5

เปลี่ยนหน้าที่


5

เปลี่ยนหน้าที่

 

ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะในวันนั้น นอกจากได้เจอเป้าหมายแล้วสิ่งที่ตราตรึงใจโชติกาอีกอย่างคือการถูก ‘เจ้าที่’ ไล่! แต่เธอก็ยังไปที่แห่งนั้นอีกสามครั้งในวันที่คาดว่าพีรภัทรจะไป ทว่าไม่เจอเป้าหมายเช่นวันนั้นจึงพับแผนการนี้เก็บไว้เสียก่อน

จากที่ชายหนุ่มบอกจะโทร. หาก็ยังไม่มีแววว่าเธอจะได้รับสายจากเขา แม้จะเพียรรออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกอย่างก็ยังปกติสุข ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าพีรภัทรอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลา ดูจากวันที่พบกันล่าสุดก็มีสายโทร. เข้ามาเรื่องงานจนเขาต้องรีบกลับไป

“ใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ” เธอปลอบใจตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายหาผู้ช่วยเฉพาะกิจ เพราะมีเรื่องขอคำปรึกษาและอยากให้ช่วย

“สวัสดีครับ...”

เสียงงัวเงียบ่งบอกว่าปลายสายยังไม่ตื่นดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้โชติกาพับเก็บเรื่องที่จะพูด “นายยังไม่ตื่นอีกเหรอ นี่สายแล้วนะ”

“คุณโชเหรอ...”

เมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใครจึงหยิบโทรศัพท์มาดูชื่ออีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเจ้านายสาวจำเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ติณณภพลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทั้งที่ง่วงแทบตาย เพราะเขาเพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงหลังนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่นาน

“วันนี้บ่ายว่างรึเปล่าคะ” หญิงสาวเข้าเรื่องทันที

“วันนี้เหรอ” ติณณภพมองไปที่โต๊ะทำงานซึ่งมีเอกสารกองอยู่เพียบ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำและที่ทำค้างไว้

“วันนี้วันหยุด นายมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“คุณจะชวนผมไปไหน” ติณณภพแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะอยากรู้จุดหมายของหญิงสาวเสียก่อนถึงจะตอบได้

“วันนี้ฉันมีงานอีเวนต์ที่สยามตอนบ่ายโมง”

“แล้ว...”

“ขับรถให้หน่อยสิ” เธออ้อนเสียงน่ารัก หวังให้ผู้ช่วยเฉพาะกิจตอบตกลง ทว่าปลายสายกลับเงียบเหมือนกำลังตัดสินใจ “นะคะพี่ติณณ์ ขับรถให้น้องโชหน่อยนะคะ”

“พี่ติณณ์กลายไปเป็นคนขับรถน้องโชตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เขาอดประชดไม่ได้ ทว่าใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม พูดตามตรงคือเขาตกลงตั้งแต่เธออ้อนครั้งแรกแล้วละ

‘กูแพ้คนขี้อ้อนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ’

“วันนี้พี่แชมป์ของน้องโชต้องพาเด็กใหม่ไปทำงาน เด็กเก่าแบบน้องโชก็เลยต้องไปเอง”

“ถ้าอย่างนั้นน้องโชก็ไปเองได้ใช่ไหมครับ” เขาสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ

“น้องโชอยากนั่งสบายๆ เลยขอให้พี่ติณณ์ขับรถให้ไงคะ” เธอยังอ้อนไม่เลิก นี่ขนาดว่าใช้เสียงสองสามสี่แล้วเขายังไม่ตอบตกลงเสียที หวังว่าผู้ช่วยเฉพาะกิจจะตอบตกลงก่อนที่เธอจะใช้ถึงเสียงสิบ!

“แท็กซี่ไงครับ มีคนขับบริการพร้อม”

“เดินทางคนเดียวมันอันตรายนะคะพี่ติณณ์ ยิ่งน้องโชเป็นผู้หญิง แถมยังสวยมากด้วย มันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปใหญ่” โชติกายังมีข้ออ้างเสมอ

“ถ้าน้องโชกลัวอันตรายก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปสิครับ มีคนขับให้ทั้งไปทั้งกลับ แถมมีเพื่อนร่วมทางอีกมากมาย รับรองว่าปลอดภัยหายห่วง”

“ทำไมน้องโชเป็นคนน่าสงสารแบบนี้นะ เคยมีคนขับรถตู้ให้นั่งสบายๆ ก็ต้องเลิกจ้างเพราะไม่มีเงินไม่มีงาน พอมีผู้ช่วยอย่างพี่ติณณ์แล้วก็ต้องมาขับรถเองอีก ไม่รู้จะมีใครน่าสงสารเท่าน้องโชไหม...” เธอเริ่มดรามา แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาซะงั้น

“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นนักแสดงรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนคงหลงเชื่อเสียงเศร้าๆ ของคุณไปแล้ว”

“ฉันยังมีรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมการันตีผลงานอีกเยอะค่ะ” เธอย่นจมูกใส่โทรศัพท์ “ตกลงว่าไม่ขับรถให้สินะ”

“ขับสิ ผมต้องไปทำธุระแถวนั้นอยู่แล้ว จะได้ประหยัดค่ารถด้วย”

‘โกหกทั้งเพ! ธุระแถวนั้นอย่างนั้นรึไอ้ติณณ์ สำนักงานมึงอ้ะอยู่คนละทางกับทางเลย’

“พี่ติณณ์ใจดีที่สุดเลย จะรอรับน้องโชกลับด้วยใช่ไหมคะ”

“แน่นอนสิครับ” ชายหนุ่มยิ้มออกมาทั้งยังส่ายหัวเพราะความดีใจเกินเหตุของโชติกา เขาคิดภาพออกเลยว่าตอนนี้เธอกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่ “ถ้าคุณไม่กลัวผมเอาออดี้ลูกสาวคุณไปขายซะก่อนนะ เป็นทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นของคุณไม่ใช่เหรอ”

“ฉันรู้ว่าคุณไม่ทำแบบนั้นหรอก” เธอเอ่ยด้วยความมั่นใจ

“คุณเอาอะไรมามั่นใจว่าผมจะไม่ทำแบบนั้น” เขาลองเชิง ถ้าพูดกันตามตรงคือเขากับเธอเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แถมยังไม่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกันดีพอ ทว่าเธอกลับกล้าไว้ใจเขาที่เธอเคยปรามาสว่าเป็นโจรปล้นฆ่า

“ถ้านายคิดจะเอาลูกสาวฉันไปขายจริงๆ คงไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้หรอกมั้ง”

“เริ่มฉลาดขึ้นแล้วสินะน้องโช”

“นี่นายมองว่าฉันโง่มาตลอดเลยเหรอ!” คนถูกหาว่าเพิ่งเริ่มฉลาดขึ้นเสียงใส่ ถึงเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าเธอโง่ แต่คำพูดของเขามันก็หมายความว่าแบบนั้น

“ผมทำให้คุณคิดแบบนั้นเหรอ” ติณณภพทำเป็นไขสือ ทั้งที่ความจริงอยากจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แต่เกรงว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายโกรธเข้าไปใหญ่ “ผมไม่รู้นะเนี่ย”

“ใช่! นายทำให้ฉันคิดแบบนั้น”

“โทษที ผมคงคิดดังไปหน่อย”

“นายติณณภพ!”

“ครับคุณโชติกา” ติณณภพขานรับเสียงหวาน ก่อนจะรีบตัดบทเพราะรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น “เดี๋ยวตอนเที่ยงพี่ติณณ์จะไปเคาะห้องน้องโชนะครับ สวัสดีครับ”

“หน็อยนายติณณ์ กล้าด่าว่าฉันโง่เหรอ ไอ้บ้า! ไอ้หน้าหนวดเอ๊ย”

ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเพราะเขาชิงวางสายไปก่อนแล้ว แต่โชติกาก็ยังสาดคำด่าใส่โทรศัพท์ต่อไป อย่างน้อยก็ช่วยปลดปล่อยอารมณ์โมโหของเธอลงได้บ้าง

 

ติณณภพนอนเหยียดกายบนโซฟาตัวยาวด้วยความผ่อนคลาย เสียงจากทีวีไม่ได้เรียกความสนใจจากเจ้าของห้องแต่อย่างใด เพราะเขาเปิดทิ้งไว้เพียงเพื่อไม่ให้ห้องเงียบและดูวังเวงเกินไป

มือข้างหนึ่งถือปึกเอกสารที่เลขาฯ เอามาให้ตั้งแต่เมื่อวาน กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร ส่วนมือที่ว่างหยิบขนมเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ เมื่อไม่เห็นความผิดพลาดประการใดของงาน จึงหยิบปากกาที่วางอยู่ข้างจานขนมมาเซ็นชื่อกำกับก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ

“เสร็จสักที”

ติณณภพดีดตัวขึ้นนั่งและจัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม นำไปวางกองรวมกับส่วนที่เสร็จแล้ว รอเลขาฯ ส่วนตัวนำกลับไปดำเนินการต่อ และไม่ลืมที่จะส่งเมสเซจไปบอกอีกฝ่าย เพราะเที่ยงนี้เขาไม่ว่าง ต้องไปรับจ๊อบนอกสถานที่

ว่าแล้วก็เหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ติดผนัง อีกชั่วโมงกว่าถึงจะได้เวลาที่บอกเจ้านายสาวไว้ ซึ่งเขาต้องจัดการตัวเองให้เสร็จภายในเวลาที่เหลือ

ติณณภพลุกขึ้นบิดกายไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องนอนเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่เสียงกดออดหน้าห้องหยุดเขาไว้เสียก่อน จำต้องเดินกลับไปทางเดิม จอมอนิเตอร์ปรากฏภาพหญิงสาวห้องฝั่งตรงข้ามที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ถ้าให้เดาเธอคงกำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจอย่างแน่นอนที่ชักช้าไม่ยอมเปิดประตูเสียที

กริ๊ง! กริ๊ง!

โชติการัวกดกริ่งอีกครั้ง เพราะไม่มีทีท่าว่าคนในห้องจะเปิดประตูออกมา

“มัวทำอะไรอยู่เนี่ย” โชติกายังบ่นไม่เลิก พอดีกับที่บานประตูถูกเปิดออกมาพอดี

“ดูจากเวลาแล้วยังไม่ถึงเวลานัดของเราเลยนะครับ” ติณณภพยืนกอดอกพิงขอบประตูคุยกับแขกสาว

“ก็ฉัน...ก็...”

โชติกากลืนคำพูดที่กำลังจะโพล่งออกไปลงพร้อมน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นสภาพของคู่สนทนา เขามีเพียงกางเกงนอนขายาวติดกาย ส่วนท่อนบนก็เปลือยเปล่าโชว์มัดกล้ามเป็นลอนสวย

ผิวคล้ามแดดค่อยๆ จางหายไป เริ่มเห็นสีผิวที่แท้จริง ถ้าเขาจัดแต่งทรงผมและโกนหนวดเคราทิ้งไปบ้างคงเป็นผู้ชายที่น่ามองคนหนึ่งเชียวละ เพราะเพียงเท่านี้เขายัง...

‘หยุดเดี๋ยวนี้นะโชติกา! หยุดความคิดบ้าๆ ของแกเดี๋ยวนี้’

หญิงสาวรีบเตือนสติตัวเอง เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่เป้าหมายของเธอ คนที่เธอควรสนใจมีเพียงพีรภัทรคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นอย่าได้คิดสน

“ฉันอะไร”

“ฉันหิว...”

ถึงจะบอกตัวเองให้เลิกสนใจบอดีอันเพอร์เฟกต์ของคนตรงหน้า แต่ตาเจ้ากรรมก็คอยแต่จะมองต่ำลงไปกว่าปลายคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขาอยู่เรื่อย

ติณณภพรีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกตัวเองเมื่อมองตามสายตาของเจ้านายสาว “เวลาพูดว่าหิวทำไมต้องมองมาที่นมผมด้วยเล่า เห็นสายตาคุณแล้วน่ากลัวเป็นบ้า”

“คะ...ใครไปมองหน้าอกนายกัน” โชติกาเถียงข้างๆ คูๆ ทั้งที่เมื่อครู่เธอเพิ่งทำอย่างที่เขากล่าวหา และเสียงพูดของเขาทำให้เธอได้สติ เปลี่ยนจุดโฟกัสสายตาเป็นหน้าเขาแทนทันที

“จับได้คาหนังคาเขาแล้วยังจะแถอีกนะ”

“ก็ใครใช้ให้นายแต่งตัวไม่เรียบร้อยมารับแขกเล่า”

“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าแอบมองนมผม” ติณณภพหันข้างให้โชติกา มองเธอด้วยสายตาระแวดระวังไม่ไว้ใจ “นมผมเป็นของแท้พ่อแม่ให้มานะคุณ อย่าได้มาขอจับเชียวล่ะ”

“นายยังขอจับจมูกฉันเลย”

“คุณก็เลยจะขอจับนมผมแลกเปลี่ยนอย่างนั้นเหรอ”

“จะบ้าเหรอ! ใครเขาคิดแบบนั้นกัน” โชติการีบเบรกก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เธอไม่ได้อยากจะพิสูจน์หน้าอกเขาเสียหน่อย แต่ถ้าเขายอมก็อีกเรื่องนะ “ฉันแค่มาบอกว่าจะออกไปเร็วหน่อยเพราะฉันหิวข้าว ไม่ได้อยากจับนมนายสักนิด”

“ให้มันแน่เถอะ”

“ล้านเปอร์เซ็นต์”

“ขอเวลาครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวผมไปเรียก โอเคไหม”

“อือ” โชติกาย่นจมูกใส่คนคิดไกล ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองไป

“ผู้หญิงอะไรน่าแกล้งเป็นบ้า”

ติณณภพลดมือที่แสร้งปิดหน้าอกตัวเองลง มองบานประตูห้องฝั่งตรงข้ามด้วยความขบขัน

ความจริงเขาไม่มีปัญหาที่ถูกคนอื่นลอบมองรูปร่าง แต่ที่ต้องแสดงแอกติงเว่อร์วังอลังการดาวล้านดวงไปแบบนั้นมีแค่เหตุผลเดียว คืออยากแกล้งโชติกาก็เท่านั้น เขาชอบเวลาที่เธอแสดงสีหน้ายามถูกจับได้คาหนังคาเขา ทั้งตลก ทั้งน่ารัก เห็นกี่ครั้งก็เรียกรอยยิ้มจากเขาได้เสมอ

ทางด้านโชติกาที่รีบหนีเข้าห้องด้วยความอับอายหลังถูกติณณภพจับได้ว่าแอบมองรูปร่างเขา กำลังหอบหายใจถี่หลังปิดประตูห้องสนิท ยกมือกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองที่เต้นถี่เร็วราวกับกำลังรัวกลองสะบัดชัย ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“เธอเป็นอะไรไปโชติกา” หญิงสาวถามตัวเองและไม่ลืมที่จะตอบตัวเองด้วยเช่นกัน “ตื่นเต้นเพราะถูกจับได้ไง ใช่ๆ ต้องเป็นแบบนั้นแหละ”

โชติกาหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามตั้งสติไม่ให้เตลิด เกิดมาอายุสามสิบสี่ปีกับเจ็ดเดือนเพิ่งเคยมีอาการแบบนี้ เธอแทบไม่เคยเจอผู้ชายเปลือยอกต่อหน้าต่อตา แถมผู้ชายคนนั้นยังหุ่นดีเป็นบ้า สติไม่กระเจิดกระเจิงสิแปลก

 

การจราจรบนท้องถนนในเวลาเกือบเที่ยงไม่ได้สาหัสนัก รถยังเคลื่อนที่ไปได้อย่างไหลลื่น หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ โชติกาจะจ้างรถตู้ส่วนตัวที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แม้รถจะติดสาหัสแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา

แต่เพราะงานที่เคยมีจนล้นมือเริ่มหดลง ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองต่างๆ ก็ต้องตัดทิ้งไป เช่นเปลี่ยนจากนั่งรถตู้อำนวยความสะดวกมาขับรถเอง บางทีก็มีชนินทร์รับหน้าที่นั้น แต่หากวันใดอีกฝ่ายติดงานก็ต้องพึ่งพาตัวเอง

โชคดีที่ตอนมั่งมีเธอซื้อรถยนต์และคอนโดซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเป็นเงินสด หากวันใดที่หมดตัวจริงๆ ก็ยังมีที่ซุกหัวนอน แต่ในเมื่อเธอยังมีสองมือสองเท้าครบ จะไม่มีคำว่าอดตายแน่นอน

“คุณทำงานเสร็จกี่โมง” ติณณภพถามขึ้นเมื่อใกล้ถึงสถานที่ทำงานตามที่โชติกาบอกไว้ ซึ่งเป็นห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ

“บ่ายสาม” โชติกาตอบโดยไม่มองหน้าคนถามเพราะกำลังติดพันกับเกมในสมาร์ตโฟนอยู่ “นายเอารถฉันไปทำธุระได้เลย”

“ไม่กลัวผมเอาไปขายจริงอ้ะ”

โชติกาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วหันมาคุยกับชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง “นายรู้ใช่ไหมว่ารถคันนี้เป็นสมบัติไม่กี่ชิ้นของฉัน และฉันก็เข้าใกล้คำว่าตกอับเข้าทุกวัน ถ้านายริอ่านเอารถฉันไปขายละก็...” หญิงสาวยิ้มหน้าเหี้ยม “...ฉันจะตามไปเผาบ้านนาย!”

“รู้รึไงว่าบ้านผมอยู่ไหน”

“นั่นสิ” โชติกาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งยัดใส่กระเป๋าขึ้นมาอีกครั้ง “นายๆ หันมานี่หน่อย”

“หืม” เขาหันไปตามที่เธอบอก

แชะ แชะ

“แค่นี้ก็เรียบร้อย” โชติกาดูผลงานตัวเองที่ถ่ายรูปติณณภพเอาไว้เมื่อครู่ด้วยความพอใจ ก่อนจะโชว์รูปของเขาให้เจ้าตัวดู และไม่ลืมบอกเหตุผลของตัวเอง

“ถ้านายขโมยรถฉันไปขาย รับรองว่านายจะเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน”

“น่ากลัวจังเลยเนอะ” ติณณภพยิ้มมุมปาก แล้วแบบนี้เขาจะกล้าเอารถเธอไปขายได้ลงคอเหรอ ในเมื่อเจ้าของรถ ‘น่ารัก’ เสียขนาดนี้

โชติกาตีหน้ายักษ์ใส่เพราะคำพูดกับการกระทำของเขาสวนทางกัน “ธุระนายเสร็จก่อนสามโมงรึเปล่า”

“เสร็จก่อนนั้น”

ความจริงเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไร นอกจากขับรถมาส่งเธอ แต่จะกลับคำก็ใช่เรื่อง จึงต้องตามน้ำไป

“ถ้าฉันเสร็จงานแล้วจะโทร. หาแล้วกันนะ”

“ผมจะจอดรถรอแถวนี้” ติณณภพชะลอรถแล้วจอดเทียบฟุตพาทหน้าลิฟต์ที่ชั้นจอดรถให้โชติกาลง

เธอเพียงพยักหน้าและเปิดประตูออกไป “เดี๋ยวสิคุณ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเรียกเธอไว้ อาจจะเพราะมีบางคำที่อยากจะบอกเธอ “แค่จะบอกว่าผมไม่เอารถคุณไปขายหรอก สบายใจได้”

“ฉันรู้หรอกว่านายไม่ใช่คนแบบนั้น”

โชติกาปิดประตูรถแล้วเดินไปที่ลิฟต์ทันที โดยมีทีมสตาฟฟ์มารอรับตามเวลาเพื่อพาไปเตรียมตัว ส่วนคนที่อยากเอ่ยบางอย่างกับเธอแต่ไม่กล้าได้แต่ก่นด่าตัวเอง

“แค่จะพูดให้กำลังใจมันยากนักเหรอไอ้ติณณ์ สู้ๆ นะคุณโช แค่เนี้ยมันพูดยากนักหรือไง”

...

ติณณภพไม่ได้ไปไหนไกล หลังจากหาที่จอดรถได้ก็เดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าและหาที่ยืนสำหรับตัวเอง วันนี้คนคึกคักกว่าปกติทั้งที่ไม่ใช่วันหยุด นั่นคงเป็นเพราะพื้นที่ในลานชั้นหนึ่งของห้างมีทั้งดารานักแสดงและเซเลบริตีมาร่วมงานเครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งจากฝั่งยุโรป โดยมีโชติกาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเมืองไทย

ตอนนี้งานเริ่มแล้ว พิธีกรชายหญิงประกาศเปิดตัวแบรนด์แอมบาสซาเดอร์และพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ พูดตามตรงคือบนเวทีเขาแทบไม่รู้จักใคร มีคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างเพราะเป็นนักแสดงสังกัดช่องที่บิดาเป็นเจ้าของ

เขาไม่ได้เข้าข้างเจ้านายสาว แต่พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าโชติกาโดดเด่นที่สุดในบรรดาสาวๆ บนเวที เธอเหมือนดาวค้างฟ้าอย่างที่เจ้าตัวชอบอวดอ้างสรรพคุณ อายุไม่ได้ทำร้ายเธอแม้แต่น้อย ทว่ากลับส่งเสริมให้เธอดูเหมือนนางพญา คนอื่นเป็นเหมือนบริวารไปเลย

“เด่นขนาดนี้ทำไมถึงไม่ค่อยมีงาน” ติณณภพพึมพำคนเดียว ถ้าเขาเป็นผู้จัดงานหรือเจ้าของแบรนด์คงไม่ลังเลที่จะจ้างเธอเป็นพรีเซนเตอร์ “ไม่น่าจะใกล้คำว่าตกอับ”

การวางตัวของโชติกาดูสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งการตอบคำถามของพิธีกรและการพูดถึงแบรนด์เครื่องสำอางในมือ เธอพูดออกมาโดยไม่ต้องมีสคริปต์ ทำให้คนที่ไม่เคยมาดูงานประเภทนี้เพลินตากับภาพที่เห็นและยืนดูจนงานจบอย่างไม่รู้ตัว

ตอนนี้โชติกากำลังยืนให้สื่อสัมภาษณ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่หน้าแบ็กดรอปของแบรนด์ จากที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ยังไม่เห็นใบหน้าสวยไม่มีรอยยิ้มเลย และเพราะรอยยิ้มนี้นี่เองที่ทำให้คนมองเช่นเขาเผลอยิ้มตามไปด้วย

“นั่นใครมาน่ะ กรี๊ด! ผู้ชายที่เป็นข่าวกับเมญาณีนี่”

“ตัวจริงหล่อมาก โอ๊ย ถ้าฉันเป็นเมญ่าคงเขินจนตัวลอย หอบดอกไม้ช่อโตมาให้ขนาดนั้น”

ผู้มาร่วมชมงานร้องฮือฮาอื้ออึงเมื่อนักธุรกิจหนุ่มหล่อปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มมีข่าวคบหาอยู่กับเซเลบริตีสาวคนหนึ่ง ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในพรีเซนเตอร์ของงานนี้

ชายหนุ่มผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากสื่อได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าตอนนี้นักข่าวพากันวิ่งกรูไปทำข่าวของคนมาใหม่แทน และตอนนั้นเองที่เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของโชติกาหายไป

ไวเท่าความคิด ติณณภพเดินตรงไปหาหญิงสาวที่หลบฉากออกมาทันทีหลังให้สัมภาษณ์เสร็จ แต่ด้วยผู้คนที่มากมายและเบียดเสียดกัน ทำให้เขาต้องเดินอ้อมไปไกลกว่าเดิม กว่าจะเดินไปถึงที่ที่เธอยืนอยู่ก็เสียเวลามาก และตอนนี้โชติกาก็หายไปแล้ว

‘เธอไปไหน’ ติณณภพหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายหาเบอร์ที่โทร. ออกล่าสุด เขากระวนกระวายใจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มหวานที่มักปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าสวยหายไป เขายอมรับว่าเป็นห่วงความรู้สึกเธอ ไม่รู้ตอนนี้โชติกาจะเป็นอย่างไร เธอจะเสียใจเสียความรู้สึกที่ถูกเมินหรือไม่ มากมายคำถามที่อยากรู้ถาโถมเข้ามา

“ทำไมไม่รับนะ” เขายังไม่หายกังวลถ้าหากไม่ได้ยินเสียงของเธอ “หายไปไหนของเขานะ!”

ติณณภพยังต่อสายหาโชติกาต่อไป ตาก็กวาดมองหาโดยรอบบริเวณ

“ทำธุระเสร็จแล้วเหรอ”

ไม่ใช่เสียงที่ลอดออกจากโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ แต่เป็นเสียงที่ดังอยู่เบื้องหลังเขาในตอนนี้

ติณณภพหันหลังกลับตามสัญชาตญาณ ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อหญิงสาวที่เขาเป็นห่วงยังมีสีหน้าปกติ แต่ก็มองออกว่าไม่ได้สดใสเท่าก่อนที่จะมางาน

“คุณโอเคใช่ไหม”

ติณณภพไม่สนใจคำถามของเธอ แต่เลือกจะถามสิ่งที่อยากรู้แทน เป็นไปได้เขาอยากคว้าตัวเธอเข้ามากอดปลอบด้วยซ้ำ

“ไม่มีอะไรต้องไม่โอเคนี่คะ” เธอส่งยิ้มให้กลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างในใจ แต่ก็ไม่เล็ดลอดตาคมของคนที่เฝ้าสังเกตเธอไปได้ “ว่าแต่นายทำธุระเสร็จแล้วเหรอ”

“อื้อ” ติณณภพตอบในลำคอเบาๆ ทว่าสายตายังคงจ้องไปที่หน้าสวยของคนที่ยังไม่กล้าสบตา

“รีบออกไปจากตรงนี้เถอะ นายไม่อยากเป็นข่าวกับฉันหรอก เชื่อเถอะ”

ถึงโชติกาจะพยายามทำสีหน้าปกติ แต่เขาดูออกว่าเธอมีบางอย่างในใจ ถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินตามเธอออกไปแต่โดยดี

“ถ้าเกิดคุณเป็นข่าวกับผมขึ้นมา คุณจะทำยังไง”

“ก็ไม่ทำยังไง” หญิงสาวไหวไหล่ “ก็แค่บอกว่านายคือผู้ติดตามดูแลความปลอดภัย บอดีการ์ด หรือคนขับรถก็ว่าไป”

สถานะเขามันก็แค่นี้สินะ ทว่าสุดท้ายเขาก็อดห่วงเธอไม่ได้อยู่ดี “มีอะไรเล่าให้ผมฟังได้นะ”

โชติกาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของผู้ติดตามจำเป็น แต่ก็ออกเดินต่อไปโดยไม่ให้ผิดสังเกต นอกจากชนินทร์ก็มีแค่เขาที่เอ่ยถามคำนี้ออกมาด้วยความจริงใจ

“ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้มาก อย่างน้อยก็รับฟังปัญหาของคุณได้ รับรองว่าผมไม่เอาไปบอกนักข่าวหรอก”

“มันไม่น่าฟังหรอก”

คำตอบจากเธอที่ไม่ปฏิเสธว่ากำลังมีปัญหาหรือเกิดเรื่องไม่สบายใจขึ้นจริงๆ ยิ่งทำให้ติณณภพกระวนกระวายใจมากกว่าเดิม ทั้งที่ปกติตัวเองไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของใคร แต่เมื่อมันเกี่ยวกับโชติกา เขากลับทำแบบเดิมไม่ได้

“คุณคงไม่ได้เสียใจเพราะถูกนักข่าวเมิน” ติณณภพคาดเดา เพราะประสบการณ์ที่อยู่ในวงการมายาคงช่วยหล่อหลอมให้เธอเป็นคนแกร่ง เรื่องแค่นี้คงทำอะไรโชติกา ดาวค้างฟ้าของวงการไม่ได้

“กว่าฉันจะมาอยู่จุดนี้ได้ ถูกนักข่าวเมินไปไม่รู้กี่รอบ แค่นี้สบายมาก” หญิงสาวส่งยิ้มให้คนที่มีน้ำใจนึกห่วง ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขากลับทำให้เธอสบายใจยามได้พูดคุยด้วย “ถ้าไม่นับพี่แชมป์ นายเป็นคนแรกที่อยากรู้เรื่องของฉัน”

“คุณคงไม่ได้กำลังด่าผมทางอ้อมว่าเสือกหรอกใช่ไหม”

“กลับกัน ฉันชอบให้มีคนถามฉันแบบนี้มากกว่า รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

ติณณภพไม่ตอบอะไร นอกจากเป็นผู้ฟังที่ดี ทั้งที่มีคำถามคาใจมากมาย โชติกาเป็นนักแสดง แน่นอนว่าต้องรู้จักผู้คนมากมาย แต่เธอกลับพูดเหมือนตัวเองไม่มีใคร แม้แต่ครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างหรือเพื่อนสนิทร่วมวงการ

“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ” เขาคิดตามว่าผู้หญิงคนนั้นที่เธอหมายถึงคือใคร แต่ยังไม่ทันคิดออก เธอก็เฉลยเสียก่อน

“เมญาณี”

ติณณภพพยักหน้ารับรู้ รอฟังว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครถึงได้มีอิทธิพลกับโชติกามากขนาดนี้ ทำให้คนที่ร่าเริงมีรอยยิ้มตลอดกลายเป็นคนเงียบขรึมไปโดยปริยายได้

“คุณพี!”

ติณณภพเดินตามแรงดึงของโชติกาที่ลากเขาไปหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่งด้วยความงงงวย จะว่านายพีรภัทรกับผู้หญิงที่ชื่อเมญาณีกิ๊กกันก็ไม่น่าใช่ เพราะใบหน้าที่มีแววเศร้าสลดเมื่อครู่กลับมีชีวิตชีวาขึ้นทันตาแบบนี้ โดยเฉพาะดวงตาที่หม่นเศร้าเปลี่ยนเป็นประกายวิ้งเจิดจ้า ก่อนจะร้องอ๋อยาวๆ เมื่อเห็นเป้าหมายของเธออยู่ไม่ห่างออกไป

“คุณพีมาทำอะไรที่นี่”

“ไม่รู้”

แม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ที่เขาตอบไปเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ และเหมือนว่าคำตอบของเขาไม่ได้เข้าหูเธอสักนิด เพราะโชติกาเอาแต่มองเป้าหมายไม่วางตา ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้แล้วเปิดกระเป๋าสะพายค้นหาบางอย่าง หยิบกระดาษขนาดเอสี่ที่พับครึ่งออกมาแล้วกางอ่านมันตรงนั้น

“ใช่เลย! คุณพีชอบมาที่ซูเปอร์มาร์เกตห้างนี้เพื่อซื้อของสดไปทำอาหารทานเอง”

“พ่อครัวหัวเห็ดนี่เอง” ติณณภพชะโงกหน้าไปอ่านโพยกระดาษในมือเธอ ซึ่งมีประวัติและกิจวัตรประจำวันของพีรภัทรคร่าวๆ แต่โชติกากลับทำให้เขาเริ่มกลัวสายตาที่เธอมองมา เหมือนคนที่ไม่ได้กินข้าวมาสามเดือนแล้วเจอกระบอกข้าวหลามอยู่ตรงหน้า พร้อมจะกระโจนเข้าใส่เพื่อหาอะไรยาไส้ แม้ในกระบอกข้าวหลามจะมีคางคกอยู่ด้วย เธอก็ยินดีจะกินมัน หรือถ้าเจอคางคกย่างเดี่ยวๆ เธอก็คงรีบตะครุบ สายตาของเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ “อะไร...มองผมแบบนี้ทำไม”

“เราไปซื้อของทำอาหารกันดีกว่าพี่ติณณ์ น้องโชอยากแสดงเสน่ห์ปลายจวักให้ประจักษ์ไปทั่วดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่ชื่อว่า โลก!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น