2

ตอนที่ 2

 

ชลาลัยลืมตาโพลงขึ้นในช่วงสายของวันต่อมา รู้สึกใจหวิวๆ ประหลาดกับความฝันเมื่อครู่ แต่ก็จำไม่ได้ว่าตัวเองฝันอะไร ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินออกมาจากห้องนอน แต่แทนที่จะได้พบพี่ชาย กลับพบเพียงโน้ตเล็กๆ ที่ติดอยู่ตรงตู้เย็น

‘มีข้าวต้มกุ้งอยู่ในหม้อ บุรินทร์คอยอยู่ที่ล็อบบี’

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบตักอาหารเช้ารับประทานแล้วลงไปพบคนของพี่ชายที่ล็อบบีคอนโดมิเนียม

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณบุรินทร์”

“คุณน้ำ” ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วเก็บสมาร์ตโฟนลงในกระเป๋ากางเกง “คุณน่านให้ผมพาคุณไปที่บ้านน่ะครับ”

“แล้วพี่น่านล่ะคะ”

“วันนี้มีประชุมทั้งวัน คงไม่ว่างไปด้วย ก็เลยให้ผมไปแทนน่ะครับ”

ชลาลัยขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกตงิดใจแต่จะถามบุรินทร์ก็คงไม่ได้ความอะไร เพราะขนาดเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ น่านตะวันยังไม่ยอมบอกอะไรเลย

“คุณบุรินทร์เป็นเลขาฯ พี่น่านไม่ใช่หรือคะ วันนี้ไม่ต้องประชุมกับพี่น่านด้วยหรือ”

“งานผมคือทำตามคำสั่งคุณน่านครับ”

“อ้อ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างจนปัญญา “งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”

“เชิญครับ” 

บุรินทร์ผายมือให้เธอ จากนั้นเขาก็ขับรถพาเธอไปยังคฤหาสน์นนทกิจอนันต์ ซึ่งยังคงความโอ่อ่าสง่างามไม่ผิดไปจากเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วเลยสักนิด ต่างกับคฤหาสน์ปัถมนันท์ที่อยู่ติดกันอย่างลิบลับ

ระหว่างทางที่รถเคลื่อนไปตามแนวรั้ว ชลาลัยจ้องมองบ้านเก่าของเธอผ่านรั้วด้วยความรู้สึกหดหู่ เพราะมันทั้งเก่าทั้งโทรม แถมสวนหน้าบ้านก็ถูกทิ้งให้รกเรื้อจนไม่หลงเหลือความสวยงามเหมือนเมื่อครั้งที่บิดามารดาของเธอยังอยู่เลย

เพียงคิดถึงบิดามารดาก็ทำให้เธอถึงกับดวงตาร้อนผ่าว อยากจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของบุรินทร์ เธอก็กลั้นสะอื้นแล้วฝืนยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับคุณน้ำ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าพร้อมยกนิ้วขึ้นกรีดน้ำตา “แค่คิดถึงความหลังนิดหน่อย”

บุรินทร์พยักหน้าขรึมๆ แล้วหันกลับไปสนใจทาง และไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะขับรถไปจอดเทียบที่ด้านหน้าอาคารหลังใหญ่แล้วลงมาเปิดประตูรถให้เธอ

“คุณหนูน้ำ”

เสียงป้าชื่น แม่บ้านเก่าแก่ดังมาจากหน้าประตูบ้าน ชลาลัยยิ้มและยกมือไหว้เธอ ก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง

“ต๊าย ดูซินี่ ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นสาวสวยไปเสียแล้ว”

“ป้าชื่นก็ไม่แก่ลงเลยนะคะ”

“อุ๊ย...ไม่ต้องมาชมป้าเลย ปีนี้ก็จะเจ็ดสิบแล้ว ไม่แก่ยังไงไหวคะ”

หญิงสาวยิ้ม “แล้วนี่คุณอาทั้งสองอยู่บ้านใช่ไหมคะ”

ชื่นชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มยินดีที่ได้พบกันพลันหุบลง “อยู่แต่คุณผู้หญิงค่ะ คุณผู้ชายไม่ค่อยกลับมาบ้านหรอก คุณน่านเธอก็ไปอยู่คอนโด”

“พี่น่านบอกว่าทะเลาะกับคุณอาพงษ์ ป้าชื่นพอจะรู้เรื่องไหมคะ”

“ไม่รู้หรอกค่ะ น่าจะทะเลาะกันตอนกลางคืน พวกคนใช้อยู่ที่เรือนเล็กกันหมด เช้ามาก็ไม่เห็นคุณน่านแล้ว” ชื่นถอนใจเฮือก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “ป้าว่าเข้าไปข้างในเถอะค่ะ คุณผู้หญิงรออยู่”

ชลาลัยพยักหน้า ก่อนจะเดินตามแม่บ้านเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ เกวลินคอยเธออยู่ในห้องรับแขกที่ยังคงโอ่อ่าเหมือนเดิม แต่หญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนมันขาดชีวิตชีวาลงไปอย่างน่าใจหาย

“หนูน้ำ!”

เกวลินร้องเรียกเธอด้วยความตื่นเต้น ชลาลัยจึงตรงเข้าไปกราบแทบอกผู้เป็นอา ก่อนจะกอดกันกลมด้วยความคิดถึง 

“โอ๊ย...คิดถึงจังเลยลูก”

ตอนนั้นเองที่ชลาลัยได้กลิ่นแอลกอฮอล์เตะจมูก แต่เธอก็ไม่ได้ทักเพราะกลัวเสียมารยาท ก่อนจะถูกผู้เป็นอาดันร่างออกแล้วพิศมองด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นสาวสวยขึ้นเป็นกองเลยนะเรา”

“คุณอาก็เหมือนกันละค่ะ ยังสวยอยู่เลยนะคะ”

“วุ้ย...ไม่ต้องมาชมอาเลย” เกวลินเอ่ย ก่อนจะจูงมือไปนั่งที่โซฟารับแขก “เป็นไงจ๊ะ เดินทางเหนื่อยไหมลูก”

“ก็นิดหน่อยค่ะ” เธอยิ้มให้ “แล้วคุณอาล่ะคะ สบายดีไหมคะ”

คนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “สบายกาย แต่ไม่สบายใจเลย”

“อ้าว...ทำไมล่ะคะ” 

เจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ห้องรับแขกที่กว้างใหญ่ ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้ง

“ก็บ้านออกใหญ่โตอย่างนี้ แต่ก็เหมือนมีอาเป็นปู่โสมเฝ้าสมบัติอยู่เพียงคนเดียวน่ะสิ”

“คุณอาหมายถึงพี่น่านหรือคะ”

“ใช่จ้ะ รายนั้นตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ ก็มาอยู่ที่บ้านได้แค่แป๊บเดียวเอง”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ”

“น่านทะเลาะกับคุณอาพงษ์น่ะสิ อาก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะไร แต่ก็น่าจะใหญ่เอาการ หลังจากนั้นน่านก็ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย อาโทร. ไปก็ไม่ยอมรับสาย ทำเหมือนจะตัดขาดจากที่นี่อย่างนั้นแหละ”

เกวลินถอนใจเฮือกพลางให้ชลาลัยพลอยถอนใจตาม เพราะดูเหมือนเธอจะไม่ได้อะไรคืบหน้าเรื่องความร้าวฉานระหว่างครอบครัวเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย แถมผู้เป็นอาหญิงก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัวเสียด้วยว่าลูกชายเองก็ไม่พอใจอะไรบางอย่างในตัวท่านด้วย

“แล้วคุณอาพงษ์ล่ะคะ”

เกวลินโบกมืออย่างระอา “รายนั้นก็พอกัน กลับบ้านนับครั้งได้”

“อ้าว...แล้วคุณอาพงษ์ไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ”

“อยู่กับพวกเมียน้อยน่ะสิ”

“ตายจริง” ชลาลัยยกมือทาบอก

“อาปลงเสียแล้วละ นี่อาก็หวังว่าพ่อของน่านไม่อยู่แล้ว เขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันกับอา แต่เหมือนเขาจะไม่อยากคุยกับอาเอาเสียเลย ไม่รู้เป็นอะไร นี่ขนาดน้ำมา ยังให้คนอื่นพามาเลย...ดูสิ”

ชลาลัยหันไปมองบุรินทร์ที่ยืนกุมมืออยู่ไม่ห่าง ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นอา

“เอาไว้น้ำจะช่วยพูดกับพี่น่านให้นะคะ คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

เกวลินพยักหน้า ก่อนจะเผยยิ้ม “วันนี้กินข้าวกลางวันกับอานะ”

“ได้ค่ะ”

 

หลังจากพูดคุยและรับประทานอาหารกลางวันกับเกวลินแล้ว บุรินทร์ก็พาชลาลัยกลับมาที่คอนโดมิเนียมสุดหรู แต่แทนที่เธอจะสบายใจที่เพิ่งได้กลับบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก เธอกลับรู้สึกหดหู่และสับสนอย่างบอกไม่ถูก

“มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่น่านกับคุณอากันแน่นะ” หญิงสาวถอนใจเฮือก แล้วหันไปทางชายหนุ่มที่มาส่งเธอ “คุณบุรินทร์รู้ไหมคะว่าพี่น่านทะเลาะกับคุณอาพงษ์เรื่องอะไร”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนผมมาทำงานกับคุณน่านก็พักอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องก่อนหน้านั้นคุณน่านไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลยครับ”

“คงมีแต่พี่น่านกับคุณอาเท่านั้นสินะที่รู้”

“ซึ่งคนที่จะเปิดปากคงไม่ใช่คุณน่านแน่ๆ ครับ” บุรินทร์แทรกขึ้นอย่างรู้ใจเจ้านาย

ชลาลัยหัวเราะในลำคอเบาๆ “คุณก็คิดเหมือนฉันสินะคะ”

“ครับ...นอกจากเรื่องที่คุณน่านอยากจะบอกแล้ว ก็ไม่มีเรื่องไหนหลุดจากปากเขาได้ครับ”

หญิงสาวถอนใจเฮือก “ทีนี้ก็เหลือแต่คุณอาพงษ์เท่านั้นสินะที่จะไขข้อข้องใจนี้ได้”

“นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกันครับ”

“เอ๋...” ชลาลัยหันไปมองคนพูด “ทำไมล่ะคะ ปากหนักเหมือนกันหรือไงคะ”

“เปล่าครับ” บุรินทร์โบกมือ “แต่เพราะคุณน่านสั่งผมอย่างเด็ดขาดว่าอย่าให้คุณน้ำไปพบกับคุณภาสพงษ์เด็ดขาดครับ”

“ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน “อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมแค่ทำตามที่คุณน่านสั่ง”

“ให้ตายสิ นี่พี่น่านรู้ว่าอาพงษ์ไม่อยู่บ้านแน่ๆ ก็เลยให้คุณบุรินทร์พาฉันไปใช่ไหมคะเนี่ย”

“ใช่ครับ คุณน่านรู้อยู่ตั้งนานแล้วว่าคุณภาสพงษ์ไม่ค่อยกลับบ้าน”

“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ” ชลาลัยเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ

“ผมว่าอย่าเสียเวลาไปหาความจริงเลยครับ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะลองคุณน่านไม่อยากให้ใครรู้ ก็คงไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้หรอกครับ”

“คุณเคยพยายามหรือยังคะ” ชลาลัยเอ่ยถามกลับ

“ยังครับ” เขายักไหล่ “เพราะผมคิดว่ามันเปล่าประโยชน์ไงครับ”

“งั้นฉันจะลองเอง ให้มันรู้ไปสิว่าพี่น่านจะไม่ยอมปริปากอะไรเลย” หญิงสาวบอกอย่างมุ่งมั่น

บุรินทร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “งั้นก็ตามใจครับ วันนี้ผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน พอดีมีธุระสำคัญต้องไปทำให้คุณน่านครับ”

ชลาลัยพยักหน้า มองดูผู้ช่วยของพี่ชายเดินจากไปอย่างนึกสงสัยว่าเธอจะสามารถล้วงความลับจากพี่ชายได้หรือไม่ เพราะแม้คนที่ใกล้ชิดพี่ชายที่สุดก็ยังเอ่ยปากว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย

 

การรับประทานอาหารในค่ำวันนั้น ทั้งชลาลัยและน่านตะวันต่างนิ่งเงียบด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย จนในที่สุดก็เป็นฝ่ายหญิงที่สูดลมหายใจลึกแล้วตัดสินใจทำลายความเงียบลงเสียเอง

“พี่น่านจะไม่ถามหน่อยหรือคะว่าวันนี้น้ำไปที่บ้านมาเป็นอย่างไรบ้าง”

“เป็นไงล่ะ” น่านตะวันเอ่ยถามอย่างขอไปที พลางก้มหน้าก้มตาหั่นชิ้นเนื้อสเต๊กราวกับไม่ได้อยากได้ยินคำตอบสักเท่าไร

“ดูพี่น่านจะไม่สนใจความเป็นไปของบ้านหลังนั้นเลยนะคะ”

“ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนี่” น่านตะวันนำเนื้อสเต๊กเข้าปากอย่างไม่สนใจอะไรจริงๆ

“แต่อาหลินคิดถึงพี่น่านมากนะคะ”

เขาหัวเราะในลำคอ “ผู้หญิงคนนั้นคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ”

“ทำไมพี่น่านพูดถึงแม่แบบนี้ล่ะคะ”

น่านตะวันนิ่งเงียบและรับประทานสเต๊กเนื้อที่เป็นคนปรุงเองโดยไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น

“น้ำไม่สบายใจเลยที่พี่น่านเป็นแบบนี้ ทำไมคะ มีเรื่องอะไรหรือไง ถึงต้องทำแบบนี้”

“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” น่านตะวันตัดบทเสียงแข็ง

“น้ำโตแล้วนะคะ” ชลาลัยโพล่งขึ้น “น้ำจบปริญญาโทแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ”

จู่ๆ น่านตะวันก็วางส้อมกับมีดลง ชลาลัยมองด้วยความตกใจ คิดว่าเขาจะโกรธจัดจนอาละวาด แต่พี่ชายกลับนิ่งเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องนอนของเขา พอชลาลัยได้ยินเสียงล็อกประตู เธอก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่บุรินทร์พูดเอาไว้นั้น ไม่ได้เกินเลยความจริงไปเลย

หญิงสาวถอนใจเฮือก รู้สึกสงสารทั้งเกวลินและน่านตะวันเหลือเกิน เธออยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สองคนนี้หันหน้ามาคุยกัน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

 

เช้าวันต่อมา เมื่อชลาลัยออกจากห้องนอนมาที่ห้องอาหารแล้วเห็นว่าน่านตะวันกำลังทำอาหารเช้าพร้อมผิวปากไปด้วยอย่างอารมณ์ดีก็รู้สึกโล่งใจ จึงเดินเข้าไปทักพร้อมรอยยิ้มหวานหยดย้อย

“ทำอะไรคะ หอมเชียว”

น่านตะวันหันมายิ้มให้เธอโดยไม่มีร่องรอยความขุ่นเคืองจากเมื่อคืนเลยสักนิด “อิงลิชเบรกฟาสต์”

“น่ากินจัง”

“ไปนั่งเลย เดี๋ยวพี่ไปเสิร์ฟ”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวบอก ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร มองดูพี่ชายใช้ตะหลิวช้อนไข่ดาวจากกระทะไปวางในจาน ครู่หนึ่งเขาก็นำมาเสิร์ฟให้เธอพร้อมทรุดตัวลงนั่งกินด้วย

“แต่งตัวเป็นทางการเชียว จะไปไหนหรือ” น่านเอ่ยทักเพราะเห็นว่าเธอสวมเสื้อเชิ้ตขาวกับกระโปรงสีน้ำเงินเรียบร้อย

“ไปสัมภาษณ์งานค่ะ”

“อะไรกัน มาได้วันสองวันมีบริษัทเรียกไปสัมภาษณ์แล้วหรือ”

“น้ำสมัครเอาไว้ตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้โลกมันแคบนิดเดียวนี่คะ” เธอบีบนิ้วเข้าหากัน

“ก็จริง” น่านตะวันพยักหน้า “ว่าแต่บริษัทอะไรล่ะ”

“ไม่บอก” เธอตอบลอยหน้าลอยตา

“อ้าว...ทำไมล่ะหือ”

“พี่น่านเป็นคนกว้างขวาง ขืนบอกไปเดี๋ยวพี่น่านก็จัดการให้น้ำได้งานมาง่ายๆ น่ะสิ”

น่านตะวันหัวเราะ “คิดมากไปหรือเปล่าเรา”

“ก็จริงไหมล่ะคะ”

“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พี่ก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรเท่าไร ก็แค่รู้จักคนเยอะ”

“นั่นละค่ะ เขาเรียกคนกว้างขวาง”

“โอเคๆ ไม่อยากรู้ก็ได้” น่านตะวันยักไหล่ “ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ได้งานจะได้มาทำกับพี่”

ชลาลัยหัวเราะคิกคักพลางตักอาหารเช้ากินอย่างเอร็ดอร่อย

“ให้บุรินทร์ไปส่งไหม” น่านตะวันเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เมื่อวานก็คอยตามรับตามส่งน้ำทั้งวันแล้ว เสียเวลาทำงานแย่ เดี๋ยวน้ำนั่งรถไฟฟ้าไปเองดีกว่า”

“มันจะดีรื้อ”

“โธ่พี่น่าน น้ำโตแล้วนะคะ แล้วก็ใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ที่อเมริกาตั้งหลายปี เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ค่ะ” หญิงสาวยิ้มละไม พลางยกโทรศัพท์ขึ้นมาโบกไปมา “เนี่ยเมื่อวานก็ศึกษาเส้นทางจากกูเกิลแมปเรียบร้อย รับรองไม่หลงค่ะ”

“เอาไว้พี่ซื้อรถให้น้ำสักคันดีกว่า ได้งานทำแล้วจะได้ไม่ต้องลำบากขึ้นรถสาธารณะ”

“น้ำว่ามีรถนี่สิลำบาก” หญิงสาวทำปากเบ้ แล้วเหลือบมองไปทางกระจกบานใหญ่ “กรุงเทพฯ รถติดจะตาย ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถ เงินทองทั้งนั้น อีกอย่างรถไฟฟ้าก็มาจอดรับถึงหน้าคอนโด น้ำว่าใช้บริการรถสาธารณะดีกว่าค่ะ ลดโลกร้อน”

น่านตะวันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “งั้นก็ตามใจ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร โทร. หาพี่ทันทีรู้ไหม”

“รับทราบค่ะ” ชลาลัยยกมือขึ้นทำท่าตะเบ๊ะ ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารเช้าต่ออย่างเอร็ดอร่อย

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ชลาลัยก็ใช้บริการรถไฟฟ้าไปจนถึงอาคารสำนักงานเอดีทาวเออร์ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเอดีดีไซน์ อันเป็นบริษัทผู้ออกแบบงานสถาปัตยกรรมที่ติดอันดับหนึ่งในสิบบริษัทออกแบบงานสถาปัตยกรรมชั้นนำของประเทศไทยจากการจัดอันดับของบีซีไอ เอเชีย ไทยแลนด์เมื่อไม่นานมานี้

หญิงสาวแลกบัตรผู้ติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของอาคาร ก่อนจะใช้มันสแกนผ่านทางเข้าแล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ยี่สิบซึ่งบริษัทเอดีดีไซน์ครอบครองชั้นนี้ทั้งชั้น พอประตูลิฟต์เปิด ก็เผยให้เห็นเคาน์เตอร์ที่มีผนังบุนวมสีเทาติดโลโก้บริษัทสีทองอยู่ด้านหลังพนักงานต้อนรับสาวสวย

“คุณชลาลัยใช่ไหมคะ กรุณานั่งรอสักครู่นะคะ” พนักงานต้อนรับผายมือไปยังโซฟาน่าสบายที่ออกแบบมาอย่างเก๋ไก๋สมกับเป็นบริษัทสถาปนิก

“ขอบคุณค่ะ” ชลาลัยค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งรอ 

พนักงานสาวสวยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยอยู่สองสามประโยค ก่อนจะลุกขึ้นแล้วส่งยิ้มให้

“คุณชลาลัยคะ เชิญห้องประชุมสี่ค่ะ” 

พนักงานต้อนรับแจ้งแล้วเดินนำเธอไปยังห้องนั้น ก่อนจะเคาะประตูสามครั้ง แล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไป

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องประชุมด้วยท่าทางมั่นใจ แม้ภายในจะรู้สึกหวั่นไหวต่อบรรยากาศรอบกายอยู่ไม่น้อยก็ตาม 

ห้องประชุมสี่นี้มีโต๊ะตัวยาวขนาดยี่สิบคนนั่งตั้งอยู่กลางห้อง ความยาวของมันขนานไปกับผนังกระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของสวนสาธารณะใหญ่กลางเมืองกรุง เบื้องหน้ากระจกบานนั้นมีบุรุษต่างวัยสามคนนั่งเรียงกันอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ชลาลัยจำได้จากประวัติบริษัทในเว็บไซต์ว่าคนตรงกลางคืออดุลย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทและดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเอดีดีไซน์ และเป็นรองประธานเอดีกรุ๊ปที่ทำธุรกิจก่อสร้างครบวงจร เขาเป็นคนรูปร่างท้วม ใบหน้าเหลี่ยมและมีดวงตากลมโต อายุอานามน่าจะไล่ๆ กับภาสพงษ์ผู้เป็นบิดาของน่านตะวัน

ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาคือประกิต ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล ทว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของผู้เป็นประธานนั้นเธอกลับจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร และมีตำแหน่งอะไรในบริษัทเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี

‘แต่หน้าคุ้นจังแฮะ’

“สวัสดีค่ะ” ชลาลัยยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดี...เชิญนั่งสิ” อดุลย์ผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขาด้วยท่าทางเป็นกันเอง เธอค้อมศีรษะแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างเรียบร้อย

“ช่วยแนะนำตัวเองด้วยครับ” ประกิตเอ่ยเสียงเข้มเป็นการเป็นงาน

ชลาลัยจึงแนะนำตัวเองว่าจบปริญญาตรีและโทด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และยังเคยได้รับรางวัลจากการประกวดแบบของ AIA+ACSA ซึ่งเป็นงานประกวดออกแบบเฉพาะนักศึกษาอีกด้วย โดยระหว่างสองปีที่เธอเรียนปริญญาโท เธอยังได้ทำงานเป็นผู้ช่วยสถาปนิกในบริษัทชั้นนำของที่นั่นด้วย

หลังจากนั้นการสัมภาษณ์ก็เป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้สัมภาษณ์ทั้งสามต่างยิงคำถามใส่ชลาลัยมากมาย ทั้งอดุลย์และประกิตใช้ภาษาไทยกับเธอ แต่ชายหนุ่มนิรนามกลับใช้แต่ภาษาอังกฤษ สำเนียงของเขาราวกับเป็นเจ้าของภาษามาเองเลย ทำให้เธอคิดว่าเขาอาจเป็นชาวต่างชาติที่บริษัทว่าจ้างมาเป็นที่ปรึกษาเฉพาะทางก็เป็นไปได้

“จบไอวีลีกเสียด้วย” 

ชายหนุ่มงึมงำเป็นภาษาอังกฤษอย่างนึกทึ่งที่รู้ว่าเธอจบการศึกษามาจากสถาบันที่ติดอันดับหนึ่งในแปดมหาวิทยาลัยระดับท็อปของสหรัฐอเมริกามา

“อืม...ในประวัติบอกว่าคุณไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบสามหรือครับ” 

“ใช่ค่ะ”

“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ตอนนั้นคุณน่าจะอยู่มัธยมปีที่สอง มันเป็นช่วงกึ่งกลางมัธยมต้น ทำไมถึงไปช่วงครึ่งๆ กลางๆ อย่างนั้นล่ะครับ”

“คือตอนนั้นพี่ชายของฉันจะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกาค่ะ ทางบ้านก็เลยคิดว่าน่าจะให้ไปเสียด้วยกันเลย จะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกันค่ะ”

เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ทำไมถึงเลือกเรียนสถาปัตย์ล่ะครับ”

ชลาลัยยิ้มแล้วตอบอย่างมั่นใจ “ตอนไปถึงที่อเมริกาครั้งแรก ฉันรู้สึกตัวเองเหมือนหนูตัวเล็กๆ ที่ถูกล้อมกรอบด้วยตึกสูงใหญ่และเต็มไปด้วยดีไซน์สวยๆ แปลกตาค่ะ เลยคิดว่าถ้าได้ออกแบบอาคารสวยๆ สักหลังมาประดับเมืองก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก และอีกเหตุผลหนึ่งคือพี่ชายที่ฉันกล่าวถึงเมื่อครู่ เขาเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ค่ะ ฉันก็เลยเลือกเรียนสถาปัตย์ เพราะคิดว่าน่าจะทำงานเกี่ยวข้องประสานกันได้ค่ะ”

กรรมการทั้งสามต่างหันมองกันแล้วยิ้มต่างพยักหน้าให้กันอย่างพึงใจ ก่อนจะเป็นอดุลย์ที่หันมาเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอขอบคุณคุณชลาลัยนะครับที่สละเวลามาในการสัมภาษณ์งานวันนี้ ทางเราจะติดต่อคุณกลับไปภายในเจ็ดวัน และผมก็คาดหวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันนะ”

“ฉันก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับที่นี่ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย

“ผมไปส่งครับ” ชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเป็นชาวต่างชาติเอ่ยเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำขณะลุกขึ้นแล้วผายมือให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” 

ชลาลัยค้อมศีรษะอย่างงงๆ ก่อนจะก้าวออกจากห้องประชุมไปพร้อมกับเขา ระหว่างทางเดินจากห้องประชุมสี่ไปยังโถงต้อนรับ เธอพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร เพราะคุ้นหน้ามาก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที

“มีบัตรจอดรถไหมครับ” เขาหันมาถาม

“คะ” หญิงสาวชะงัก “เอ่อ...ไม่มีค่ะ ฉันนั่งรถไฟฟ้ามา”

เขายิ้มแล้วเดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไปที่โถงลิฟต์ ตอนนั้นเธอเห็นพนักงานต้อนรับสาวสวยมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย นั่นคงเพราะเขาเป็นคนหล่อ รูปร่างดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน จึงไม่แปลกเลยที่สาวๆ จะมองเขาตาเป็นมันแบบนั้น

ระหว่างเดินไปที่โถงลิฟต์ ชลาลัยได้แต่ชำเลืองมองเขาด้วยความแปลกใจว่าเขาจะเดินไปส่งเธอจนถึงไหน จนกระทั่งเขากดปุ่มเรียกลิฟต์แล้วยืนกอดอกรอ

“เอ่อ...ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ฉันรบกวนคุณแค่นี้ดีกว่าค่ะ”

เขาหันมายิ้ม “อ้อ...ผมกำลังลงไปหาอะไรกินน่ะครับ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

เพล้ง!

ชลาลัยได้ยินเสียงใบหน้าของตัวเองปริแตกดังก้องอยู่ในหัว ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา พอประตูลิฟต์เลื่อนเปิด เขาก็ใช้มือกันประตูแล้วผายมือให้เธอเข้าไปก่อน จากนั้นเขาก็ก้าวตามเข้ามาแล้วกดปุ่มชั้นหนึ่ง

ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนตัวลง ชลาลัยรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด เธอพยายามเก็บอาการประหม่าเหล่านั้นเอาไว้ด้วยการยืนนิ่งและก้มหน้า แต่สายตาก็ไม่วายชำเลืองมองเขาตลอดด้วยความสงสัย

“มีอะไรจะถามไหมครับ”

“คะ”

“สายตาคุณเหมือนมีอะไรจะถาม”

“เอ่อ...” ชลาลัยอ้าปากค้าง พอเหลือบไปเห็นกระจกที่สะท้อนดวงตาของเขาก็รู้สึกขัดเขินไม่น้อย เพราะเขาคงเห็นเธอแอบมองเขาผ่านกระจกบานนั้นแน่ๆ

“ว่าไงครับ” เขาหันมายิ้ม

‘ให้ตายสิ เคยเห็นยิ้มสวยๆ แบบนี้ที่ไหนนะ’

“เอ่อ...จะเป็นการละลาบละล้วงไปไหมคะ ถ้าฉันจะถามว่าคุณมีตำแหน่งอะไรในบริษัท ฉันรู้จักคุณอดุลย์กับคุณประกิตจากในเว็บไซต์บริษัท แต่ฉันจำคุณไม่ได้เลย”

“แย่จริง ลืมแนะนำตัวไปเลย” เขาหัวเราะพลางยกมือลูบท้ายทอย “ฝ่ายบุคคลคงยังไม่ได้อัปเดตข้อมูลของผมลงในเว็บไซต์ เพราะผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเฮดอาร์คิเทกไม่กี่วันน่ะครับ ผมชื่อ ฟ้าคราม ธนาทิป ครับ”

“ธนาทิป” หญิงสาวเลิกคิ้ว “คุณเป็นอะไรกับคุณอดุลย์คะ”

“ลูกชายครับ”

“อ้อ...เอ่อ...ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทราบจริงๆ” เธอยิ้มเจื่อน ไม่คิดว่าจะจุดไต้ตำตอแบบนี้ 

“อย่ากังวลไปเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษผมเองที่ส่งประวัติให้ทางฝ่ายบุคคลช้าไป”

“นี่เท่ากับว่าถ้าฉันได้ทำงานที่นี่ คุณก็คือหัวหน้าของฉันโดยตรงใช่ไหมคะ” ชลาลัยเอ่ยแก้เก้อ เพราะตำแหน่งเฮดอาร์คิเทกก็คือหัวหน้าฝ่ายออกแบบสถาปัตยกรรมนั่นเอง

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ฟ้าครามพยักหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มมีเสน่ห์ “ไหนๆ ก็รู้จักกันแล้ว กินอะไรด้วยกันก่อนกลับดีไหมครับ”

“แต่...ฉันเกรงว่า...”

“กลัวคนนินทาว่าใช้เส้นสายหรือครับ”

“เอ่อ...ทำนองนั้นค่ะ” ชลาลัยยอมรับตามตรง

ฟ้าครามพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่เสียงเตือนลิฟต์จะดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก เขาผายมือให้เธอเดินออกไป ก่อนจะก้าวตามออกมา

“เอาไว้พบกันนะครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “ถ้าฉันได้ทำงานที่นี่นะคะ”

“คุณได้อยู่แล้ว” ฟ้าครามบอกอย่างมั่นใจ ก่อนจะยกสองมือขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเธอ “อ๊ะ...ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่พ่อผม ผมแค่มาสัมภาษณ์คุณเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ที่ผมมั่นใจก็เพราะว่าคุณดูดีที่สุดในบรรดาคนที่มาสัมภาษณ์ต่างหาก”

“อ๋อ ค่ะ” ชลาลัยยิ้มเจื่อนแล้วค้อมศีรษะลงอีกครั้ง “ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”

“ยินดีครับ”

ฟ้าครามยิ้มแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชลาลัยมองตามเขาไปอย่างรู้สึกขัดเขิน เพราะในเวลาไม่กี่นาทีเธอก็ทำเปิ่นใส่เขาไปหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาความมั่นใจที่พกมาเป็นกระบุงหล่นหายไปหมดเลยทีเดียว

‘ว่าแต่ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าเขาจังน้า’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น