4

ตอนที่ 4

 

“เฮ้ย!...เรื่องของผัวเมีย อย่ายุ่ง” ชายที่กำลังยื้อยุดชลาลัยแอบอ้างด้วยน้ำเสียงกร้าว มือใหญ่บีบข้อมือเธอแน่นราวกับคีมเหล็กจนเธอเจ็บร้าวไปทั้งแขน

ฟ้าครามฟังแล้วก็หันมามองเธอ “คุณเป็นเมียเขาหรือ”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักเขา” หญิงสาวรีบกัดฟันปฏิเสธ พยายามสะบัดข้อมือที่ถูกบีบรัดจนแน่น แต่ก็ไม่อาจหลุดได้โดยง่าย

“ผมว่าปล่อยเธอดีกว่า อย่าทำอย่างนี้เลย”

“เสือก!”

กำปั้นของชายที่จับเธอถูกเหวี่ยงใส่ฟ้าครามอย่างเกรี้ยวกราด ทว่าสถาปนิกหนุ่มที่เห็นหน้าใสๆ กลับหลบได้อย่างว่องไว ก่อนจะกำหมัดสวนกลับเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง จนทำให้ร่างใหญ่ถึงกับตัวงอเป็นกุ้ง

ชลาลัยอาศัยจังหวะนั้นสะบัดมือออกทันที ก่อนที่ร่างใหญ่จะทรุดตัวลงไปคุกเข่ากุมท้องด้วยความเจ็บจุก เธอจึงรีบโผไปหลบหลังฟ้าครามด้วยความหวาดกลัว

“คุณไม่เป็นไรนะ” เขาหันมาถาม

“ค่ะ”

“งั้นไปกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”

“ค่ะ”

เธอได้แต่ตอบสั้นๆ และปล่อยให้ฟ้าครามจับมือเธอพาไปที่รถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีขาวของเขา มือของเขาที่กุมมือเธอนั้นทั้งใหญ่และเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ก่อนที่เขาจะเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่งในรถแล้วรีบขับรถออกจากหน้าบาร์ทันที

“เขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ พลางนวดข้อมือข้างที่ถูกบีบเบาๆ รู้สึกหัวใจยังเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว

“ให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ”

“สถานีรถไฟฟ้าข้างหน้าก็ได้ค่ะ”

“เกิดเรื่องแบบนี้ยังจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับอีกหรือครับ ผมว่าผมไปส่งที่บ้านดีกว่ามั้ง”

“แต่...”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมอยากแน่ใจว่าคุณจะปลอดภัย”

เมื่อฟ้าครามยืนกราน และชลาลัยเองก็ยังตกอยู่ในความตระหนก เธอจึงจำต้องบอกที่อยู่กับเขา เขาจึงบังคับรถให้มุ่งหน้าสู่คอนโดมิเนียมของเธอทันที

“ขอบคุณนะคะ ไม่ได้คุณ ฉันคงแย่”

“อย่าคิดมากเลยครับ”

“ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี”

เขาส่ายหน้า “ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่าคิดมาก มันเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายอยู่แล้วที่ต้องช่วยผู้หญิงที่ถูกรังแก แต่ถ้าคุณอยากตอบแทนผม วันที่คุณไปทำงานที่บริษัท เลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็แล้วกัน”

“เอ๋!” ชลาลัยมองเขาอย่างงุนงง

“อ้าว...” ฟ้าครามชะงัก หันมามองเธอด้วยสีหน้าแปลกใจ “นี่ฝ่ายบุคคลยังไม่โทร. หาคุณหรือครับ”

“ยังค่ะ” ชลาลัยส่ายหน้าเหลอหลา

“แย่จริง ผมเอาความลับบริษัทมาเปิดเผยเสียแล้วสิ” เขาหัวเราะ

“หมายความว่า...”

“ครับ” ฟ้าครามยิ้มแป้น เขาช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกินเวลายิ้มแบบนี้ “คุณพ่อตัดสินใจแล้วว่าจะรับคุณเข้าทำงานเป็นสถาปนิกของบริษัท”

“จริงหรือคะ” หญิงสาวตาโตด้วยความดีใจ รู้สึกเหมือนมีคนจุดพลุในโพรงอกของเธอ หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกที่ได้รับทราบข่าวดีหลังจากเพิ่งเกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นมาหมาดๆ

“ผมจะหลอกคุณทำไมล่ะ” เขาหัวเราะ “ตอนคุณกลับไป คุณพ่อก็เรียกผมไปคุย ท่านบอกว่าเห็นประวัติกับสัมภาษณ์คุณแล้วก็ไม่อยากเสียคนมีฝีมือให้บริษัทอื่น ก็เลยตัดสินใจรับคุณเป็นสถาปนิกของบริษัท ถ้าวันนี้ฝ่ายบุคคลยังไม่โทร. หาคุณ ก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้ละครับ”

“โหย...ดีใจจังเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะได้งานเร็วอย่างนี้นะคะ”

“คนมีฝีมือก็แบบนี้่ละครับ” เขาหันมายิ้มให้เธอ “เอาเป็นว่าคุณติดข้าวผมหนึ่งมื้อนะ”

“ได้เลยค่ะ” ชลาลัยตอบรับด้วยความตื่นเต้น อย่างนี้เองสินะที่เขาเรียกว่าฟ้าหลังฝน เพราะหลังจากเรื่องร้ายเมื่อครู่ เธอก็ได้รับข่าวดีทันที ช่างเป็นอะไรที่โชคดีจริงๆ

“แล้วนี่คุณฟ้าครามมาเที่ยวหรือคะ”

“อ๋อ...พอดีนัดเพื่อนไว้น่ะครับ แต่คงไม่ได้เข้าไปแล้ว ไม่รู้หมอนั่นจะยังอยู่หรือเปล่า ผมไม่ค่อยอยากมีเรื่องเท่าไร”

“แหม...นี่ขนาดไม่อยากมีเรื่องนะคะ” หญิงสาวยิ้ม เพราะนึกถึงตอนคนไม่อยากมีเรื่องปล่อยหมัดเด็ดขึ้นมา “แต่ก็เตรียมพร้อมเสมอใช่ไหมคะ เพราะคุณดูเหมือนคนเป็นมวยเลย”

“ก็มีเข้าคลาสในยิมน่ะครับ ฝึกความคล่องตัวเท่านั้น เมื่อกี้จังหวะมันได้ก็เลยโชคดี”

“แหม...ถ่อมตัวจังนะคะ”

“ผมว่าคุณก็ควรฝึกไว้นะครับ เผื่อมีเรื่องอีกจะได้ป้องกันตัวได้”

“ก็ดีนะคะ แต่คงต้องหาเทรนเนอร์ดีๆ หน่อย”

“ผมเป็นให้ได้นะ ไม่คิดค่าสอนด้วย”

“ได้ค่ะ จะรับไว้พิจารณานะคะ”

ฟ้าครามหัวเราะ ก่อนจะหมุนพวงมาลัยอย่างนิ่มนวลพารถคันใหญ่มุ่งไปตามถนนหลัก หลังจากนั้นไม่นาน อัศวินขี่ม้าขาวก็นำรถเข้าไปจอดที่หน้าคอนโดมิเนียมหลังใหญ่

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

“ยินดีครับ” ฟ้าครามยิ้ม

ชลาลัยชะงักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วยืนส่งเขาจนกระทั่งรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาวคันงามแล่นหายลับไปกับความมืดของราตรีกาลแล้ว จึงค่อยเดินเข้าอาคารแล้วกดเรียกลิฟต์

ระหว่างรอลิฟต์ชลาลัยรู้สึกได้เลยว่าหัวใจของตัวเองยังคงเต้นรัวอยู่ เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องตื่นเต้นที่หน้าบาร์ หรือเรื่องที่เธอได้งานทำแล้ว หรือจะเป็นเพราะชายคนที่ทั้งช่วยเธอที่หน้าบาร์ และทั้งบอกข่าวดีเรื่องงานกันแน่

พอประตูลิฟต์เปิด หญิงสาวก็ก้าวเข้าไปข้างในแล้วกดปุ่มชั้นที่พัก ก่อนจะถอยไปพิงผนังลิฟต์แล้วยกสองมือขึ้นกุมหน้าอกพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าแดงเรื่อ ภาพที่เขาปกป้องเธอ ความรู้สึกที่มือใหญ่ของเขาโอบรัดรอบมือเธอ ทุกอย่างมันทำให้ความตื่นเต้นแล่นไปทั่วร่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แน่นอน...ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงเหมือนเขามาก่อน ฟ้าครามมีบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกหลงใหล เขาช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะในความสุภาพอ่อนน้อมของเขา กลับมีความแข็งแกร่งอย่างนักสู้ซ่อนเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง หมัดของเขาหนักหน่วงร้อนแรง แต่ในขณะที่เขากุมมือเธอมันกลับนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ

ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เลื่อนเปิด ชลาลัยสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเธอไม่อยากให้ผู้ชายอีกคนที่กำลังรอคอยเธออยู่เป็นห่วง

หญิงสาวออกจากลิฟต์ เดินไปที่ห้องชุดหรูหราแล้วใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป ตอนนั้นน่านตะวันกำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา เขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียงประตูแล้วยิ้มให้เธอ 

“กลับดึกเชียวนะวันนี้”

ความที่มีชนักติดหลัง ทั้งเรื่องที่แอบไปหาภาสพงษ์ และเรื่องที่แอบไปเที่ยวจนเกิดเรื่อง ทำให้ชลาลัยรู้สึกเหมือนคำถามนั้นเป็นเชิงตำหนิไม่น้อย เธอจึงฝืนยิ้มแล้วเดินไปนั่งข้างๆ พี่ชาย ก่อนจะเอนศีรษะซบไหล่เขาอย่างออดอ้อนเหมือนที่เคยทำมาตลอด

“ไปกินข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ พอดีคุยเพลินไปหน่อยก็เลยดึกไปนิด”

“เพื่อน...ผู้ชายหรือผู้หญิง”

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “ว่าแล้วพี่น่านต้องถามคำถามนี้”

“แล้วผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ”

“ผู้ชายค่ะ”

“แฟนหรือเพื่อน เอาให้แน่”

“เพื่อนค่ะ เพื่อนจริงๆ” ชลาลัยยืนยันหนักแน่น “วันก่อนที่สนามบิน น้ำก็ว่าจะแนะนำให้พี่น่านรู้จัก แต่มันฉุกละหุกไปหน่อย ก็เลยไม่ได้แนะนำน่ะค่ะ”

“มันเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าไหน”

“ชื่อธนากรค่ะ เป็นลูกรัฐมนตรีธนวัฒน์ค่ะ” ชลาลัยตอบโดยอ้างบิดาของเพื่อนสนิทเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

น่านตะวันนิ่งไปครู่หนึ่ง “เพื่อนแน่นะ”

“แน่ค่า” ชลาลัยตอบเสียงยานคาง “พี่น่านไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าน้ำจะมีแฟนจริงๆ น้ำจะบอกพี่น่านเป็นคนแรกเลย”

“ให้มันแน่”

“แน่อยู่แล้วสิคะ นอกจากคุณอาทั้งสอง พี่น่านก็เป็นเหมือนผู้ปกครองของน้ำ ยังไงน้ำก็ต้องขอความเห็นจากพี่น่านอยู่ดีแหละ”

น่านตะวันพยักหน้าแล้วนิ่งเงียบไป 

“อ้อ”

“อะไรอีกหือ”

“น้ำได้งานทำแล้วนะคะ”

“อะไรกัน เพิ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อวานเองไม่ใช่หรือ”

“แหม...ก็คนมันเก่งอะ” หญิงสาวโอ้อวด

“ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะ” น่านตะวันหัวเราะ “แล้วนี่ตกลงจะบอกพี่ได้หรือยังว่าบริษัทอะไร”

“เอดีดีไซน์ค่ะ”

น่านตะวันขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด “ชื่อคุ้นๆ แฮะ”

“ก็น่าจะคุ้นอยู่หรอกค่ะ บริษัทเขาก็มีชื่อพอตัวอยู่นะคะ ไม่งั้นน้ำไม่ไปสมัครหรอก”

เขาหัวเราะในลำคอ “งั้นก็ตั้งใจทำงานล่ะ”

“แน่นอนค่ะ น้ำจะแสดงฝีมือให้เต็มที่เลย”

“เอาละ มาถึงเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

ชลาลัยพยักหน้า ก่อนจะผละจากไหล่พี่ชายแล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ทำเอาน่านตะวันถึงกับตัวแข็งทื่อ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องนอนไปอย่างอารมณ์ดี โดยไม่รู้เลยว่าจูบนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมไหวให้แก่ผู้เป็นพี่ชายมากขนาดไหน

 

เช้าวันต่อมา ชลาลัยค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง เช้านี้ไม่มีฝันร้ายมาคอยรบกวน ตรงกันข้ามเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองฝันดีไม่น้อย ก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินโซเซไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวและอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสบายๆ ออกไปที่ห้องอาหาร

“ตื่นแล้วหรือ มากินอาหารเช้ากันสิ”

น่านตะวันเอ่ยชวน เธอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนเขาลุกขึ้นไปปิ้งขนมปังและดาวไข่ให้พร้อมกับไส้กรอก แฮม และเบคอน ก่อนจะมาเสิร์ฟให้เธอ

“พี่น่านกินแล้วหรือคะ”

“เรียบร้อยแล้ว” เขาผงกศีรษะ หยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม “แล้ววันนี้มีโปรแกรมไปไหนหรือเปล่า”

“ว่าจะไปสภาสถาปนิกจัดการเรื่องใบอนุญาตทำงานน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็ว่าจะไปเดินห้างฯ ซื้อของใช้ส่วนตัวสักหน่อย”

“ไปห้างฯ งั้นเหรอ” น่านตะวันมองเธอด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมายีผมเธอเบาๆ “ซื้อชุดสวยๆ มาสักชุดสิ”

“ทำไมหรือคะ” เธอเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย

“ค่ำนี้เพื่อนพี่จะเลี้ยงฉลองแต่งงาน พี่ก็เลยอยากจะพาน้ำไปเข้าสังคมบ้าง”

“น่าสนใจ” หญิงสาวยิ้มแป้น

“ถ้างั้นสักหกโมงเย็นพี่จะมารับนะ”

“ได้ค่า”

น่านตะวันยีผมเธออย่างเอ็นดูอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เธออยู่ตามลำพังในห้องชุดสุดหรูของเขา

“ดีกับเราอย่างนี้ จะอยากได้หุ้นของเราได้ยังไงกันนะ”

ชลาลัยถอนใจเฮือกอย่างรู้สึกสับสนบอกไม่ถูก เพราะทุกคนล้วนเป็นผู้มีบุญคุณและหวังดีกับเธอ แต่เธอกลับรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างย้อนแย้งกันเหลือเกิน

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็กลับเข้าห้องแล้วแต่งตัวด้วยชุดสบายๆ ก่อนจะออกจากคอนโดมิเนียมแล้วเดินทางไปยังสภาสถาปนิกเพื่อจัดการเรื่องใบอนุญาตทำงานให้เรียบร้อย จากนั้นก็ไปเดินห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมนัก 

ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้สร้างหลังจากเธอไปอเมริกาหลายปี จึงค่อนข้างใหญ่โตและทันสมัย มีร้านรวงมากมายให้เธอได้เดินดูและซื้อหาสินค้าจนเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีสองมือก็เต็มไปด้วยถุงใส่สินค้าหลากสีหลายแบบจากแบรนด์ดังๆ แล้ว

“ได้ของครบแล้วมั้ง”

หญิงสาวงึมงำ ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปที่บันไดเลื่อนเพื่อจะลงไปที่ชั้นสองซึ่งมีทางเดินเชื่อมไปยังสถานีรถไฟฟ้า แต่ยังไม่ทันก้าวลงไปเธอก็เกือบชนผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังจะลงบันไดเช่นเดียวกับเธอพอดี

“อ้าว คุณชลาลัย” เขาเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อ้าว...สวัสดีค่ะคุณฟ้าคราม”

“หอบอะไรมาเยอะแยะเลย ผมช่วยไหมครับ” เขาชี้มาที่บรรดาถุงใส่สินค้าที่มือเธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“มาเถอะครับ ผมช่วย” 

ฟ้าครามไม่รอให้เธอทักท้วง รีบแย่งถุงเหล่านั้นไปถือเสียเอง ก่อนจะก้าวลงบันไดเลื่อนไป ทำเอาชลาลัยถึงกับยืนงง แต่ก็ชะงักอยู่ได้ไม่นาน เพราะมีคนมารอจะลงบันไดเลื่อนต่อจากเธอ จึงรีบก้าวลงไปยืนข้างๆ ฟ้าคราม

“คุณนี่ชอปเก่งเหมือนกันนะครับเนี่ย”

ชลาลัยยิ้มเขินๆ “คุณฟ้าครามมาทำอะไรที่นี่คะ”

“นัดลูกค้าไว้น่ะครับ พอดีเขาโทร. มาแคนเซิล ก็เลยว่าจะกลับออฟฟิศ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันมามองเธอ “คุณล่ะ”

หญิงสาวยิ้มแล้วพยักพเยิดไปที่มือของเขา “ก็อย่างที่เห็นน่ะค่ะ”

“อ้อ...ชอปปิง” เขาพยักหน้าหงึกๆ “แล้วนี่จะกลับหรือยังครับ ผมถือไปส่งที่รถให้”

“ฉันกลับรถไฟฟ้าค่ะ”

“อ้อ...จริงสิ” ฟ้าครามเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ เพราะสองครั้งที่พบกันเธอก็พูดถึงแต่รถไฟฟ้า “แต่จะหิ้วของพวกนี้พะรุงพะรังขึ้นรถไฟฟ้ากลับจริงๆ หรือครับ”

“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละค่ะ”

“อืม...เอาเป็นว่าผมไปส่งก็แล้วกัน รถไฟฟ้าคนแน่น คงลำบากแย่”

“อ๊ะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไหวค่ะ” หญิงสาวโบกมือเป็นพัลวัน

“อย่าปฏิเสธเลยครับ ยังไงก็ทางผ่าน แวะเข้าไปส่งคุณก่อนคงไม่เสียเวลามากหรอก”

ชลาลัยลังเล เนื่องจากคอนโดมิเนียมของน่านตะวันอยู่ห่างไปแค่สองสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น และเธอก็รู้สึกเกรงใจเขาเหมือนกัน

“มาครับ รถผมจอดอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

ฟ้าครามบอกแล้วถือของเดินลิ่วๆ ไปที่ทางเข้าลานจอดรถ ครั้นเธอจะไม่ตามไปก็คงไม่ได้ เพราะของที่ซื้อมาหลายอย่างก็อยู่ที่เขา แถมชุดราตรีที่ต้องใส่ค่ำนี้ก็อยู่ในนั้นด้วย ก็เลยจำใจต้องตามเขาไปที่รถ

ชายหนุ่มนำข้าวของของเธอไปวางไว้บนเบาะหลังของรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาวของเขา ก่อนจะเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้เธอขึ้นไปนั่ง

“ความจริงคอนโดอยู่ห่างไปแค่สองสถานีเอง คุณฟ้าครามไม่น่าจะต้องลำบากเลยนะคะ” ชลาลัยเอ่ยอย่างเกรงใจอีกครั้งเมื่อเขาขึ้นนั่งประจำที่คนขับ

“บอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร ยังไงเราก็กำลังจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว” ฟ้าครามบอก “ว่าแต่ทางฝ่ายบุคคลโทร. หาคุณหรือยังครับ”

“ยังเลยค่ะ”

“เอ...เดี๋ยวผมโทร. เร่งให้”

“โอ๊ะ! ไม่ต้องหรอกค่ะ”

เขาหันมามองเธอด้วยสายตารู้ทัน “กลัวคนคิดว่าคุณใช้เส้นใช่ไหมครับ”

“ทำนองนั้นค่ะ” ชลาลัยยิ้มเจื่อน

“โอเคครับ” เขาพยักหน้า “ผมว่าคงไม่เกินห้าโมงเย็นวันนี้หรอก คุณต้องได้รับข่าวดีแน่”

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”

ไม่นานนักรถคันหรูก็มาจอดที่หน้าอาคารสูงใหญ่ ฟ้าครามรีบลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ จากนั้นก็เปิดประตูด้านหลัง หยิบของของเธอออกมา

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ” ฟ้าครามแหงนมองดูความสูงของอาคาร “ให้ผมขึ้นไปส่งไหม”

“โอ๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ฉันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว ส่งฉันแค่นี้ก็ได้ค่ะ” ชลาลัยรีบแย่งของตัวเองกลับมาถือ

“อืม...งั้นไว้เจอกันที่ออฟฟิศนะครับ”

“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบ “ขับรถดีๆ นะคะ”

“ครับ” ฟ้าครามยิ้มแล้วกลับขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไป

หลังจากนั้นชลาลัยก็กลับเข้าห้องพักเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงวิวาห์ของเพื่อนน่านตะวัน ระหว่างนั้นฝ่ายบุคคลของบริษัทก็โทร. มาแจ้งข่าวดีกับเธอ และนัดเธอให้ไปเซ็นสัญญาพร้อมกับนัดหมายให้เริ่มทำงานต้นเดือนหน้า

 

น่านตะวันขับเบนท์ลีย์คันหรูออกจากบริษัทกลับคอนโดมิเนียมอย่างอารมณ์ดี เพราะวันนี้เขาจะได้ควงน้องสาวไปอวดกับใครๆ ว่าเธอทั้งน่ารักและงดงามขนาดไหน

พอไปถึงห้องชุดสุดหรู เขาก็ตรงไปเคาะประตูเรียกชลาลัย เธอตะโกนออกมาว่ากำลังแต่งตัวอยู่ เขาจึงเดินไปเข้าห้องนอนตัวเองแล้วจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่เป็นชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตพร้อมกับเนกไทสีฟ้าที่เข้ากับเสื้อเชิ้ตด้านใน จากนั้นก็กลับออกมานั่งรอที่โซฟา

“แต่งตัวนานจริงๆ ผู้หญิงนี่”

ชายหนุ่มบ่นพึมขณะยกนาฬิกาขึ้นดู แต่ยังไม่ทันขาดปาก เขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องของชลาลัยเปิดออก จึงลุกขึ้นแล้วหันไปมอง ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในความงามของน้องสาวตัวเอง

ชลาลัยอยู่ในชุดเดรสยาวสีชมพูหวานขับผิวขาวลออให้เปล่งประกาย ตัวชุดโดดเด่นที่ดีไซน์ผูกมัดตรงช่วงอกและมีริบบิ้นเล็กๆ ผูกอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ตัวชุดเป็นแบบเข้ารูปเผยให้เห็นสัดส่วนวัยสาวสะพรั่งได้อย่างชัดเจน

“วันนี้น้ำสวยจริงๆ” น่านตะวันเพ้อ

หญิงสาวย่นจมูกอย่างเขินๆ “พี่น่านก็หล่อ ไม่เห็นบอกน้ำเลยว่าต้องเต็มยศขนาดนี้ น้ำเลยแต่งได้แค่นี้อะค่ะ”

“แค่นี้คนก็คงเหลียวทั้งงานแล้วละ”

“พี่น่านก็ชมกันเกินไป” ชลาลัยอายม้วน

น่านตะวันยิ้มรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ก็น้ำของพี่สวยจริงๆ นี่นา พี่ชักไม่อยากพาไปเสียแล้วสิ”

“อ้าว...ทำไมล่ะคะ”

“ก็กลัวมีหนุ่มๆ มายุ่ง”

“พี่น่านก็ประกบน้ำไว้ตลอดสิคะ มีพี่น่านอยู่ข้างๆ คงไม่มีใครมายุ่งหรอก” ชลาลัยกระโดดไปควงแขนพี่ชายเหมือนเด็กๆ

น่าประหลาดนักที่จู่ๆ น่านตะวันก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเกิดเต้นรุนแรงมากขึ้น ความรู้สึกบางอย่างโจมตีเขาอย่างรุนแรง เขาพยายามไม่คิดในแง่อื่นกับน้องสาวของตัวเอง แต่กลับหักห้ามใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อหันไปเห็นเนินอกขาวนวลภายในคอเสื้อที่กว้างและแหวกจนน่าใจหายก็รีบเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน

“ปะ...ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”

ชลาลัยเอียงคอมองเขา ใบหน้าสวยนั้นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นรุนแรงยิ่งขึ้น

“พี่น่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าแดงๆ”

“เอ่อ...ปละ...เปล่าจ้ะ สงสัยวันนี้ตากแดดมากไปหน่อย”

“อะไรกัน ทำงานอยู่ในออฟฟิศไม่ใช่หรือคะ ไปตากแดดที่ไหนมา”

“ไป...เอ่อ...ไปพบลูกค้าน่ะ” เขาเอ่ยกลบเกลื่อน “รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด”

หญิงสาวกระชับกอดแขนเขาแน่น ก่อนจะชูมืออีกข้างไปข้างหน้า “ไปกันเลย วันนี้น้ำจะกินให้เกลี้ยงงานเลยทีเดียว”

 

เมื่อไปถึงงานแต่งงาน ชลาลัยก็กลายเป็นจุดสนใจของหนุ่มๆ ดังที่น่านตะวันคาดไว้จริงๆ ทำให้เขาต้องพยายามปกป้องไม่ให้พวกแมลงหวี่แมลงวันมาตอมน้องสาวคนสวยอย่างเต็มที่

“โอ๊ย...น้องน้ำ ไม่เจอกันนานสวยขึ้นเป็นกองเลยนะครับ” ชาตรี เพื่อนของเขาเอ่ยชื่นชมทันทีที่น่านตะวันพาชลาลัยเข้าไปหา

“สงสัยเพราะแต่งหน้ามั้งคะ” หญิงสาวออกตัว

“ไม่เห็นแต่งอะไรเท่าไรเลย” ชาตรีส่งสายตาวิบวับตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ

“อย่ามาทำเป็นหลีน้องสาวฉันนะโว้ย เดี๋ยวดีดให้ซะเลย” น่านตะวันโพล่งขึ้นอย่างลืมตัว

“อ้าวไอ้นี่ หวงน้องหรือไง” ชาตรีโวย

“หวงสิวะ นายมันไว้ใจไม่ได้นี่หว่า เขาว่ารถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ได้ แล้วนายก็เป็นตำรวจ ลูกเมียก็มีแล้ว แถมยังมี...”

“เฮ้ย! หยุด” เพื่อนหนุ่มรีบยกมือห้าม

“ทำไม กลัวเมียหรือ”

“เขาเรียกเกรงใจโว้ย”

“อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ” ชลาลัยแทรกขึ้น “พี่น่านคะ น้ำไปเดินหาอะไรกินก่อนนะคะ พี่น่านคุยกับพี่ชาตรีไปก่อนนะคะ”

“ไหนบอกให้พี่ประกบตลอดงาน”

“นี่พี่น่านเอาจริงหรือคะ” หญิงสาวร้องถามตาโต

“โธ่น้องน้ำ สวยอย่างนี้ หมามันย่อมหวงก้างเป็นธรรมดาแหละ” ชาตรียิ้มยั่วเพื่อน

“ใครหมา” น่านตะวันทำเสียงเข้ม

“บอกว่าอย่าทะเลาะกันไงคะ” ชลาลัยส่งสายตาค้อนให้ทั้งคู่

“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องน้ำ พี่กับไอ้น่านก็พูดกันแบบนี้ประจำ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันจริงจังหรอก แซวกันขำๆ น่ะ น้องน้ำไปหาอะไรกินเถอะ เดี๋ยวพี่หาตะกร้อครอบปากมันให้”

“ไอ้ชาตรี!”

“อะไรเล่า ปล่อยๆ น้องบ้างเหอะ ส่วนนายไปกับฉันทางโน้น ไอ้หมีกับไอ้ตงรออยู่ พวกมันอยากเจอนายมากรู้ไหม”

นายตำรวจหนุ่มไม่รอให้น่านตะวันทักท้วง รีบกอดคอลากเขาไปหาเพื่อนร่วมก๊วน ทำให้เขาทำได้เพียงมองน้องสาวจนกระทั่งเธอถูกกลืนหายไปกับฝูงชนที่แน่นขนัดอยู่เต็มโถงจัดงาน

 

ชลาลัยเดินไปตามซุ้มอาหารซึ่งมีละลานตาไปหมด บางซุ้มผู้คนบางตา บางซุ้มก็มีคนต่อแถวยาวเหยียด แต่เธอก็ไม่ท้อถอย ต่อแถวจนได้ของกินมาเต็มจาน

“คุณนี่กินจุจริงๆ”

เสียงคุ้นหูนั้นทำให้หญิงสาวต้องหันไปมอง ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นคนที่เพิ่งจะไปส่งเธอที่คอนโดมิเนียมเมื่อตอนเย็นยืนอยู่ข้างๆ

“อ้าว...คุณฟ้าคราม เจอกันอีกแล้ว ไปไงมาไงคะเนี่ย”

“เจ้าสาวเป็นเพื่อนผมน่ะครับ” เขาตอบ “แล้วคุณล่ะ”

“เอ่อ...เจ้าบ่าวเป็นเพื่อนกับพี่ชายของฉันค่ะ”

“อ๋อ” เขาพยักหน้า “ไม่คิดนะครับว่าจะมาเจอคุณที่นี่อีก นี่สามครั้งในสองวันแล้วใช่ไหมครับ”

“โลกมันกลมมั้งคะ” เธอยิ้ม ไม่คิดว่ารอยยิ้มนั้นจะไปปักอกชายหนุ่มเข้าให้

“แล้วฝ่ายบุคคลโทร. หาคุณหรือยังครับ”

“โทร. มาแล้วค่ะ ต้องแกล้งทำเป็นดีใจแทบแย่” เธอหัวเราะคิกคัก

“ดีแล้วครับ ผมจะได้ไม่โดนตรวจสอบ”

“โอ๊ย...ใครจะมาตรวจสอบรองประธานกรรมการบริหารล่ะคะ”

ฟ้าครามมองเธออย่างแปลกใจ เพราะวันก่อนเขาแนะนำตัวเองว่าเป็นแค่หัวหน้าฝ่ายออกแบบสถาปัตยกรรมเท่านั้น

“ฝ่ายบุคคลอัปเดตข้อมูลในเว็บไซต์แล้วค่ะ”

“อ้อ” เขาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในบริษัท ไม่ว่าจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนก็ถูกตรวจสอบได้ครับ”

“เอ่อ...ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ”

ฟ้าครามยิ้มเจื่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นยิ้มที่ทรงเสน่ห์อยู่ดี “ดื่มอะไรดีครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

“อืม...น้ำส้มก็แล้วกันค่ะ”

เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ซุ้มเครื่องดื่ม ก่อนจะนำน้ำส้มกลับมาให้เธอ จากนั้นก็ชวนคุยถึงเรื่องต่างๆ มากมาย จนกระทั่งเธอได้รู้ว่าเขากับเจ้าสาวในงานนี้เป็นนักเรียนอังกฤษด้วยกัน ก่อนที่เขาจะกลับมาเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้

 

ระหว่างที่พูดคุยกับเพื่อน น่านตะวันก็อดชะเง้อมองหาชลาลัยตลอดเวลาไม่ได้ แต่ด้วยแขกเหรื่อที่มากันแน่นขนัด ก็ทำให้เธอคลาดจากสายตาไปหลายครั้ง

“ไอ้น่าน คุยกับเพื่อนก็มองเพื่อนหน่อยสิวะ” ชาตรีท้วง

“เออ ฟังอยู่เนี่ย” น่านตะวันเอ่ยกึ่งร้อนใจ

“กลัวหมาคาบไปแดกหรือไง” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยแซว

“คาบอะไรวะ”

“ก็น้องสาวไง”

“ไอ้นี่ คำก็หมาสองคำก็หมา เดี๋ยวปั๊ด...” น่านตะวันง้างหมัดอย่างทีเล่นทีจริง

“ก็จริงนี่หว่า ทำเป็นหมาหวงก้างตั้งแต่เข้างานมาแล้ว คนมองน้องสาวไม่ได้ เป็นต้องโดนสายตาพิฆาตจนต้องหลบเป็นพัลวัน”

“วอนโดนเตะเสียแล้วไอ้นี่”

“นี่ฉันชักไม่แน่ใจแล้วละว่านายหวงน้องสาวหรือนายหึงแฟนกันแน่” ชาตรียังคงไม่หยุดปาก ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติ

“อย่าพูดพล่อยๆ นะโว้ย เดี๋ยวโดนเตะจริงๆ นะโว้ย”

“นายสองคนนี่กัดกันประจำ” หมีแทรกขึ้น “ว่าแต่น้องนายกลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอวะไอ้น่าน”

“กลับมาเมื่อสองวันก่อน” คนถูกถามตอบ

“แสดงว่าสวยมากสิท่า นายถึงได้หึงขนาดนี้” คนชื่อตงตั้งข้อสังเกต

“ก็บอกว่าไม่ได้หึง พวกนายอย่าไปฟังไอ้ชาตรีมันมาก” น่านตะวันส่ายหน้า แต่ภายในอกสะเทือนไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหว

“ไม่แค่สวยมากนะไอ้ตง แต่สวยอย่างกับนางฟ้า” ชาตรีตอบแทน

“ถ้าให้ทายนะ คนที่ยืนคุยกับผู้ชายอยู่ตรงนู้นหรือเปล่า” หมีชี้นิ้วอวบไปที่มุมหนึ่งของห้องโถง

น่านตะวันหันขวับไปมองแทบจะทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ผู้ชาย’ พอเห็นชลาลัยยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ แถมคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาก่อนเสียด้วย ความเดือดดาลจึงพลุ่งพล่านขึ้นในอก

“ไอ้หมอนี่!” 

ผู้เป็นพี่ชายแยกเขี้ยว ก่อนจะส่งเครื่องดื่มให้เพื่อนถือแล้วเดินดุ่มๆ ด้วยหน้าตาถมึงทึงไปหาคนทั้งสองทันที

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น