3

ตอนที่ 3

 

ชลาลัยลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยความโล่งใจเมื่อพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงในห้องนอนกลางคอนโดมิเนียมสุดหรูของน่านตะวัน เธอค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเรียกสติ

ฝันร้ายปลุกเธออีกแล้ว นับตั้งแต่กลับมาเมืองไทย เธอมักจะฝันซ้ำๆ เดิมอยู่หลายครั้ง แต่พอตื่นขึ้นมากลับจำไม่ได้ว่าตัวเองฝันอะไร รู้แต่เพียงว่ามันทำให้เธอกลัวมาก

‘ก็แค่ฝัน...น้ำ’

เธอเตือนตัวเอง ก่อนจะถอนใจแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็ออกจากห้องไปที่ครัว ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ภายในห้องกว้างจึงไม่มีใครอยู่เลย เพราะน่านตะวันไปทำงานแล้ว เขาทิ้งโน้ตไว้ที่ตู้เย็นว่ามีอาหารสำหรับอุ่นทานอยู่ เธอจึงนำอาหารนั้นออกมาใส่ไมโครเวฟแล้วรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อมองหน้าจอก็พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากธนากร

‘ว่าไงน้ำ เมื่อวานไปสัมภาษณ์มาเป็นไงบ้าง’

“ก็โอเคนะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงได้แหละ” ชลาลัยตอบ เพราะนึกถึงคำพูดของฟ้าครามก่อนจะจากกันที่หน้าลิฟต์

‘มั่นใจจริงนะ งั้นออกมาเจอกันหน่อยสิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงคนได้งานใหม่เอง’

“ยังไม่ได้ย่ะ”

‘เอาน่า อยากหาคนกินข้าวด้วย’

“ก็ได้ๆ ร้านไหนล่ะ ส่งโลเกชันมา”

‘ได้เลย’

ครู่หนึ่งเขาก็ส่งชื่อร้านและสถานที่มาทางแอปพลิเคชันสนทนา ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลนัก และอยู่ในเส้นทางรถไฟฟ้า พอใกล้จะได้เวลาเธอจึงแต่งตัวออกจากห้องแล้วขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ร้านอาหารแห่งนั้น

“กี่ที่คะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยถาม

“ฉันนัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ”

ชลาลัยบอกพลางชะเง้อมองหา พอเห็นธนากรนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งและกำลังทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่พนักงานสาวสวยของร้านก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที

“หมอนี่!”

หญิงสาวกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะแกล้งเดินเข้าไปนั่งเบียดเพื่อนหนุ่มแล้วดึงแขนเขามากอดไว้อย่างออดอ้อนออเซาะราวกับเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ทำเอาสาวเสิร์ฟถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที

“เอาเท่านี้ก่อนครับ” ธนากรเอ่ยกับพนักงานสาวด้วยสีหน้าเจื่อน เธอรับคำพร้อมส่งค้อนให้วงใหญ่แล้วเดินสะบัดก้นไปอย่างไม่พอใจนัก

“มาแนวไหนเนี่ย มาถึงก็มาเกาะแข้งเกาะขา น้องเขาโกรธไปเลยนะนั่น”

“น้องเขาต้องขอบใจฉันย่ะ ที่ทำให้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของนาย”

“เธอนี่มันแสบจริงๆ” ธนากรหัวเราะอย่างไม่ถือสา

“แล้ววันนี้ไม่ทำงานเรอะ ถึงได้ชวนฉันออกมากินข้าวเนี่ย”

“ฉันยังไม่เข้ารับตำแหน่งเลย ผลัดพ่อเอาไว้เป็นเดือนหน้า อยากจะพักผ่อนสบายๆ สักหน่อย”

ชลาลัยทำปากเบ้ “คนรวยนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ น้า เรียนจบกลับมาก็มีบริษัททางบ้านรองรับ ไม่ต้องดิ้นรนหางานทำ”

“จะมาอิจฉาทำไมเล่า ฉันชวนเธอไปทำงานด้วยกันที่บริษัทพ่อ เธอก็ไม่เอา เที่ยวไปตากหน้าสมัครงานกับคนอื่นให้มันยุ่งยากทำไมก็ไม่รู้”

“ก็ฉันอยากทำอะไรด้วยตัวเองนี่ ไม่อยากใช้เส้นสาย”

“งั้นก็อย่ามาบ่น” ธนากรส่ายหน้า

“ไม่บ่นก็ได้ย่ะ” ชลาลัยค้อน

“แล้วนี่อยู่กับพี่ชายเป็นไงบ้าง”

“มันก็ดีอะนะ แต่ก็มีอะไรบางอย่างทำให้หงุดหงิดนิดหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือ”

ชลาลัยชะงักเล็กน้อยเพราะพนักงานคนเดิมนำอาหารมาเสิร์ฟ ก่อนจะสะบัดหน้าบึ้งๆ เดินไปโดยไม่สนใจสายตาเว้าวอนของธนากร

“นี่...คุยกับฉันก็มองฉันหน่อยสิ ตาจะเหล่แล้วเนี่ย” หญิงสาวแขวะ

“คร้าบ...มีอะไรก็ว่ามาสิคร้าบ”

หญิงสาวถอนใจ ก่อนจะเล่าเรื่องความขัดแย้งของน่านตะวันกับพ่อแม่ของเขาให้เพื่อนฟังตามที่ได้ประสบพบมาในสองวันที่ผ่านมา

“นายว่าฉันควรทำยังไงดี”

“ไม่เห็นยาก” ธนากรยักไหล่ “เธอก็ไปถามคุณอาพงษ์สิ”

“แต่คุณบุรินทร์บอกว่าพี่น่านห้ามไม่ให้ฉันไปเจอคุณอาเด็ดขาดนะ”

“แสดงว่าพี่น่านของเธอไม่ได้สั่งเธอโดยตรง”

“อ่า...ใช่ พี่น่านสั่งคุณบุรินทร์ไว้”

“แล้วคุณบุรินทร์อะไรเนี่ยอยู่ไหน” ธนากรเหลียวมองไปรอบๆ

“ทำงานอยู่กับพี่น่านที่ออฟฟิศมั้ง”

ชายหนุ่มยักคิ้ว “แล้วถ้าฉันเป็นคนขับรถพาเธอไปหาคุณอาพงษ์ที่พีทีจิวเอลรีเอง พี่ชายเธอกับเลขาฯ ของเขาจะรู้ไหม”

“ไม่รู้หรอก” ชลาลัยส่ายหน้า ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเผยยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ 

“เฮ้ย!...นายนี่มันหัวแหลมจริงๆ”

“หัวแหลมนั่นมันลิงแล้วจ้า...แม่คุณ”

 

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ธนากรจึงขับรถพอร์เชของเขาพาชลาลัยมาถึงอาคารพีทีจิวเอลรี ซึ่งเป็นอาคารสูงยี่สิบหกชั้นตั้งอยู่บนถนนพระรามสี่

อาคารแห่งนี้เป็นอาคารหลังใหม่ที่สร้างขึ้นหลังจากบิดาของชลาลัยเสียชีวิตไปได้ไม่นาน และบริษัทก็ใช้เงินลงทุนไปมหาศาล จึงดูโอ่อ่าและทันสมัยกว่าอาคารสำนักงานหลังเก่าที่เธอเคยมาวิ่งเล่นตอนเด็กๆ 

ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ ชลาลัยจึงแจ้งความประสงค์ว่าจะพบประธานของบริษัท ซึ่งตอนแรกก็มีปัญหาเล็กน้อยเพราะเธอไม่ได้นัดกับภาสพงษ์เอาไว้ แต่พอเธอขอให้แจ้งว่าเธอเป็นใคร ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าพบทันที

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสูงสุด พอประตูเลื่อนเปิดออกก็เผยให้เห็นห้องโถงรับรองที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างโก้หรู มีชุดเครื่องประดับอันเป็นจุดเด่นของบริษัทตั้งโชว์อยู่ในกรอบกระจกโดยรอบ ด้านตรงข้ามกับลิฟต์มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่

“เชิญค่ะ ท่านประธานรออยู่” หญิงสาวคนนั้นผายมือไปยังประตูบานใหญ่

“ขอบคุณค่ะ” ชลาลัยค้อมศีรษะเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มเพียงยิ้มและส่งตายตาแวววับให้สาวคนนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเข้าไปภายในห้องทำงานซึ่งกว้างขวางเกินกว่าจะเป็นห้องของคนคนเดียว

ภาสพงษ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่และกำลังง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะ เบื้องหลังของเขาเป็นผนังกระจกที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน เขาชะงักมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาด้วยสายตาแปลกใจ

“น้ำ...นี่น้ำจริงๆ หรือนี่”

“สวัสดีค่ะคุณอา” ชลาลัยยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“โอ้โห โตเป็นสาวแล้วสวยจริงๆ ครั้งสุดท้ายที่อาเห็นยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่เลยมั้งเนี่ย”  

“คุณอาเองก็ยังดูหนุ่มอยู่เลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ย เพราะแม้ตอนนี้ภาสพงษ์จะมีอายุล่วงเข้าวัยห้าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ใบหน้าและรูปร่างก็ยังคงดูดีอยู่ไม่น้อย

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ปีนี้อาแก่ไปเยอะเลย ทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว” ภาสพงษ์หัวเราะ ก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มข้างกายเธอ

“อ้อ...” ชลาลัยนึกขึ้นได้ ก่อนจะผายมือไปทางเพื่อนหนุ่ม “นี่ธนากรค่ะ เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันที่อเมริกาค่ะ”

ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม แต่ภาสพงษ์เพียงยิ้มและพยักหน้าให้แกนๆ ก่อนจะโอบไหล่หลานสาวเดินไปที่ชุดรับแขก

“นี่กลับมาเมื่อไร ทำไมอาไม่เห็นรู้เลย”

“กลับมาได้สามสี่วันแล้วค่ะ”

ภาสพงษ์พยักหน้ายิ้มๆ “แล้วไปพักที่ไหนล่ะ”

“อยู่กับพี่น่านที่คอนโดค่ะ” 

ชลาลัยตอบอ้อมแอ้ม เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าภาสพงษ์ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร แต่เขากลับยังคงสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เหมือนเดิม ราวกับเรื่องที่เธอได้ยินว่าเขาขัดแย้งกับลูกชายนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“แล้วนี่ไปเยี่ยมคุณอาหลินมาหรือยัง”

“ไปมาเมื่อสองวันก่อนค่ะ” ชลาลัยตอบ “เอ่อ...เห็นคุณอาหลินบอกว่าคุณอาพงษ์ไม่ค่อยกลับบ้านหรือคะ”

คราวนี้ภาสพงษ์กลับผงกศีรษะด้วยสีหน้าหนักใจ “กลับไปก็ทะเลาะกัน อาไม่สบายใจเลยออกมาอยู่ข้างนอก นี่อาหลินคงบอกน้ำว่าอาไปอยู่บ้านเมียน้อยใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว

“มโนทั้งนั้น” ภาสพงษ์ส่ายหน้า “จริงๆ แล้วอาไม่ได้ไปอยู่กับผู้หญิงที่ไหนหรอก อาอยู่ที่คอนโดแถวนี้คนเดียวต่างหาก มันใกล้ที่ทำงานกว่า แล้วก็สบายใจกว่ากลับไปแล้วต้องไปรองรับอารมณ์หึงหวงของอาหลินทุกวัน”

“อาหลินหวงก็แสดงว่าเขารักคุณอานะคะ”

“อาก็รู้” ภาสพงษ์ถอนใจ “แต่พักหลังๆ นี่ชักจะหนักข้อ ตั้งแต่น้ำกับเจ้าน่านไปอเมริกานั่นแหละ พออยู่คนเดียวดูซีรีส์เยอะๆ ก็ฟุ้งซ่านตามหนังไป”

ชลาลัยได้แต่พยักหน้า แต่ก็ไม่กล้าก้าวก่ายมากกว่านี้ เพราะเป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา และเธอก็ยังเด็กเกินกว่าจะไปแนะนำอะไรผู้มีประสบการณ์เรื่องชีวิตคู่มามากกว่าเธอ

“อย่าไปพูดถึงเรื่องนั้นเลย เสียบรรยากาศเปล่าๆ” ภาสพงษ์โบกมือ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เรียนจบอะไรมาล่ะ”

“สถาปัตย์ค่ะ” ชลาลัยตอบอย่างแปลกใจที่ผู้เป็นอาแทบไม่รู้เรื่องอะไรของเธอเลยสักนิด ซึ่งแสดงว่าเขากับน่านตะวันคงไม่ได้คุยกันเลยตลอดหลายปีที่เธออยู่อเมริกา

“แล้วอยากมาทำงานที่นี่ไหมล่ะ”

คำถามนั้นเป็นจริงเป็นจังจนชลาลัยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนให้แล้วตอบออกไป 

“เอ่อ...น่าจะคนละสายงั้นกับมั้งคะ”

“จริงสินะ” ภาสพงษ์หัวเราะฝืนๆ “แต่ถ้าน้ำอยากมาทำงานที่นี่เมื่อไรบอกอาก็แล้วกัน บอกล่วงหน้าสักหน่อย จะได้เตรียมห้องหับไว้ให้ ยังไงส่วนหนึ่งของที่นี่ก็ยังเป็นของน้ำอยู่นะ”

“ค่ะ” ชลาลัยพยักหน้า เพราะหุ้นส่วนสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่เคยเป็นของบิดานั้นถูกถ่ายโอนเป็นมรดกมาให้เธอทั้งหมดตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแล้ว แต่เนื่องจากเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องให้ผู้เป็นอาเป็นผู้จัดการมรดกไปก่อน ซึ่งตอนนี้แม้เธอจะบรรลุนิติภาวะมาหลายปีแล้ว เธอก็ยังคงไว้ใจให้ภาสพงษ์เป็นผู้ดูแลเรื่องผลประโยชน์ต่อไปอย่างไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพราะอยากทำงานที่รักมากกว่า

“ที่น้ำมาวันนี้ นอกจากจะมากราบคุณอาแล้ว น้ำยังมีเรื่องอยากจะถามคุณอาหน่อยค่ะ”

“เรื่องอะไรหรือ ถามมาสิ” ภาสพงษ์ยิ้ม

“เรื่องที่...เอ่อ...คุณอาทะเลาะกับพี่น่านน่ะค่ะ”

รอยยิ้มใจดีพลันหายไป สีหน้าของภาสพงษ์เข้มเครียดขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อลูกชาย ทำเอาชลาลัยถึงกับหันไปมองธนากรด้วยความหวั่นใจ เพราะคิดว่าเรื่องนี้อาจสะเทือนใจของผู้เป็นอามาก ก่อนที่ภาสพงษ์จะถอนใจออกมาในที่สุด

“ทำไมน้ำไม่ไปถามน่านเองล่ะ”

“อาก็รู้นิสัยของพี่น่านไม่ใช่หรือคะ เขาไม่ยอมบอกน้ำหรอก”

“งั้นอาก็ไม่ควรบอกเหมือนกันสิ”

“แต่น้ำอยากช่วยคุณอาทั้งสองกับพี่น่านนะคะ น้ำอยากให้พวกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้าน้ำไม่รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ก็คงหาทางแก้ไขไม่ได้หรอกค่ะ”

“มันเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก อย่าพยายามเลยน้ำ”

“ทำไมคุณอาพูดแบบนี้ล่ะคะ พี่น่านเป็นลูกชายคนเดียวของคุณอาไม่ใช่หรือคะ”

“เพราะน่านเป็นลูกของอาน่ะสิ อาถึงรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้คนอย่างนั้นหันกลับมาพูดคุยกับอาดีๆ ได้ยังไงล่ะ”

“ทำไมคะ เรื่องที่ทะเลาะกันมันร้ายแรงมากหรือคะ”

ภาสพงษ์ถอนใจ “อาเป็นผู้ใหญ่ แถมเป็นพ่อของน่านด้วย พูดไปมันก็จะไม่ดีกับเขา อาว่าน้ำไปถามจากน่านเองเถอะนะ”

“พี่น่านไม่ยอมบอกน้ำแน่ๆ ค่ะ” เธอยืนยัน

ผู้เป็นอามีท่าทีอึกอักลังเล ทำให้ชลาลัยคิดว่าเขาอาจอยากบอก แต่ก็ติดที่เหตุผลอะไรบางอย่าง

“คุณอาบอกน้ำเถอะนะคะ น้ำไม่อยากให้พี่น่านกับคุณอาเป็นแบบนี้เลย มีเรื่องอะไรเราจะได้ช่วยกันแก้ไขไงคะ”

“อาก็ลำบากใจที่จะพูดน่ะ”

“โธ่ คุณอาคะ” ชลาลัยเอื้อมมือไปแตะหลังมือของภาสพงษ์ “คุณอาเป็นเพื่อนของพ่อ แล้วน้ำก็นับถือคุณอาเป็นเหมือนพ่ออีกคน คุณอาพูดมาเถอะค่ะ อย่าได้ลำบากใจเลย”

ชายสูงวัยนิ่งงันไป ใบหน้าดูจะหนักใจ คิ้วขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างระแวง

“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของครอบครัว อาไม่อยากให้มีคนนอกรู้”

ธนากรสะดุ้งเฮือก ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนให้ผู้พูด “เอ่อ...งั้นผมออกไปรอข้างนอกดีกว่าครับ จะได้ไม่รบกวนคุณอากับน้ำ”

“ขอโทษนะ” ชลาลัยเอ่ยกับเพื่อนที่คงจะรู้สึกเหมือนฝุ่นอีกครั้ง หลังจากคราวที่แล้วเจอฤทธิ์ของน่านไปหมาดๆ

“เฮ้ยไม่เป็นไร ว่าจะไปขอกาแฟคุณเลขาฯ ดื่มสักแก้วอยู่พอดี”

“อย่าทำรุ่มร่ามล่ะ” หญิงสาวกระซิบเตือนด้วยเสียงเข้ม เพราะรู้นิสัยของเพื่อนดี

“เออน่า เธอคุยกับคุณอาไปเถอะ”

ว่าแล้วธนากรก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ชลาลัยมองตามหลังเขาไปอย่างนึกเป็นห่วงหญิงสาวข้างนอก แต่พอประตูปิดลงเธอก็เลิกคิดแล้วหันกลับไปหาผู้เป็นอาอีกครั้ง

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่คะคุณอา”

ภาสพงษ์ถอนใจ “น้ำก็รู้ใช่ไหมว่าตัวเองมีหุ้นอยู่ในพีทีจิวเอลรีอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“ค่ะ” ชลาลัยพยักหน้า เพราะหลังจากบิดาเสียชีวิต เธอก็ได้ทรัพย์สินของบิดาทั้งหุ้นและบ้าน รวมถึงเงินสดอีกมากมายมาเป็นมรดก แต่ด้วยความเป็นผู้เยาว์จึงต้องให้ภาสพงษ์เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็รวมถึงการถือหุ้นในบริษัทด้วย เพราะตามกฎหมายกำหนดว่าผู้ถือหุ้นจะต้องมีอายุมากกว่าสิบสองปีขึ้นไป

“ก็นั่นแหละที่ทำให้น่านไม่พอใจ”

“อ้าว...ทำไมล่ะคะ คุณอาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่”

เขาถอนใจอีกครั้ง “ก็นั่นสิ อาก็ตั้งใจว่าถ้าน้ำกลับมา อาจะจัดการเรื่องหุ้นทั้งหมดให้ถูกต้อง แล้วให้น้ำกลับมาร่วมบริหารพีทีจิวเอลรีด้วยกัน แต่ตอนที่น่านกลับมาเมืองไทย เขากลับมาขอให้อาโอนหุ้นของน้ำให้เขาให้หมด”

“อะไรนะคะ” ชลาลัยอ้าปากหวอด้วยความแปลกใจ

“น้ำได้ยินไม่ผิดหรอก น่านอยากได้หุ้นของน้ำไปดูแล เพราะไม่ไว้ใจอา กล่าวหาว่าอาโกงหุ้นของน้ำไปส่วนหนึ่ง แถมยังหาผลประโยชน์จากหุ้นที่เหลือของน้ำแล้วปันผลให้น้ำอย่างไม่ยุติธรรม”

“พี่น่านเนี่ยหรือคะ”

ภาสพงษ์พยักหน้า “พออาไม่ยอม น่านก็โกรธ แล้วก็ไม่กลับไปที่บ้านอีกเลย”

“ทำไมพี่น่านทำอย่างนั้นคะ ทำไมพี่น่านถึงไม่ไว้ใจคุณอา ทั้งๆ ที่...”

“อาก็ไม่อยากปรักปรำลูกหรอกนะ” ภาสพงษ์ถอนใจเฮือกอีกครั้ง “แต่อาเข้าใจว่าตอนนั้นน่านคงต้องการเงินไปลงทุนเยอะ เขากำลังหาเงินไปซื้อไอ้บริษัทโบรกเกอร์ที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะ พอไม่ได้ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง”

ชลาลัยฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เพราะไม่คิดว่าน่านตะวันจะทำอะไรแบบนั้น แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะมันเป็นคำพูดที่ออกจากปากของผู้ใหญ่ที่เธอเคารพนับถือ แถมยังเป็นบิดาของเขาอีกต่างหาก

“อาไม่ได้อยากให้น้ำคิดกับน่านไม่ดีหรอกนะ เพราะเห็นรักกันมาก ก็เลยไม่อยากบอก แต่เมื่อน้ำต้องการรู้ อาก็เลยต้องบอก จากนี้น้ำจะเชื่อหรือเปล่าก็แล้วแต่นะ อาไม่ว่าอะไร อาเข้าใจ”

“โธ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิคะคุณอา คุณอาเลี้ยงน้ำมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสีย น้ำจะกล้าว่าคุณอาโกหกได้ยังไงกันคะ เพียงแต่...”

ภาสพงษ์ถอนใจ สีหน้าเครียดเข้ม “อาเข้าใจน่านนะ คนเราเวลาต้องการอะไรมากๆ มันก็พร้อมจะทำได้ทุกอย่าง น่านเองก็คงคิดว่าตัวเองจะสามารถทำกำไรจากเงินส่วนนี้ได้ แต่อาเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นสมบัติของน้ำ เราไม่ควรหาผลประโยชน์จากของที่ไม่ใช่ของเรา น้ำต้องเข้าใจอานะ”

“ค่ะ น้ำเข้าใจค่ะ” เธอบอก แม้จะไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายที่เธอเคารพรักจะทำอะไรแบบนั้นได้ก็ตาม

“ว่าแต่น้ำไม่อยากให้อาจัดการเรื่องหุ้นคืนให้จริงๆ หรือ”

“ตอนนี้ยังค่ะ อันที่จริงคุณอาก็บริหารที่นี่ได้ดีอยู่แล้ว แล้วน้ำก็อยากทำงานด้านที่เรียนมามากกว่า”

“ก็ดี” ภาสพงษ์พยักหน้ายิ้มๆ “หาประสบการณ์สักสองสามปี สั่งสมชื่อเสียงเอาไว้มากๆ เวลาก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารในพีทีจิวเอลรี จะได้ไม่ถูกใครครหาได้ว่ามีเส้นสาย”

“ขอบคุณ คุณอาที่กรุณาค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้

“ไม่ต้องเกรงใจ” ภาสพงษ์โบกมือ “นี่อาก็อยากชวนน้ำกินอาหารเย็นด้วยกันนะ แต่เดี๋ยวอาก็จะต้องเข้าประชุมแล้ว เอาไว้วันหลังเรานัดกันมากินข้าวสักมื้อนะ”

“ได้ค่ะคุณอา” ชลาลัยยิ้มรับ “งั้นน้ำรบกวนคุณอาแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ เอาไว้น้ำจะมาเยี่ยมคุณอาบ่อยๆ นะคะ”

“จ้ะ” ชายสูงวัยยิ้ม “แล้วก็หมั่นไปเยี่ยมคุณอาหลินบ้างนะ กับคนอื่นเขาไม่ค่อยจะอะไรหรอก ไปช่วยให้เขาคลายความเหงาบ้าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่านมาก”

“ได้ค่ะ” ชลาลัยพยักหน้าแล้วยกมือไหว้ลา ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานหรูหรานั้นด้วยความคิดสับสนอย่างบอกไม่ถูก

 

“ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเธอแล้วละว่าจะเชื่อใจใคร” ธนากรเอ่ยขณะขับรถพาชลาลัยออกจากอาคารพีทีจิวเอลรี ไปตามถนนพระรามสี่ที่การจราจรแน่นขนัด

หญิงสาวถอนใจเฮือก “ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้จะไม่เชื่อใจใครได้เลย ฉันอยู่กับครอบครัวนี้มาตั้งแต่พ่อแม่ฉันตาย พี่น่านก็รักฉันมากเหมือนเป็นพี่คนหนึ่ง ส่วนคุณอาก็เลี้ยงดูฉันมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน”

“ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว” ชายหนุ่มยักคิ้วเลียนแบบการ์ตูนชื่อดัง “มันต้องมีใครสักคนแหละน่า ที่โกหก”

“แล้วพวกเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม”

“โถ...แม่คนโลกสวย” ธนากรส่ายหน้า “เรียนก็เก่ง ทำงานก็เก่ง ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงคิดไม่ได้หือ”

“อะไรล่ะ”

“เงินไงล่ะ” เพื่อนหนุ่มเฉลย “ไอ้ตัวนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เธอนะเป็นคุณหนูมาตั้งแต่เกิด มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาที่คนต้องการเงินมากๆ น่ะ มันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“แต่ทั้งพี่น่านทั้งคุณอาก็ไม่น่าเงินขาดมือนี่”

“ฉันก็ไม่รู้นะ แต่คนรวยก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการเงินเพิ่มนี่นา มีเหตุผลที่พวกเขาต้องการมันมากขึ้นเป็นร้อยแปดพันประการ ไม่งั้นจะมีคนโกงบ้านกินเมืองเยอะแยะเหมือนทุกวันนี้เรอะ”

ฟังแล้วชลาลัยก็ยิ่งกลุ้ม เพราะไม่รู้ว่าจะวางน้ำหนักไปข้างไหนดี ทั้งสองคนเป็นคนที่รักเธอมาก คนหนึ่งก็เปรียบเสมือนพ่อ อีกคนก็เปรียบเสมือนพี่ชายที่แสนดี

“ถ้าเธออยากรู้ ก็ไปถามพี่น่านของเธอสิ”

“เขาจะโกรธฉันไหมอะ อุตส่าห์ห้ามไม่ให้มาเจอคุณอาแล้วยังฝ่าฝืนคำสั่ง แถมยังจะไม่เชื่อใจเขา กล่าวหาว่าเขาจะฮุบหุ้นฉันอีกต่างหาก”

“โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วเธอจะทำยังไงหือ”

หญิงสาวถอนใจเฮือก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนใจ “ไม่รู้สิ ฉันคงต้องขอคิดก่อนก็แล้วกันว่าจะทำยังไง ตอนนี้มันมืดแปดด้านไปหมดแล้ว”

“งั้นไปหาอะไรดื่มแก้มึนหัวกันไหมล่ะ” ธนากรหันมายักคิ้วให้เธอ

“นี่มาไม่กี่วัน รู้จักที่เที่ยวแล้วเรอะ”

“โธ่...ระดับธนากรแล้ว” เขายืดอกอย่างภาคภูมิใจ

“จ้า...พ่อแคซาโนวา”

“ตกลงไปไหม”

ชลาลัยนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะคิดอะไรดีๆ ออกบ้าง”

 

บาร์ที่ธนากรพามาทั้งเสียงดังและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยนักเที่ยวกลางคืน โดยเฉพาะผู้หญิงที่แต่งตัววับแวมกันละลานตาไปหมด

“ดื่มอะไรดี”

“มาร์การิตาก็แล้วกัน”

“จัดไป” ธนากรชะเง้อมองหาพนักงานเสิร์ฟ แต่ผู้คนที่แออัดกันอยู่มากมายก็ทำให้เขามองไม่เห็น จึงตัดสินใจลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันมานะ ไปสั่งเครื่องดื่มที่บาร์ก่อน”

“อืม...” ชลาลัยพยักหน้า เมื่อเพื่อนชายถูกกลืนหายเข้าไปในฝูงชน เธอจึงค่อยมองไปรอบๆ ก่อนจะไปจบที่วงดนตรีบนเวทีที่กำลังกระหน่ำเพลงอย่างเมามัน

เพลงที่วงกำลังเล่นนั้นกระตุ้นเร้าจิตใจผู้คนให้ลุกขึ้นเต้นกันอย่างเมามัน แม้แต่ชลาลัยเองก็ยังอดขยับขาและโยกตัวไปมาไม่ได้ เมื่อเพลงหนึ่งจบลง อีกเพลงก็ดังกระหึ่มขึ้นมาใหม่ ถึงจะอึกทึกไปบ้าง แต่ฟังแล้วก็เพลินดีไม่น้อย

“สวัสดีครับ”

เสียงนั้นทำให้เธอต้องละสายตาจากหนุ่มผมยาวที่กำลังแหกปากตะโกนอยู่บนเวทีหันไปมอง เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีดวงตาเป็นประกายแวววับคล้ายธนากรตอนจีบสาวๆ ไม่มีผิด

“สวัสดีค่ะ” เธอยิ้มตอบอย่างไม่ได้สนใจนัก

“มาคนเดียวหรือครับ”

“เปล่าค่ะ” เธอยิ้ม “มากับแฟนค่ะ”

“แล้วแฟนไปไหนเสียแล้วล่ะครับ ทำไมปล่อยให้คนสวยๆ อย่างคุณนั่งอยู่คนเดียว”

“กำลังไปสั่งเครื่องดื่มค่ะ เอ๊ะ...นั่นไงคะเขาเดินกลับมาพอดี”

ชลาลัยพยักพเยิดไปที่ธนากรซึ่งกำลังเดินกลับมา ชายคนนั้นเห็นแล้วก็หน้าบึ้ง แต่ก็ฝืนยิ้มให้เธอแล้วปลีกตัวเดินจากไป

“เขามาจีบเธอหรือ” ธนากรเอ่ยถามเมื่อมาถึงโต๊ะ

“ไม่รู้สิ”

“คนสวยนี่น้า ไปไหนก็มีแต่หนุ่มมาจีบ”

“ไม่ต้องมายอกันเลยย่ะ” เธอตีต้นแขนของเขาเบาๆ “เป็นเพราะนายนั่นแหละที่ทิ้งฉันไว้คนเดียว”

“ก็ไปเอาเครื่องดื่มให้นี่ไง” ชายหนุ่มอ้าง ก่อนจะหันไปมองชายคนนั้นที่ยังคงส่งสายตามาเป็นระยะๆ 

“ฉันว่าเขาก็หล่อดีนะ ทำไมไม่ลองคุยดูล่ะ”

“นายว่าเขาหล่อ นายก็ไปคุยเองดิ”

“บ้า...ฉันไม่ใช่เกย์นะ”

ชลาลัยหัวเราะ “ไม่รู้ละ ฉันไม่ชอบผู้ชายที่มีดวงตาวิบวับเหมือนนาย”

“อ้าว ไหงมาลงที่ฉันล่ะ” ธนากรแบะปาก “ตาวิบวับอย่างฉันมันเป็นยังไงหือ”

“เหมือนพวกสุนัขล่าเหยื่อ น่ากลัวมาก” เธอทำท่าขนลุก

“จ้า...ต้องตาเหมือนพี่น่านของเธอใช่ไหม ถึงจะทำให้เธอสนใจได้”

“แน่นอน พี่น่านน่ะมีแววตามั่นคง น่าเชื่อถือกว่าเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มลอยหน้าลอยตา ก่อนชะงักไปเมื่อจู่ๆ ก็นึกถึงสายตาชายหนุ่มอีกคนที่พบตอนสัมภาษณ์งาน

“แล้วถ้าฉันไปทำศัลยกรรมตาให้เหมือนพี่น่านของเธอล่ะ จะรับฉันเอาไว้พิจารณาหรือเปล่า”

ชลาลัยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทำปากเบ้ใส่คนพูด “ฉันรู้สันดานนายดี ทำให้เหมือนใครก็ยังเป็นนายอยู่ดีนั่นแหละ”

“อูย...เจ็บนะเนี่ย” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นวางบนอกด้านซ้ายอย่างทีเล่นทีจริง

ซึ่งคำพูดของเธอก็ไม่ได้ผิดไปสักนิดเดียว เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ธนากรก็ทิ้งเธอให้เป็นปู่โสมเฝ้าโต๊ะอยู่เพียงลำพัง ส่วนตัวเขาเองก็ไปทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับสาวสวยใส่สายเดี่ยวสวมกระโปรงยีนสั้นฟิตเปรี๊ยะที่อยู่บนฟลอร์เต้นรำ

“ให้ตายเถอะ”

ชลาลัยส่ายหน้าอย่างไม่ได้แปลกใจเท่าไร เพราะหลายครั้งที่อยู่อเมริกาเขาเป็นแบบนี้ เธอนั่งอยู่สักพักใหญ่ธนากรที่เต้นจนเหนื่อยก็พาสาวน้อยคนนั้นมานั่งพักที่โต๊ะ ระหว่างนั้นชายคนที่เข้ามาทักเธอก็ยังคงส่งสายตาให้อย่างไม่ขาดสาย

“กร...ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า”

“อะไรกัน เพิ่งจะสองทุ่มเอง” ธนากรท้วงพร้อมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“กลัวพี่น่านเป็นห่วงน่ะ”

“งั้นฉันไปส่ง”

ชลาลัยเหลือบมองสาวน้อยที่ทำหน้าเซ็งจึงรีบปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับก็ได้ ไม่อยากขัดความสุขของนาย”

“ได้ยังไงล่ะ ฉันเป็นคนชวนเธอมา ขืนปล่อยให้กลับเองแล้วเป็นอะไรขึ้นมา มีหวังพี่น่านของเธอเอาฉันตายแน่ๆ”

“ไม่หรอกน่า” ชลาลัยโบกมือแล้วตบไหล่เพื่อนหนุ่มเบาๆ “ฉันดูแลตัวเองได้ ไปละนะ”

หญิงสาวไม่ปล่อยให้ธนากรรั้งตัวไว้อีก เธอลุกขึ้นแล้วเดินโซเซเล็กน้อยออกไปจากบาร์เพื่อสูดอากาศภายนอกที่ไร้กลิ่นเหงื่อกับควันบุหรี่ และมีมลภาวะทางเสียงน้อยกว่า

“แฟนทิ้งหรือไงครับคนสวย”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ชลาลัยตกใจ เมื่อเธอหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้ชายที่เข้ามาทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับเธอเมื่อครู่นี่เอง

“เปล่าค่ะ” เธอปฏิเสธแล้วหันหลังให้เขา ทำท่าว่าจะเดินไปริมถนนเพื่อเรียกแท็กซี่ ทว่าเขากลับรีบเดินมาขวางหน้าเธอเอาไว้

“จะกลับแล้วหรือครับ”

“ค่ะ”

“ผมไปส่งไหม รถผมจอดอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”

ชลาลัยพยายามเดินหนี แต่เขาก็เดินตาม ก่อนจะฉวยข้อมือเธอแล้วดึงไปหา

“อย่าเล่นตัวนักสิ”

“ปล่อยค่ะ” เธอพยายามทำใจดีสู้เสือ

“ไปกับผมเถอะ ไหนๆ แฟนก็ทิ้งแล้ว ไปหาอะไรทำสนุกๆ กัน”

“ปล่อย!” ชลาลัยพยายามกระชากแขนตัวเองออกมา แต่แรงหญิงหรือจะสู้แรงชายได้ ถึงตอนนี้จะนึกเสียใจที่ไม่ยอมให้ธนากรไปส่งที่คอนโดมิเนียม มันก็สายไปเสียแล้ว

“ผมคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากไปกับคุณนะ”

เสียงนั้นทำให้ทั้งชลาลัยและชายคนที่กำลังฉุดเธอชะงักด้วยกันทั้งคู่ เมื่อเธอหันไปตามเสียงนั้น เธอก็พบว่าคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอในยามนี้ก็คือ...

“คุณฟ้าคราม!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น