9

ตอนที่ 9


 

 

            ความร้อนที่เริ่มแผดเผาใบหน้าหวานที่กำลังตะแคงอยู่บนหมอนใบใหญ่ ทำให้เจ้าตัวเริ่มมีสติรู้สึกตัว อาการปวดหัวอย่างหนักบ่งบอกได้ชัดว่าเมื่อคืนเธอดื่มหนักไปพอสมควร ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะจำอะไรไม่ได้ คือตอนที่ตนเองล้มลงกับพื้น จนเกือบโดนคนข้างๆ เหยียบแต่โชคดีที่เคนช้อนตัวเธอขึ้นมาทัน ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งหมดจะดับลง

            สุริวัสสาค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาและพบว่าตนกำลังนอนอยู่ที่คอนโดของเคน หญิงสาวร้องเบาๆ เมื่อรู้สึกเหมือนถูกค้อนอันใหญ่กระหน่ำทุบลงบนหัวอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกร้าวไปหมด หลังจากพยายามชันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เธอก็ควานหากระเป๋าถือที่น่าจะอยู่ใกล้ๆ แต่กลับไม่เจอ

“เฮ้ย ไอ้บ้ากวง ตกใจหมด” ขาเรียวรีบชักกลับอย่างรวดเร็วด้วยอารามตกใจในที่แรก เมื่อเหยียบลงไปที่พื้นแล้วกลับสัมผัสโดนวัตถุอุ่นๆ ที่น่าจะเป็นท้องคน แต่พอเห็นว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่างเตียงเธอจึงคลายความตกใจลงมาบ้าง มือบางยกขึ้นทาบอกขณะหายใจเข้าลึกเพื่อผ่อนให้หัวใจเต้นช้าลง คนที่เหลือน่าจะนอนกันอยู่ข้างนอก เพราะโดยปกติจะมีก็แต่กวงกับติณห์ที่สนิทกับเธอมานานจนกล้านอนเตียงหรือห้องเดียวกัน เนื่องจากไม่ว่ากลุ่มเก้งกวางของเธอจะมีใจเป็นผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไง แต่ลักษณะภายนอกก็ยังเป็นผู้ชายปกติทั่วไป

ร่างบางในชุดเดียวกับเมื่อคืนเดินสะโหลสะเหลไปเปิดประตูห้องนอน คอนโดของเคนถือว่าเป็นคอนโดใจกลางเมืองที่ใหญ่พอสมควร เพราะมีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ รวมถึงห้องนั่งเล่นที่กั้นเป็นครัวเล็กๆ อย่างมีสัดส่วน

“ตื่นแล้วเหรอ” และก็เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อเจ้าของคอนโดเป็นเพียงคนเดียวที่ตื่นและกำลังวุ่นอยู่ในครัว นอกเหนือจากนั้นยังคงนอนอยู่อีกห้องและบนโซฟา

“แม่บ้านแม่เรือนมากค่ะ ทำอาหารเช้าให้เพื่อน” สุริวัสสาแกล้งแซ็วก่อนจะก้มลงหยิบกระเป๋าถือที่กำลังตามหา ซึ่งนอนนิ่งสนิทอยู่บนพรมเช็ดเท้า เธอเดินเข้าไปยืนพิงเคาน์เตอร์ในครัว ชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าเพื่อนกำลังทำอาหารอะไร

“เช้าอะไรยะ จะเที่ยงแล้วค่ะคุณนาย ฉันไม่เข้าใจพวกแกจริงๆ นี่นอนหลับหรือซ้อมตาย” เคนในชุดผ้ากันเปื้อนสีหวานหันมาค้อนจนหน้าคว่ำ “นี่ฉันออกไปใส่บาตรหน้าคอนโดตั้งแต่เช้า กลับมาพวกแกยังหลับไม่รู้เรื่อง”

“เอาน่า นานๆ ที” สุริวัสสาหัวเราะ วันนี้งานของเธอมีแค่เข้าไปหาลูกค้าที่นัดไว้ในสตูดิโอตอนสามโมง ส่วนเรื่องงานรายละเอียดที่เหลือ เธอก็ส่งข้อความไปฝากลูกน้องคนสนิทไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนที่เคนจะมารับที่บ้าน

            เมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์มา หัวใจของเธอก็หล่นวูบไปที่พื้นแทบจะทันทีที่เห็นว่ารุจน์รวินโทร.มาตั้งแต่เช้ามากกว่าสิบครั้ง เธอยังไม่ทันคิดว่าจะรับมือเขายังไงจากเรื่องไปที่ตัวเองไปวางระเบิดเอาไว้ เพราะสรุปเมื่อวานก็ยังไม่ได้คุยกับติณห์ ยังไม่ทันจะตัดสินใจอะไร เขาก็โทร.มาอีกรอบ ในตอนนี้ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะรับสายจากพญามัจจุราชอย่างไรอย่างนั้น

“สวัสดีค่า” เธอรับสายด้วยน้ำเสียงที่สดใสที่สุดเท่าที่จะปั้นแต่งขึ้นมาได้

“ยุ่งมากเหรอครับตอนเช้า ถึงไม่มีเวลารับโทรศัพท์ผม”  ผิดคาดที่เขายังคุยกับเธอปกติ ไม่ได้มีท่าทีต่อว่าหรือเอาเรื่องอะไรแบบที่เธอคาดไว้

“ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ” สุริวัสสาแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทั้งๆ ที่ในใจก็ยังหนาวๆ ร้อนๆ เพราะผู้ชายอย่างรุจน์รวินนั้นนับว่าเป็นประเภทที่น่ากลัว เพราะนอกจากจะอ่านไม่ออกแล้ว เขายังเป็นประเภทน้ำนิ่งไหลลึก และลางสังหรณ์ของเธอตอนนี้ก็บ่งบอกชัดเจนว่า ทะเลมักจะสงบก่อนที่พายุใหญ่กำลังจะโหมกระหน่ำเสมอ!

“วันนี้ตอนเย็นมาช่วยงานผมทีสิ แล้วจะได้คุยเรื่องที่คุณตั้งใจจะมาคุยเมื่อวานด้วย”

“งานอะไรเหรอคะ”

“เดี๋ยวจะมีกองจากนิตยสารมาสัมภาษณ์ผมที่บ้าน แล้วเขาจะขอใช้บ้านเป็นฉากถ่ายรูป ลงประมาณสิบกว่าหน้ายังไม่รวมปก ผมเห็นคุณทำงานด้านนี้มา น่าจะชำนาญเรื่องการจัดของจัดสถานที่มากกว่าคนในบ้าน”

“คุณลองโทร.ไปถามทางนั้นอีกทีดีไหมคะ เพราะปกติทางนิตยสารจะส่งคนมาเองค่ะ พวกนั้นจะเป็นฝ่ายสถานที่โดยตรง เป็นมืออาชีพและชำนาญกว่าฉันเยอะ” หญิงสาวตอบเลี่ยงๆ

“ผมไม่ค่อยชอบให้คนที่ไม่รู้จักมายุ่มย่าม คุณก็รู้เรื่องของแพม ไหนจะภาคินอีก”

“เป็นวันอื่นได้ไหมคะ วันนี้ฉันไม่ว่างจริงๆ” คนพูดเหลียวไปมองนาฬิกาอีกครั้ง เธอขอผัดไปก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่พร้อมเจอเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร

“วันนี้เห็นแม่บ้านบอกว่าน้องแพมไม่มีเรียนพิเศษ พี่รดาก็ดูอารมณ์ดี ผมว่านี่น่าจะเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ทำความรู้จักพวกเค้านะ คุณยังไม่เคยเจอน้องแพมเลยด้วยซ้ำ”

            สุริวัสสายกมือขึ้นลูบลำคอของตัวเองโดยอัตโนมัติ เรื่องน่าตกใจคราวก่อนทำให้เธอมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับรดาเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อวันนี้เขา ซึ่งเป็นคนในครอบครัวนั้น แนะนำว่าเป็นวันที่เหมาะสม เธอก็คงต้องฝืนไปแม้ในใจจะอยากตีตัวออกหากเรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดเหลือเกิน

“เอ้อ งั้นก็ได้ค่ะ” เสียงหวานจำใจตอบรับไปในที่สุด

“อีกชั่วโมงหนึ่งงานคุณจะเสร็จรึยัง ผมผ่านแถวนั้นพอดี เดี๋ยวจะได้แวะรับที่ออฟฟิศคุณเลย” รุจน์รวินไม่เว้นจังหวะให้เธอได้คิดอะไรด้วยซ้ำ และยิ่งหญิงสาวเพิ่งตื่นหลังจากโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงาน สมองของเธอก็ยิ่งไม่พร้อมที่จะประมวลผล

“เอ้อ ยังค่ะ ยะ...

“โอ๊ย! ปวดหัว! นี่กี่โมงแล้วเนี่ย” ยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงห้าวของเบ๊นซ์ที่นอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆ กันก็แทรกขึ้นมา หญิงสาวแน่ใจว่ามันดังและชัดจนชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายได้ยินแน่นอน

“ฮัลโหล” เธอย้ำเสียงลงไป ต้องการจะกลบเกลื่อน

“นี่วสา ทำไมไปนั่งทำอะไรตรงนั้น ดูให้หน่อยสิว่ากี่โมงแล้ว นี่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า” เบ๊นซ์ผงกหัวขึ้นมาดูก่อนจะทิ้งลงไปที่หมอนด้วยความปวดหัว เขายกมือขึ้นมานวดขมับเหมือนยังไม่ตื่นดี ฝ่ายร่างบางก็รีบวิ่งไปที่โซฟา ฟาดมือลงไปที่ต้นแขนของต้นเสียงเต็มแรง พยายามส่งสัญญาณให้เพื่อนของตนเงียบ แต่อีกฝ่ายยังไม่ลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ

“ผมนึกว่าคุณอยู่ที่ทำงานซะอีก” เธอได้ยินว่าเสียงห้าวนั้นขำออกมาเบาๆ คล้ายกับผู้ใหญ่ที่จับได้ว่าเด็กกำลังโกหก

“คะ ค่ะ ทำงานสิคะ พอดีเพื่อนฉัน...

“ที่ร๊ากกก กี่โมงแล้วค้าบ หิวจังเลย” คนที่นอนอยู่บนโซฟายังไม่หยุดตะโกน แต่คราวนี้เขาตะโกนไปในครัวหาเคนแทนเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวไม่ตอบมาสักที

            สุริวัสสาทำอะไรไม่ถูก เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เธอเอามือไปปิดปากเบ๊นซ์ไว้อย่างแรงจนศีรษะของเขาแทบจะจมหายลงไปในหมอนที่นอนอยู่

“ดูท่าจะไม่ใช่เพื่อนนะ” รุจน์รวินพูดสรุป “เอาเป็นว่าผมไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของคุณละกัน คุณสะดวกกี่โมง แล้วจะมายังไง”

“เดี๋ยวฉันขับรถไปเองค่ะ ถึงประมาณหกโมงกว่าๆ แค่นี้นะคะ” หญิงสาวรีบตอบรีบวางสาย แต่เบ๊นซ์ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายให้เหตุการณ์ถูกเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิม

“หอมจังเลยยย” เบ๊นซ์เงยหน้าขึ้นสูดกลิ่นหอมของข้าวต้มที่เคนเพิ่งทำเสร็จ แต่เสียงนั้นอู้อี้เพราะมีมือของเธอพยายามปิดไว้ และอยู่ใกล้กับโทรศัพท์เธอจนอีกฝ่ายเข้าใจเป็นอย่างอื่น หญิงสาวกดตัดสายแทบไม่ทัน

“เบ๊นซ์! แกเห็นไหมเนี่ยว่าฉันคุยโทรศัพท์อยู่” เสียงแว้ดนั้นทำหน้าที่เหมือนนาฬิกาปลุกให้เบ๊นซ์ยอมลืมตาด้วยความงัวเงีย

“อ้าว เหรอ แล้วทำไมไม่บอก” เขาลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไปมาไล่อาการมึนงง

“จะบอกได้ยังไง นี่อุตส่าห์ปิดปาก ก็ยังจะดันทุรังพูดอยู่นั่น” สุริวัสสาหยิกเข้าที่ต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม จนชายอกสามศอกร้องเสียงสูง วิ่งหนีเข้าไปในครัวที่ยืนกันได้เพียงไม่ถึงสามคน

“ก็นึกว่าแกแกล้งฉันนี่นา”

            หญิงสาวส่ายหัวอย่างเอือมๆ ในโชคชะตาช่วงนี้ เพราะนอกจากเมื่อวานจะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นนางนกต่อ เป็นมิจฉาชีพ มาเช้านี้ยังโดนมองว่านอนกับผู้ชายจนไม่ไปทำงานทำการอีก

“เมื่อวานพวกเรากลับมากันยังไงล่ะเคน” ร่างบางเดินไปปลุกเพื่อนๆ ที่เหลือ “อ้าว แล้วติณห์ล่ะ” เธอถามขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะตอนแรกนึกว่าติณห์นอนอยู่ในห้องนอนของเคน แต่เมื่อเปิดเข้าไปก็เจอแต่ความว่างเปล่า

“ติณห์มันแยกกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้มันมีงานตอนสิบโมง ส่วนเมื่อวานฉันก็แบกแกกลับน่ะสิ อีกสามคนที่เหลือก็ยัดกันมาในรถฉันเนี่ยแหละ” เคนยกหม้อข้าวต้มมาวางบนโต๊ะกินข้าว หยิบชามแบ่งสีสวยและช้อนเข้าชุดกันมาวางเตรียมพร้อม

“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันได้คุยกับมันเลย”

“นี่ ถามจริงๆ เถอะ แกเครียดอะไรนักหนาวะ ปกติถ้าไม่มีอะไรหนักหนาจริงๆ ไม่เคยเห็นแกเมาจนเละขนาดนี้” เบ๊นซ์ถามขึ้นบ้างหลังจากเดินไปล้างหน้ามา เขาเป็นคนที่รับหน้าที่เช็ดเครื่องสำอางให้เพื่อนสาวก่อนนอนเมื่อคืน

“หลายอย่าง เหมือนช่วงนี้ดวงมันตกๆ กินดีกว่า เดี๋ยวต้องกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว เข้าไปเคลียร์งานที่สตูดิโออีก”

“เอองั้นรีบกินแล้วเดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน ไอ้ตัวที่เหลือถ้าปลุกไม่ตื่นก็ปล่อยพวกมันนอนไป เดี๋ยวมันก็ปิดคอนโดให้ฉันเอง กวงมีกุญแจ”

 

            หลังจากเคลียร์งานที่สตูดิโอเสร็จตอนห้าโมง สุริวัสสาก็รีบตรงไปที่บ้านของรุจน์รวินโดยอาศัยการจำทางคร่าวๆ คราวก่อน เมื่อถึงหน้าบ้านก็พบว่าประตูใหญ่ได้ถูกเปิดรอไว้อยู่แล้ว

“มาเร็วกว่าที่ผมคิดนะ” ชายหนุ่มเดินออกมาต้อนรับที่ประตูทางเข้าบ้าน เขาอยู่ในชุดลำลองอยู่บ้านที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“มืออาชีพ” เธอยักไหล่

“จริง ผมนึกว่าจะลุกจากเตียงไม่ขึ้น เห็นได้ยินแว่วๆ ว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน นี่ก็มาบ้านผมได้ในสภาพปกติ ไม่เห็นจะดู อิดโรยแบบที่ผมคิดไว้ตอนแรก” รุจน์รวินเลิกคิ้วพลางตั้งใจมองสำรวจเธอขณะพูดไปด้วย

“นี่คุณ คุณเข้าใจผิดนะ นั่นมันเพื่อนฉัน เมื่อวานฉันไปค้างบ้านเพื่อน”

“ไม่เห็นจะต้องหาข้อแก้ตัวเลยคุณ มันก็เป็นเรื่องปกติของคนสมัยนี้” เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะ

“แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับฉัน และขอความกรุณาเลิกพูดด้วย ถ้าคุณไม่ได้รู้อะไรจริง ฉันเสียหาย เข้าใจไหม”

“ครับผม” เขายังไม่เลิกมองเธอด้วยสายตาทะเล้น เหมือนไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเธอกำลังจริงจัง

            หลังจากสุริวัสสาเปลี่ยนรองเท้ามาเป็นสลิปเปอร์ ชายหนุ่มก็พาเดินรอบๆ ทั้งในและนอกตัวบ้าน หญิงสาวเก็บรายละเอียดและคิดจินตนาการฉากต่างๆ ที่จัดแล้วน่าจะออกมาสวยหากอยู่ในหน้านิตยสาร ระหว่างนั้นรุจน์รวินก็ชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปไม่ให้บรรยากาศอึดอัด

“นี่ผมพาคุณมาดูเฉยๆ นะ เพราะวันที่ถ่ายจริง ชั้นบนผมจะไม่ให้ใครขึ้นไป ฝั่งนี้เป็นของพี่รดากับน้องแพม ถ้าภาคินกลับบ้านก็จะนอนห้องนอนแขกทางนั้น” เขาชี้ให้เธอมองตาม “ส่วนห้องนอนของผมกับห้องทำงาน ก็จะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเดินไปหรอก นอกจากผมกับแม่บ้านที่ต้องมาทำความสะอาด”

“ขนาดคนในบ้านยังไม่อยากเจอหน้า” หญิงสาวแกล้งบ่นเบาๆ ให้เขาได้ยิน

“พูดขนาดนั้นด่าผมตรงๆ เลยก็ได้นะ” ใบหน้าคมยิ้มขันๆ ไม่ได้ถือสาอะไร “ส่วนตรงนั้นก็เป็นห้องของพ่อแม่ผม”

“อ้าว พ่อแม่คุณอยู่บ้านหลังนี้ด้วยหรือคะ”

“ถ้ากลับมาที่ไทยก็อยู่บ้านนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่จะชอบอยู่ต่างประเทศมากกว่า อยู่กรุงเทพฯ แล้วไม่ได้พัก วันๆ มีแต่เรื่องปวดหัว อากาศก็ไม่ดี จะไปไหนก็ไม่สะดวกเจอรถติดอีก”

            คนฟังเห็นด้วยกับสิ่งที่รุจน์รวินพูดทุกประการ หลังจากวนครบพื้นที่บ้านทั้งหลังซึ่งกินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง สุริวัสสาก็ได้ไอเดียในการจัดสถานที่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการเคลื่อนย้ายสิ่งของเพียงเล็กน้อย เพราะห้องต่างๆ ก็ถูกออกแบบและตบแต่งมาดีอยู่แล้ว

“แล้วเมื่อวานคุณมีอะไรจะคุยกับผม” ชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาอีกครั้งเมื่อทั้งสองนั่งลงโซฟาในห้องรับแขก มือบางเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำเย็นเฉียบที่ตั้งไว้ตั้งแต่เธอมา จนตอนนี้หยดน้ำเกาะเต็มรอบขอบแก้ว

“อ้อ พูดถึงเมื่อวาน” เธอดื่มน้ำเข้าไปสองสามอึก “เป็นยังไงบ้างคะ”

“แสบมากนะคุณ” รุจน์รวินหัวเราะเบาๆ เขายิ้มขึ้นแล้วมองมาจนเธอต้องหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน

“ถ้าฉันเล่นแรงไป ก็ขอโทษด้วยนะคะ ไม่คิดว่าคุณณัฐแกจะอารมณ์ร้อน เห็นสวยๆ หวานๆ ดูเป็นคนเย็นๆ” ริมฝีปากสวยฝืนยิ้ม ทำหน้าซื่อตาใส “ให้ฉันโทร.ไปคุยกับเธอก็ได้นะคะว่าฉันล้อเล่น ถ้าเธอยังไม่เชื่อ”

“ผมบอกแล้วไง เราตัดสินนิสัยคนจากภายนอกไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มยกแก้วน้ำของตนขึ้นดื่มบ้าง “ไม่เป็นไรหรอก ผมเคลียร์กับเค้าไปแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแบบที่คุณคิด ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...” สุริวัสสาทำทีว่าจะขอตัวตามมารยาท ยิ่งอยู่กับเขานานก็ยิ่งอึดอัด หลังจากมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นท่าทีของรดาหรือภัทราตามที่เขาบอกว่าจะได้เจอ

“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ นี่น่าจะตั้งโต๊ะใกล้เสร็จแล้ว คุณจะได้คุ้นกับคนในบ้านด้วย”

“น้ารุจน์หวัดดีค่ะ” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังโซฟาของเธอนั้น ทำให้ความคิดของสุริวัสสาสะดุดกึก

 ไม่นะ โลกอย่ากลมขนาดนั้นเลย ขอร้องละ

“อ้าว แพม ทำไมกลับมาค่ำจัง นี่น้ารุจน์นึกว่าอยู่ข้างบนซะอีก”

“รถมันติดน่ะค่ะ แล้วแพมก็แวะไปซื้อของกับเพื่อนก่อนด้วยแล้วค่อยให้พี่นภัสไปรับ”

“เอ้อ มาก็ดี นี่เพื่อนน้ารุจน์เองค่ะ ชื่อพี่วสา” ภัทราเดินอ้อมมาด้านหน้าโซฟาเพื่อเตรียมทักทายตามมารยาท แต่เมื่อเห็นใบหน้าของสุริวัสสาชัดเจน เด็กสาวก็ถึงกับทำกระเป๋านักเรียนหล่นลงไปที่พื้นทันที

            สุริวัสสาตกใจไม่แพ้กันตอนเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ภัทราอยู่ในชุดนักเรียนโรงเรียนนานาชาติชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมยาวถูกปล่อยสยายถึงกลางหลัง และถึงแม้ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นจะถูกตบแต่งเพียงเล็กน้อย ผิดกับลักษณะของคนที่เธอเจอเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง แต่จากเค้าหน้า ส่วนสูงและหุ่น ทำให้สุริวัสสามั่นใจทันทีว่าคนตรงหน้าคือคนเดียวกันกับที่เธอช่วยในผับไว้ไม่ผิดแน่

            หญิงสาวถึงบางอ้อทันที แสดงว่าภัทรานั้นอายุยังไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่นี่คงแอบไปเที่ยวกับเพื่อนโดยที่คนที่บ้านไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ความคิดของเด็กสาวในตอนนี้คือเธอเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างแน่นอน แต่ภัทราก็คงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เพราะรู้ว่าตนเองก็มีความผิดที่แอบไปเที่ยวตั้งแต่แรก

            ดังนั้นการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือหรือมิตรภาพจากสุริวัสสานั้น อย่าว่าแต่จะไม่มีเลย นับว่าติดลบยังว่าได้!

“สวัสดีจ้ะ” สุริวัสสารับไหว้หลังจากภัทรายกมือไหว้ค้างไว้แบบนั้น เธออยากคุยกับเด็กสาวตามลำพังเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่ตอนนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่รุจน์รวินอยู่ และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเธอและภัทรามองกันแปลกๆ อยู่พักหนึ่ง

“น้ารุจน์ วันนี้แพมไม่กินข้าวนะ” ภัทรารีบชิงบอก เธอคว้ากระเป๋าเตรียมเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

“อ้าว ไหนเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไงว่าแพมจะไม่ลดความอ้วนแบบผิดๆ อีก แล้วนี่พี่ปี่เขาก็จัดจานเผื่อแล้ว ไปเลย ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวด้วยกัน”

“ไม่เอา ถ้าน้ารุจน์อยากให้แพมกิน ก็ให้พี่ปี่เอาไปให้แพมข้างบน” เสียงนั้นตะโกนมาเพราะเจ้าตัวรีบหนีหน้าออกไปก่อนที่คนเป็นน้าจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ

รุจน์รวินส่ายหัวกับนิสัยที่แก้ไม่หายของหลานตัวเอง แล้วจึงหันมาถามตามที่เขากำลังสงสัยจากการสังเกตเมื่อครู่ “ดูท่าทางเหมือนคุณเคยเจอแพมมาก่อนนะ”

“เปล่าค่ะ ฉันแค่คุ้นหน้าเฉยๆ เพราะหน้าเหมือนน้องคนนึงที่ฉันรู้จัก”

“นั่นสินะ คุณจะไปเจอได้ยังไง แกก็ไปๆ กลับๆ แต่บ้านกับโรงเรียน เรียนพิเศษ ไม่ก็ไปทำรายงานแล้วค้างบ้านเพื่อน”

“เอ้อ จริงค่ะ” สุริวัสสารู้สึกหนักข้างในอก อยากบอกเขาเหลือเกินว่าเธอรู้อะไรมาแต่คงไม่ใช่ตอนนี้ การที่ภัทราแอบหนีไปเที่ยวนั้นถือว่าอันตรายและผู้ใหญ่ที่บ้านควรรับรู้เพื่อตักเตือน

“โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณรุจน์จะให้ปี่ขึ้นไปตามคุณรดากับคุณแพมเลยไหมคะ” แม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องที่เธอกับเขานั่งอยู่ด้วยความนอบน้อม ก่อนจะยกมือไหว้สุริวัสสาเนื่องด้วยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“ไปตามเลยก็ได้นะ แต่น้องแพมเค้าจะกินบนห้อง ปี่ก็ยกตามขึ้นไปให้เค้าละกันนะ จัดเป็นชุดเล็กๆ ไป ตอนเย็นเค้ากินไม่ค่อยเยอะหรอก” รุจน์รวินสั่งเสร็จสรรพ หญิงสาวฟังดูก็รู้ทันทีว่า ‘น้ารุจน์’ เองก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่เอาใจหลานจนเกินไป ถึงปากจะบ่นอย่างไรแต่ก็ไม่ขัดใจ

“ค่ะ” ปี่พยักหน้ารับ

“แล้วก็นี่ คุณวสาเพื่อนผม ต่อไปนี้เค้าจะมาอยู่ เอ้ย มาที่นี่บ่อยๆ วสา ถ้ามีอะไรก็บอกปี่ได้ เค้าเป็นพี่เลี้ยงน้องแพม แล้วก็คอยช่วยดูแลพี่รดากับพยาบาลอีกคน ในนี้มีคนช่วยดูแลบ้านหลายคน แต่ละคนก็มีหน้าที่ประจำของตัวเอง เดี๋ยวผมค่อยๆ แนะนำละกัน คุณจะได้จำได้”

“คุณวสามีอะไรเรียกปี่ได้เลยนะคะ ปี่ยินดีรับใช้ค่ะ” หล่อนยิ้มหวานจนสุริวัสสาแอบชื่นชมดวงตาคู่สวยนั้นในใจ ดูจากรูปลักษณ์แล้วถ้าจับมาแปลงโฉม ปี่น่าจะสวยเอาเรื่องอยู่ ติดที่ว่าตอนนี้เจ้าตัวปล่อยให้โทรม ไม่ได้สนใจดูแลความสวยความงามเลยสักนิด

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันคงไม่กล้ารบกวนมาก” เธอยิ้มเมื่อเห็นปี่อ่อนน้อม

“งั้นผมว่าเราไปรอพี่รดาที่โต๊ะเลยดีกว่า” ร่างสูงเดินนำออกไปก่อน เขาพาเธอมานั่งที่โต๊ะอาหารก่อนจะให้ป้าพิณ แม่บ้านที่ดูสูงวัยกว่าคนอื่นๆ มาเทน้ำให้แล้วจึงแนะนำเสร็จสรรพ

“ป้าพิณเป็นหัวหน้าแม่บ้าน ดูแลทุกอย่างตั้งแต่ด้านความสะอาดทั้งในและนอกบ้าน จัดการทุกอย่างที่เป็นเรื่องของคนงาน แล้วก็ดูแลคนในบ้าน และโดยเฉพาะห้องครัว อยากกินอะไรก็บอกแกได้”

“รุจน์” ยังไม่ทันที่สุริวัสสาจะทักทายอะไร บุคคลที่เธอกลัวที่สุดในตอนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องกินข้าว ร่างเล็กนั้นดูดีขึ้นกว่าวันแรกที่เธอเจอ...รดาอยู่ในชุดอยู่บ้านลำลองปกติ ผมรวบเก็บเรียบร้อย เผยให้เห็นใบหน้าที่น่ามอง แม้จะไร้การตบแต่งใดๆ

“อ้าว พี่รดา มาๆ วันนี้ป้าพิณทำแกงส้มผักรวมด้วยนะ ที่พี่เพิ่งบ่นอยากกินตอนกลางวัน” ชายหนุ่มทักทายตามปกติ เธอและเขามองคนที่กำลังเดินเข้ามานั่งเป็นตาเดียว รดาเดินเข้ามาโดยมีพยาบาลอีกคนคอยประคอง ระหว่างนั้นสุริวัสสาก็สังเกตเห็นผ้าพันแผลบนเท้าทั้งสองข้าง คิดไปคิดมาก็หายสงสัย น่าจะเป็นแผลจากการเหยียบเศษแก้วเมื่อวันก่อน

สุริวัสสายอมรับว่าตอนนี้เธอแอบเกร็งตัวอยู่พอสมควร เท้าทั้งสองข้างเหยียบอยู่ที่พื้นอย่างมั่นคงพร้อมลุกทุกวินาที เผื่อมีอะไรเธอจะได้วิ่งหนีทัน หญิงสาวยอมรับว่าไม่สามารถลบความทรงจำแรกออกได้จริงๆ

“คุณสุริวัสสา” เสียงเรียกเนิบๆ นั้นทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง เธอยิ้มแห้งๆ กลับไป พยายามทำท่าทางที่เป็นมิตรที่สุด

“สวัสดีค่ะคุณรดา ดีใจจังเลยนะคะที่เราได้เจอกันสักที”

“ฉันรอเจอคุณมานานแล้ว” รดาค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอ ไม่รู้ทำไมประโยคนิ่งๆ นั้นทำให้สุริวัสสาหลอนจนขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เธอแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อนอย่างแน่นอน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” แม้ในใจจะวูบโหวงยังไง หญิงสาวก็แสร้งยิ้มออกไปให้สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้

“แล้วจานอีกชุดนี่จัดให้ใคร” รดาหันไปถามปี่ ไม่ได้สนใจที่จะผูกมิตรกลับตามมารยาทด้วยซ้ำ

            สุริวัสสารู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่ส่งผ่านมาทางสายตาและท่าทางของรดา แม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดมันมากเท่าไหร่ก็ตามแต่เธอก็ยังดูออกอยู่ดี หญิงสาวพยายามไม่สนใจคำประกาศกร้าวของรดาในวันนั้นที่อาละวาด ซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่าเกลียดเธอมากแค่ไหน

“อ้อ ของคุณแพมค่ะ แต่เห็นวันนี้เธอบอกว่าจะทานบนห้อง เดี๋ยวปี่กำลังจะจัดขึ้นไปค่ะ” พูดไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อก็เดินผ่านห้องครัวไป

“พี่นภัส!” เสียงนั้นตะโกนเรียกคนขับรถของรุจน์รวินที่ไปรับเธอที่โรงเรียนวันนี้ แต่เมื่อเจ้าของชื่อยังไม่ตอบ เธอจึงตะโกนลั่นบ้านอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น “พี่ปี่!”

“ขา...คุณแพม” ปี่รีบวิ่งออกไปตามต้นเสียง

“พี่นภัสลืมเอาแฟ้มของแพมลงมาจากรถอีกแล้ว! พี่ปี่ไปเอาให้เดี๋ยวนี้เลยนะ โอ๊ย! ละเมื่อไหร่พี่พลจะกลับมา แพมเบื่อพี่นภัสมาก ลืมของแพมตลอด” ภัทราถามถึงคนขับรถประจำของเธอที่ลากลับบ้านหนึ่งเดือน ระหว่างนี้รุจน์รวินจึงให้คนสนิทของเขามารับส่งหลานสาวแทน เพราะนภัสเป็นอีกคนที่ทำงานมานาน รองมาจากพลซึ่งเขาค่อนข้างไว้ใจ

“อ้อ เดี๋ยวพี่ปี่ไปตามให้แล้วเอาไปให้ที่ห้องนะคะ คุณแพมไม่ไปทานข้าวที่โต๊ะจริงๆ เหรอ ถ้ามีเด็กๆ ไปนั่งบรรยากาศมันก็จะสนุกสนานขึ้นนะ ตอนนี้มีแค่คุณรุจน์กับคุณแม่ แล้วก็เพื่อนคุณรุจน์อีกคนเอง”

“แพมไม่อยากคุยกับใคร” ภัทรายักไหล่ ทำท่าจะเดินกลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง

“นี่คุณวสาคนนี้ไงที่เป็นไฮโซ เขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นความสวยความงาม ที่คุณแพมยังเคยให้พี่ปี่อ่านเลย จำได้รึเปล่า”

“อ้าว คนนี้น่ะเหรอ” ภัทราชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องกินข้าว เริ่มมีความสนใจขึ้นมาบ้าง “แพมจำหน้าเค้าไม่ได้ อ่านแต่บทความของเขาอย่างเดียว ก็ว่าชื่อคุ้นๆ”

ตอนแรกเธอปักใจเชื่ออย่างเดียวว่าสุริวัสสาคือมิจฉาชีพ และเธอก็กะจะบอกรุจน์รวินคืนนี้โดยการดัดแปลงเรื่องนิดหน่อยให้ตนไม่ผิด แต่พอนั่งนึกไปๆ มาๆ ถ้าเป็นคนร้ายจริงๆ ฝ่ายนั้นก็คงไม่ช่วยเธอจากที่โดนยา แล้วรอจนฟื้นจากยาสลบหรอก คิดไปคิดมา เธอเพิ่งนึกออกว่าสุริวัสสาเป็นคนเรียกการ์ดมาช่วยเธอก่อนที่จะหมดสติลง

แต่ถึงแม้จะจำได้แล้วว่าสุริวัสสาเป็นคนวิ่งเข้ามาช่วย แต่ภัทราก็ยังแอบระแวง ว่าทั้งหมดอาจจะเป็นแผนของสุริวัสสาตั้งแต่ต้นก็ได้ที่ทำเป็นคนดี โดยทั้งหมดเป็นคนของเธอ

แต่สุริวัสสาจะทำแบบนั้นไปทำไม คนอื่นมีตั้งเยอะแยะ และเธอก็ไม่ใช่ดาวเด่นอะไร หรือเคยเป็นศัตรูกับใครที่ไหน

“ว่ายังไงคะ เริ่มอยากทานที่โต๊ะขึ้นมาแล้วละสิ” ปี่พูดอย่างรู้ทันเมื่อเห็นท่าทีลังเลของคนตรงหน้า

“ไปกินก็ได้ค่ะ พี่ปี่อย่าลืมเอาแฟ้มไปไว้บนโต๊ะในห้องแพมนะ” ภัทราย้ำอีกหน

“ค่า เข้าไปได้แล้ว ตอนนี้ป้าพิณตักข้าวแล้วละมั้ง” ปี่ดันหลังแพมให้เดินเข้าไปในห้องกินข้าว ทุกคนดูมีสีหน้าดีใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวยอมลงมานั่งกินข้าวด้วยกัน

“อ้าว แพม เปลี่ยนใจละสิ เห็นไหม น้ารุจน์เคยบอกแล้วว่ากินคนเดียวน่ะเหงาจะตาย” รุจน์รวินพูดอย่างเอาใจ เขาหันไปพยักหน้าให้แม่บ้านเดินเข้ามาตักข้าวให้หลานสาว น้ำเสียงที่เขาใช้คุยกับภัทรานั้น สุริวัสสามั่นใจว่าเขาไม่เคยใช้กับใครที่ไหน เพราะมันแฝงเต็มไปด้วยความรัก ความเป็นห่วง และเอาใจใส่อยู่ลึกๆ

“ทำไมยังไม่อาบน้ำอีกล่ะแพม” คนเป็นแม่ถามขึ้นขณะมองสำรวจลูกสาวของตนเอง

“ขี้เกียจ” เด็กสาวตอบสั้นๆ ก่อนจะลงมือตักกับข้าวมาไว้ในจานของตน

“เอาน่าพี่ หลานกลับจากโรงเรียนเหนื่อยๆ ก็ให้พักก่อนก็ได้” รุจน์รวินแก้ตัวแทน แต่แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจที่รดาดูเหมือนจะไม่พอใจมากยิ่งขึ้น

“นี่เห็นไหม อายเค้าไหมเนี่ย เพื่อนน้ารุจน์มากินข้าวที่บ้าน เรานั่งมอมแมมแบบนี้คุณวสาเค้าจะกินข้าวลงไหม” รดาพูดเกินความจริงไปมาก ทั้งๆ ที่ความจริงภัทราก็ดูปกติทุกอย่าง ไม่ได้สกปรกหรือมอมแมมแบบที่โดนว่าเลยสักนิด แต่ดูเหมือนคนถูกว่าจะทำเป็นหูทวนลมเพื่อตัดปัญหา เมื่อคนเป็นแม่ทำท่าทีว่าจะบ่นต่อไปเรื่อยๆ สุริวัสสาจึงตัดสินใจช่วยพูดให้เพื่อรักษาบรรยากาศการกินข้าวให้ไม่ตึงเครียด

“น้องแพมใส่ชุดนี้แล้วน่ารักดีออกค่ะ น้องก็เพิ่งถึงบ้าน ถ้าไปอาบน้ำเลยก็ไม่ได้มากินข้าวด้วยกันสิคะ” แต่แล้วการที่เธอตัดสินใจพูดแก้แบบนั้นออกไป กลับเป็นการสร้างปัญหามากกว่าเดิมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเสียงของรดาแว้ดขึ้นทันที

“นี่แกไปไหนมาทำไมกลับบ้านตั้งเกือบทุ่ม! วันนี้ไม่ได้ไปเรียนพิเศษที่ไหนนี่ แกแอบไปเถลไถลกับใครมา ผู้ชายใช่ไหม!”

            สุริวัสสาทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่ากำลังจะมีศึกแม่ลูกขนาดย่อมเกิดขึ้น รดาว่าลูกสาวของตัวเองเสียงดังก้องบ้าน ไม่ได้เห็นแก่หน้าของภัทราเลยสักนิด เพราะนอกจากจะมีเธอซึ่งเป็นแขกที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว ยังมีแม่บ้านอีกหลายคนที่ยืนอยู่ในห้องนั้น

“โอ๊ย! แม่! แพมไปซื้อของกับมินนี่มา แล้วรถมันก็ติด กว่าจะมาถึงเลยค่ำหน่อย” คนพูดกระแทกช้อนส้อมลงบนจานอย่างแรง

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าไปกับผู้ชาย”

“แม่!”

“มันก็จะเป็นอีหรอบนี้แหละ เดี๋ยวก็ไปท้องไส้กับใครไม่รู้ คนมันจะหาว่าท้องไม่มีพ่อ อนาคตแกก็จะดับ”

“ไปกันใหญ่แล้วพี่รดา พอเถอะ จะไปว่าหลานทำไม ผมก็ดูแลอยู่อีกคน น้องแพมไม่ใช่คนแบบนั้น เราเลี้ยงกันมาก็รู้ๆ อยู่”

“หรือมันไม่จริงล่ะ เด็กใจแตกสมัยนี้มันมีเยอะแยะ แล้วไอ้เพื่อนที่ชื่อมินนี่เนี่ย เพื่อนดีเพื่อนไม่ดีก็ไม่รู้ จะมาพาเสียคนรึเปล่า ทำไมชอบชวนไปไหนมาไหนดึกๆ ดื่นๆ” รดายังไม่ยอมหยุด

“แม่! แพมแค่ไปซื้อของนะ แล้วมันก็ไม่ดึกด้วย”

“จะให้ฉันเชื่อแกได้ยังไงว่าไปซื้อของจริงๆ หา!”

“ก็แม่ขี้ระแวงแบบนี้ไง ใครมันจะอยากไปอยู่ด้วย รำคาญ!”

“เออ ฉันก็รำคาญแกเหมือนกัน ลูกไม่รักดี เลี้ยงมาดียังไงสุดท้ายก็เสียคน ก้าวร้าว ปีกกล้าขาแข็ง! ถ้ารู้ว่าจะโตมาแล้วเถียงคอเป็นเอ็นแบบนี้ ฉันยกแกให้คนอื่นไปนานแล้ว ไม่เลี้ยงให้เปลืองข้าวสุกหรอก”

            ทันใดนั้นภัทราก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน จนชนเข้ากับป้าพิณที่กำลังยกแกงส้มเข้ามา แม่บ้านสูงวัยรีบหันชามหนีด้วยความตกใจเพราะกลัวจะกระฉอกหกโดนคุณหนูของตน แต่แล้วมือที่ถือผ้ากันร้อนกลับจับไม่แน่น แรงเหวี่ยงที่ยกหนีจึงทำให้ชามนั้นเกือบหลุดมือ

ส่งผลให้น้ำแกงข้นนั้นสาดไปโดนสุริวัสสาเกือบครึ่งถ้วยเต็มๆ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น