“ว้าย!”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผิวหนังช่วงอกเลยมาถึงท้องชาวาบด้วยความร้อนก่อนจะแสบขึ้นมาจนรู้สึกได้ว่าเริ่มพอง ด้านหน้าของเธอนอกจากจะเปียกโชกแล้ว ยังถูกลวกด้วยความร้อนจากของเหลวด้านใน แต่สิ่งที่ทำให้สุริวัสสาโกรธที่สุด คือเสื้อแบรนด์เนมสีพีชอ่อนที่เธอเพิ่งใส่ครั้งแรก บัดนี้กลับโดนสีส้มของแกงย้อมทับจนดูหมดราคา
“คุณ!” รุจน์รวินตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นว่าใบหน้าหวานนั้นแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความแสบจากการโดนลวกเข้าอย่างจัง
“เสื้อ เสื้อฉัน” เธอใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หยิบเสื้อให้ห่างออกมาจากลำตัวมากที่สุด พยายามไม่ให้เสื้อโดนลำตัวเพราะเธอแสบผิวเกินกว่าจะพูดอะไรออกแล้วตอนนี้
“ตาเถร! ป้าขอโทษจริงๆ ค่ะคุณ ตายแล้วๆ ยายปี่มาพาคุณเขาไปห้องน้ำที ขวัญ เตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลแล้วเดี๋ยวดูผิวให้คุณวสาด้วย ไม่รู้จะลวกพองรึเปล่า” ป้าพิณหันไปเรียกแม่บ้านและพยาบาลเข้ามาช่วย
“ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยป้าพิณ เลอะเทอะไปหมด” รดาบ่นอุบ เธอวางช้อนด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารโดยมีแม่บ้านอีกคนรีบปรี่เข้าไปประคอง โดยไม่ได้สนใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด ฝ่ายภัทราก็เดินออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน
“ไปเตรียมชุดคลุมให้คุณวสาก่อน เดี๋ยวผมดูทางนี้เอง” ชายหนุ่มรีบพาเธอไปที่ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อนึกได้ว่าส่วนที่โดนลวกนั้นอยู่ในที่ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาจึงรีบถอยออกจากห้องน้ำในจังหวะที่พาขวัญวิ่งเข้ามา “เอ้อ งั้นเดี๋ยวผมไปรอข้างนอกละกัน ขาดเหลืออะไรก็บอก”
พาขวัญใช้น้ำเย็นล้างให้อย่างเบามือเพื่อลดอาการปวดแสบปวดร้อน หลังจากสะอาดแล้วจึงใช้ผ้าเย็นประคบอย่างเบามือจนกระทั่งอาการบรรเทาลง
“โชคดีที่โดนไม่เยอะนะคะ แล้วแกงก็ไม่ได้ร้อนจนลวกไปมากกว่านี้ เท่าที่ขวัญดู น่าจะมีแค่อาการแสบๆ เพราะความร้อนที่โดน แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังระคายเคืองหรือมีตุ่มใสๆ ขึ้น ต้องไปหาหมอนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีค่ะ เดี๋ยวคุณวสาเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะคะ ปี่เค้าเตรียมชุดคลุมให้แล้ว เดี๋ยวจะรีบเอาชุดคุณไปซัก อีกชั่วโมงสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”
สุริวัสสาปิดประตูห้องน้ำตามหลัง หลังจากที่พยาบาลสาวเดินออกไป เธอมองตัวเองในกระจกแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ เมื่อเห็นสภาพผิวที่ขึ้นเป็นสีแดงตั้งแต่ช่วงอกลงมาถึงหน้าท้อง
มาครั้งแรกก็เจ็บตัว ครั้งที่สองก็โดนน้ำร้อนลวก
“ขาดเหลืออะไรรึเปล่าคุณ ทำไมเงียบไปนาน เป็นอะไรหรือเปล่า” รุจน์รวินเคาะประตูเบาๆ แต่นั่นก็ทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองสะดุ้งโหยง
“อะ เอ้อ เปล่าค่ะ เสร็จพอดี” มือบางรวบสาบเสื้อคลุมอาบน้ำเข้าหากันเพื่อความมิดชิด กระชับเชือกที่ผูกที่เอวให้แน่นก่อนจะเปิดประตูออกไป
“ขวัญเค้ารีบเอาเสื้อผ้าคุณไปซักให้ เดี๋ยวไปนั่งที่ห้องทำงานผมก่อนละกัน ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณพอดี”
“ฉันก็มีเรื่องสำคัญจะบอกคุณเหมือนกันค่ะ”
เสียงหวานนั้นพูดจริงจังกว่าครั้งไหนๆ หลังจากลองวิเคราะห์สมาชิกแต่ละคนในครอบครัว เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าถ้าสถานการณ์ที่เรื้อรังมานานเป็นแบบนี้ ลำพังตัวเธอเองซึ่งเป็นคนนอก ก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้แน่ๆ
ทั้งรดาก็มีท่าทีแปลกๆ กับเธอ ส่วนภัทราก็คงไม่ชอบหน้าเธอมากขึ้นจากเหตุการณ์วันนี้ ไม่แปลกที่จะไม่มีใครกล้าเสนอให้เธอใส่ชุดของสองคนนี้ไปก่อน จนสุดท้ายต้องจบลงที่ชุดคลุมอาบน้ำสำหรักแขกที่ยาวเลยเข่ามานิดหน่อย
และนอกเหนือจากความรู้สึกผิดที่อยากจะช่วยให้ครอบครัวนี้กลับมาคืนดีกัน โดยหน้าที่แล้ว สุริวัสสาไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง หรือความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยเลยสักนิด
ส่วนถ้าพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในตอนแรก เธอมั่นใจว่ามันคงมีวิธีอื่นๆ ที่จะทำให้เธอเจอตัวของกีรวิชญ์ ครอบครัวของเขาต้องกำลังตามหาตัวอยู่เหมือนกัน เพราะกานต์พิชชาคงไม่สามารถรักษาหน้าที่ของพี่ชายได้นาน เนื่องจากงานที่แทบจะกองเป็นภูเขาเมื่อหล่อนต้องควบสองตำแหน่งไปพร้อมๆ กัน
นอกจากนั้นสุริวัสสาก็มั่นใจว่าคุณหญิงกนกรักษ์ก็คงไม่ยอมให้ชื่อเสียงของครอบครัวตัวเองเสียหายเป็นแน่ เพราะอีกไม่นานถ้ากีรวิชญ์ยังไม่กลับมา ข่าวที่ปล่อยว่าเขาไปทำงานต่างประเทศนั้นก็คงโดนขุดว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะตอนนี้ก็เริ่มมีคนสงสัยแล้วเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ มีการประกาศไปแบบกะทันหันขนาดนี้ หุ้นของบริษัทก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปร ที่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ถ้ามีคนจับได้ว่าที่จริงแล้วผู้บริหารคนสำคัญของบริษัทนั้นหายเข้าไปในกลีบเมฆ
จริงอยู่ว่าเธออาจจะเสียชื่อเสียงและตกเป็นประเด็นในสังคม เสียหน้าและโอกาสต่างๆ มากมาย แต่นั่นก็คงไม่เท่ากับความเสียหายของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ราคาหุ้นอาจจะตกจนขาดทุนย่อยยับ เพราะไม่มีความมั่นคงให้นักลงทุน
จริงสินะ เธอจะใจร้อน กลัวตัวเองเสียชื่อเสียงไปทำไม ในเมื่อฝ่ายนั้นก็ต้องเผชิญความเสียหายไม่แพ้กัน
ตอนนี้ก็ทำแค่ใจเย็นๆ รอฟังข่าวดีจากกานต์พิชชาเท่านั้น ส่วนเรื่องความรู้สึกผิดที่อยากแก้ตัวในตอนแรก เธอก็ขอล้มเลิกความตั้งใจ เพราะดูท่าทางแล้วตัวเธอเองน่าจะมีแต่เสียกับเสีย แถมปัญหาก็แก้ยากกว่าที่คิดไว้มาก ดีไม่ดีหากเธอเข้ามายุ่งอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงด้วยซ้ำ
สิ่งที่สุริวัสสาคิดว่าเหมาะสมที่สุดตอนนี้ คงทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากกรธวัช ให้เขาช่วยหาแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ไว้ใจได้มาให้คำปรึกษาคงจะดีที่สุด
หญิงสาวตัดสินใจแล้ว เธอจะหาทางบอกรุจน์รวิน ว่าเธอขอยอมแพ้ ถึงแม้ทุกอย่างจะยังไม่ทันเริ่มก็เถอะ!
“นั่งก่อนสิคุณ” เสียงเข้มนั้นปลุกเธอออกจากภวังค์ทันทีที่เดินเข้ามาที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา ชายหนุ่มผายมือให้เธอนั่งลงบนโซฟาตัวยาวในห้องแล้วยื่นผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่งให้ “แอร์ห้องนี้มันปรับอุณหภูมิไม่ได้ ยังไม่ได้เรียกช่างมาซ่อมเลยเย็นหน่อย คุณใส่แค่ชุดคลุมอาจจะหนาว”
“ขอบคุณค่ะ คุณมีอะไรเหรอ พูดก่อนเลย” มือบางรับมาแล้วจึงคลี่ผ้าห่มออกมาคลุมช่วงขา ระหว่างที่ร่างสูงนั้นเดินไปนั่งลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ไม่ไกลออกไป
รุจน์รวินพยักหน้ารับ แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มบางๆ แฟ้มหนึ่งบนโต๊ะมาถือไว้ ก่อนที่ดวงตาคมจะจ้องมาจนคนถูกมองถึงกับขนลุกซู่โดยไร้สาเหตุ รู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันโดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เขาแค่ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะบอกก็เท่านั้น มือบางแอบกระชับผ้าห่มด้วยความประหม่าโดยไม่รู้ตัว ทำไมความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับตัวเองกำลังเป็นนักโทษที่โดนสอบสวนอย่างไรก็ไม่รู้
“ไหนๆ เราก็จะทำงานด้วยกัน ผมเลยร่างสัญญาขึ้นมากันไว้ก่อน ถ้างานสำเร็จ ผมก็ยินดีจะแลกข้อมูลของกีรวิชญ์กับคุณ”
“ถึงกับต้องทำสัญญาเลยเหรอคะ” คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างประหลาดใจ
“เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายไง ผมก็ไม่อยากเสี่ยง เผื่อคุณเอาความลับครอบครัวผมไปเปิดเผยจะทำไง ถ้าคุณเซ็น ก็จะได้มีอะไรประกันไว้หน่อย ในนี้ก็มีเขียนด้วยว่าผมก็จะไม่เบี้ยวคุณเหมือนกัน”
“ฉันยังคงให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้ คงใช้เวลาอ่านวันสองวัน” สุริวัสสารับเอกสารที่เขายื่นมาให้ มือบางเปิดผ่านๆ อย่างไม่จริงจังนัก เมื่อเห็นว่าเรื่องมันเริ่มเลยเถิดไปกว่าที่คิดไว้ หญิงสาวจึงตัดสินใจชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะลงรายละเอียดไปมากกว่านี้
“แต่จากที่เห็น ฉันว่าสถานการณ์แบบนี้น่าจะมีผู้เชี่ยวชาญที่น่าจะให้คำปรึกษาได้ดีกว่าฉัน อย่างเช่นพวกนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ที่เขาเรียนเฉพาะทางมาทางนี้โดยตรง เอ้อ...” สุริวัสสารอดูปฏิกิริยาของเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่ง เธอจึงค่อยๆ พูดต่อ “ฉันถามพี่กรได้นะคะ คุณกรธวัชที่คุณเจอที่ร้านอาหารวันนั้นนั่นแหละ เขาเป็นจิตแพทย์ที่เก่งมากๆ และน่าจะมีคนรู้จักมากพอสมควร บางทีถ้าเขาแนะนำคนที่ไว้ใจได้มา...”
“เจอแค่วันแรกคุณก็จะหนีแล้วเหรอ” รุจน์รวินหัวเราะ แต่เสียงนั้นช่างชวนให้บรรยากาศน่าขนลุกมากกว่าเดิมในความรู้สึกของคนฟัง “ผมก็แค่ถามลองใจไปงั้น คุณไม่กล้าทำสัญญาอะไรเป็นรูปเป็นร่างหรอก ดูก็รู้”
“ไม่ใช่แบบนั้น คือฉันแค่กลัวว่าฉันอาจจะทำให้สถานการณ์มันแย่ลง”
“แน่ใจเหรอว่าคุณคิดแบบนั้น นึกว่าคุณเริ่มรู้สึกว่ามันไม่คุ้มเสี่ยงซะอีก” ริมฝีปากนั้นกระตุกยิ้มเหมือนรู้ทัน แม้จะเห็นว่าทุกอย่างเริ่มแปลกๆ แต่สุริวัสสาก็ยังคงรักษาสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เธอแกล้งทำไขสือ
“ไม่คุ้มกับการที่จะตามกีรวิชญ์กลับมาน่ะหรือคะ”
“นั่นก็ด้วย แต่หลักๆ ก็น่าจะไม่คุ้มกับการตีเนียน กลบเกลื่อนความผิด” เขาวางแฟ้มนั้นไว้ข้างตัว ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าขณะยืนพิงโต๊ะตัวเอง เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องต้อนแกะน้อยให้จนมุมเสียที
“เรื่องอะไรล่ะคะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
คนพูดแอบกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ เธอรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มชา ลำคอแห้งผาก ส่วนหัวใจนั้นก็เต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องหายใจเข้าช้าๆ เพื่อตั้งสติ ขอร้องเถอะ อย่าให้เป็นแบบที่คิดเลย แค่นี้เรื่องทั้งหมดมันก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว
“ไม่ใช่ว่า คุณเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่รดากับภาคินกำลังจะหย่ากันเหรอ”
เพียงเท่านั้นสติของสุริวัสสาก็เตลิดทันที เธอรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมออกตามฝ่ามือ เริ่มรู้ว่ารุจน์รวินตั้งใจให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพื่อที่เขาจะได้ ‘สอบสวน’ เธอได้สะดวก
“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอคะ ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย ฉันไม่เคยรู้จักทั้งสองคนมาก่อนแล้วจะไปทำให้เค้าหย่ากันได้ยังไง แล้วอีกอย่าง ฉันจะทำไปทำไม” หญิงสาวแสร้งหัวเราะเจื่อนๆ เหมือนเขานั้นไร้เหตุผลและกำลังปรักปรำผิดคน
“เงินไง” ดวงตาคมนั้นวาววับขึ้นมาครู่หนึ่ง คนที่นั่งอยู่เห็นดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าเขาคงกำลังข่มความโกรธในใจอยู่พอสมควร
“ตลก”
“ใช่ ตลกมาก ตอนผมรู้ตอนแรกผมก็นึกว่าเรื่องตลก เพราะไม่คิดว่าจะมีคนแบบคุณอยู่บนโลกด้วย” น้ำเสียงของเขานั้นดุขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว แต่หญิงสาวยังทำใจดีสู้เสือ ถ้ายังไม่จนตรอกจริงๆ ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ยอมรับอย่างแน่นอน
“พูดตรงๆ ว่าผมนับถือความสามารถของคุณนะ คุณเป็นคนเก่งคนนึง แต่ถ้าเอาความสามารถมาใช้แบบผิดๆ” ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้จนเกือบจะประชิดตัวของเธอ เขาโน้มตัวลงมาจนร่างบางกระเถิบตัวหนีแทบจะจมลงไปในเบาะ แต่ก็ไม่ทันแขนแข็งแรงทั้งสองข้างที่ยกมาค้ำกับพนักโซฟา กั้นไว้ไม่ให้เธอขยับไปไหนได้
ไวกว่าความคิด รุจน์รวินใช้ช่วงเวลาที่สุริวัสสาทำอะไรไม่ถูก ฉวยเอาโทรศัพท์มือถือของเธอมาไว้กับตัว เขากดที่หน้าจออย่างรู้ทัน และก็เป็นแบบที่คิดไว้จริงๆ
หญิงสาวแอบอัดเสียงเอาไว้
“ผมเจอคนแบบคุณมาเยอะ เลิกใส่หน้ากากสักทีเถอะ แค่มองหน้าผมก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณก็ไม่ธรรมดา” เสียงเข้มนั้นออกจะเย้ยหยันด้วยซ้ำในความคิดของคนฟัง ระหว่างนั้นเขาก็กดลบไฟล์เสียงที่เพิ่งอัดทิ้งไป
หญิงสาวนึกเสียดายที่เขารู้ทัน แม้จะรู้ว่าการอัดเสียงนั้นอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก แต่เธอมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดกับเธอนั้น ถ้าแอบเก็บหลักฐานเอาไว้ก็อาจจะมีประโยชน์ไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องเรียกเธอมาคุยถึงในนี้
“ยิ่งผมรู้ว่าคุณทำอาชีพเสริมที่ทำลายชีวิตคนอื่นแบบนี้ ผมยิ่งรับไม่ได้ คุณทำได้ยังไง ทำลายชีวิตคู่ของใครต่อใครก็เพราะเงิน ทำลายครอบครัวคนอื่น” เมื่อร่างสูงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่อีกครั้ง หญิงสาวจึงค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย
“แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนคุณนะที่สารภาพซะหมดเปลือก ทำให้ผมตัดสินใจทำอะไรได้ง่ายขึ้นก่อนที่จะสายไป” เขายังไม่วายทำให้คนฟังเจ็บใจเล่น
“เพื่อนฉัน?”
“ทุกอย่างมันลงล็อกไปหมดจริงๆ ผมเชื่อแล้วว่าคนไม่ดีทำอะไรก็ไม่ขึ้น ปิดความลับยังไงถ้าความผิดมันมีอยู่ สักวันเรื่องมันก็ต้องแดง” รุจน์รวินแค่นหัวเราะ “วันนั้นที่ร้านอาหาร เพื่อนคุณโทร.มาจังหวะที่คุณไปเข้าห้องน้ำพอดี คราวแรกผมตั้งใจจะรับสายบอกว่าคุณจะโทร.กลับ แต่เพื่อนคุณก็โพล่งความลับออกมาจนหมดโดยที่ผมยังไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ ผมเลยตั้งใจบล็อกเบอร์ให้คุณสองคนติดต่อกันไม่ได้ชั่วคราว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคืนนั้นเพราะมันก็ดึกมากแล้ว ต่างคนคงต่างคิดว่าไว้ค่อยว่ากันวันรุ่งขึ้น และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”
ตอนแรกเธอแค่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่ค่อนไปทางโชคร้ายที่ติณห์และเธอไม่ได้คุยกันสักที แต่สุดท้ายเขาเองก็มีส่วนเหมือนกัน
พอกันทีกับแครักเตอร์ดอกเดซี่ที่เธอพยายามสร้างขึ้นเพื่อตบตาเขา ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังปล่อยให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเป็นต่ออยู่ฝ่ายเดียว เธอก็มีแต่จะเสียเปรียบ!
“ก็เพราะผู้ชายบางคนมันไม่รู้จักพอไงคะ ถึงฉันไม่ได้ช่วย ยังไงก็ต้องหาทางนอกใจอยู่ดี” ไหล่บางแกล้งยักขึ้นแบบไม่ใส่ใจ
“ตรรกะคุณนี่มันป่วยจริงๆ” เขาสรรหาคำอื่นไม่ออก
“หรือคุณว่าไม่จริง นี่ก็วิน-วินทั้งสองฝ่าย ผู้ชายก็ประหยัดเวลา ประหยัดสมอง ส่วนฉันก็ได้เงิน”
“คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำร้ายเพศเดียวกัน ถ้ามีคนมาช่วยให้แฟนคุณนอกใจคุณ คุณจะว่าไง”
“ผู้หญิงที่ดี ผู้หญิงที่ฉลาด เค้าไม่เลือกผู้ชายแบบนี้หรอกค่ะ ส่วนผู้ชายที่ดีก็จะไม่เลือกที่จะนอกใจแฟนตัวเองเหมือนกัน” สุริวัสสารู้ตัวดีว่ากำลังเถียงข้างๆ คูๆ และรู้ว่าตัวเองนั้นผิดเต็มประตู แต่ไม่ว่ายังไงเธอจะยอมโดนเขาสับอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้
“คุณกำลังจะบอกว่าคนชั่วก็ต้องทำงานกับคนประเภทเดียวกัน?” รุจน์รวินยักคิ้วขึ้น เขาเหยียดยิ้มอย่างขันๆ
“คุณรุจน์!” สุริวัสสาเรียกชื่อเขาด้วยความโกรธ “อย่างน้อยฉันก็ไม่รับงานนี้ ถ้าผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว คนเราถ้ายังไม่แต่งงานกันทุกคนก็ยังมีสิทธิ์ หรือคุณว่าไม่จริงล่ะคะ คุณกล้าบอกไหมล่ะว่าตัวเองไม่เคยคบใครซ้อนกัน”
“คุณจะมีวิธีคิด วิธีการทำงานยังไงผมไม่สน แต่ทุกอย่างที่คุณพูดมา คุณไม่ละอายใจเวลาแก้ตัวให้ตัวเองเลยหรือไง เห็นไหมว่าอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวของพี่สาวผม คุณทำลายชีวิตของคนสองคนไม่พอ เห็นหลานผมไหม เห็นไหมว่าพ่อแม่เค้ากำลังจะหย่ากัน!”
ความคุกรุ่นข้างในใจของชายหนุ่มแทบจะระเบิดออกมา เสียงห้าวนั้นเผลอตะคอกด้วยแรงอารมณ์จนอีกฝ่ายสะดุ้ง เขาทนไม่ได้ที่หญิงสาวตรงหน้าไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด ทั้งๆ ที่เห็นว่าผลเสียที่ตามมามันมีมากมาย แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอด
ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศไปชั่วขณะ จนสุดท้ายหญิงสาวก็ยอมแพ้ เพราะไม่เห็นว่าการทะเลาะกับเขานั้นจะเกิดผลดีขึ้นมาเลยสักนิด
“ฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกผิดมากๆ กับเรื่องนี้ ตอนที่รู้ ฉันก็ตกใจและเสียใจมากจริงๆ” เสียงหวานอ่อนลงเมื่อยอมจำนนในที่สุด ความจริงแล้วเธอยอมรับและรู้สึกผิดที่เมื่อก่อนตนไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลย มาตอนนี้เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นจนปัญหาชัดเจนบานปลาย เธอจึงเพิ่งรู้สึกตัว ว่าสิ่งที่เคยทำมามันทำร้ายใครได้มากกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก “ฉันสารภาพว่าจริงๆ นอกจากเรื่องของกีรวิชญ์แล้ว ฉันก็ตั้งใจจะมาช่วยเพราะความรู้สึกผิดนั่นแหละ”
“คุณมาเพราะคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะซวยมากกว่า! ตรรกะของคนอย่างคุณมันไม่น่ามองเห็นคนอื่นนอกจากตัวเองหรอก! คุณตั้งใจจะแกล้งทำดีเพื่อกลบเกลื่อนความผิด ให้เพื่อนของคุณที่ชื่อว่าติณห์อะไรนั่นมารับผิดแทน ซึ่งเขาก็พร้อมรับแทนคุณด้วยสิ”
“คุณจะกล่าวหากันเกินไปแล้วนะ! ก็บอกแล้วไงว่าเรื่องนี้ฉันขอโทษ ฉันถึงพยายามจะแก้ความผิดครั้งนี้ไง แต่ในเมื่อการที่ฉันเอาตัวเข้ามาช่วยแล้วมันไม่น่าจะเกิดผลดี ฉันก็อยากจะแนะนำคนที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษามาช่วย”
“คุณต้องการจะโยนความรับผิดชอบก็เท่านั้น”
“หรือคุณจะให้ฉันทำยังไง จะฟ้องเลยไหม จะฟ้องยังไงล่ะ หลักฐานอะไรก็ไม่มี แล้วที่ฉันทำมันผิดกฎหมายซะที่ไหน” เธอเริ่มท้าทายเมื่อเห็นว่าอธิบายไปยังไง รุจน์รวินก็เอาแต่จะมองเธอในแง่ร้าย
“ทางกฎหมายมันทำอะไรไม่ได้หรอก ถึงทำได้ผมก็ไม่อยากใช้เพราะมันช้าไปกว่าคุณจะได้รับบทลงโทษ” เขาแค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “สู้ผมมาทำให้ชื่อเสียงคุณป่นปี้ ไม่เหลือทางทำมาหากินไม่ดีกว่าเหรอ ดูก็รู้ว่าคุณห่วงหน้าตาในสังคมมากกว่าชีวิต เพื่อนคุณน่ะเล่นอะไรไม่ได้มากหรอกเพราะเป็นพวกทำงานเบื้องหลัง จะไปสู้ข่าวของคุณสุริวัสสา ว่าที่คู่หมั้นของทายาทห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองไทยได้ยังไง”
“ยังไงก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี ฉันมั่นใจว่าฉันไม่เคยทิ้งหลักฐานอะไรไว้ ถึงจะสาวไปไกลแค่ไหน สุดท้ายก็จะสุดอยู่ที่ติณห์” สุริวัสสาได้ทีตอกกลับ “ใครมันจะไปเชื่อคุณว่ามันมีอาชีพที่ฉันทำแบบนี้จริงๆ คุณอาจจะกุข่าวขึ้นเองก็ได้ ใครๆ ก็กุข่าวขึ้นมาได้ทั้งนั้น อย่างมากฉันก็ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องออกไปสักงานสองงาน ข่าวก็จบแล้ว”
“ดูคุณจะมั่นใจมากเลยนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นเฉียบ
“ก็ไหนล่ะคะหลักฐาน อ้อ ไอ้กระดาษสัญญาพวกนี้น่ะเหรอ ใครจะพิมพ์อะไรขึ้นมาก็ได้ ฉันไม่เห็นจะต้องสนใจ ในเมื่อฉันไม่ได้รับรู้อะไรทั้งนั้น” สุริวัสสาโยนกระดาษในมือทิ้งอย่างย่ามใจ
“แล้วถ้าผมบอกว่ามีล่ะ หลักฐานสำคัญซะด้วย เอาจริงๆ ถ้าเปรียบเทียบการแฉคุณเป็นการขับรถไปไหนสักที่ หลักฐานชิ้นนี้ก็เหมือนเป็นทางลัด ไม่สิ ทางด่วนเลยแหละ”
“อย่ามาหลอกฉันให้ยาก คนอย่างสุริวัสสาไม่เคย พลาด” เสียงท้ายประโยคนั้นแผ่วลงจนแทบหายไปในลำคอ เมื่อรุจน์รวินโยนเอกสารอีกฉบับลงมาที่โต๊ะตัวเตี้ยด้านหน้าโซฟาที่เธอนั่งอยู่ ทับกับฉบับที่เธอเพิ่งโยนทิ้งไป
มือบางหยิบมันขึ้นมาด้วยความมึนงง สายตาของเธอกวาดลงไปทั่วเอกสารเนื่องจากเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นึกประหลาดใจที่หลักฐานของเขานั้น กลับไม่ได้อยู่ในลักษณะของการพรินต์อีเมล ข้อมูลการติดต่อ หรือรายละเอียดเนื้อความที่เธอจัดทำให้กลุ่มเสือ
แต่มันกลับอยู่ในรูปของสัญญา ที่เพียงหน้าแรกก็ต่างกับฉบับที่แล้วที่เขาส่งมาให้โดยสิ้นเชิง
ที่สำคัญคือ บนกระดาษทุกแผ่นปรากฏลายเซ็นของเธอเซ็นรับรู้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย!
ความคิดเห็น |
---|