1

เริ่มแผนการ


1

เริ่มแผนการ

 

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

หนุ่มร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเดินออกจากช่องผู้โดยสารขาเข้าด้วยกระเป๋าเป้ติดกายเพียงใบเดียว ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม จมูกเป็นสันโด่งสวย แม้จะมีแว่นกันแดดสีชาปกปิดดวงตาคมไว้ แต่เพียงเท่านี้ก็เรียกความสนใจจากคนที่พบเห็นได้มากโข ผิวดำแดงที่โผล่พ้นแขนเสื้อไม่ได้บ่งบอกผิวที่แท้จริงของเจ้าตัว ภายใต้เสื้อยืดธรรมดาเต็มไปด้วยมัดกล้ามและผิวขาวสะอาดตามกรรมพันธุ์ของคนที่มีเชื้อสายจีนจากฝั่งบิดา

ติณณภพ หิรัญเลิศทรัพย์ คือชื่อของเขา

เจ้าของร่างสูงชะงักขาที่กำลังจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ ก่อนจะถอดแว่นกันแดดราคาแพงออกเพื่อมองผู้หญิงร่างเล็กสูงประมาณไหล่เขา แต่งตัวตามสมัยนิยม ที่มายืนดักหน้าได้ถนัดถนี่ ติณณภพแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเธอที่นี่

“ได้เวลากลับบ้านเสียทีนะ”

อิงดาวยืนเชิดหน้ากอดอกมองหนุ่มร่างสูงที่ผิวคล้ำขึ้นจากแดด แต่ความหล่อก็ยังปรากฏให้เห็น แถมยังดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบอีกต่างหาก แต่ที่ขัดใจเธอเอามากๆ ก็คือหนวดเคราที่เจ้าตัวไม่คิดจะกำจัดมัน มันรกเสียแทบจะมองใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก

“จะกลับบ้านทั้งทีไม่คิดจะบอกแม่ผู้บังเกิดเกล้าเลยหรือไงไอ้ตัวแสบ!”

“แม่อิงมาได้ไงเนี่ย” ถึงจะแปลกใจ แต่ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปกอดท่านด้วยความคิดถึง ติณณภพไม่ได้บอกใครว่าจะเดินทางกลับไทยวันนี้ แม้แต่เลขาฯ ส่วนตัวยังไม่รู้กำหนดการ แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาผู้หญิงที่ชื่ออิงดาวคนนี้

“แม่คิดว่าติณณ์จะสร้างกระโจมอยู่กลางทะเลทรายถาวรเสียอีก” อิงดาววัยสี่สิบเก้ากะรัตพูดด้วยความน้อยใจ แม้อายุจะเข้าใกล้เลขห้าไปทุกที ทว่ากลับไม่มีอะไรทำลายความสวยและความสาวของเธอได้

อิงดาวยังมีใบหน้าเหมือนสาววัยสามสิบตอนปลาย ไม่เพียงแค่วิทยาการทางการแพทย์ที่พัฒนาก้าวไกล แต่เพราะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีทำให้เธอเป็นเหมือนสาวสองพันปี อย่างที่ลูกชายทั้งสองคนมักแซวอยู่เป็นประจำ

“ถึงทะเลทรายจะมีอะไรน่าสนใจมากมาย แต่ก็ไม่เท่าบ้านเราหรอกครับ” ชายหนุ่มเอ่ยประจบ

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ติณณ์คงไม่อยู่เกือบครึ่งปีหรอก” เหมือนผู้เป็นแม่จะรู้ทัน

“ผมก็กลับมาแล้วไงครับ” ติณณภพโอบเอวมารดาพาตรงไปที่รถ ซึ่งท่านเป็นคนขับมาเอง “อีกนานกว่าผมจะไปผจญภัยที่อื่นต่อ”

ติณณภพเป็นนักผจญภัย ชอบท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ และทะเลทรายเป็นสถานที่ล่าสุดที่ชายหนุ่มไปมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดที่เขาเคยออกทริป ปกติก็จะราวสองสัปดาห์ในแต่ละสถานที่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงทำงาน โดยประสานงานผ่านเลขาฯ ส่วนตัวอยู่ไม่ขาด ทว่าคนเป็นแม่กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของเขาสักเท่าไร

“อีกไม่กี่เดือนติณณ์จะอายุครบสามสิบสามอยู่แล้ว ไม่คิดจะหาสาวสวยมาเป็นคู่เหรอลูก” อิงดาวลองเชิง ติณณภพไม่เคยพาใครมาแนะนำให้รู้จักในฐานะแฟนเลยสักครั้ง เธอรู้ว่าลูกชายไม่เคยขาดแคลนเรื่องผู้หญิง แต่คนที่เขาจะจริงจังและสร้างครอบครัวด้วยไม่เคยมี

หากติณณภพมีคนรัก บางทีเขาอาจจะเลิกเดินทางไกลๆ ไปยังที่ที่อันตรายอย่างที่เคยเป็นมา เธอเองไม่คิดห้ามลูกเพราะรู้ว่าเขาชื่นชอบ แต่คนเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูกอยู่ตลอดเวลาคงปล่อยให้เป็นแบบนั้นต่อไปไม่ได้

“แม่อิงยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่ามาที่นี่ได้ยังไง รู้ได้ไงว่าผมจะกลับวันนี้และเวลานี้” ติณณภพเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะติณณภพ” คนเป็นแม่ไม่คล้อยตาม

“โอเคครับ คำตอบคือผมยังไม่เจอคนที่ใช่ หมดคำถามและความสงสัยแล้วนะครับคุณแม่ที่รัก” ติณณภพเปิดประตูหลังรถ เหวี่ยงกระเป๋าไปเก็บ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้มารดาที่ยืนหน้าบึ้งอยู่เพราะคำตอบของตน “เชิญขึ้นรถครับมาดามอิงดาว”

“เป็นเพราะลูกไม่หาเองต่างหาก”

“เรื่องแบบนี้ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็เจอเองนั่นแหละครับ” ติณณภพแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนหน้านี้มารดาไม่เคยกดดันเขาเรื่องนี้ ทว่าตั้งแต่ตุลากร พี่ชายคนโตแต่งงานมีครอบครัวสมใจหวัง เป้าหมายต่อไปจึงเบี่ยงมาที่เขาทันที

“ติณณ์จะรอให้ถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เราต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเองสิถึงจะถูก” อิงดาวยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ผมรู้นะครับว่าแม่อิงคิดอะไรอยู่” ติณณภพเอ่ยดักทาง เขาเป็นลูกชายของผู้หญิงตรงหน้ามาเกือบสามสิบสามปี มีหรือจะดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “และผมไม่ไปอย่างแน่นอน”

“เสียใจจ้ะลูกชาย” อิงดาวแสร้งตบบ่าลูกชายด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทั้งที่ความจริงเธอสะใจเป็นบ้า “แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านกำพล ซึ่งลูกไม่มีทางปฏิเสธได้”

“พ่อก็มีพี่ตุลย์ไปด้วยแล้วนี่ครับ จะหิ้วผมไปด้วยอีกคนทำไม”

แม้ไม่รู้ว่างานที่บิดาออกคำสั่งให้ไปคืองานอะไร แต่เขาไม่ชอบออกงานและเกลียดการเข้าสังคมแบบนี้ที่สุด มันเป็นแค่งานที่อวดความมั่งมีของตัวเอง หรือไม่ก็ยกลูกยกหลานตัวเองมาข่มคนอื่น เขาจะออกงานก็ต่อเมื่อมีคนที่อยากคุยธุรกิจร่วมงานอยู่ด้วยเท่านั้น

“พ่อเขาคงอยากพาลูกไปแนะนำให้คนอื่นรู้จัก ติณณ์ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กจนหลายคนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าแม่มีลูกชายสองคน” เสียงอิงดาวเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว เพราะไม่ค่อยได้ดูแลลูกชายคนนี้นัก ติณณภพเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เขาชอบอิสรเสรีมากกว่าจะชอบทำตามคำสั่งใคร แม้คำสั่งนั้นจะเป็นของเธอก็ตาม

“เฮ้อ...คราวนี้งานอะไรล่ะครับ” สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมใจอ่อนจนได้ ผู้หญิงตรงหน้ารู้ดีว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ตรงไหน และเธอก็เลือกใช้มันอย่างชาญฉลาด

“เดี๋ยวแม่เล่ารายละเอียดให้ฟังในรถดีกว่าเนอะ” อิงดาวรีบขึ้นรถแล้วปิดประตูรอลูกชาย ก่อนที่ติณณภพจะโบยบินสู่โลกกว้างเธอเลี้ยงเขามาเองกับมือ ย่อมรู้ดีว่าพูดอย่างไรลูกชายคนนี้ถึงจะยอมแต่โดยดี

“แม่อิงอยากเล่าอะไร เต็มที่เลยครับ” ติณณภพพูดขึ้นหลังออกจากสนามบินมุ่งตรงเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองซิวิไลซ์ที่มีแต่ความวุ่นวาย “ผมตกหลุมพรางแม่อิงแล้วนี่ครับ จะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับไฮโซไฮซ้อที่ไหน ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อแม่อิงลากพ่อมาเอี่ยวด้วยนี่”

“ไม่ใช่ไฮโซไฮซ้อที่ไหนหรอก เป็นเพื่อนพ่อเรานั่นแหละ งานวันเกิดครบห้าสิบสามปีเจ้าสัวธนินทร์ เจ้าของบริษัทน้ำเมาและเป็นเจ้าของนิตยสารหัวแดงไงลูก”

“ผมไม่ไปก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ” ติณณภพยังหาทางเลี่ยงที่ตนเองจะไม่ต้องไป

“ติณณ์ไปก็ไม่เสียหายอะไรนี่ลูก งานนี้มีสาวๆ สวยๆ ไปร่วมงานกันเยอะ ทั้งไฮโซ ดารา นางแบบ คงมีสักคนที่สวยถูกใจลูกชายแม่”

“ดารา นางแบบบริษัทพ่อก็เยอะแยะ ผมหาเอาจากนั้นง่ายกว่ามั้งครับ”

ธุรกิจของครอบครัวหิรัญเลิศทรัพย์คือสถานีโทรทัศน์ชื่อดัง การจะหาผู้หญิงสวยไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่จะหาใครสักคนที่ใช่สำหรับเขายากพอๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทร

“สมภารไม่กินไก่วัดนะลูก”

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทำอย่างที่แม่พูด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วนี่แม่อิงไปด้วยรึเปล่า” เมื่อเห็นคนเป็นแม่ส่ายหน้าก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเซ็ง “ตลอดเลยแม่อิง”

“แม่นัดกับคุณยายไปปฏิบัติธรรมที่เขาค้อจ้ะ” อิงดาวยิ้มให้ลูกชาย จะว่าไปตุลากรนิสัยเหมือนคนพ่อ ส่วนติณณภพนิสัยเหมือนเธอก็คงไม่ผิดนัก คนพี่ชอบออกงานสังคม พบปะผู้คนเช่นสามีเธอ ส่วนติณณภพตรงข้ามทุกอย่าง

“สุดท้ายคงต้องไปอยู่ดีใช่ไหมครับ”

“ถูกต้องที่สุด แล้วติณณ์จะไปไหนลูก นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่” อิงดาวถามขึ้นเมื่อติณณภพเบี่ยงออกไปอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางกลับบ้าน

“วันนี้ผมขอยังไม่เข้าบ้านนะครับ จะไปนอนคอนโด”

“ก็ได้...แต่อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ลูกต้องไปงานกับคุณพ่อ” อิงดาวยอมถอยออกมาครึ่งทาง เพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบการถูกบังคับ

“คร้าบ...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างจำยอม ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ตกลงแม่อิงรู้ได้ยังไงครับว่าผมกลับมาวันนี้”

“แม่มีหนุ่มหล่อเป็นไส้ศึกจ้ะ”

“คำถามที่สอง คนไทยหรือต่างชาติครับ” ติณณภพเริ่มเดาได้ว่าคงเป็นเพื่อนเขาสักคนที่ส่งข่าวบอกมารดา ไม่เช่นนั้นท่านไม่มีทางนั่งทางในจนรู้ว่าเขาจะเดินทางกลับมาวันนี้

“ลูกครึ่งจ้ะ”

“ไอ้ราล์ฟ! ไอ้เพื่อนทรยศ”

เพียงแค่มารดาบอกว่าลูกครึ่ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าไส้ศึกของมารดาคือราล์ฟ หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-อิตาลีที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่อเมริกา ไม่คิดว่ามันจะหักหลังกันได้ลงคอ เขารึอุตส่าห์จะมาแบบเงียบๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกงานแบบที่มารดาขอ สุดท้ายก็ไม่รอดหูรอดตาท่านอยู่ดี

“เพื่อนติณณ์ออกจะน่ารัก”

“ครับ น่ารักมากกก...” เขาลากเสียงยาวเมื่อนึกถึงตัวการ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างแล้วกัน

 

“พี่แชมป์ได้รับเชิญไปงานวันเกิดท่านเจ้าสัวธนินทร์ด้วยเหรอคะ”

โชติกาตาโตเมื่อเปิดดูการ์ดเชิญสุดหรูของผู้จัดการ และเจ้าของวันเกิดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเจ้าสัวธนินทร์คือพ่อว่าที่สามีในอนาคตของเธอนั่นเอง แบบนี้เข้าทางเลยน่ะสิ เหมือนสะพานทอดให้เธอไปเป็นสะใภ้เจ้าสัวชัดๆ

“แกก็รู้ว่าในวงการบันเทิงฉันมีอิทธิพลแค่ไหน เด็กในสังกัดฉันก็ไปขึ้นปกหนังสือเจ้าสัวตั้งมากมาย รวมถึงแกเองก็ด้วย”

“นั่นน่ะสิ” โชติกาพยักหน้าเห็นด้วย ผู้จัดการส่วนตัวของเธอถือว่ามีชื่อเสียงเรื่องการปั้นเด็กเข้าวงการมาก ใครที่ผ่านมือชนินทร์มีชื่อเสียงร้อยละเก้าสิบห้าเชียวละ “พี่แชมป์จะชวนโชไปด้วยใช่ไหม” โชติกากะพริบตาปริบๆ ขอความเห็นใจจากผู้จัดการ หวังให้เขาหนีบเธอเข้าร่วมงานด้วย

“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้ ฉันพาแกไปด้วยอยู่แล้ว”

“พี่แชมป์เป็นนางฟ้าสำหรับโชเสมอ” หญิงสาวประจบเสียงหวาน

“นี่เป็นโอกาสทองของแกแล้วนะโช พยายามเข้าถึงตัวคุณพีรภัทรให้ได้มากที่สุด และแน่นอนว่าแกมีคู่แข่งระดับเดียวกันแน่ๆ หรือบางทีพวกหล่อนก็นำหน้าแกไปไกลโขแล้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะโชว์มีออปชันเสริมอาวุธอย่างพี่แชมป์อยู่ทั้งคน งานนี้มีแซงทางโค้งแน่”

 

คฤหาสน์เจ้าสัวธนินทร์

งานฉลองวันเกิดอายุครบห้าสิบสามปีของเจ้าสัวธนินทร์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติเจ้าของงานเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านที่มีพื้นที่หลายตารางวาในการจัดงาน และผู้ที่ได้รับเกียรติมาร่วมงานต่างก็มีชื่อเสียงในวงสังคมและวงการธุรกิจ หรือแม้แต่นักการเมืองระดับประเทศก็ได้รับเชิญ

เจ้าสัวธนินทร์เดินทักทายแขกคู่กับภรรยาและลูกชายอย่างเป็นกันเอง พีรภัทรได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสาวสวยที่มาร่วมงานต่างก็หมายปองชายหนุ่มไว้ในใจ รวมไปถึงซุป’ตาร์สาวอย่างโชติกาด้วย

“เช็ดน้ำลายแกหน่อยยายโช” ชนินทร์กระซิบบอกโชติกาให้ได้ยินกันเพียงสองคน เพราะดาราสาวออกอาการมากจนเกินงาม เล่นมองเป้าหมายจนตาเยิ้ม

“คุณพีเขาดูดีทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ พี่แชมป์”

โชติกามองพีรภัทรที่กำลังคุยกับแขกด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน รอยยิ้มประดับหน้าหล่ออยู่ตลอดเวลายามพูดคุย ไม่ใช่แค่ยิ้มที่ปาก แต่รวมถึงดวงตามีเสน่ห์นั่น ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากภาพเบื้องหน้าได้

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่แกควรจะเก็บอาการหน่อย ไม่ใช่มองเขาตาเยิ้มแบบนั้น”

“ก็คุณพีเขาน่ามองนี่” หญิงสาวแก้ต่างให้ตัวเองและรอคอยให้ท่านเจ้าสัวเดินมาถึงโต๊ะที่เธอนั่งใจจะขาด ทว่าเมื่อมองไปที่หน้างาน มีแขกกลุ่มหนึ่งเข้ามาใหม่ รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าโชติกาก็หายวับไปกับตา “โชไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่แชมป์”

“อ้าวยายโช...อีกไม่กี่โต๊ะเจ้าสัวก็เดินมาถึงแล้วนะ” ชนินทร์ไม่เข้าใจดาราสาว เพราะรู้ว่าโชติกากำลังรอคอยเวลานี้อยู่ แต่เมื่อโอกาสมาถึงกลับวิ่งหนีไปซะอย่างนั้น

“โชจะกลับมาให้ทันค่ะ”

“เดี๋ยวสิยายโช” ชนินทร์พยายามเรียกหญิงสาวไว้ แต่เสียงดังมากไม่ได้เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่น และตอนนี้โชติกาก็หายลับไปกับความมืดเสียแล้ว “เป็นอะไรของมันเนี่ย”

“นึกว่าจะไม่มากันซะแล้ว”

เสียงเจ้าของวันเกิดเรียกความสนใจจากชนินทร์ได้เป็นอย่างดี และรู้ต้นเหตุอาการแปลกไปของโชติกาได้ในทันที เพราะ ‘อัศวเมธานนท์’ สินะ

ทางด้านคนที่หลบออกมามัวแต่จ้ำอ้าวจนลืมโฟกัสจุดหมายปลายทาง ทำให้ตอนนี้โชติกาเดินมาจนถึงสวนหลังบ้านของเจ้าสัวธนินทร์ ยอมรับว่าบ้านหลังนี้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมาะสมกับฐานะเจ้าของบ้านเป็นอย่างยิ่ง นี่ถ้าเธอได้มาเป็นสะใภ้ตระกูลนี้จริงคงสบายไปทั้งชาติ เพราะเจ้าสัวท่านมีลูกชายแค่คนเดียว ทรัพย์สมบัติที่มีคงไม่พ้นพีรภัทร และสุดท้ายก็จะตกทอดไปยังลูกของเธอในที่สุด

“ความคิดแกนางร้ายมากโชติกา” หญิงสาวต่อว่าตัวเองพลางมองหาทิศทางเพื่อนั่งพักเหนื่อยและทำใจเดินเข้างานอีกรอบ ซึ่งม้าหินอ่อนหน้าโรงกล้วยไม้เหมาะมากที่สุด แต่อารมณ์เธอต้องมาสะดุด “ใครมาสูบบุหรี่แถวนี้เนี่ย”

โชติกายกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นบุหรี่ แต่ยังหาต้นตอไม่เจอ หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับมองรอบๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของควันพิษ ทว่า...

“กรี๊ด! นายเป็นใคร! มายืนทำอะไรตรงนี้!”

โชติการ้องกรี๊ดออกมาในจังหวะที่หันกลับมาเจอชายแปลกหน้ายืนจ้องเธออยู่ แถมยังมีท่าทีไม่น่าไว้วางใจ ผิวดำคล้ำ หนวดเครายาวเฟิ้ม ผมเผ้าก็เหมือนไม่ได้หวี ถ้าเป็นนักแสดงก็รับบทได้อย่างเดียวคือ โจรปล้นฆ่า

‘หรือว่าเขาจะเป็นโจรปล้นฆ่าจริงๆ’ โชติกาเริ่มระแวงคนตรงหน้า หยิบกระเป๋าถือที่ตนวางทิ้งไว้อย่างมือไม้สั่น ก้มมองเสื้อผ้าตัวเองที่สวมชุดราตรีเกาะอกสีขาวก็ยิ่งน่ากังวล อาจจะไม่ใช่แค่ปล้นฆ่าธรรมดา ทว่าอาจจะมีออปชันพ่วงข่มขืนฝืนฆ่าขึ้นมาอีกอย่าง

“จะมาปล้นฉันเหรอ ฉันไม่มีอะไรให้ปล้นหรอก ตอนนี้ฉันตกอับจะตาย” เธอยิ่งกลัวจับใจเมื่อชายหนุ่มแปลกหน้ามองมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ในกระเป๋าก็ไม่มีอะไร นอกจากโทรศัพท์” โชติกามือไม้สั่นเปิดกระเป๋าให้เขาดู แต่กลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหนักกว่าเดิม

“จะเลิกบ้าได้หรือยังแม่คุณ!” ติณณภพพูดขึ้นด้วยความหัวเสีย ให้ตายเถอะ นี่สภาพเขาดูแย่ขนาดเจ้าหล่อนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโจรเลยอย่างนั้นหรือ “ผมไม่ใช่โจรอย่างที่คุณกล่าวหา”

“ฉันไม่ได้กล่าวหานะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ ทั้งที่เธอเป็นอย่างที่เขากล่าวหามาทั้งหมดนั่นละ แต่เพื่อชีวิตการเป็นสะใภ้เจ้าสัวของเธอจะยังคงอยู่จึงต้องปฏิเสธไป ทว่าเหมือนสกิลการโกหกของเธอจะติดลบ

“เหรอ...” ติณณภพลากเสียงยาว

“ใครใช้ให้นายมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้เล่า” เมื่อโกหกไม่รอดก็จำต้องพูดความจริงออกมา

โชติกาปิดกระเป๋าที่ไม่มีอะไรมีค่า นอกจากโทรศัพท์ไว้ดังเดิม ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด ก่อนจะสำรวจคนที่บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นโจร

ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดกึ่งไปรเวตกึ่งสุภาพ สวมเสื้อยืดคอวีสีขาว นุ่งกางเกงยีนสีเข้มพอดีตัวกับ สวมทับด้วยสูทสีดำ นี่ถ้าเขาโกนหนวดและจัดแต่งทรงผมคงจะดูดีมาก ด้วยหุ่นกำยำที่สูงเกินมาตรฐานชายไทยแบบนี้เป็นนายแบบได้ไม่ยากเลย

“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่ามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้ เพราะผมก็อยู่ตรงนี้ของผมมานานแล้ว ก่อนที่คุณจะเดินมาซะอีก”

ติณณภพมองผู้หญิงสวยจัดตรงหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง และคงเป็นแขกที่มาร่วมงานวันนี้ แต่เพราะท่าทางไม่เต็มเต็งของเธอทำให้เขาต้องส่ายหัว

มีอย่างที่ไหนเจ้าหล่อนเห็นผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์เป็นโจรไปได้ ถึงสภาพภายนอกจะดูก้ำกึ่งก็เถอะ แต่เขาก็มีสง่าราศี อยู่ในตัวเหมือนกันนั่นละน่า

ติณณภพมาร่วมงานวันเกิดของท่านเจ้าสัวตามคำสั่งของบิดา โดยตามมาสมทบทีหลัง แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้างานก็ถูกมองด้วยสายตาหยามเหยียดจากแขกท่านอื่น หากมองจากภายนอกเขาอาจเหมือนโจรอย่างที่หญิงสาวบอก และจากสายตาบางคนที่มองมาก็ล้วนตัดสินคนจากภายนอกทั้งนั้น เขาจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาที่แห่งนี้แทน

“แสดงว่ากลิ่นบุหรี่นั่นก็มาจากนายสินะ”

“อือฮึ” ชายหนุ่มยอมรับไปตามตรง ยกบุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนให้เธอดู

“เฮ้อ...ทำลายตัวเองยังไม่พอ ยังจะมาทำลายคนอื่นเขาอีก” โชติกาบ่นอุบคนเดียว แต่ก็ดังพอให้อีกคนได้ยิน

“ถ้าไม่อยากถูกทำลายก็กลับเข้างานไปเถอะคุณผู้หญิง” ติณณภพโบกมือไล่อย่างไม่แยแส ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม โดยไม่สนใจหญิงสาวแปลกหน้าอีก

“นายเองก็เป็นแขกในงานเหรอ” เมื่อยังไม่พร้อมจะเข้างาน จำต้องนั่งตรงนี้ต่ออีกหน่อยเลยชวนชายหนุ่มคุย เผื่อว่าเขาจะรู้จักเจ้าของงานและทำให้เธอได้ข้อมูลเพิ่มเพื่อจีบพีรภัทรต่อไป

“เร็วๆ สิวะพวกเอ็ง แขกเริ่มมาเยอะแล้ว อาหารเครื่องดื่มอย่าได้ขาด”

เสียงเอะอะจากอีกฝั่งหนึ่งของบ้านทำให้โชติกาหันไปมอง ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดจัดเตรียมอาหารของงาน มีพนักงานที่แต่งกายด้วยสูทดำกำลังทำงานกันอย่างแข็งขัน เมื่อหันมามองคนข้างกายซึ่งแต่งกายแบบเดียวกันก็คาดว่าเขาคงอู้งานมาสูบบุหรี่นั่นเอง และด้วยหน้าตาไม่น่ารับแขกของเขา ชายหนุ่มน่าจะเป็นคนซัปพอร์ตหลังครัวมากกว่า

“นายเป็นพนักงานของภัตตาคารอาหารที่เจ้าสัวจ้างมาใช่ไหม”

“ผมเหมือนขนาดนั้นเลยเหรอ” ติณณภพถามกลับ เขาควรจะดีใจใช่ไหมเนี่ยที่ถูกเลื่อนสถานะจากโจรมาเป็นพนักงานดูแลอาหาร

“แล้วไม่ใช่เหรอ”

“อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ” ติณณภพไม่แก้ความเข้าใจผิด บอกว่าเป็นผู้บริหาร เธอก็คงไม่มีทางเชื่อเหมือนเดิม เป็นพนักงานดูแลอาหารก็ไม่เสียหายอะไร แถมยังเป็นร้านจากภัตตาคารดังอีก

ครืด ครืด

เสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์ทำให้โชติกาต้องหยิบขึ้นมาดู ผู้จัดการของเธอนั่นเองที่ส่งข้อความมา

“คุณพีรภัทรของแกเดินกำลังจะถึงโต๊ะเราแล้ว กลับเข้างานมาได้แล้ว”

ข้อความจากชนินทร์ทำให้โชติกาตื่นตัว คงได้เวลากลับเข้าไปร่วมงานแล้ว แม้จะต้องเจอใครบางคนก็คงไม่มีทางเลือก ดีไม่ดีเขาอาจจะไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำไป

“ฉันขอตัวก่อนนะ” โชติกาลุกขึ้นบอกลาทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ

“คุณเป็นแฟนของลูกชายบ้านนี้เหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไป ทั้งที่ไม่ใช่คนที่จะอยากรู้เรื่องชาวบ้าน แต่เมื่อพลั้งปากออกไปแล้วก็คงคืนคำไม่ได้

โชติกาที่เดินออกไปแล้วชะงัก ก่อนจะหันกลับมาตอบคนถามด้วยใบหน้ามีรอยยิ้ม “เป็นว่าที่แฟนในอนาคตน่ะ”

เธอก็คงไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่มาร่วมงาน เพราะพวกเธอเหล่านั้นต่างก็หมายปองลูกชายคนเดียวของเจ้าสัวธนินทร์ตาเป็นมัน แน่นอนว่าพีรภัทรเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกเธอเลยละ

“ผมจะบอกอะไรให้นะคุณผู้หญิง ผู้ชายน่ะเขาไม่ชอบถูกล่าหรอก แต่ชอบเป็นฝ่ายออกล่าเองมากกว่า”

ติณณภพพูดไปตามนิสัยผู้ชายโดยทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นเขาเป็นต้น ส่วนไอ้พวกที่ชอบให้ผู้หญิงล่าแล้วรอตะครุบเหยื่อน่ะมันมีแต่ส่วนน้อย เพราะผู้ชายก็เหมือนเจ้าป่าที่ต้องการประกาศศักดาของตัวเองด้วยการออกล่า

“นายคิดแบบนั้นเหรอ” โชติกาที่เดินไปแล้วรีบวิ่งกลับมาที่เดิมเมื่อได้ฟังคำแนะนำจากชายหนุ่มแปลกหน้า

เธอไม่รู้ว่าเขาแนะนำหรือพูดผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่เชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเธอไม่มากก็น้อย ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน ย่อมรู้ว่าผู้ชายคิดกันยังไง และเธอไม่อาจหาคำตอบแบบนี้ได้จากผู้จัดการส่วนตัว แม้ชนินทร์จะเป็นผู้ชายก็เถอะ

“มันก็ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

ติณณภพเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองพูดอะไรน่าสนใจออกไป เพราะสีหน้าของผู้หญิงตรงหน้าดูมีความหวังเหมือนกำลังค้นพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งทำให้เขานึกกลัว

“แล้วฉันควรจะทำยังไงให้เสืออยากออกล่าเองล่ะ” โชติกานั่งลงตามเดิม และตั้งใจฟังชายหนุ่มแปลกหน้าไปด้วย นี่ถ้ามีสมุดปากกาอยู่ในกระเป๋าคงเอาออกมาจดไปแล้ว หรือเธอควรจะอัดเสียงเขาไว้ดี

“อย่างแรกผู้ชายเขาต้องสนใจคุณก่อน เขาถึงจะอยากออกล่า”

ติณณภพไม่ได้อยากยุ่งเรื่องคนอื่น แต่เพราะดวงตาใสซื่อของคนตรงหน้าทำให้เขาจำต้องพูดออกไป ดูท่าแล้วเจ้าหล่อนจะชอบพีรภัทรเอามากๆ หากแนะนำไปคงไม่เสียหายอะไร แม้ไม่รู้ว่าชายที่หญิงสาวหมายปองมีนิสัยใจคออย่างไร แต่เขาก็เลือกพูดจากที่เห็นโดยทั่วไปและจากนิสัยตัวเอง

“แล้วฉันไม่น่าสนใจเหรอ”

เชื่อเธอจริงๆ ไม่คิดว่าสาวเจ้าจะกล้าถามคำถามแบบนี้ออกมา การจะถามแบบนี้คนคนนั้นต้องมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งเลยละ ซึ่งเธออาจจะเกินระดับหนึ่งไปมากแล้วด้วย

“ผู้ชายแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน”

“แล้วฉันควรจะทำยังไงให้คุณพีเขาสนใจล่ะ”

“ผู้ชายร้อยละเก้าสิบเก้าชอบผู้หญิงฉลาด” ไม่มีใครเก็บสถิติหรอก แต่เขาบอกไปตามความรู้สึก ผู้ชายก็ย่อมอยากได้ผู้หญิงฉลาดเป็นคู่ครองทั้งนั้น

“หวังว่าคุณพีจะเป็นผู้ชายหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่” หญิงสาวพูดกับตัวเองเสียงเบาด้วยความท้อแท้ แถมที่ปรึกษาเฉพาะกิจยังให้กำลังใจกันสุดๆ

“ระดับนั้นเป็นร้อยละเก้าสิบเก้าชัวร์” ชายหนุ่มออกความคิดเห็นก่อนจะพูดต่อ “จากที่ผมฟังมาทั้งหมด คุณกับเขาน่าจะยังไม่เคยทำความรู้จักกันจริงจัง”

“ครั้งแรกที่เจอกันเลยต่างหาก”

“เอาง่ายๆ คือคุณก็อย่าแสดงออกจนเกินงาม ทำตัวให้เป็นผู้หญิงน่าสนใจ แล้วอย่าคิดไปลงแข่งกับผู้หญิงคนอื่นอย่างโจ่งแจ้งเชียว เพราะมันจะทำให้เสียคะแนน ใช้รอยยิ้มพิมพ์ใจของคุณนี่แหละเรียกความสนใจจากเขา”

ก่อนหน้านี้ที่หญิงสาวยิ้มให้ ทำให้เขารู้ว่าเวลาเธอยิ้มนั้นน่ามองมากกว่าทำหน้านิ่งเป็นไหนๆ

“ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนยิ้มสวย แต่แค่รอยยิ้มมันจะได้ผลเหรอ” โชติกาเริ่มไม่มั่นใจ

“เจอกันครั้งแรกจะลากไปอำเภอเลยรึไง มันต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ ไม่งั้นผู้ชายเขาก็กลัวแย่”

“เอาเป็นว่าฉันจะทำตามที่คุณแนะนำก็แล้วกัน” โชติกายิ้มให้อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน “ขอบคุณนะ ฉันต้องไปแล้วละ เดี๋ยวไม่ทันเจอคุณพีกันพอดี”

“ขอให้โชคดีครับ”

“อ้อ...แล้วนายก็อย่าไปบอกใครล่ะว่าฉันมาขอคำปรึกษาเรื่องผู้ชายจากนาย ไม่งั้นซุป’ตาร์อย่างฉันเสียชื่อเสียงกันพอดี และนายไม่ต้องดีใจไปนะที่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวกับฉัน ไม่ต้องตื่นเต้นๆ ทำใจสบายๆ ได้เลย”

โชติกาพูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้คนที่กลายเป็นผู้ให้คำแนะนำได้แต่งงงวย เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจกับอีแค่คุยให้คำแนะนำผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง

“กูเริ่มจะสงสารผู้ชายคนนั้นขึ้นมาแล้วสิ” ติณณภพส่ายหัวด้วยความขบขัน ก่อนจะรับสายผู้เป็นพ่อที่โทร. เข้ามา “ครับพ่อ...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น