7

ตอนที่ 7


 

 

“ขอบคุณนะคะ”

สุริวัสสาบอกหลังจากชายหนุ่มเก็บบัตรเครดิตเข้ากระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย เพราะเขาอาสารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในคืนนี้

“เชิญครับคุณผู้หญิง” รุจน์รวินพูดล้อเลียน แกล้งผายมือให้หญิงสาวเดินนำ ตอนนี้สมองของเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางแก้เผ็ดคนอย่างเธอ เสียดายที่หลงคิดว่าคนตรงหน้ามีความจริงใจอยากช่วย ที่แท้ก็เป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เป็นเรื่องนี่เอง คิดจะทำดีกลบเกลื่อนให้เขาไม่นึกสงสัยละสิ

เขารู้เรื่องเกี่ยวกับสุริวัสสามานานและมากพอสมควร มากจนกล้าเล่าเรื่องในครอบครัวให้เธอฟัง และรู้ดีว่านอกจากเรื่องของกีรวิชญ์แล้ว ยังมีจุดอ่อนอีกอย่างที่ทำให้เขาต่อรองกับเธอได้! การเล่นงานซึ่งๆ หน้าไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะทำในสถานการณ์แบบนี้ เพราะสุริวัสสาต้องเจอการแก้เผ็ดชนิดที่ว่าทำให้คนแสบๆ อย่างเธอเข็ดไปอีกนาน

แค่วันเดียวที่รู้จักกัน หลายครั้งที่เขาแอบขำในใจเวลาเธอทำหน้าตกใจเมื่อเขารู้ทัน ตีเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเมื่อสายตาคู่นั้นจ้องมาที่เขาแบบกำลังประเมินอะไรบางอย่าง สำหรับเขาแล้ว สุริวัสสาจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ความคิดของเธออ่านยากพอสมควรเพราะดูเหมือนเธอฝึกมาอย่างดี แต่เขาก็พอเดาออกจากประสบการณ์ที่เจอคนมาหลายรูปแบบ

ถ้าหญิงสาวคิดว่ากำลังหาเรื่องต่อรองกับเด็กอมมือ เธอก็กำลังคิดผิดไปถนัด!

ไหนๆ สุริวัสสาก็เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเรื่องทั้งหมดเองโดยที่เขาไม่ต้องเสียแรงตามหาให้เหนื่อย เขาก็จะใช้ความสามารถของเธอให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย

รุจน์รวินคิดพลางก้าวยาวๆ ไปที่ประตูทางออกก่อนจะเปิดให้สุริวัสสาเดินนำไปก่อน

“โอ้โฮ สุภาพบุรุษมากค่า ปรบมือค่า” เสียงแซ็วดังมาจากผู้ชายอกสามศอกในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำที่กำลังยืนพิงรถของเธออยู่ ร่างบางรีบก้าวฉับๆ เข้าไปตีเพื่อนตัวเองให้เงียบ ไม่อยากให้เสียมารยาทไปมากกว่านี้เพราะไม่รู้ว่าคนที่มาด้วยจะขำไปด้วยหรือเปล่า

“หุบปาก!” เธอพูดเสียงเขียว ถลึงตามองเพื่อนระหว่างที่รุจน์รวินเดินตามมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อหันไปจึงส่งยิ้มหวานให้เหมือนเดิมก่อนจะโบกมือหย็อยๆ

“แฟนใหม่เหรอยะ นึกว่ามากับวิชญ์ ก็ว่าทำไมต้องตามฉันมาขับรถให้” กวงยิ้มให้ชายหนุ่มบ้าง ตาก็มองสำรวจอย่างละเอียดขณะพูดลอดไรฟันพอให้ได้ยินกันกับเพื่อนสองคน “งานดีนี่ เดี๋ยวนี้มีอะไรแบบนี้ไม่บอกเพื่อนเลยนะ”

“ไปคุยกันในรถ!” เธอย้ำขณะก้าวเข้ามาในรถ กวงเลยจำใจเดินอ้อมไปฝั่งคนขับทั้งๆ ที่ยังไม่อยากละสายตาจากคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก

“อะไรยังไงเมื่อไหร่ว่ามาให้ละเอียดค่ะ” เสียงห้าวถามขณะกดปุ่มสตาร์ตรถ “ตอบให้ครบทุกคำถามนะยะ”

สุริวัสสาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เธอมึนหัวมาสักพักจากฤทธิ์ไวน์ที่กินเข้าไป เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งจนไม่อยากจะตอบแม้แต่คำถามเดียว

“นี่ อย่าเพิ่งหลับสิยะ ว้าย! มาตอนไหนเนี่ย ทำไมฉันไม่เห็น!” กวงมัวแต่หันไปโวยวายใส่เพื่อนสาวขณะถอยรถออกจากที่จอด จนชนเข้ากับรถที่กำลังขับผ่านด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ

“นังก๊วง!” สุริวัสสาลืมตาขึ้นโดยทันที เธอรีบหันไปมองแล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าลึกเมื่อจำได้ว่าเป็นรถของคนที่เพิ่งจากกันมา ดีนะที่ไม่ใช่คันที่รุจน์รวินขับมาเอง ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนขึ้นค่าเบี้ยประกันจนหมดกระเป๋า หญิงสาวคิดขณะเปิดประตูลงไปพร้อมเพื่อน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างสูงก้าวออกมาจากเบาะหลัง น่าแปลกที่คนขับรถของเขาไม่ได้ลงมาดูแผลที่รถทั้งๆ ที่เป็นคนขับ

“รถเป็นอะไรมากไหมครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” กวงพูดเสียงจริงจังด้วยสีหน้ากังวลพลางก้มมองดูรอยที่ชนใกล้ๆ เห็นเป็นรอยบุบและถลอกอยู่แผลหนึ่ง โชคดีที่เขาถอยออกมาไม่เร็วนักไม่อย่างนั้นคงบุบลงไปมากกว่านี้ แต่แล้วก็ต้องแอบกลืนน้ำลายเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นยี่ห้อรถที่ตนไปชนเข้า

“ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณรุจน์ ไฟที่จอดรถมืดมาก เพื่อนฉันก็ไม่ถนัดขับรถคันนี้พอดี เลยกะอะไรมองอะไรไม่ค่อยถนัด เดี๋ยวโทร.เรียกประกันแป๊บนึงนะคะ” สุริวัสสาช่วยพูดอีกแรงเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปสำรวจรอยแบบผ่านๆ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมส่งเอกสารประกันไปให้เซ็นแล้วกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว ขับรถดีๆ นะครับ” ท้ายประโยค เจ้าของเสียงเข้มหันไปพูดกับกวงก่อนที่เขาจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปหลักฐานการชนเอาไว้

สุริวัสสาลังเลอยู่สักพัก แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนยันว่าไม่เป็นไร เธอกับกวงจึงขอโทษขอโพยอีกหลายรอบกว่าจะยอมกลับ รุจน์รวินยืนมองจนกระทั่งรถของหญิงสาวแล่นออกไปแล้วจึงกลับขึ้นมานั่งบนรถ ออกคำสั่งสั้นๆ ก่อนจะนั่งสไลด์ดูรูปที่ตนเองเพิ่งถ่ายมา

รุจน์รวินยิ้มกริ่ม แผนทุกอย่างถูกวางไว้ในหัวโดยอัตโนมัติ

คราวนี้ไม่รู้ว่าโชคกำลังช่วยเขา หรือแม่เซเลบสาวสวยกำลังถึงคราวดวงตกกันแน่!

 

“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ ไม่ได้มีอะไรมากกว่าที่จะตามกีรวิชญ์กลับมา ห้ามบอกใครเด็ดขาดนะว่าวิชญ์หายตัวไป มีแค่ติณห์กับแกที่รู้ เพื่อนในกลุ่มเดี๋ยวค่อยให้รู้ทีหลัง”

สุริวัสสานั่งเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้กวงฟังระหว่างทางกลับบ้าน ย้ำเป็นรอบที่สิบว่าเธอและเขาไม่ได้คิดอะไรกันเมื่อกวงเอาแต่เชียร์รุจน์รวิน คำก็บอกโชคชะตา สองคำก็บอกบุพเพสันนิวาส

“มันคือพรหมลิขิตชัดๆ ฉันมั่นใจ” กวงพยายามยุหลังจากเห็นหน้าของรุจน์รวิน ซึ่งดูน่าค้นหากว่ากีรวิชญ์เป็นไหนๆ

“นี่แกคิดว่ากำลังวิ่งเก็บดอกเดซี่ในทุ่งกว้างอยู่เหรอ” หญิงสาวกลอกตาขึ้น เบื่อกับความเพ้อเจ้อของเพื่อนตัวเอง

“บนท้องฟ้ามีสายรุ้งด้วยนะ พอดีเป็นตุ๊ดโลกสวย” กวงถอยรถเข้าจอดเมื่อถึงบ้านพอดี เขารีบลงจากรถแล้วตามเพื่อนเข้าไปในบ้านเพราะตั้งใจจะคุยเรื่องนี้ต่อ

“กลับสู่ความจริงได้แล้วค่ะเพื่อน เพ้อเจ้อมาทั้งทางแล้ว” ร่างบางทิ้งตัวลงบนโซฟา สลัดรองเท้าส้นสูงออกอย่างหมดแรง ไม่เหลือมาดใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกวงเดินตามมาก็ต้องเบิกตากว้าง พอมาอยู่ในที่ที่ไฟสว่างจึงเพิ่งเห็นแขนของเพื่อนแดงเป็นจ้ำ มีรอยข่วนเป็นทาง

“ใครทำอะไรแก!” ร่างสูงพุ่งตัวเข้ามาใกล้ รีบยกแขนบางขึ้นมาพิจารณา

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” เธอตอบตัดรำคาญพลางพยายามดึงแขนออกแต่ก็ไม่สำเร็จ

“อย่ามานางเอกค่ะ พูด!”

“พี่สาวคุณรุจน์อาละวาดพอดี ฉันเจอแจ็กพอตเลยโดนทำร้ายนิดหน่อย ดีที่คุณรุจน์กับคุณภาคินมาช่วยไว้ทัน เอาจริงๆ ว่าเจ็บไม่เท่าตกใจหรอก” คนพูดเตรียมชี้รอยข่วนให้ดูชัดๆ เพราะคาดว่าเพื่อนคงอยากสำรวจมากกว่านี้ แต่แล้วก็ผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายทิ้งแขนเธอลงทันทีแล้วคว้าหมอนใกล้ตัวมากอด

“ว้ายตายแล้ว! อย่างนี้ก็ต้องมีซีนทำแผล ใกล้ชิดสนิทสนมน่ะสิ มีหัวชนกันโดยบังเอิญแล้วมองตากันรึเปล่า” เขาร้องเสียงสูงจนสุริวัสสาอยากจะหันไปตบแรงๆ ให้เพื่อนกลับมามีสติ

“เป็นห่วงฉันบ้างก็ได้นะยะ ไม่ใช่เอาแต่คิดจะให้ฉันคู่กับเขา แกลืมพ่อเทพบุตรกีรวิชญ์ของแกไปแล้วหรือไง”

“นี่ ผู้ชายมันดูกันเองออก เค้าคิดอะไรกับแกแน่ๆ ไม่งั้นไม่ชวนไม่ยื้อไม่ตื๊อมานั่งฟังเพลงแบบนี้หรอก ไหนจะอาสาไปส่งอีก” กวงพูดด้วยน้ำเสียงเพ้อฝัน “ไม่แน่ๆ นี่อาจจะเป็นเนื้อคู่ โอ๊ย!”

“พูดเพ้อเจ้ออีกคำเดียวฉันจะหยิกให้แรงกว่านี้อีก” สุริวัสสาพูดด้วยความหมั่นไส้หลังจากหยิกลงไปที่แขนของกวงเต็มแรง จนอีกฝ่ายยกมือมาลูบป้อยๆ พลางแบะปากใส่

“ค่า แหม อย่าให้สุดท้ายลงเอยกันขึ้นมานะ ฉันกล้าพนันเลย ถึงวันนั้นก็เปิดเหล้าเลี้ยงฉันด้วย ในฐานะที่เป็นเพื่อนที่สวยและมองการณ์ไกล”

“หวังกินฟรีละสิไม่ว่า” หญิงสาวค้อน

“อ๊ะ แสดงว่ายอมรับว่ามีโอกาส” กวงได้โอกาสล้อ ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นมือบางทำท่าจะคว้าแขนมาหยิกอีกรอบ เขารีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนโดยมีรองเท้าส้นสูงปาตามหลัง

“เอ๊ะ แกไปเมากัญชาที่ไหนมาเหรอ นี่ชีวิตจริงนะยะ ไม่ใช่นิยายหรือละครหลังข่าวที่ไหน” สุริวัสสาลุกขึ้นยืนบ้างก่อนจะตะโกนตามไป

“ไอ้พวกนั้นมันก็เขียนมาจากชีวิตจริงทั้งนั้นแหละค่ะคุณขา” ได้ทีว่าหนีพ้นแล้วจึงตะโกนกลับมาบ้าง คนพูดหัวเราะเสียงดังจนเจ้าของบ้านได้แต่ส่ายหัว พอได้อยู่คนเดียวจึงรีบโทร.หาติณห์อีกหลายรอบแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ ตอนนี้งานอีเวนต์ก็น่าจะเลิกแล้ว น่าแปลกที่ฝ่ายนั้นยังไม่โทร.กลับมาซะที

กลับมาคิดถึงสิ่งที่กวงกำลังพยายามชงแล้วก็ต้องถอนหายใจ เรื่องระหว่างเธอกับรุจน์รวินน่ะเหรอ นับว่าเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอจะคิดด้วยซ้ำ!

 

วันรุ่งขึ้นสุริวัสสาก็ยิ่งร้อนใจหลังจากยังไม่มีสัญญาณตอบรับจากติณห์ พอส่งกวงเสร็จจึงรีบเข้าไปที่ออฟฟิศ กะว่ารีบทำงานให้เสร็จแล้วจะขับรถไปตามติณห์ที่บ้าน

“อ้าว พี่นัท มาทำอะไรแต่เช้าคะ” หลังจากจอดรถแล้วเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เจอเลขาฯ ของกีรวิชญ์นั่งอยู่ ในใจก็แอบหวังลมๆ แล้งๆ ว่าคนตรงหน้ามาเพื่อบอกข่าวดีที่เธอรออยู่

“คุณกานต์ให้พี่เอาเอกสารมาให้เซ็นค่ะ เป็นสัญญาที่คุณวสารับเป็นพรีเซนเตอร์ของเครือเครื่องสำอางของห้าง จริงๆ เป็นฉบับเดิมที่คุณวิชญ์เคยส่งให้คุณอ่าน แต่พอดีคุณกานต์หาไม่เจอน่ะค่ะ พี่เลยต้องพรินต์มาให้เซ็นใหม่”

คำบอกเล่านั้นทำให้ความหวังของเธอริบหรี่ลงไปกว่าเดิม หัวใจดวงน้อยห่อเหี่ยว ใบหน้าแสดงถึงความผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง

“ทำสัญลักษณ์ให้เซ็นไว้รึยังคะ” สุริวัสสาเดินนำเข้าไปด้านใน รับแฟ้มเอกสารมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ที่ใช้รับลูกค้า แล้วจึงควานหาปากกาแถวนั้นขึ้นมาเตรียมเซ็น

“คุณวสาอ่านก่อนก็ดีนะคะ เผื่อพี่พรินต์มาผิดฉบับ พี่เองก็ไม่แน่ใจ คุณกานต์เธอก็เร่งเหลือเกิน” เลขานุการวัยกลางคนถอนหายใจ รู้ดีว่าเมื่อคนตรงหน้าถามแบบนี้แสดงว่าเธอจะไม่อ่านรายละเอียดใดๆ ผิดวิสัยรอบคอบของเจ้าตัว ซึ่งจะเกิดกรณีแบบนี้น้อยมากนอกจากหญิงสาวจะไม่มีเวลาจริงๆ

“ไม่น่าผิดหรอกค่ะ คุณวิชญ์เคยให้วสาอ่านรายละเอียดรอบนึงแล้ว แล้วพี่นัทก็ไม่เคยทำงานพลาด วันนี้วสาไม่มีเวลาจริงๆ เดี๋ยวเก้าโมงมีคุยงานกับบริษัทชุดเจ้าสาว สิบเอ็ดโมงต้องไปคุมถ่ายแฟชั่นที่ไว้โพรโมตสตูดิโออีก เมื่อเช้ารถก็ติดจนเกือบเข้ามาไม่ทัน” ถ้าไม่ติดที่เคยทำงานด้วยกันมาหลายงาน และ ‘พี่นัท’ ก็เป็นคนของกีรวิชญ์ สุริวัสสาก็คงไม่ไว้ใจและ ‘ประมาท’ เท่านี้

“งั้นคุณวสาเก็บไว้ก่อนก็ได้ค่ะ ตอนบ่ายมีเวลาค่อยอ่าน เดี๋ยวพี่แวะมารับตอนเย็น”

“ไม่เป็นไรค่ะ เซ็นไปเลยจะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ เดี๋ยวพี่นัทโดนคุณกานต์บ่นไม่รู้ด้วยนะ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะขณะยืนกรอกลายเซ็นลงไปตามจุดต่างๆ ที่อีกฝ่ายทำเครื่องหมายไว้สิบกว่าแผ่นอย่างรวดเร็ว “เอ้อ พรีมจ๊ะ เมื่อกี้พี่เห็นผู้ชายคนนึงมานั่งรอข้างหน้าร้าน เขามาติดต่ออะไรรึเปล่า” หญิงสาวถามลูกน้องของตนที่เดินผ่านมาพอดี

“อ้อ ลืมบอกไปค่ะ เขาบอกว่าเป็นคนของบริษัทคุณรุจน์รวิน เห็นว่าเอาเอกสารประกันมาให้เซ็น พอดีคุยกันนิดหน่อยเขาเลยฝากพี่เข้ามา พี่ก็ดูคร่าวๆ ทำเครื่องหมายไว้ให้เซ็นแล้ว อยู่ด้านหลังเอกสารของห้างน่ะค่ะ” เลขาฯ ของกีรวิชญ์ตอบแทน

ถ้ามีเวลา สุริวัสสาก็อยากจะออกไปทักทายคนของรุจน์รวินสักหน่อย นึกอยากขอบคุณที่มาบริการถึงที่จนแบ่งเบาเวลาของเธอได้มาก ติดตรงที่แขกของเธอเพิ่งเดินสวนเข้าไปนั่งรอในห้องรับรองนั่นแหละ

“โห เร็วดีจัง เพิ่งชนเมื่อคืนแท้ๆ ฝากขอบคุณเขาด้วยนะคะ” เมื่อเปิดมาถึงหน้าเอกสารประกัน สุริวัสสาก็กรอกลายเซ็นลงไปโดยกวาดตาผ่านอย่างรวดเร็ว บางแผ่นเธอไม่ได้เปิดดูรายละเอียดด้วยซ้ำ แค่พลิกกระดาษเซ็นอย่างรวดเร็วด้วยความรีบและเห็นว่าเป็นเอกสารประกันทั่วไป ในใจก็มัวแต่คิดเรื่องของติณห์

“เดี๋ยวพี่นัทตรวจสอบอีกทีนะคะว่ามีอะไรตกหล่นไหม วสารีบจริงๆ ขอตัวละค่ะ” เธอปิดแฟ้มลงอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งคืน ร่างบางแวะสั่งงานลูกน้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องรับรองลูกค้าที่มีบริษัทที่นัดไว้นั่งรออยู่ก่อนแล้วสักพัก

นัทตรวจสอบด้วยความเร่งรีบเช่นเดียวกัน เพราะเธอก็โดนกานต์พิชชาสั่งให้กลับไปบริษัทให้เร็วที่สุด หลังจากแยกเอกสารประกันออกมาแล้วยื่นให้คนของรุจน์รวินที่มานั่งรอ เธอก็อดแปลกใจไม่ได้ แค่เอกสารประกันนิดหน่อยจริงๆ ก็ส่งให้คนรับเอกสารขี่มอเตอร์ไซค์เอามาก็ได้ นี่ดูท่าทางไม่น่าจะใช่เพราะใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนกไทมาอย่างดี แถมยังขับรถเก๋งมาอีก

ในช่วงบ่าย หลังจากงานทุกอย่างเรียบร้อย สุริวัสสาก็รีบกลับไปเอาของส่วนตัวที่ห้องทำงาน ตั้งใจจะขับรถไปหาติณห์ แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงหวานหลังจากหน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่รู้จัก

“ฉันเอง” ได้ยินปลายสายตอบมาแค่นั้น เธอก็โล่งใจยิ่งกว่ายกภูเขาออกจากอก

“แกหายไปไหนมา ทำไมติดต่อไม่ได้เลย นี่ฉันกำลังจะขับรถไปหาที่บ้านนะเนี่ยนึกว่าเป็นอะไร แล้วนี่เอาเบอร์ใครโทร.มา นี่แกอยู่ไหน ฉันร้อนใจมากมีเรื่องจะเล่าหลายอย่างเลย”

“โอ๊ย! ใจเย็นๆ ค่ะคุณเธอ อย่ามาทำเป็นอัลไซเมอร์ เมื่อวานก็เพิ่ง...

“สรุปเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น” ยังไม่ทันพูดจบประโยค สุริวัสสาก็ยิงคำถามใส่อีกรอบ ขณะวางกระเป๋าไว้ที่เดิมแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องทำงาน

“ฉันโทร.หาแกก็ดันมีใครไม่รู้รับสาย โชคดีที่ฉันโวยวายๆ ตอนแรก น่าจะฟังไม่ได้ศัพท์หรอก พอได้ยินเสียงตอบมาไม่ใช่แก ฉันเลยรีบวางไปก่อน ละฉันก็วุ่นๆ กับงานอีเวนต์ เราสองคนเลยโทร.สวนๆ กันไปมา”

“แล้วทำไมตอนเลิกงานไม่โทร.หาฉัน”

“โอ๊ย! ก็โทร.แล้ว บอกไปหมดแล้วเรื่องภาคินไง แกก็ไม่ตอบอะไรแถมตัดสายฉันอีก นี่เมื่อคืนแกไปเมาที่ไหนมาเนี่ยถึงจำอะไรไม่ได้เลย” ปลายสายเริ่มโมโห “พอโทร.ไปอีกก็ไม่รับ กดตัดสายฉันอยู่ได้จนฉันเลิกโทร .ตอนนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ฉันก็เพิ่งเปิดเข้าแชตเลยรู้จากแชตกลุ่มเนี่ยแหละว่ากวงมันไปค้างบ้านแก เลยกะว่าพอถึงบ้านจะโทร.หากวงแทนเพราะคุยในแท็กซี่ไม่ได้ แต่ดันห่วงของที่เก็บมาจากอีเวนต์ พะรุงพะรังจนทำมือถือตกในแท็กซี่ นี่เพิ่งฝากรุ่นน้องในกองซื้อซิมใหม่เอามาใส่โทร.หาแกเนี่ยแหละ” ติณห์ได้ทีเลยใส่มาเป็นชุด เสียงของเขาอู้อี้ ขาดๆ หายๆ คงเกิดจากการใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าที่ใกล้พังเต็มที

“แกโทร.แล้วฉันกดตัดสายเหรอ บ้า เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เห็นแกโทร.เข้ามาด้วยซ้ำ มือถือก็อยู่กับตัวตลอด” มิน่าเมื่อคืนตอนดึก เธอโทร.ไปเขาก็ไม่รับสาย

“ได้ข่าวว่าเพิ่งซื้อใหม่มาหลายหมื่น เจ๊งอีกแล้วเหรอยะ” ติณห์สันนิษฐานว่ามันคงเป็นปัญหาขัดข้องของโทรศัพท์เพื่อนสนิท “มันขึ้นว่าโทร.ไม่ติดทั้งๆ ที่แกก็ไม่น่าจะปิดมือถือ ถ้าไม่มือถือพัง แกก็เผลอไปกดบล็อกเบอร์ฉันแล้วแหละ”

“จะบ้าเหรอ ฉันจะไปบล็อกเบอร์แกทำไม เดี๋ยวนะ แกบอกว่าอะไรนะ แกคุยกับฉันแต่ฉันไม่ตอบเหรอ” หญิงสาวเริ่มเอะใจ รู้สึกว่าเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากล

“เออสิ! เสียงฝั่งแกก็ดัง ฉันก็ตะเบ็งมากไม่ได้เดี๋ยวคนได้ยิน ตอนนั้นยังไม่ได้กลับจากงานไง”

“ละ แล้วแกพูดอะไรไปบ้างวะ” อุตส่าห์โล่งใจไปเปราะหนึ่งที่รุจน์รวินน่าจะฟังไม่ได้ศัพท์จากรอบแรก แต่รอบหลัง สุริวัสสาเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเข้ามา ร่างบางลุกขึ้นยืนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เดินไปคว้ากุญแจรถเกือบจะทันที

“นี่แกอาการหนักแล้วนะเนี่ย โอ๊ย! เดี๋ยวจะถึงคิวรันงานแล้ว นางแบบฉันยังแต่งองค์ทรงเครื่องไม่เสร็จเลย นี่ช่วงนี้งานฉันเยอะมาก ไม่มีเวลามาเรียบเรียงอธิบายใหม่หรอกนะ มือถือก็ดันหายอีก อีพวกงานที่จดๆ เตือนความจำไว้ก็ไปพร้อมมือถือ เอาเป็นว่าถ้ามีใครมาถามอะไรแปลกๆ แกก็ตอบไปตามที่ฉันบอกเมื่อคืนละกัน ไปคิดดูดีๆ เดี๋ยวคืนนี้เสร็จงานแล้วจะไปหาที่บ้าน แค่นี้นะ” ติณห์พูดอย่างรวดเร็วแบบไม่หายใจหายคอ

“แกบอกอะไร เดี๋ยวสิติณห์ ฮัลโหล” สุริวัสสาแทบกรี๊ดออกมาเมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายไปด้วยความเร่งรีบ

หญิงสาวชั่งใจอยู่สักพักว่าจะอยู่นิ่งๆ หรือลองไปตะล่อมถามรุจน์รวินดู สุดท้ายเมื่อต้านทานความรู้สึกอยากรู้ไม่ได้จึงกดโทรศัพท์หาชายหนุ่มทันที ด้วยความใจร้อนจึงไม่อยากแบกความกังวลไว้ บางทีเขาอาจจะไม่รู้อะไร และเธออาจจะระแวงไปเองก็ได้

“สวัสดีค่ะ” เธอหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์หลังจากเขารับสาย “พอดีเมื่อเช้ายุ่งๆ ฉันเลยลืมโทร.บอกคุณไปเลยว่าได้รับเอกสารประกันแล้ว”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับผม” รุจน์รวินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นั่งหมุนปากกาในมือเล่น รู้ว่าหญิงสาวไม่มีทางโทร.มาเพราะเรื่องแค่นี้แน่

“เอ่อ เย็นนี้ถ้าฉันจะนัดคุณคุยงาน คุณสะดวกไหมคะ”

“งานอะไรล่ะครับ”

“ก็ที่ฉันจะ...” จะพูดว่า ‘ช่วยครอบครัวของคุณ’ เธอก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะยังมีความละอายใจอยู่บ้าง

“ถึงกับหาเหตุผลไม่ได้เลย” เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอ แม้ใบหน้าคมจะไม่ได้ยิ้มตาม เขาเหลือแค่รอแกะน้อยมาติดกับดักก็เท่านั้น “เอาเป็นว่าคุณอยากเจอผม?”

“สะดวกไหมล่ะคะ” เธอกลอกตาขึ้น รู้สึกหมั่นไส้ปนเอือมระอา ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้มากความ

“ก็ ว่างอยู่” รุจน์รวินแกล้งเว้นจังหวะให้อีกฝ่ายลุ้นเล่นๆ “ว่าแต่มีเรื่องอะไรด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่อยากเตรียมข้อมูลอะไรให้พร้อม เวลาไปเจอคุณรดาหรือครอบครัวของคุณ จะได้รับมือถูก” หญิงสาวคิดว่าข้ออ้างนี้ฟังขึ้นอยู่ “เมื่อวานที่คุยกัน ฉันยังมีอีกหลายคำถามที่ยังไม่ได้ถามคุณ หรือคุยทางโทรศัพท์ตอนนี้เลยก็ได้นะ ถ้าคุณสะดวกพอดี” คนเสนอมั่นใจว่าเธอจะได้เปรียบจากการคุยโทรศัพท์ เพราะอีกฝ่ายจะได้เดาความคิดของเธอไม่ออก และเธอจะได้มีสมาธิในการไตร่ตรองคำพูดมากขึ้น

“เจอกันดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์เท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบกลับมาแทบจะทันทีก่อนจะหัวเราะแล้วพูดต่อ “คนบางคนขนาดรู้หน้ายังไม่รู้ใจ”

“แล้วคุณสะดวกที่ไหนคะ กี่โมงดี” สุริวัสสาแกล้งหัวเราะกับคำพูดของเขาบ้างพลางหันไปมองนาฬิกา แม้ใจจะหล่นตุบลงไปที่พื้น นี่เขาตั้งใจพูดหรือแค่ล้อเล่น เธอเองก็ไม่แน่ใจ

“ประมาณทุ่มนึง ที่บริษัทผม?”

“ถ้าเย็นขนาดนั้นเจอร้านอาหารในเมืองเลยดีไหมคะ”

“ถ้าคุณเห็นว่าเย็นไป ก็ไปเจอที่คอนโดผมเลยไหมล่ะ” รุจน์รวินแกล้งพูดด้วยเสียงล้อเลียน

“นี่คุณ!” เสียงหวานไม่ได้ขำไปด้วย จนได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ

“พอดีผมมีประชุมอีกทีสามทุ่มกับต่างประเทศ ไม่อยากออกไปไหนเพราะเดี๋ยวเจอรถติดแล้วกลับมาไม่ทัน อีกอย่าง ถ้าคุณจะนัดเจอในเมือง ออฟฟิศผมก็เป็นทางผ่าน เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทั้งคู่ด้วย” ชายหนุ่มบอกที่อยู่บริษัทเสร็จสรรพ เป็นเชิงบังคับไม่ให้เธอได้ต่อรองอะไรทั้งสิ้น

            สุริวัสสาได้แต่เออๆ ออๆ แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก รุจน์รวินเหมือนมีอำนาจบางอย่างที่จะว่าสะกดจิตก็ไม่เชิง แต่เขาทำให้คนฟังคล้อยตามได้ไม่ยาก ซึ่งการคล้อยตามหรือยอมอะไรง่ายๆ นี่ไม่ใช่นิสัยของเธอเลยสักนิด

            เมื่อลูกค้าคนสุดท้ายออกจากสตูดิโอ เธอก็อยู่สั่งงานลูกน้องอีกสักพักจนฟ้าเริ่มมืด หญิงสาวแวะซื้ออาหารเย็นจากร้านอาหารชื่อดังก่อนจะตรงไปที่ตึกของเขาทันที โชคดีที่รถไม่ติดจึงมาถึงตั้งแต่หกโมงกว่า ขณะวนหาทางไปตึกจอดรถตามที่เขาบอก เธอก็อดสูดปากเบาๆ ไม่ได้เมื่อแหงนหน้ามองตึกสูงที่เขาเป็นเจ้าของ ออฟฟิศของรุจน์รวินอยู่ข้างๆ กับโรงแรมระดับห้าดาวที่เป็นหนึ่งในเครือของบริษัทอสังหาฯ ที่เขากำลังบริหารอยู่ ตึกทั้งสองสูงระฟ้าจนเธอแอบตะลึง ในใจก็คิดคำนวนถึงมูลค่ามหาศาลของมันโดยอัตโนมัติ

            หญิงสาวตรงเข้าไปติดต่อประชาสัมพันธ์หลังจากจอดรถในที่จอดฝั่งผู้บริหาร เธอแอบประทับใจที่รุจน์รวินกั้นที่จอดไว้ให้รถของเธอโดยเฉพาะ นั่งรอสักพักพนักงานของเขาก็เดินนำเธอไปที่ห้องทำงานชั้นบน

“เดี๋ยวเชิญคุณนั่งรอในห้องรับแขกก่อนนะคะ พอดีตอนนี้คุณรุจน์ยังติดแขกอยู่น่ะค่ะ” เลขาฯ ของชายหนุ่มเดินเข้ามารับเรื่องต่อแล้วจึงเดินพาเธอไปนั่งด้วยความนอบน้อม สักพักก็มีแม่บ้านนำถาดน้ำและขนมของว่างมาวาง

“ป้าๆ เห็นถุงใบใหญ่ๆ ที่ฉันหิ้วขึ้นมาตอนกลางวันไหม ฉันว่าฉันวางไว้ข้างโต๊ะ นี่หายไปไหนแล้วไม่รู้” เลขาฯ คนเดิมเดินเข้ามากระซิบถามแม่บ้านด้วยสีหน้ากังวลใกล้ๆ กับประตูห้องรับแขก เสียงที่ทั้งสองคุยกันนั้นดังพอที่หญิงสาวอีกคนที่นั่งรออยู่จะได้ยิน

“อ้อ คนขับรถมาเอาลงไปแล้ว เห็นบอกว่าคุณรุจน์สั่งให้ไว้ท้ายรถ”

“โอ๊ย! เหงื่อเกือบแตก นึกว่าไปลืมไว้ที่ไหน” คนถามทำท่าปาดเหงื่อ

“ทำไม ถุงนั่นมีอะไร เอกสารสำคัญเหรอ”

“กระเป๋าของคุณรดาน่ะสิ คุณรุจน์สั่งให้ฉันไปซื้อเมื่อเช้าเห็นว่าคุณรดาแกอยากได้ ใบละตั้งเป็นแสนๆ เจ้านายเราก็ซื้อง่ายๆ เหมือนใบละสิบยี่สิบบาท ขอบคุณมากนะป้า ฉันนึกว่าจะซวยซะแล้ว”

ทั้งสองคุยกันต่ออีกสักพักก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ สุริวัสสาถอนหายใจยาวพลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด เธอจึงเดินสำรวจรอบๆ เป็นการแก้เบื่อ ห้องทำงานของเขาเป็นห้องเดียวที่อยู่ชั้นเกือบบนสุดของตึก ทั้งชั้นถูกตบแต่งด้วยไฟสีส้มนวล พื้นปูพรมสีเข้ม ให้ความรู้สึกของโรงแรมมากกว่าออฟฟิศทั่วไป บนชั้นเดียวกันมีห้องรับแขกสองห้อง ห้องประชุม และห้องครัวเล็กๆ ทั้งหมดเป็นกระจกใสซึ่งถูกกั้นอย่างเป็นสัดส่วนและเป็นระเบียบ ยกเว้นห้องทำงานส่วนตัวของชายหนุ่มที่เป็นผนังปกติอยู่ด้านในสุด มีประตูผลักบานใหญ่สีเข้มติดชื่อย่อของเขาเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าคนข้างในหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากแค่ไหน เลขาฯ ของเขานั่งอยู่ด้านหน้าห้อง ทำหน้าที่เหมือนนายประตูกลายๆ

            ไม่นานนักเลขาฯ คนเดิมก็เชิญเธอเข้าไปด้านใน สุริวัสสาไม่ลืมที่จะคว้าถุงข้าวกล่องและกระเป๋าส่วนตัวไปด้วย เมื่อถึงหน้าห้อง หญิงวัยกลางคนเคาะประตูเบาๆ สามครั้งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากคนด้านใน หล่อนจึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป โค้งตัวด้วยท่าทางนอบน้อมจนหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเคารพที่ค่อนไปทางเกรงกลัว

            ร่างบางเดินตามเข้าไปในห้องทำงานกว้างพลางสำรวจอย่างรวดเร็ว องค์ประกอบทุกอย่างด้านในเหมือนกับที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานกว้าง ผนังกระจกใสบานใหญ่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ตึกสูงและถนนในกรุงเทพฯ มุมชงเครื่องดื่มส่วนตัว และชุดโซฟารับแขก จะมีก็แค่กองเอกสารสูงหลายกองที่วางระเกะระกะอยู่รอบโต๊ะ ซึ่งขัดกับท่าทางเจ้าระเบียบของเขาโดยสิ้นเชิง

“เชิญค่ะ” หล่อนผายมือไปที่ชุดโซฟา

“เอ่อ...” สุริวัสสาว่าจะทักทายรุจน์รวินเป็นมารยาทตามปกติ แต่เมื่อร่างสูงยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากงานตรงหน้าสักที เธอก็ไม่รู้จะเริ่มทักอย่างไร

“คุณนั่งรอตรงโซฟาก่อนก็ได้ ผมขออ่านเอกสารตรงนี้อีกแป๊บนึง” ชายหนุ่มบอกทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากเอกสารที่กำลังอ่าน เธอไม่ชินกับเสียงเข้มนั้นทรงอำนาจนั้นเลยสักนิด เนื่องจากคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตรงหน้า มีท่าทีราวกับเป็นคนละคนกับที่เธอเคยเจอ

“ขี้เก๊ก” เธอพูดขึ้นลอยๆ หลังจากลูกน้องของเขาปิดประตูลง คนขี้เก๊กไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สุริวัสสารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินคือการที่ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นครู่หนึ่ง

            หลังจากนั้นบรรยากาศทั้งห้องก็เงียบสนิทจนเธอได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศประกอบกับเสียงหายใจของทั้งเธอและเขาอย่างชัดเจน ความกว้างของห้องทำงานไม่ได้ช่วยให้ความอึดอัดในตอนนี้ลดลงเลยสักนิด เวลาแต่ละนาทีก็นานเหมือนเป็นวัน หญิงสาวได้แต่แสร้งเล่นโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่ในใจคิดกังวลไปต่างๆ นานา ไม่ได้มีสมาธิจดจ่อเลยสักนิด

            และแล้วร่างบางก็ต้องสะดุ้งเมื่อตัวเองเอาแต่นั่งเหม่อจนไม่ได้ดูเลยว่าเจ้าของห้องเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ สักพักแล้ว เขาชะโงกหน้ามามองหน้าจอมือถือที่ดับสนิทของเธอ

“ผมก็นึกว่าตั้งใจอ่านอะไร ที่ไหนได้ ตั้งใจจนมือถือล็อกไปนานแล้วยังไม่รู้เรื่อง” คนพูดแซ็วนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ติดกัน เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็กส์ซึ่งดูสุภาพและสุขุม สุริวัสสาเผลอมองอยู่แวบหนึ่งก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น หญิงสาวคิดว่าห้องนี้อาจตบแต่งโดยใช้หลักจิตวิทยาบางอย่าง ที่ทำให้คนไม่คุ้นสถานที่อย่างเธอรู้สึกว่าไม่สามารถต่อกรกับเขาได้

 หรืออาจจะเป็นใจเธอเอง ที่ตอนนี้เหมือนมีความรู้สึกผิดและระแวงติดอยู่ตลอดเวลา

“ทานข้าวดีกว่าค่ะ คุณคงหิว” มือบางวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ลงมือแกะถุงพลาสติก เปิดกล่องข้าวที่จัดมาเป็นเซตอย่างรวดเร็ว

“ตอนแรกว่าจะให้แม่บ้านเอาไปจัดจานให้ แต่ดูท่าคุณน่าจะหิวมากกว่านะ นั่งตรงนั้นยังได้ยินเสียงท้องร้องตั้งหลายรอบ”

“หูฝาด” สุริวัสสาตั้งท่าจะเถียงหลังชนฝา แม้สิ่งที่ชายหนุ่มพูดเป็นเรื่องจริง

“ใส่ยาอะไรให้ผมกินรึเปล่าเนี่ย” รุจน์รวินแกล้งรวนจนได้ค้อนวงโตกลับมาเป็นของแถม

“นี่ ถ้าหน้าฉันเหมือนโจรขนาดนั้น คุณก็ไม่ต่างกันหรอก”

“อะไร ผมออกจะดูใจดี เป็นมิตรกับทุกคน” รุจน์รวินยิ้มจนตาหยี พยายามทำหน้าเป็น ‘คนใจดี’ แบบที่กล่าว

“อย่าไปยิ้มให้ใครแบบนี้ที่ไหนนะคะ”

“ทำไม หึงเหรอ ยิ้มกระชากใจสาวละสิ” ชายหนุ่มแกล้งยักไหล่ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเบาๆ เมื่อเธอยื่นชุดข้าวกล่องให้

“เปล่า เดี๋ยวคนเห็นเขี้ยวแล้วจะรู้ความจริงว่าคุณเป็นยักษ์เป็นมาร...

            ยังไม่ทันจบประโยค ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามากะทันหันโดยไม่ได้มีสัญญาณเคาะบอกก่อน ตามมาด้วยร่างสูงโปร่งในชุดสีชมพูหวาน รองเท้าส้นสูงและกระเป๋าเข้าชุดในโทนสีเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ริมฝีปากสีนู้ดหวานแหวว

            สุริวัสสาสวมวิญญาณเครื่องสแกนอย่างรวดเร็วโดยสัญชาตญาณซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัว กระเป๋าและรองเท้าของหล่อนเป็นแบรนด์เนมแท้ซึ่งเป็นคอลเล็กชันตอนต้นปีที่ผ่านมา รวมแล้วน่าจะราคาหกหลักขึ้นไป ส่วนชุดและเครื่องประดับนั้นเป็นแบรนด์จากห้องเสื้ออิตาลี ที่เพิ่งจัดแฟชั่นโชว์ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเช่นกัน!

เธอสรุปด้วยความอิจฉาได้ว่า ผู้หญิงตรงหน้าต้องไม่ธรรมดา เพราะคอลเล็กชันนี้ตนยังเก็บไม่ครบด้วยซ้ำ!

“อ้าว ขอโทษด้วยนะคะ” ผู้มาใหม่รีบกล่าว “ณัฐไม่รู้ว่าคุณรุจน์มีแขก” ท้ายประโยคนั้น คนพูดได้หันมามองทางสุริวัสสาซึ่งกำลังนั่งถือกล่องข้าวของตัวเองอยู่ในมือ

            อาจเป็นความหมั่นไส้ที่เธอแอบมีต่อคนตรงหน้า ทำให้สุริวัสสารู้สึกไม่ถูกชะตาอยู่ลึกๆ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ทันทำอะไรเสียด้วยซ้ำ

“วันนี้เราไม่ได้มีนัดกันนี่” รุจน์รวินถามนิ่งๆ ไม่ได้แปลกใจกับการมาของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่

“แหม...เดี๋ยวนี้ไม่นัดก็มาหาไม่ได้ใช่ไหมคะ ว่าแต่คุณรุจน์เสร็จงานรึยัง” เธอกระเง้ากระงอดอย่างน่ารักพลางเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ จนแทบจะขึ้นไปนั่งบนตักชายหนุ่ม ติดอยู่ตรงที่ว่ายังมีสุริวัสสานั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก ไม่อย่างนั้นเธอคงแสดงความใกล้ชิดมากกว่านี้

            สุริวัสสาวางกล่องข้าวในมือลง แล้วจึงหันไปยิ้มให้คนทั้งคู่ด้วยความอึดอัดที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นก้างขวางคอ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อน และคนข้างๆ เขาก็ไม่คิดที่จะทักทายทำความรู้จักเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจแก้บรรยากาศอึดอัดนี้โดยว่าจะทักขึ้นแนะนำตัวเสียเอง

“คืนนี้ไปนั่งฟังเพลงกันไหมคะ” ณัฐนิชถามแทรกขึ้น จงใจมองไปที่รุจน์รวินราวกับว่าในห้องนี้มีเพียงหล่อนกับชายหนุ่มเพียงแค่สองคน คนที่พยายามจะทำตามมารยาทจึงได้แต่อ้าปากค้าง กลืนคำทักทายหวานหูลงไปในลำคอ จากมุมนี้เธอแอบเห็นใบหน้าคมลอบยิ้มขำๆ เมื่อเขาสังเกตได้ว่าเธอทำหน้าไม่ถูกไปครู่หนึ่ง

“นี่คุณสุริวัสสา เพื่อนผม” เขากระแอม ตั้งใจจะบอกทางอ้อมให้ณัฐนิชระวังกิริยา

“อุ๊ย! ตายจริง” คนพูดยิ้มแห้ง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาท”

“ไม่หรอกค่ะ” สุริวัสสาพูดกลั้วหัวเราะ แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายสบายใจว่าเธอไม่ได้ถืออะไรเพราะไม่อยากสร้างศัตรูในเวลานี้

“พอดีณัฐรู้จักคุณอยู่แล้วจากข่าวน่ะค่ะ เลยเผลอคิดว่าเราสองคนรู้จักกันแล้ว”

            สุริวัสสาท่องไว้ในใจว่าอย่ามีอคติกับคนตรงหน้า แต่จะฟังยังไงเหตุผลของหล่อนก็ฟังไม่ขึ้น

“เดี๋ยวณัฐออกไปรอผมข้างนอกก่อนได้ไหม พอดีคุณวสาเค้ามีเรื่องงานมาคุยนิดหน่อย”

“นี่ณัฐไปอังกฤษแป๊บเดียว คุณรุจน์ถึงกับมีคู่ค้าใหม่เป็นระดับเซเลบเลยหรือคะ” เสียงแหลมนั้นทำให้สุริวัสสาหน้าชาขึ้นมาครู่หนึ่ง แม้สีหน้าของณัฐนิชจะเป็นปกติ แต่คนฟังรู้ทันทีว่าความนัยของประโยคนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

            และแล้วหญิงสาวก็เพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อนึกย้อนไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนตอนที่ไปงานเครื่องเพชรคู่กับกีรวิชญ์ คู่ของคนที่ทะเลาะกันในห้องน้ำก็คือสองคนนี้นี่เอง มิน่าเธอถึงคุ้นทั้งเสียงและการเรียกชื่อของทั้งสองคนมาก

“เดี๋ยวฉันค่อยมาคุยวันหลังก็ได้ค่ะ ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกคุณ” สุริวัสสาเบื่อจะสนทนากับผู้หญิงตรงหน้า ยิ่งนึกถึงตอนที่หล่อนกล้าลากรุจน์รวินเข้าไปคุยในห้องน้ำได้ แสดงว่าความกล้าบ้าบิ่นต้องมีมากพอสมควร พอเห็นท่าทีตอนนี้ที่แสดงออกเหมือนจงอางหวงไข่ เธอก็อยากจะประชดออกไปให้รู้แล้วรู้รอด

‘ทีหลังจับล่ามโซ่ขังไว้ที่บ้านเลยไหมล่ะ หรือเอาป้ายติดหัวเขียนชื่อจองไว้เลยก็ได้’ สุริวัสสาแอบพูดประโยคหลังอยู่ในใจ เมื่อเห็นณัฐนิชแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เกาะแกะชายหนุ่มจนเธอนึกรำคาญแทนเขา

“อ้อ ณัฐซื้อน้ำหอมตัวใหม่มาให้คุณด้วยนะคะ ที่คืนนั้นณัฐเผลอทำของคุณแตกในห้องน้ำ” ณัฐนิชพูดต่อโดยไม่ใส่ใจกับคำบอกลากลายๆ ของหญิงสาวอีกคน

“งั้นฉันไม่รบกวนแล้วดีกว่าค่ะ” ‘กว้างขวางคอ’ พูดแทรกขึ้นอย่างมีมารยาท มือบางคว้ากระเป๋าถือไว้ในมือ ตั้งใจจะกลับเมื่อมีลางว่าตัวเองจะได้รู้ได้ฟังอะไรที่ลึกซึ้งลงไปมากกว่านี้

“เห็นไหมคะ คุณวสาเขายังไม่อยากรบกวนเวลาของเราสองคนเลย คุณต้องพักผ่อนบ้างนะคะ ไม่งั้นเครียดตาย ไปค่ะ ไปหาร้านอาหารอร่อยๆ ทานกัน” ท้ายประโยคนั้น ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าที่เห็นสายตาของณัฐนิชปรายมาทางข้าวกล่องของเธออย่างดูแคลน “เดี๋ยวของพวกนี้ยกให้แม่บ้านไปก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเสียดายหรอก”

“ก็ได้ๆ” คำตอบจากร่างสูงทำให้สุริวัสสาหน้าชาวาบที่เขายอมตกลงง่ายๆ และเธอก็ยิ่งโมโหไปกว่านั้นเมื่อเขาเดินไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหันมาบอกกับเธอสั้นๆ “งั้นเรื่องของเราค่อยคุยกันวันหลังนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทร.ไปอีกที”

“ระวังรถติด กลับมาไม่ทันนัดนะคะ” เธอลองหยั่งเชิงดูเพราะอยากรู้ว่าเขาจะว่าอย่างไร ในใจก็พยายามคิดในแง่ดีว่าคนตรงหน้าลืมไปว่าเขายังติดนัดประชุมอยู่

“อ้าว วันนี้คุณมีนัดแล้วเหรอ” ณัฐนิชหันไปถามเขาด้วยเสียงที่เริ่มขุ่น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปดั่งใจ

“ประชุมกับต่างประเทศน่ะค่ะ” สุริวัสสาตั้งใจตอบแทรกขึ้นมาตามข้อมูลที่ตนได้รับก่อนหน้านี้ แม้อีกฝ่ายกำลังคาดคั้นจากร่างสูงโดยตรง

“ใครเค้าจะนัดประชุมสามสี่ทุ่มกันคะ ถึงคุยกับต่างประเทศ ปกติคุณรุจน์ก็นัดตอนเช้าของที่ไทยทั้งนั้นแหละค่ะ” เพียงเท่านั้น เสียงหัวเราะของณัฐนิชก็ก้องเข้าไปในโสตประสาท และนั่นคือสิ่งยืนยันว่าเธอโดนรุจน์รวินหลอกจริงๆ

            ในตอนแรก สุริวัสสาพยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้เพราะเธอไม่อยากมีปัญหากับใคร หญิงสาวไม่ได้สนใจเรื่องน้ำหอมอะไรที่คนตรงหน้าพยายามพูดให้เธอเห็นถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าเธอโดนหลอก แกล้งให้มาที่นี่ ทั้งเสียเวลา เสียหน้า แถมยังไม่ได้อะไรกลับไปอีก

ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าทำกับเธอแบบนี้ ยิ่งในตอนนี้ที่เธอเห็นสายตาของคนทั้งคู่ คนหนึ่งก็มองเธอนิ่งๆ แล้วยิ้มมุมปากเหมือนเธอไม่มีทางทำอะไรเขาได้ ส่วนอีกคนก็หัวเราะเหมือนตลกอะไรนักหนา

            ได้! ถ้าเขาจะเล่นแบบนี้ เธอก็ขอจัดอะไรก่อนไปสักหน่อยเถอะ!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น