายสอ เพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวมากก็ตอนนี้ เธอคลุกทุกอย่างในกระทะให้เขากันอีกรอบจึงส่งสัญญาณ
“ได้เวลาพบเจอกับความสุขกันแล้ว จัดการได้!”
ติณณภพชูตะเกียบซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของตัวเองขึ้นด้วยความจำยอม “ความสุขก็ได้...มั้งเนอะ”
“อย่าทำหน้าขี้ขลาดแบบนั้นสิ ถ้าได้กินแล้วจะติดใจ” โชติกาพูดขณะที่เป่าลมร้อนออกจากเส้นบะหมี่ ก่อนจะยัดมันเข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุข “รสชาติดีทีเดียว”
ติณณภพลองตักชิมดูบ้าง ซึ่งรสชาติก็ไม่เลวอย่างที่เธอว่านั่นละ บางทีเขาอาจจะกังวลกับหน้าตาของมันเกินไป ทั้งที่ความจริงมันก็เหมือนกับที่เทน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่ปกติ เพียงแค่มีส่วนผสมอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาด้วยก็เท่านั้น
“ฉันคงต้องไปลงคอร์สเรียนทำอาหารจริงๆ จังๆ ซะที”
“จากที่ผมเห็นนะคุณโช...” ติณณภพเว้นจังหวะการพูดเพราะยังเคี้ยวอาหารในปากไม่หมด “คุณพีรภัทรของคุณเนี่ยเป็นผู้ชายที่ท้องตลาดต้องการ คุณคิดว่าตัวเองจะไปสู้รบตบมือกับคนอื่นๆ ได้เหรอ”
“ถึงฉันจะเป็นทั้งนางเอกในจอและนอกจอ แต่ฉันก็เคยอ่านบทนางร้ายมาก่อน” หญิงสาวยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วพูดต่อ “แล้วถ้านางเอกอย่างฉันอยากเปลี่ยนมาเล่นบทนางร้ายบ้างจะเป็นไรไป เห็นอย่างนี้ฉันน่ะนางร้ายสายดำนะยะ”
ติณณภพหลุดขำคนที่ซูฮกตัวเองว่าเป็น ‘นางร้ายสายดำ’ นี่เขาไม่ได้ตามวงการมายามานานจนไม่รู้ว่าตอนนี้เขามีแบ่งระดับชั้นนางร้ายซะด้วย
“นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นดารา ผมนึกว่าคุณเป็นนักกีฬาเสียอีก”
“แตกต่างกันตรงไหน ยูโด เทควันโด เขายังแบ่งขั้นฝีมือจากสายคาดเอว ดาราเองก็เช่นกัน ถ้าวัดจากสายคาดเอวได้ ฉันก็คงได้สายดำชั้นสิบ”
“ผมว่าที่สายคาดเอวคุณดำคงเพราะไม่ได้ซักมากกว่ามั้ง ไม่ใช่เพราะฝีมือหรอก”
“ดูถูกอย่างแร้ง!”
“ผมล้อเล่นครับ ว่าแต่คุณชอบคุณพีรภัทรมากจนยอมทิ้งความเป็นตัวเองเลยเหรอ” ติณณภพเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน ไม่เช่นนั้นชีวิตเขาอาจจะไม่ปลอดภัย ยิ่งมีบะหมี่เต็มหม้ออยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ เกิดเธอจับหัวเขาจุ่มลงไปจะทำยังไง
“แน่นอนสิ”
“คุณพีของคุณเขามีดีอะไรดีนักหนา ทำไมผู้หญิงถึงได้ปลื้มกันจริง”
ติณณภพเบ้ปาก จากที่เห็นเขาก็ไม่เห็นว่าพีรภัทรจะมีดีอะไรมากมาย ก็แค่บ้านรวย หน้าที่การงานถือว่าดี หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ ยอมรับก็ได้ว่าอีกฝ่ายถือว่าเป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่ง แต่งตัวผู้ดี สะอาดสะอ้าน ซึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลิศมากมาย
“อย่างแรกคือบ้านรวยมากและมีหน้าที่การงานที่ดี”
นั่นไงล่ะ! ตามข้อหนึ่งกับสองที่พูดไว้เลย เพราะทุกวันนี้เงินเป็นปัจจัยสำคัญ เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ก็จริง แต่ทุกอย่างที่อยากได้ต้องใช้เงินซื้อนี่สิ
“ประเด็นต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันคือคุณพีเขาหล่อน่าลากมาก”
“ถ้าอาตี๋แบบนั้นเรียกว่าหล่อ ผมนี่ก็ โรเบิร์ต แพททินสัน แล้วคุณ”
ที่พูดนี่ไม่ได้มีเรื่องเจ็บแค้นอะไรกับนายพีรภัทรนั่นแม้แต่น้อยเลยนะ ทั้งหมดทั้งมวลคือความหมั่นไส้ล้วนๆ ผู้ชายอะไรจะเพียบพร้อมได้ขนาดนั้น ไม่รู้ตอนเกิด มารดาชายหนุ่มกินความสมบูรณ์แบบเข้าไปหรือเปล่า
“อย่าได้มาว่าคุณพีของฉันเชียวนะ” โชติกาปกป้องสามีในอนาคตของตัวเองเต็มที่
“พูดตามตรงนะ ผมยังหล่อกว่าเขาเป็นร้อยเท่า”
“ฉันไม่ยักเห็นความหล่อที่คุณว่าสักนิด” หญิงสาวเบ้ปากใส่คนหลงตัวเอง “ถึงจะหล่อแค่ไหน แต่ไว้หนวดไว้เครายาวเฟิ้มขนาดนี้ ไหนจะผมเผ้ารุงรังอีก ผู้หญิงเขาก็กลัวเป็นนะคุณ นอกจะจะรวยมากๆ เขาถึงจะมองข้ามสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมด”
“อ้าวๆ แบบนี้ก็มองคนที่ภายนอกน่ะสิคุณ”
“คนทุกคนนั่นแหละ เดินผ่านกันอย่างแรกก็ต้องมองที่ภายนอกอยู่แล้ว ไม่มีใครแหวกอกไปดูกันที่ภายในก่อนหรอก” ก่อนที่จะได้ศึกษาดูใจกันก็ต้องมองกันที่ภายนอกก่อนอยู่ดี อย่างต่อมาถึงจะเป็นจิตใจของคนคนนั้น
เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอไม่น้อย ก่อนจะบอกความจริงกับเธอ “จริงๆ ผมเป็นคนหล่อมาก”
“เหมือน โรเบิร์ต แพททินสัน ใช่ไหม”
“ผมหล่อกว่าเขาเยอะเลยคุณ”
“ถ้าคุณคิดแบบนั้นแล้วมีความสุขก็คิดต่อไปนะ ฉันไม่ว่าอะไรคุณหรอก” โชติกาทำหน้าเห็นใจ ก่อนจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ “ตามสบายเลยนะคุณติณณ์ ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”
“พูดขนาดนี้คิดว่าผมยังกล้าชมตัวเองต่อเหรอ”
“นี่ขนาดคุณไม่กล้านะเนี่ย ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่คุณกล้าเลย”
“ผมหล่อขึ้นมาอย่ามาหลงก็แล้วกัน รับรองว่านายพีรภัทรของคุณเทียบไม่ติดเลยละ”
“ถึงยังไงเป้าหมายฉันก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นคุณแน่นอน” โชติกาพูดด้วยความมั่นใจมากยิ่งกว่าความมั่นใจที่ติณณภพพูดออกมาเมื่อครู่นี้
“ผมถามจริงๆ เถอะ ทำไมคุณต้องวางแผนการอะไรมากมายเพื่อให้ได้คุณพีรภัทรมาเป็นสามี” ติณณภพถามเธออีกครั้ง แม้โชติกาจะเคยบอกกล่าวเหตุผลคร่าวๆ ให้ฟังแล้วว่าเธอกำลังตกอับและกลัวขึ้นคานทองนิเวศน์อย่างที่หมอดูทัก หากหาสามีไม่ได้ก่อนอายุครบสามสิบห้า แต่รอบนี้เขาอยากฟังเธอเล่าอย่างละเอียดอีกครั้ง “นอกจากเหตุผลที่คุณกำลังจะตกอับและกลัวขึ้นคาน”
“จริงๆ เหตุผลหลักก็มีแค่นั้น” เธอบอกเขาโดยไม่ปิดบัง “แต่จากที่หมอเทพบอกมา เนื้อคู่ฉันเป็นคนที่มีวาสนา เขาจะช่วยให้ชีวิตห่วยๆ ของฉันพบทางสว่าง และที่สำคัญเขาจะช่วยส่งเสริมชีวิตของฉันให้ดีขึ้น ซึ่งจากที่ฉันดูประวัติหลายๆ คนแล้ว...”
“คุณพีรภัทรเหมาะสมที่สุด” ติณณภพเป็นคนเสริมให้ ว่าแต่ประวัติที่เธอดูมาหลายคนจะมีเขาเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า หากประวัติเขาอยู่ในนั้นด้วยจริง เธอคงตาถั่วสุดๆ ที่มองข้ามเขาไป
“ถูกต้อง!”
“เหอะ จริงๆ แล้วเพราะเขาหล่อและรวยต่างหาก”
“ก็ถูกอีกนั่นแหละ” โชติกาไหวไหล่ ไม่โกรธเคืองคำพูดของติณณภพ เพราะมันจริงอย่างที่เขาว่ามาทุกอย่าง “และคุณก็มีหน้าที่ช่วยให้ฉันสมหวัง”
“ง่ายๆ เลยนะคุณโช” ติณณภพเข้าโหมดจริงจังอีกครั้ง “คุณไม่ต้องมีแผนการอะไรในหัว หากมันเริ่มต้นด้วยแผนการ มันก็จะจบลงด้วยแผนการ เอาสิ่งที่เป็นคุณนี่แหละทำความรู้จักกับคุณพีรภัทร ไม่มีใครสามารถปกปิดตัวตนของตัวเองไปได้ตลอดหรอก ผมเชื่อว่าผู้หญิงสวยอย่างคุณยากที่ผู้ชายจะปฏิเสธ” ติณณภพจ้องหน้าสวยของคนที่กำลังคิดตาม และพูดในสิ่งที่เขาคิด “ไม่ใช่แค่คุณพีรภัทร แต่ผมหมายถึง...ผู้ชายทุกคนที่ได้รู้จักคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รวมถึงคุณด้วยน่ะสิ” โชติกาแสร้งเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงหยอกคนตัวโตที่นั่งทำหน้าเหวออยู่ตอนนี้ “ฮั่นแน่...แอบชอบฉันเหรอคะ คุณโรเบิร์ต แพททินสัน”
“เฮอะ!” เขาเอ่ยเสียงขึ้นจมูก ยกมือขึ้นเกาปลายจมูกตัวเองแก้เก้อ
“ทำเสียงแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“คิดเอาเองสิครับคุณโชติกา” ติณณภพไม่ตอบคำถามเธอ แต่ยกหน้าที่ให้เธอจินตนาการคำตอบเอาเองพร้อมกับลุกเก็บถ้วยและแก้วน้ำของตัวเองไปวางที่ซิงก์ล้างจาน
“ฉันรู้ว่าคุณชอบฉัน!” โชติกาหันตามชายหนุ่มที่ลุกหนี แสดงสีหน้าเห็นใจอีกฝ่าย “แต่ขอโทษที่ฉันต้องบอกคุณตามตรงว่า...คุณไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติของฉัน เสียใจด้วยนะคะ คุณไม่ได้ไปต่อ”
“คุณก็ยิ่งไม่เฉียดมาใกล้ผู้หญิงในอุดมคติของผมเหมือนกัน เพราะผมชอบผู้หญิงฉลาด!” เขาไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกเธอจิกกัดอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
“คุณกำลังด่าว่าฉันโง่!”
“นั่นคุณกำลังด่าตัวเองต่างหาก” ติณณภพว่าโดยไม่มองหน้าเจ้าของห้อง แต่ตั้งใจถูฟองน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำยาล้างจานกับถ้วยกระเบื้องเหมือนกลัวว่ามันจะไม่สะอาดถ้าออกแรงน้อยกว่านี้
“ผู้ชายอะไรปากเสีย” โชติกาหยิบจานในส่วนของตัวเองวางลงในซิงก์ที่ติณณภพกำลังจัดการของตัวเองอยู่ด้วยแรงไม่เบานัก “ล้างให้หมดเลยนะ ทำความสะอาดครัวด้วย”
“มันเกี่ยวกันไหม” ติณณภพประท้วงเมื่อเห็นโชติกาเอาเครื่องครัวที่ใช้งานแล้วมากองไว้ในซิงก์ล้างจาน และให้เขาทำความสะอาดทั้งหมดคนเดียว
“ฉันเป็นเจ้านายและเป็นเจ้าของห้อง”
“แล้วยังไง”
“นั่นหมายความว่าฉันมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับคุณได้”
“ไม่เมกเซนส์สักนิด”
“แล้วไง” โชติกาไม่สนใจถึงมันจะดูไม่เมกเซนส์อย่างที่เขาว่า แล้วยังไง ที่ทำไปเพราะความหมั่นไส้อีกฝ่าย ไม่มีเหตุผลใดๆ มารองรับทั้งสิ้น
ทั้งสองยังคงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาถกเถียงกันไม่จบ เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร แต่สิ่งอื่นสิ่งใดนั้นพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเข้าใกล้ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเข้าไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยอาจทำให้พวกเขาไม่รู้ตัว เช่น สรรพนามที่เปลี่ยนไป หรือบางทีอาจจะรวมถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไปจากเดิมด้วย
เสียงฝนพรำในยามเช้ากับอากาศที่เย็นฉ่ำยิ่งกว่าอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในห้องนอนในช่วงปลายฤดูฝน ทำให้หญิงสาวที่นอนบนเตียงนุ่มต้องกระชับผ้าห่มผืนหนาให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายยิ่งกว่าเดิม
และดูเหมือนว่าฝนที่มาเยือนเมืองกรุงในยามเช้านี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ คนที่กำลังไปทำงานเมื่อเจอฤทธิ์การจราจรที่คับคั่งเพราะสาเหตุตามธรรมชาติแบบนี้คงต้องทำใจ
โชคดีที่เธอไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าออกไปฝ่ารถติดที่น่าปวดหัวบนท้องถนน ทว่าก็น่าสงสารตัวเองไปพร้อมๆ กันที่ช่วงนี้เธอไม่ค่อยมีงานให้ได้ออกไปไหน แต่หากเลือกได้เธอคงยอมติดแหง็กอยู่บนถนนเพื่อออกไปทำงาน ไม่ใช่นอนเบื่อหน่ายอยู่บนเตียงโดยไร้จุดหมายเช่นนี้
โชติกาเหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลบนหัวเตียงที่โชว์ตัวเลขว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว แต่ใช่ว่าดาราสาวจะรีบลุกออกจากเตียง เธอหยิบสมาร์ตโฟนเครื่องบางของตัวเองที่วางอยู่ข้างหมอนใบโตมาปลดล็อกหน้าจอ แล้วเข้าแอปพลิเคชันแชตโลโก้เขียวยอดนิยม
“วันนี้ฉันควรแต่งตัวยังไงดี” เธอพูดขณะที่นิ้วก็รัวพิมพ์ตัวอักษรตามไปด้วย “จะทำยังไงให้ครอบครัวคุณพีเขาประทับใจดี ฉันกังวลจังเลยคุณติณณ์”
โชติกาจ้องจอสมาร์ตโฟนเขม็งเมื่อเห็นสัญลักษณ์บอกว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความเธอแล้ว แต่ยังไม่มีคำแนะนำใดส่งตอบกลับมาเพื่อช่วยชี้ทางสว่าง
“หรือว่าจะทำงานอยู่”
เธอคาดเดาถึงสิ่งที่เป็นไปได้ สัปดาห์ก่อนติณณภพส่งข้อความมาบอกว่าเขาจะไม่อยู่ช่วยงานเธอเป็นเวลาสองสัปดาห์เพราะต้องไปทำงานต่างจังหวัด
ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ที่เธอใช้โปรแกรมในการสนทนากับเขาแทนการคุยโทรศัพท์ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายว่างเมื่อไร การพิมพ์ข้อความทิ้งไว้เมื่อเขาว่างแล้วค่อยมาตอบจึงเป็นหนทางแก้ปัญหาเวลาไม่ตรงกันที่ดีที่สุด
บทสนทนาส่วนใหญ่ที่คุยกันนอกจากเป็นการขอคำปรึกษาเรื่องพีรภัทรแล้วก็เป็นการถามสารทุกข์สุกดิบกันทั่วไป แม้แต่เมาท์มอยหอยแครงก็ยังมี แต่ดูเหมือนว่าเกินครึ่งของบทสนทนาจะเป็นอย่างหลังมากกว่า แถมติณณภพยังชอบถ่ายรูปบรรยากาศสวยๆ ในที่ที่เขาไปทำงานมาอวดเธออีกต่างหาก เห็นแล้วอิจฉาชะมัด
และเพราะคำปรึกษาที่ดีจากติณณภพทำให้ตอนนี้ระดับความสัมพันธ์ของเธอกับพีรภัทรขยับขึ้นมาอีกขั้น แต่ก็ไม่ถึงขั้นเรียกว่าคบหาดูใจกัน เพราะกำลังอยู่ในช่วงศึกษาซึ่งกันและกัน
พีรภัทรเป็นผู้ชายที่ดีมากจนบางครั้งเธอก็แอบรู้สึกผิดที่คิดวางแผนมากมายเพื่อใกล้ชิดเขา ชายหนุ่มโทร. หาเธอทุกวันในช่วงหลังมานี้ และเย็นนี้เธอได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทวิสิทธิ์ธรานนท์ ในฐานะเพื่อนสาวของรองประธานบริษัทวิสิทธิ์ธรานนท์
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกงานคู่กับเป้าหมาย แม้งานนี้ไม่มีสื่อมวลชนเข้าทำข่าว แต่เชื่อว่าต้องมีข่าวซุบซิบดาราหลุดว่อนเต็มโซเชียล ซึ่งนั่นคือจุดหมายของเธอ
ติ๊ง ติ๊ง
เสียงเตือนและสั่นสั้นๆ ของข้อความทำให้โชติการีบเปิดเข้าโปรแกรมสนทนาที่เปิดค้างไว้ทันที
“คุณรู้ว่าตัวเองควรแต่งตัวยังไง ส่วนจะทำยังไงให้ครอบครัวคุณพีรภัทรประทับใจก็เอาความจริงใจที่คุณมีนั่นแหละเข้าสู้”
“พูดง่าย แต่ทำยากจริง” เธอไม่ได้พิมพ์ตอบไปอย่างที่พูดออกมา แต่เลือกที่จะถามความเป็นไปของเขาแทน
“แอบอู้งานเหรอถึงตอบแชตฉันได้”
ทางด้านคนที่ถูกกล่าวหาว่าแอบอู้งานก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะสิ่งที่โชติกาพูดไม่ได้ไกลจากความจริงเท่าไรนัก เนื่องจากตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องประชุมที่กำลังถกเถียงกันอย่างตึงเครียดเรื่องโครงการใหม่ที่มีกำหนดก่อสร้างในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่คนดูแลโครงการอย่างเขากลับนั่งอมยิ้มเล่นโทรศัพท์เสียอย่างนั้น
“แล้วใครล่ะที่ส่งข้อความมาทั้งที่รู้ว่าผมกำลังทำงาน” ติณณภพไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง “และผมรู้ว่าถ้าผมไม่ตอบ คุณจะเครียดและไม่สบายใจอย่างยิ่ง”
แน่นอนว่าเวลาเดือนกว่าที่ได้รู้จักกับโชติกาทำให้เขารู้จักเธอดี และก็รู้เสียด้วยว่าตอนนี้สาวเจ้ากำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกว้างของตัวเอง
“เอ่อ...คุณติณณ์ครับ” วิทยาที่นั่งขนาบข้างเขาเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ
เขารู้ดีว่าเลขาฯ หนุ่มรุ่นน้องต้องการจะพูดอะไร
“คุณวิทูรย์พูดต่อเลยครับ ผมฟังอยู่” ติณณภพบอกวิศวกรควบคุมการก่อสร้างที่หยุดนำเสนองานไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ใช่ว่าเขาจะวางสมาร์ตโฟนของตัวเองลงที่เดิม ยังคงพิมพ์ตอบโต้ข้อความกับโชติกาอยู่อย่างนั้น
แม้จะดูไม่ดีที่ทำแบบนี้ต่อหน้าลูกน้อง แถมยังมีบางคนที่อาวุโสกว่าเขามาก แต่ใช่ว่าเขาไม่สนใจงานที่กำลังทำอยู่ เพราะเขาฟังทุกคำไม่ขาดตก
“ทำเป็นรู้ดี” โชติกาเบะปากเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนรู้จักเธอดี ทว่าสุดท้ายก็คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด
ติณณภพเป็นเพื่อนต่างเพศคนแรกที่เธอสนิทสนมด้วย โดยไม่รวมชนินทร์ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวและเพื่อนสาวที่นับคนได้ เธอสามารถแสดงตัวตนของตัวเองออกมาโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์ และเขาเป็นอีกคนที่เธอสบายใจยามได้พูดคุยด้วย
“ฉันไม่อยากให้คุณถูกเจ้านายไล่ออกเพราะแอบอู้เล่นโทรศัพท์ ฉะนั้น...ฉันไปเลือกชุดสำหรับเย็นนี้ดีกว่า”
ใครจะกล้าไล่ผู้บริหารอย่างเขาออกได้ นอกจากตัวเขาเอง แต่เขาก็เลือกตอบไปว่า “อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดผมด้วยล่ะ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว รับรองได้เห็นแล้วคุณจะตะลึงจนพูดไม่ออก”
“คร้าบ...บ”
“กลับมาก็อย่าลืมของฝากล่ะ”
“ทวงทุกวันอย่างนี้คิดว่าผมจะลืมลงรึไงครับ”
“ไปดีกว่า เดี๋ยวคนแถวนี้จะหาว่าเห็นแก่ของฝาก บาย...”
ติณณภพเก็บโทรศัพท์และหันมามองจอโพรเจกเตอร์เมื่อคุยกับโชติกาเสร็จ
กลายเป็นว่าหลังจากนั้นการประชุมที่เคร่งเครียดดูทุเลาลง เพราะหน้าผู้บริหารหนุ่มยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้คนที่กำลังจะออกไปเสนองานรู้สึกผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก
นอกเวลางานติณณภพอาจจะดูเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองกับพนักงานทุกระดับ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องงาน ชายหนุ่มเป็นคนจริงจังกับงานเสมอ และเขาไม่กลัวที่จะต่อว่าคนที่ทำงานพลาด แม้คนคนนั้นจะเป็นที่นับหน้าถือตาในบริษัทมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็เคยถอนหงอกมาแล้ว
โชติกาลุกยืดเส้นยืดสายพอดีกับเสียงเคาะประตูหน้าห้องนอนดังขึ้น และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครที่เข้ามาถึงหน้าห้องนอนเธอได้ “มาแต่เช้าเชียวนะคะพี่แชมป์”
“นี่มันสายแล้วย่ะ” ชนินทร์เดินนำหน้าดาราสาวในสังกัดไปยังโซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่น “ใครจะนอนกินบ้านกินเมืองเหมือนแกกันล่ะ”
“ใช่ว่าโชอยากจะนอนกินบ้านกินเมืองอย่างที่พี่แชมป์ว่าเสียเมื่อไหร่”
คนว่างงานอย่างเธอไม่มีอะไรทำ นอกจากนอนฆ่าเวลารองานไปวันๆ ยังไงล่ะ ดาราหลายคนอาจจะทำธุรกิจสักอย่างเพื่อความมั่นคง เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ที่เธอลงทุนลงแรงมันไม่เป็นท่า เธอจึงไม่กล้าเสี่ยงเอาเงินไปทิ้งเล่นอีก
โชติกาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาตัวเดี่ยวข้างผู้จัดการเหมือนหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นสีหน้าเครียดขรึมของชนินทร์ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องไม่สบายใจ “พี่แชมป์มาหาโชแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“วันนี้แกมีนัดกับคุณพีไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ” โชติกาพยักหน้ารับ นอกเหนือจากติณณภพก็มีชนินทร์ที่รับรู้เรื่องราวในชีวิตเธอดีทุกอย่าง โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่รู้จักกันมาตั้งแต่เธอเริ่มเข้าวงการ
“เพราะอย่างงี้ไงล่ะพี่ถึงต้องมาหาแกถึงที่นี่” ชนินทร์หยิบเอกสารที่ตนพกมาด้วยยื่นให้
“พี่แชมป์มาหาโชทีไรเป็นต้องพกเอกสารมาให้อ่านทุกทีไป” หญิงสาวทำหน้าเบื่อหน่าย แต่ก็หยิบเอกสารจากมือชนินทร์มาเปิดดู ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อมูลของบริษัทวิสิทธิ์ธรานนท์และรายละเอียดธุรกิจของพวกเขา “โชต้องอ่านข้อมูลพวกนี้ด้วยเหรอคะ โชไปเป็นแขกนะ ไม่ได้ไปขอร่วมหุ้น”
“อ่านไว้ก็ไม่เสียหายนี่ เผื่อคนอื่นคุยกันแกจะได้เข้าใจไปกับเขาด้วย จะยืนฟังหน้าสวยอย่างเดียวมันดูไม่เข้าท่ากับตำแหน่งว่าที่สะใภ้เจ้าสัวน่ะสิ”
“ถึงโชอ่านก็คงไม่เข้าหัวอยู่ดี” โชติกาทำหน้ายู่ เพราะข้อมูลพวกนี้แค่อ่านบรรทัดแรกก็ปวดหัวแล้ว
“ว่าที่สามีแกทำธุรกิจ ถึงแกจะไม่ถนัดก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง” ชนินทร์ว่าอย่างใจเย็น “แกก็คิดเสียว่ามันเป็นบทละครบทหนึ่งที่นางเอกเป็นนักธุรกิจแสนเก่งกาจ ฉันเชื่อว่านางเอกมากฝีมืออย่างแกทำได้ และทำมันออกมาดีอย่างแน่นอน”
โชติการู้ว่าที่ชนินทร์เดินทางมาหาถึงห้องแบบนี้ทั้งที่เจ้าตัวก็มีงานล้นมือนั่นเป็นเพราะความหวังดี และเธอก็ปฏิเสธความหวังดีนี้ไม่ลง “โชจะพยายามนะคะพี่แชมป์”
“ดีมากน้องสาวพี่” ชนินทร์ยิ้มพอใจ “แล้วนี่เลือกชุดไว้หรือยัง ให้พี่ช่วยเลือกดีไหม”
“ก็ดีค่ะพี่แชมป์”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปเลือกชุดกันก่อนดีกว่า”
โชติกาลุกขึ้นตามแรงลากจูงของชนินทร์เข้าไปในห้องแต่งตัวที่มีชุดราตรีแบรนด์ดังแขวนไว้เต็มตู้ หญิงสาวทำเพียงยิ้มรับตอนที่ผู้จัดการส่วนตัวถามความเห็น ทว่ากลับมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเมื่อชนินทร์พาเธอเดินเข้าไปเลือกกระเป๋าถือ
‘บางทีเราควรจะเลือกกระเป๋าที่เหมาะกับตัวเองน่าจะดีกว่า’ อย่างที่ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ตอนนั่งติดฝนอยู่บนรถด้วยกัน
‘พูดแล้วก็คิดถึงคุณติณณ์จัง อีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับ’
ความคิดเห็น |
---|