“อ้าว เหรอคะ สงสัยฉันจำผิดเอง”
สุริวัสสายิ้มแก้เก้อไว้ก่อน เธอพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแม้ในใจจะโกรธจนรู้สึกร้อนระอุไปหมด
“งั้นเดี๋ยวณัฐไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ตอนนี้เข้าเมืองรถน่าจะยังติดอยู่บ้าง” หล่อนวางกระเป๋าถือไว้ในห้อง ก้าวฉับๆ ออกไป และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะทันทีที่สุริวัสสาเห็นชายกระโปรงสีหวานสะบัดพ้นประตูไป เธอก็แกล้งถอนหายใจออกมาเสียงดัง ตั้งใจให้คนที่เพิ่งเดินออกไปได้ยิน และแล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อเธอสังเกตได้ว่าเสียงรองเท้าส้นสูงนั้นหยุดลงแทบจะทันที
“หนักใจอะไรขนาดนั้น” รุจน์รวินถามด้วยความสงสัยขณะเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนพิงโต๊ะมองคนตรงหน้าอย่างขันๆ แค่เขาแกล้งทดสอบความอดทนของเธอนิดหน่อย เธอยังถอนหายใจออกมาดังขนาดนี้
ชายหนุ่มต้องการจะแกล้งให้เธอรวนเล่นๆ เริ่มจากการหลอกให้มาเก้ออย่างเช่นนัดวันนี้เป็นต้น เขาเดาออกว่าเธอกำลังอยากรู้เรื่องอะไร และเขาก็อยากเห็นคนตรงหน้ากระวนกระวายแบบนี้ต่อไปสักพักเพื่อความสนุกส่วนตัว ตอนแรกเขาก็แค่จะแกล้งรวนเธอให้หัวหมุน แต่เรื่องก็ดูสนุกขึ้นเมื่อณัฐนิชปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้บอกก่อน น่าเสียดายที่สุริวัสสาฉลาดพอที่เลือกที่จะนิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงขำกับปฏิกิริยาของเธอมากกว่านี้
“ทีหลังไม่ทำแบบนี้แล้วนะคุณ” เสียงหวานกะให้พอประมาณ ไม่ให้เบาเกินไปและไม่ดังเกินไปจนน่าเกลียด แต่ก็ดังพอที่คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องนักจะได้ยิน
“ก็เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทร.หาไง” รุจน์รวินยังแกล้งไขสือ นึกว่าหญิงสาวกำลังจะต่อว่าเรื่องที่เขาแกล้งให้เธอมาเสียเที่ยว
“โอ๊ย! เรื่องงานน่ะช่างมันก่อน เมื่อกี้ข้ออ้างที่ฉันหาให้คุณก็ดันไม่เนียนอีก นี่สรุปคุณตั้งใจจะไปกับคุณพลอยแล้วยกเลิกนัดคุณพิมพ์เหรอ แล้วนี่คุณพลอยเค้าจะสงสัยไหมเนี่ยที่ฉันอ้างว่าคุณมีประชุมดึกๆ ดื่นๆ” สุริวัสสาเริ่มแผนการทันที เธอตั้งใจแต่งตัวละครสมมุติขึ้นให้รุจน์รวินโดนเข้าใจผิด
“พลอยไหน”
“เอ้ย ไม่ใช่พลอยสิ คนนี้ชื่ออะไรนะ อ้อ ณัฐ” คิ้วได้รูปแสร้งขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “ขอโทษที ฉันจำชื่อคนไม่เก่ง พลอยนั่นมันอาทิตย์ที่แล้ว”
“เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มยังตามไม่ทัน
“เฮ้ย แล้วอย่าให้คุณณัฐอะไรนี่มาเปิดหลังรถคุณเชียวนะ ตอนขามาฉันเจอคนขับรถคุณ เลยฝากเขาเอาของขวัญไปใส่ไว้หลังรถให้แล้วเพราะฉันขี้เกียจหิ้วขึ้นมา”
“ของขวัญ? ของขวัญอะไร” รุจน์รวินถามย้ำ เขามั่นใจว่าไม่เคยให้สุริวัสสาเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวมาก่อน และสิ่งที่หญิงสาวกำลังพูดนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด
“เอ้า ก็ที่คุณนัดคุณพิมพ์ไปกินข้าวที่โรงแรมคืนนี้ไง รีบโทร.ไปบอกเค้าล่ะว่าไม่ว่างแล้ว เดี๋ยวเค้าจะออกจากบ้านเก้อ คุณช่วยสับรางให้ไวหน่อยเถอะ” สุริวัสสาแกล้งถอนหายใจดังๆ อีกรอบ เมื่อเห็นเขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไร เธอจึงรีบพูดต่อโดยไม่เว้นช่องว่างให้อีกฝ่ายได้ตั้งหลัก “กับคุณพิมพ์นี่คุณก็ทุ่มเหมือนกันนะ กระเป๋าบ้าอะไรราคาเป็นแสนๆ สวยก็สวยเถอะ แต่นี่ฉันแค่ไปเลือกให้ยังแอบเสียดายเงิน อย่าลืมนะว่าอยู่หลังรถ ระวังคุณณัฐเธอเปิดไปเจอแล้วจะนึกว่าคุณซื้อมาเซอร์ไพรส์ เออแต่เท่าที่ฉันดูๆ มา ดูเหมือนคุณจะใส่ใจกับคุณพิมพ์คนนี้มากที่สุดนะ กับคนอื่นไม่เห็นจะพิถีพิถันแบบนี้”
หญิงสาวจำได้ ว่าเรื่องที่คนทั้งสองคุยกันในห้องน้ำวันนั้นมีใจความว่าอะไร และเธอก็ตั้งใจจี้เข้าไปที่จุดอ่อนเต็มๆ
“คุณพูดอะไร” ชายหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าสุริวัสสากำลังพูดถึงอะไร
“โอ๊ย! ไม่ต้องแกล้งไม่รู้เรื่องหรอกน่า นี่เราคุยกันสองคน ไม่มีใครได้ยินหรอก” ถึงจุดนี้ สุริวัสสาก็ยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเย้ยคนตรงหน้า ในขณะที่เสียงของเธอยังแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยแบบไม่ปิดบัง ระหว่างนั้นมือบางก็คว้ากระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้อง “หรือคุณตกใจที่คุณณัฐมากะทันหันจนทำอะไรไม่ถูก”
“นี่” รุจน์รวินพยายามบอกให้เธอหยุดพูดก่อนที่จะมีใครมาได้ยินแล้วเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“อย่าลืมโทร.ยกเลิกคุณพิมพ์นะ เร็วๆ เลย นี่เดี๋ยวคุณณัฐก็จะกลับมาแล้ว ห้องน้ำก็อยู่ไม่ไกล ระวังโดนจับได้ขึ้นมาแล้วจะแย่เอา คนนี้ใช่ไหมที่คุณเคยเล่าว่าเคยลากคุณไปคุยในห้องน้ำมาแล้ว ทั้งๆ ที่แขกเหรื่อก็อยู่เต็มงาน” พูดจบก็เปิดประตูเตรียมเดินออกไป และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีอีกเสียงดังแทรกเข้ามา
“คุณรุจน์!” เสียงแหลมนั้นแว้ดขึ้นมาจากทางที่สุริวัสสาคิดไว้แล้วว่าณัฐนิชยืนฟังอยู่ สุริวัสสาหันไปมองใบหน้าคมแล้วยักคิ้วให้เหมือนจะสื่อว่าเขากำลังเล่นผิดคน เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมากุมขมับ หายข้องใจทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังพูดอะไร
“แสบมาก” เสียงต่ำพูดลอดไรฟันขณะชี้นิ้วมาทางเธอเหมือนกำลังจะคาดโทษอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้ว่าอะไร บุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่ก็แทบจะพังประตูกลับเข้ามา สุริวัสสาหาเรื่องให้เขาจนได้!
ประตูบานใหญ่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงตามแรงอารมณ์ของคนที่ยืนแอบฟังบทสนทนาจนทนไม่ได้ ณัฐนิชทั้งโกรธทั้งเสียหน้า หล่อนไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวฉับๆ เข้ามาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นตัวก่อเหตุก็อาศัยจังหวะนี้แทรกตัวสวนออกไปทันที แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงดังไล่หลังมาแว่วๆ
เผียะ! ใบหน้าคมหันไปตามแรงที่ฝ่ามือบางฟาดลงไป เสียงนั้นดังก้องเหมือนจะหยุดทุกความเคลื่อนไหว
“คุณมีอะไรจะพูดไหมคะ” ณัฐนิชถามเสียงดังเมื่อเห็นรุจน์รวินยังยืนนิ่ง ไม่ได้แก้ตัวหรือพูดอะไรตามที่คิดไว้ ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ข้างใน
ชายหนุ่มหน้าชาไปครู่หนึ่ง เมื่อหันไปอีกทีก็เห็นว่าตัวต้นเหตุได้หายตัวไปเสียแล้ว เหลือเพียงเขา ณัฐนิช และระเบิดลูกใหญ่ที่สุริวัสสาทิ้งไว้อย่างเจ็บแสบ
‘เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน!’ เขาอยากตามไปเอาเรื่องใจจะขาด แต่ติดอยู่ที่คนตรงหน้าที่ไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ
“ว่ายังไงคะ”
“อย่างี่เง่าน่า นี่คุณเชื่อด้วยเหรอ เอาจริงๆ ผมยังงงเลย พิมพ์ไหน พลอยไหน ผมไม่รู้จักจริงๆ”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง แสดงว่าไอ้กระเป๋าใบละแสนๆ นั่นก็ไม่มีอยู่จริง คุณกล้าไปเปิดรถให้ณัฐดูไหมล่ะ”
“แล้วทำไมผมต้องทำ” ท่าทางรุจน์รวินจะเหนื่อยเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียง ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่ได้กลัวมีเรื่องทะเลาะหรือเลิกคบหากับผู้หญิงตรงหน้า แต่เขาแค่เบื่อกับการมีเรื่องที่ตนจะต้องมานั่งพูดอธิบายโดยไม่จำเป็น รู้ดีว่าพูดอะไรไปก็มีแต่จะต่อความยาวสาวความยืดเพราะณัฐนิชเป็นคนกัดไม่ปล่อย ช่างหาช่างขุดเรื่อง และเขาก็รำคาญผู้หญิงประเภทนี้เป็นที่สุด
“ก็พิสูจน์ไงคะ ว่าที่ณัฐได้ยินมันเป็นเรื่องโกหก”
“ถ้าคุณจะเชื่อก็เชื่อไปเลย ผมขี้เกียจพูดมาก เบื่อ”
“คุณรุจน์!”
“อย่าทำตัววางอำนาจเหนือผม ผมไม่ชอบ” เขาพูดเสียงต่ำ “ถ้าคุณคิดว่าผมจะต้องตามง้อ ตามขอโทษเหมือนคนอื่นๆ ที่คุณเคยคบ ผมบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะผมไม่จำเป็นต้องง้อใคร” ได้ยินดังนั้น สีหน้าของณัฐนิชก็เจื่อนลงจากคำพูดของคนตรงหน้า
“ก็คุณ...”
“ผมคบคุณเหมือนเพื่อนคนนึง เรื่องนี้เราก็คุยกันรู้เรื่องไปแล้วตั้งหลายรอบ คราวก่อนล่าสุดคุณก็บอกว่าคุณจะปรับตัว เราจะได้คุยกันต่อได้ แต่ดูเหมือนตอนนี้คุณจะไม่เข้าใจอีกแล้ว ถึงได้คอยมาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมอยู่นั่น”
หญิงสาวหน้าชา ที่ชายหนุ่มพูดมันก็ถูก เขาพูดเรื่องสถานะอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกที่รู้จักกัน มีแต่เธอเท่านั้นที่อยากเอาชนะจนทำอะไรไม่คิดหลายครั้ง แม้รู้ดีว่าตัวเอง ‘ยัง’ ไม่มีสิทธิ์แต่เธอจะยอมแพ้ไม่ได้ เธอยอมรับว่าไม่ได้รักเขา แต่เธอรักในสิ่งที่เขามีเพราะจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ครบทุกด้านเท่านี้ และเธอก็ไม่อยากปล่อยให้คนอื่นได้ไป แม้รู้ดีว่าตัวเองจะต้องใช้อีกสารพัดวิธีในการมัดเขาไว้ก็ตาม!
เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ ณัฐนิชเลยเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนอีกตามเคย
ฝ่ายสุริวัสสาที่เพิ่งชิ่งออกมาก็รีบนำรถออกจากลานจอดอย่างรวดเร็ว เธอเดินจ้ำจนขาแทบจะขวิดกันเพราะกลัวจะหนีออกมาไม่ทัน แม้อยากรู้ใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากรุจน์รวินโดนตบเข้าไปอย่างจัง แต่เธอก็เลือกที่จะเอาตัวรอดออกมาก่อนดีกว่า
เมื่อขับรถไปได้สักพัก โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ตัวก็ดังขึ้น พอเห็นว่าหน้าจอปรากฏชื่อของกวง ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ตนเพิ่งแยกตัวออกมา เธอจึงกดรับสายด้วยความโล่งใจ
“ว่าไงยะ”
“เที่ยวไหมคืนนี้”
“ไม่เอาอะ ฉันเหนื่อย นี่ว่าจะกลับบ้านนอนแล้ว วันนี้งานหนักทั้งวัน”
“หา? เป็นไปได้ด้วยเหรอ ปกติชวนไปไหนก็เห็นไปตลอด แกมาเถอะนะ อุตส่าห์บอกคนอื่นๆ ว่าแกมีผู้ใหม่” พูดเสร็จปลายสายก็กรี๊ดกร๊าดเหมือนตื่นเต้นอะไรนักหนา คนที่ขับรถอยู่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว
“โอ๊ย! แกนี่เอาเหามาใส่หัวฉันตลอด ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ยังจะทำให้เป็นเรื่องจนได้ สรุปคือยังไงฉันก็ต้องไปใช่ไหม แล้วนี่หลุดเล่าเรื่องแฟนฉันไปรึเปล่า!”
“ไม่หลุดน่า! ทุกคนก็รู้อยู่แล้วจากข่าววันสองวันนี้ไง ว่าคุณแฟนของแกไปทำงานต่างประเทศ”
“เจอกันกี่โมง แล้วจะไปยังไง ฉันจะดื่มเลยไม่อยากเอารถไป” เธอว่าจะเพลาๆ ลงบ้างแล้วนะ แต่ไปคลายเครียดหน่อยก็ดี ถือว่าจะได้ไปเจอติณห์ด้วย จะได้คุยกันรู้เรื่องเสียทีหลังจากว่างสวนกันไปๆ มาๆ
“เดี๋ยวให้เคนวนไปรับประมาณห้าทุ่ม วันนี้วันพระ มันไม่กินเหล้าแต่มันจะไปฟังแกเม้า”
คืนนี้กลุ่มเก้งกวางของเธอเลือกร้านที่ไปกันประจำ ซึ่งลักษณะร้านจะแบ่งออกมาเป็นส่วนของร้านนั่งฟังเพลงและส่วนที่เป็นผับ ซึ่งพวกเธอมักจะนั่งอยู่ในส่วนแรกสักพักก่อนจะย้ายไปส่วนหลังเมื่อเวลาเลยเข้าช่วงดึก โดยคืนนี้ติณห์จะตามมาทีหลัง หลังจากจบงานอีเวนต์ที่รับผิดชอบอยู่ ขณะที่ฟังกวงเล่า สุริวัสสาต้องคอยเบรกเพื่อนเป็นระยะ เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนอยากเล่าเรื่องของเธอให้ทุกคนฟัง แต่คนเล่าก็ใส่สีตีไข่ไปมากเกินกว่าครึ่ง
“เออ ละแบบตอนที่เดินออกมาจากร้าน ฉันก็ไปยืนรอใช่ไหม พอออกมาก็แบบ เห็นเปิดประตูให้ ส่งสายตาปิ๊งๆ วิ้งๆ แอบจับมือเหมือนรั้งๆ ไว้อะ เหมือนแบบไม่อยากให้คืนนี้จบลง ฉันนี่รู้สึกเหมือนเป็นมารผจญขึ้นมาทันที”
“นี่ก็เล่าเกินไปอีกละ คุณรุจน์เค้าแค่เปิดประตูให้ฉันเฉยๆ ไอ้ที่ว่าส่งสายตาจับมืออะไร มันคิดเองล้วนๆ มีสิบเล่าไปร้อย” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เออ ถึงไม่ทำ ผู้ชายก็คิดแบบนั้นแน่ๆ ทำไมฉันจะดูไม่ออก อะๆ ฟังต่อ” กวงเถียงขึ้นทันทีเมื่อเจ้าของเรื่องขัดจังหวะ
สุริวัสสาได้แต่นั่งส่ายหัว เอือมระอากับนิสัยที่แก้ไม่หายของเพื่อน เธอนั่งฟังเพลงเพลินจนกระทั่งเคนยืนขึ้น บ่งบอกว่าทั้งหมดกำลังจะย้ายไปอีกส่วนของร้าน หญิงสาวจึงขอตัวไปห้องน้ำก่อนจะตามเข้าไป
ขณะที่กำลังเช็ดมือในห้องน้ำ เธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าห้องน้ำหญิง ด้วยความอยากรู้ ร่างบางจึงเดินออกไปชะโงกดูเงียบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หญิงสาวจึงเตรียมจะเดินกลับเข้าไปด้านในเพราะนึกว่าหูฝาดไป
“อื้อ”
สุริวัสสาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเบาๆ เธอเดาออกทันทีว่าอะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นนั้นไม่ได้อยู่ห่างจากเธอเท่าไหร่ เอาอีกแล้ว คนประเภทนี้นี่ก็ไม่อายผีสางเทวดาฟ้าดิน ห้องหับอะไรมิดชิดมีก็ไม่ไป มาเลือกอะไรแถวนี้
“ช่วย โอ๊ย!” เสียงผู้หญิงนั้นดังแว่วมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังจับใจความอะไรไม่ได้ แต่คนที่ได้ยินก็รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ
หญิงสาวชะโงกหน้าไปดูอีกครั้ง เธอจึงสังเกตว่าเสียงนั้นดังมาจากมุมอับที่อยู่ด้านในสุดซึ่งเลยตัวห้องน้ำเข้าไปอีก เป็นมุมที่แม่บ้านไว้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด
“หยุด ขอร้อง” เสียงนั้นแม้จะยังแผ่วแต่ก็ชัดขึ้น จนคนที่สังเกตการณ์อยู่แน่ใจทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
สุริวัสสารีบเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นเงาของต้นเสียงเธอก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะมีสองเงาที่อยู่ลับมุมผนังตามที่คิดไว้ แต่มีฝ่ายหนึ่งที่มีท่าทางอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่เห็นดังนั้น เพื่อความปลอดภัยเธอจึงวิ่งไปเรียกการ์ดด้านหน้าร้านให้เข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายชายเป็นใครมาจากไหน อาจจะพกอาวุธหรือทำอันตรายเธอได้หากผลุนผลันเข้าไป
“เฮ้ย” การ์ดสองคนใช้วิธีส่งเสียงเอะอะโวยวายนำไปก่อนแล้ววิ่งเข้าไปมุมตึก ไม่กี่วินาทีต่อมาผู้ชายคนนั้นก็ถูกลากออกไป
“ฝากน้องผู้หญิงด้วยนะครับ” การ์ดคนหนึ่งหันมาหาเธอ ใบหน้าหวานพยักรับ ระหว่างนั้นก็รีบสังเกตจดจำรายละเอียดของผู้ชายคนนั้นให้มากที่สุด ดูจากอายุน่าจะยี่สิบต้นๆ ท่าทางเมาอยู่พอสมควรแต่ยังมีสติ เขาขัดขืนและตะโกนโหวกเหวกเสียงดังเมื่อโดนหิ้วปีกให้ไปสงบสติอารมณ์
สุริวัสสารีบรุดเข้าไปหาผู้หญิงร่างเล็กที่นั่งอยู่บนพื้น สำรวจแล้วเสื้อผ้าของหล่อนครบถ้วน จะมีก็แต่รอยแดงตามช่วงแขนที่น่าจะเกิดจากการขัดขืนก่อนที่จะมีคนมาช่วย หญิงสาวรีบเข้าไปประคองร่างโงนเงนนั้นไว้ เขย่าเบาๆ ให้ได้สติ
“น้อง น้อง” เธอเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่อีกฝ่ายยังไม่ตอบสนอง ดูจากท่าทางไม่น่าใช่อาการเมาเหล้าตามปกติ
“ขอบ ขอบคุณ ค่ะ” เสียงเบานั้นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง ก่อนที่ดวงตาจะหลับลงแล้วร่างนั้นก็หนักลงตามแรงโน้มถ่วง
“ยายวสา ตกส้วมตายไปแล้วเหรอ” เป็นจังหวะพอดีกับที่เสียงห้าวของเคนตะโกนเข้าไปในห้องน้ำหญิง เขาเดินออกมาตามเพื่อนเมื่อเห็นว่าหายไปนานกว่าปกติ
“เคน! มาช่วยทางนี้หน่อย ฉันอยู่นี่” เธอรีบตะโกนบอก เพราะลำพังคนเดียวก็ไม่มีแรงพอที่จะพาผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นได้ ไหนจะชุดของเธอที่ไม่ทะมัดทะแมง รองเท้าส้นสูงปรี๊ด และกระเป๋าถืออีก
“แกเป็นอะไร!” เคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยอารามตกใจ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ได้เป็นอะไรตามที่คิดไว้ก็โล่งใจไปหนึ่งเปลาะ เขารีบเข้ามาประคองหญิงสาวแปลกหน้าให้ลุกขึ้นยืน
“ฉันเจอตอนเค้าถูกทำร้ายพอดี นี่เรียกการ์ดมาพาตัวผู้ชายออกไปแล้ว แต่น้องเค้าหมดสติไปพอดี ฉันว่าไม่น่าจะเมาเหล้า เพราะตอนร้องขอความช่วยเหลือก็เหมือนจะหมดแรงยังไงไม่รู้”
“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะทีนี้ นี่น้องเค้าก็มาตัวเปล่า ไม่มีกระเป๋าอะไรด้วย ไม่อย่างนั้นยังพอดูบัตรประชน ดูมือถือ โทร.หาคนรู้จักได้” หนุ่มร่างสูงสำรวจรอบๆ สงสัยคืนนี้จะต้องรอให้ตื่นอย่างเดียว
“อย่าหาว่าฉันใจดำเลยนะ แต่รู้จักก็ไม่รู้จัก จะพาไปพักที่บ้านพวกเราสักคนก่อนก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะเป็นพวกมิจฉาชีพขึ้นมา คนสมัยนี้มันไว้ใจได้ที่ไหน แล้วนี่ก็ไม่รู้มากับใคร หรือเราควรรอเพื่อนเค้ามาตามที่นี่” เธอทำท่าหนักใจขณะปัดเศษฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าและกระเป๋าของตน พยายามหาทางแก้ปัญหา
“โอ๊ย! ถ้าเพื่อนยังอยู่ดีก็คงไม่ปล่อยให้โดนลากมาแบบนี้หรอก ไม่เป็นไร เบ๊นซ์มันรู้จักคนข้างใน มันคงต้องมีห้องมีอะไรบ้างแหละ”
และแล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อเพื่อนที่เหลือในกลุ่มเก้งกวางรู้เรื่อง เบ๊นซ์ก็โทร.ไปคุยกับหนึ่งในหุ้นส่วนของสถานบันเทิงที่เขารู้จัก สักพักจึงมีผู้จัดการมาพาไปพักในห้องออฟฟิศชั้นเดียวเล็กๆ ด้านหลัง ซึ่งอยู่ด้านในสุดของลานจอดรถกว้าง
“ไปโรงพยาบาลไหม” เบ๊นซ์ถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วหญิงสาวตรงหน้ายังไม่ตอบสนอง แม้สุริวัสสาจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้แล้วก็ตาม เมื่อสังเกตดีๆ หลังจากมองใบหน้าของคนที่ยังไม่ได้สติ อายุของผู้หญิงคนนี้ภายใต้การแต่งหน้า น่าจะเป็นวัยที่เพิ่งเข้าสถานบันเทิงได้ รวมถึงการแต่งตัวก็เป็นเสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้นแบบสมัยใหม่ ซึ่งคนรุ่นเธอจะแต่งอีกแบบหนึ่ง
“เออเห็นด้วย งั้นเดี๋ยวฉันไปตามคนมาปิดออฟฟิศก่อน แล้วเราพาเค้าไปโรงพยาบาลกัน” ผู้หญิงคนเดียวของห้องเดินออกไปเนื่องจากตนนั่งอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
“อือ” เสียงนั้นดังขึ้นเบาๆ ออกจากลำคอของคนที่กำลังนอนอยู่ หล่อนเพิ่งได้สติหลังจากที่สุริวัสสาปิดประตูลง
“เฮ้ยๆ ฟื้นแล้ว” เสียงเข้มทักขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะละความสนใจจากสมาร์ตโฟนของตัวเอง เพื่อดูอาการของคนที่เพิ่งรู้สึกตัว
เปลือกตาบางกะพริบถี่ เธอมึนหัวจนแทบลุกไม่ขึ้น ร่างเล็กพยายามชันตัวขึ้นนั่ง หลังจากหรี่ตามองไปรอบๆ ห้อง เธอก็มั่นใจว่าไม่เคยมาที่นี่ และแล้วดวงตาที่ยังพร่ามัวก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อเธอมองไปรอบๆ แล้วไม่คุ้นหน้าใครสักคน แถมทุกคนที่มองกลับมายังเป็นผู้ชายร่างสูงที่ล้อมเธออยู่ประมาณสี่ห้าคน
“กรี๊ดดด” เสียงแหลมหวีดร้องโดยสัญชาตญาณแม้สติยังกลับมาไม่เต็มที่นัก พื้นโลกของเธอยังโคลงเคลงไปมา แต่ด้วยความกลัวที่ครอบงำทำให้เธอรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลือพุ่งตัวไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่สุริวัสสาพาพนักงานเข้ามาเพื่อปิดออฟฟิศพอดี
“โอ๊ย!” ไหล่ของหญิงสาวทั้งสองชนกันอย่างจัง ครู่หนึ่งที่คนตัวเล็กกว่าหันมามองหน้าเธอด้วยสีหน้าตระหนก ราวกับว่าเธอกำลังจะทำอันตรายให้
“น้อง! ไปไหน เดี๋ยวพวกพี่ไปส่ง” สุริวัสสารีบคว้าแขนเล็กเอาไว้ แต่ก็โดนสะบัดจนหลุดอย่างแรง
“ไม่! ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ” เธอวิ่งไปตะโกนไป ท่าทางทุลักทุเลนั้นทำให้สุริวัสสากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับอีกฝ่าย เธอวิ่งออกไปนอกออฟฟิศ หันซ้ายหันขวาเพราะไม่รู้จักทางก่อนจะสังเกตว่าที่ที่ตนอยู่นั้นคือด้านหลังของสถานบันเทิง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงพยายามวิ่งออกที่โล่งแจ้งซึ่งก็คือลานข้างหน้าอาคารที่ติดกับลานจอดรถ
“แก! แกหายไปไหนมา พวกฉันตามหาเกือบตาย” เมื่อวิ่งจนไปถึงลานจอดรถ โชคดีที่เธอเจอกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันพอดี ทั้งหมดอยู่ในอาการตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
“หนีเร็ว!” พูดเพียงเท่านั้น ทั้งหมดก็เหลียวตามทิศทางที่เพื่อนวิ่งมา เมื่อเห็นเป็นผู้หญิงแปลกหน้าวิ่งตามมาพร้อมกับผู้ชายอีกหลายคน ทุกคนก็ดูลนลานมากกว่าเดิม ก่อนจะพากันวิ่งไปริมถนนขึ้นแท็กซี่ที่จอดเป็นแถวรอรับผู้โดยสารอยู่ แล้วรถก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“น้องเค้าเจอเพื่อนแล้ว ก็น่าจะปลอดภัยแล้วแหละ ขึ้นแท็กซี่ไปด้วยกันสามสี่คน” เบ๊นซ์หอบ ตาก็มองตามรถโดยสารสีเหลืองเขียวที่แล่นลับหัวมุมถนนไป ด้วยความที่ทุกคนล้าและตั้งตัวไม่ทันกับปฏิกิริยาสักครู่ ทำให้ทั้งหมดวิ่งตามมาไม่ทัน
“นี่หน้าพวกเราเหมือนโจรขนาดนั้นเลยเหรอ” กวงยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยสีหน้าวิตก “นี่มันใช่ประเด็นไหมแก คือเป็นฉันก็ตกใจอยู่หรอกนะ ตื่นมาที่ไหนไม่รู้ แถมมีผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกแกล้อมอยู่รอบๆ อีก” สุริวัสสาถอดรองเท้าส้นสูงออกด้วยความเมื่อย เธอเกือบล้มตอนวิ่งตามเมื่อครู่ “ถึงไม่เหมือนโจรก็น่ากลัวอยู่ดีนั่นแหละ ในสถานที่และสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกถ้าน้องเขาจะมองเราเป็นมิจฉาชีพ ดูอย่างเคนสิ มองภายนอกเผินๆ ใครจะไปคิดว่าเข้าวัดเข้าวาบ่อยกว่ามาผับ”
“เออว่ะ แถมตอนจะออกไป ยายวสาก็ดันเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกคนพอดี พวกแกนี่มันคนบาป ทำบุญไม่ขึ้น” เคนส่ายหัวแล้วนึกขำเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้
“จะกลับกันแล้วเหรอยะ” เสียงที่ดังมาจากนอกวงสนทนานั้นทำให้ทุกคนหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
“ติณห์! นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” สุริวัสสารีบปรี่เข้าไปหา เธอต้องถามเรื่องคาใจที่มีอยู่ให้รู้เรื่องในคืนนี้ ก่อนที่จะต้องไปรับมือกับรุจน์รวินในอนาคตอันใกล้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เธอออกมา ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง
“อะไรจะดีใจขนาดนั้นยะ ละนี่สรุปออกมายืนทำอะไรข้างนอก ไม่ร้อนเหรอ” ผู้มาใหม่ยังคงสงสัย ระหว่างนั้นก็มองไปรอบๆ เพื่อหาสาเหตุ
“มีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ไป เข้าไปข้างในกัน” กวงตัดบท
“ฉันขอคุยกับแกก่อนแป๊บนึงได้ไหม เรื่องคุณภาคิน” เสียงหวานกระซิบคนข้างตัวเบาๆ
“เออน่าเดี๋ยวค่อยว่ากัน ขอคลายเครียดก่อน คืนนี้ยังอีกยาวไกล” ติณห์พูดตัดรำคาญแล้วหัวเราะ ก่อนจะเดินกอดคอหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มเข้าไปในตัวตึก ทั้งหมดลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปชั่วคราว ไม่ได้เก็บมาคิดจนทำให้ความสนุกของค่ำคืนนี้ลดลง
ความคิดเห็น |
---|